Saturday, 7 June 2025
CPF

CPF ประเดิมส่งไก่ล็อตแรกไปซาอุฯ ช่วยหนุนส่งออกไก่ปีนี้ เพิ่มเป็น 9.8 แสนตัน

กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับซีพีเอฟ ได้ฤกษ์ปล่อยขบวนตู้คอนเทนเนอร์ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่เที่ยวแรกของไทยไปยังซาอุดีอาระเบีย หลังฟื้นความสัมพันธ์ 2 ประเทศ

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ร่วมกันทำพิธีปล่อยตู้คอนเทนเนอร์ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่แปรรูป ออกจากโรงงานแปรรูปไก่เนื้อ มีนบุรี เพื่อเตรียมส่งออกไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย

โดยนายจุรินทร์ระบุว่า หลังเสียโอกาสมานาน 18 ปี ครั้งนี้นับเป็นผลิตภัณฑ์ไก่จากประเทศไทย ล็อตแรก ตั้งแต่ปี 2547 โดยรัฐบาลซาอุฯ ได้อนุญาตให้นำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกของไทยจากโรงงาน 11 แห่ง ที่ผ่านการตรวจรับรองแล้ว ทำให้ในปี 2565 ตั้งเป้ายอดการส่งออกไก่ เพิ่มเป็น 9.8 แสนตัน มูลค่ารวม 1.1 แสนล้านบาท เฉพาะประเทศซาอุฯ ประมาณ 6 หมื่นตัน จากที่ปี 2564 สามารถส่งออกได้ 9 แสนตัน โดยมั่นใจว่าคุณภาพไก่ไทย สามารถแข่งขันในตลาดโลกอย่างไม่มีปัญหา ขณะเดียวกันยังได้สั่งให้มีการควบคุมราคาขายไก่ในประเทศให้เป็นไปตามต้นทุน ป้องกันการขึ้นราคาจนประชาชนเดือดร้อน

'กทม.-ซีพีเอฟ' เปิดโครงการ 'กล้าจากป่า พนาในเมือง (กทม.)' มุ่งสร้างพื้นที่สีเขียว - กำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุงเทพฯ

(11 ต.ค. 65) เวลา 07.30 น. ณ สวนลุมพินี เขตปทุมวัน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหารบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมเปิดตัวโครงการ 'กล้าจากป่า พนาในเมือง (กทม.)' เพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ สนับสนุนโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น สร้างพื้นที่สีเขียวและกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุงเทพฯ  

พร้อมกันนี้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้รับมอบกล้าไม้จากซีพีเอฟ เพื่อนำไปกระจายต่อให้คนกรุงเทพฯ ร่วมกันปลูกต้นไม้ รวมทั้งปลูกในพื้นที่ว่างของกทม. รวมทั้งร่วมกับผู้บริหาร ซีพีเอฟ แจกกล้าไม้ให้ประชาชนและผู้สนใจ จำนวน 1,000 ต้น 

ประกอบด้วยไม้ยืนต้น 4 ชนิด ได้แก่ พะยูง กฤษณา ยางนา มะขาม และไม้ฟอกอากาศ อาทิ ออมชมพู เงินไหลมา ซึ่งกล้าไม้เหล่านี้ ซีพีเอฟจ้างงานชุมชนรอบเขาพระยาเดินธงเพาะกล้าและดูแลจนกล้าไม้แข็งแรง เป็นการกระจายอาชีพและสร้างรายได้สู่ชุมชนอีกทางหนึ่ง

ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวขอบคุณในความร่วมมือของซีพีเอฟ ที่ร่วมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีของ กทม. เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากเพียงพอต่อการนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร และสนับสนุนโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่กทม. มีความมุ่งมั่นส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของประชาชน และสิ่งแวดล้อมของเมือง หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับซีพีเอฟ ครั้งนี้จะเป็นการจุดประกายในการสร้างความตระหนัก สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้เริ่มลงมือทำด้วยการปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้านของตนเอง ทั้งไม้ยืนต้นและไม้กระถาง ซึ่งจะช่วยกรองฝุ่นและดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

‘ซีพีเอฟ’ ประเดิม 3 เมนูให้นักบินปลายปี 66 กระเพราไก่จานแรก ส่วนอีก 2 เมนูรอพัฒนา

นำร่อง ‘ไก่ไทย’ สู่อวกาศปลายปี 66 ซีพีเอฟประเดิม 3 เมนู ส่งกระเพราไก่จานแรก ส่วนอีก 2 เมนูอยู่ระหว่างการพัฒนา หลังเป็นสินค้าแบรนด์แรกของโลกที่ได้รับการยอมรับจากองค์การนาซาให้ส่งสินค้าให้นักบินรับประทาน

(11 ก.ค. 66) นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ซีพีเอฟ’ (CPF) เปิดเผยว่า ซีพีเอฟจะเริ่มส่งอาหารให้กับองค์การนาซา สำหรับให้นักบินอวกาศรับประทานประมาณปลายปี 66

ทั้งนี้ เบื้องต้นจะเริ่มนำร่องส่ง ‘ไก่ไทย’ ด้วย 3 เมนู ได้แก่ กะเพราไก่ และอีก 2 เมนูอยู่ระหว่างการพัฒนา จากปกตินักบินอวกาศจะรับประทานอาหารเม็ด แคปซูล ที่ทางองค์การนาซาเป็นผู้ผลิตให้เท่านั้น

“ซีพีเอฟถือเป็นสินค้าแบรนด์แรกของโลกที่ได้รับการยอมรับจากองค์การนาซา ให้ส่งอาหารขึ้นไปให้กับนักบินอวกาศรับประทานด้วยเมนูไก่แปรรูป”

สำหรับการนำอาหารขึ้นไปบนอวกาศนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะนักบินอวกาศต้องการอาหารที่มีความปลอดภัยสูงสุด ผ่านการคัดเลือกอย่างถี่ถ้วนทุกขั้นตอน การนำไก่ไทยขึ้นไปสู่อวกาศได้ ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับอนาคตอาหารของประเทศไทย

รวมถึงเป็นจุดแข็งของคนไทยเรื่องการผลิตอาหารที่มีคุณภาพสูงให้คนทั่วโลก ดังนั้นการส่งอาหารขึ้นไปบนอวกาศจะทำให้ทั่วโลกได้รับทราบว่าอาหารของซีพีเอฟ มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง โดยช่วยแรกบริษัทได้รับมาตรฐานด้านไก่ สดที่ไม่มีสารปนเปื้อน การเลี้ยงที่ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ขั้นตอนต่อไปอยู่ระหว่างขอมาตรฐานอาหารแปรรูป

ปัจจุบันไก่เป็น 1 ในสินค้าส่งออกของไทยมากถึงปีละกว่า 1 แสนล้านบาท มากเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยที่ซีพีเอฟส่งออกปีละประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาท สัดส่วน 25% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มอาหารแปรรูป 50% ส่วนใหญ่ส่งออกไปอังกฤษ ญี่ปุ่น และเยอรมนี

ขณะที่ปีนี้จะเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไก่ ให้เข้ากับแต่ละประเทศและการขยายโรงงานในประเทศฟิลิปปินส์ ที่เป็นธุรกิจไก่ หมู กุ้ง ไข่ เพิ่มเพื่อรองรับความต้องการที่ขยายตัว คาดว่าปีนี้มีรายได้รวม 660,000 ล้านบาท

‘CPF’ อาสาสานฝันเด็กไทย พาไปดูงาน ณ ‘JAXA’ ญี่ปุ่น หลัง 3 การทดลองได้รับเลือกขึ้นทดสอบในสถานีอวกาศฯ

เมื่อวานนี้ (17 พ.ย. 66) เฟซบุ๊ก ‘NSTDA - สวทช.’ โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘🚀CPF อาสาร่วมสนับสนุนเด็กไทยไปองค์การสำรวจอวกาศ JAXA ประเทศญี่ปุ่น’ ระบุว่า…

ตามที่ สวทช. ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น จัดแข่งขันโครงการ Asian Try Zero-G 2023 และได้คัดเลือกแนวคิดการทดลองทางวิทยาศาสตร์ของตัวแทนเยาวชนไทยที่ผ่านการคัดเลือก จำนวน 3 เรื่อง โดยแนวคิดทั้ง 3 เรื่องนี้จะนำไปทดลองจริงในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ โดย นายซาโตชิ ฟุรุคาวะ (Satoshi Furukawa) นักบินอวกาศญี่ปุ่นที่ปฏิบัติการบนสถานีอวกาศนานาชาติ ISS 

ซึ่งในการนี้ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้กำชับให้ สวทช. ดำเนินการทุกวิถีทางให้เด็กไทยได้ไปร่วมกิจกรรม ณ ประเทศญี่ปุ่น ล่าสุดทีมจัดกิจกรรมของ สวทช. ได้รับการติดต่อจากบริษัท CPF อาสาร่วมให้ทุนสนับสนุนโครงการดังกล่าว

สวทช. ขอขอบคุณ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ที่ได้ติดต่อขอร่วมสนับสนุนในการส่งเด็กไทยไปร่วมโครงการขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีของเยาวชนไทยที่จะได้นำความรู้ความสามารถไปแสดงในเวทีโลก

ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF กล่าวว่า "CPF รู้สึกยินดีและร่วมชื่นชมน้อง ๆ เยาวชนไทยที่เก่งและมีความสามารถไม่แพ้ชาติอื่น จนได้รับคัดเลือกจากองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) ให้ไปทดลองโครงงานบน Kibo Module สถานีอวกาศนานาชาติ เรา CP แบรนด์อาหารของคนไทย อยากช่วยเติมฝันของน้อง ๆ ในโอกาสนี้ เพราะเราเชื่อในศักยภาพของคนไทย ที่ยังก้าวไปได้อีกไกลในเวทีโลก หากเราร่วมกันผลักดัน"

ทาง สวทช. ยินดีที่ก่อนหน้านี้ CPF ก็ได้ดำเนินโครงการ Thai Food-Mission to Space เพื่อยกระดับมาตรฐานอาหารไทย ก้าวสู่มาตรฐานใหม่ไปพิชิตมาตรฐานอวกาศ (Space Food Safety Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศรับประทาน ตามหลักเกณฑ์ขององค์กร NASA มาแล้ว และตอนนี้ได้ขยายโอกาสมาสานฝันน้อง ๆ ให้มีโอกาสในเวทีระดับโลกเพิ่มเติมขึ้นอีก สวทช. ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นในภารกิจการสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติและประชาชนทั่วไป รวมทั้งจะแสวงหาโอกาสให้เยาวชนไทยได้แสดงความสามารถและเข้าร่วมในกิจกรรมสำคัญต่าง ๆ อย่างเต็มกำลัง

สำหรับแนวคิดการทดลอง 3 เรื่อง ได้แก่
1. เรื่อง ‘ก้อนน้ำทรงกลมกับแรงไฟฟ้า’ โดย นายชญานิน เลิศอุดมศักดิ์ นักเรียน ม.5 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย 

2. เรื่อง ‘การศึกษาการเคลื่อนที่แบบวงกลมของลูกบอลสองลูกบนเส้นเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ’ โดย นายณัฐภูมิ กูลเรือน, นายจิรทีปต์ มะจันทร์, นางสาวฟ้าใหม่ คงกฤตยานุกุล และนายภูมิพัฒน์ รัตนวัฒน์ นักเรียน ม.5 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย 

3. เรื่อง ‘การออกกำลังกายท่าดาวทะเลภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ’ โดย นางสาววรรณวลี จันทร์งาม และนางสาวพุทธิมา ประกอบชาติ นักเรียน ม.6 โรงเรียนระยองวิทยาคม

อ่านรายละเอียดโครงการเพิ่มที่: https://www.nstda.or.th/home/news_post/sci-news-flash-asian-try-zero-g-2023-result/ 

‘CPF’ ชูนวัตกรรม ‘โปรไบโอติกส์’ ในอาหารสัตว์ ส่งมอบ ‘หมู-ไก่-เป็ด-กุ้ง’ คุณภาพสู่ผู้บริโภค

เมื่อวานนี้ (29 ม.ค. 67) กระบวนการเลี้ยงที่ใช้นวัตกรรมโปรไบโอติกส์ (Probiotics) ผสมในอาหารสัตว์ ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์เนื้อหมู ไก่ เป็ด กุ้ง ตอบโจทย์ดีต่อสุขภาพคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ล่าสุด พัฒนานวัตกรรมอาหารสำหรับจุลินทรีย์ในไบโอแก๊ส เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าในฟาร์มสุกร ช่วยบำบัดน้ำเสีย ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ดร.ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักวิชาการอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ใส่ใจและให้ความสำคัญกับกระบวนการเลี้ยงสัตว์ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตอาหารสัตว์ที่เรามุ่งมั่นวิจัยและพัฒนา นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ ภายใต้หลักคิดอาหารที่ส่งเสริมให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรงตามธรรมชาติ ส่งผลให้เนื้อสัตว์มีคุณภาพดี พร้อมส่งมอบสู่ผู้บริโภคและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามหลักสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) ตอบโจทย์การผลิตอาหารปลอดภัยและยั่งยืน

บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับหลักโภชนาการแม่นยำ ด้วยการพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ที่ตรงกับความต้องการของสัตว์ในแต่ละช่วงวัย ควบคู่กับกระบวนการเลี้ยงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) เลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดที่มีการป้องกันโรค ทำให้สัตว์มีความเป็นอยู่สุขสบายในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จึงทำให้สัตว์ไม่ป่วยและไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ส่งผลทำให้ได้เนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพดี ปลอดสารตกค้าง ลดการปลดปล่อยสารอาหารส่วนเกินสู่สิ่งแวดล้อม อาทิ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส เป็นต้น

นอกจากนั้น ซีพีเอฟ ได้คิดค้น วิจัยและพัฒนานวัตกรรมโปรไบโอติกส์ ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของสัตว์ ทำให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง สามารถต่อต้านเชื้อก่อโรคได้ดี โดยคัดเลือกจากฐานข้อมูลจุลินทรีย์ในห้องปฏิบัติการ จนได้โปรไบโอติกส์ที่ดีที่สุดเพียง 10 สายพันธุ์ ผสมในอาหารสัตว์ ทั้งหมู ไก่ เป็ด ได้เป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้ แบรนด์ CP อาทิ ผลิตภัณฑ์เนื้อหมู ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ ผลิตภัณฑ์เนื้อเป็ด และผลิตภัณฑ์กุ้ง CP Pacific ซึ่งผลิตภัณฑ์กุ้งมาจากกระบวนการเพาะเลี้ยงตามหลัก 3 สะอาด คือ ลูกกุ้งสะอาด น้ำสะอาด บ่อสะอาด ใส่ใจทุกขั้นตอน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

กลุ่มผลิตภัณฑ์รักษ์โลก เน้นการเลี้ยงด้วยอาหารนวัตกรรมจากธรรมชาติ 100 % อาทิ หมูชีวา (Cheeva Pork) จากแบรนด์ U FARM เนื้อหมูที่อุดมด้วย โอเมก้า 3 มาจากการเลี้ยงสุกรด้วย Super Food เช่น Flax Seed น้ำมันปลา สาหร่ายทะเลลึก ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล ปลอดสาร  ปลอดภัย ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยง ได้รับการรับรองมาตรฐานโดย NSF สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต ช่วยลดไนโตรเจนในมูลสุกร 20-30 % ผลิตภัณฑ์ไก่เบญจา (Benja Chicken) มาจากการเลี้ยงไก่ด้วย ข้าวกล้อง Flax Seed ทำให้เนื้อไก่มีโอเมก้า 3 กลิ่นหอม เนื้อนุ่มและฉ่ำได้รับการรับรองมาตรฐานโดย NSF เช่นกัน  ผลิตภัณฑ์เป็ดจักรพรรดิ (Chakkraphat Duck) แบรนด์ U FARM มาจากเป็ดที่ถูกคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดี เลี้ยงด้วยอาหารจากธัญพืชที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 ทำให้เป็ดเนื้อนุ่มฉ่ำกว่าเนื้อเป็ดทั่วไป  

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังให้ความสำคัญสูงสุดในการส่งมอบเนื้อสัตว์คุณภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคแล้ว บริษัทฯ ยังตระหนักถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมโดยได้พัฒนานวัตกรรมเพื่อเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์ในบ่อไบโอแก๊ส ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสีย เพิ่มผลผลิตแก๊สมีเทนเพิ่มความเข้มข้นแก๊สมีเทนสำหรับใช้ในการปั่นไฟฟ้า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และทำให้คุณภาพน้ำเสียจากการบำบัดดีขึ้น โดยในปี 2566 นำไปใช้ในฟาร์มสุกรแล้วรวม 70 แห่ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปั่นไฟ ลดค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าในฟาร์ม และในอนาคตวางแผนวิจัยและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อนำไปใช้ในฟาร์มของซีพีเอฟและฟาร์มภายนอก

‘ซีพีเอฟ’ รับบท ‘ตลาดรับซื้อ’ หนุน 5,500 เกษตรกรรายย่อย ป้องกันตลาดผันผวน ตัดวงจรเสี่ยงด้านราคาให้แก่เกษตรกร

(31 ม.ค. 67) นายสมพร เจิมพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ได้มุ่งยกระดับการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกรรายย่อยทั่วประเทศมากกว่า 5,500 ราย ในรูปแบบ คอนแทรคฟาร์มมิ่ง โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการเลี้ยงสัตว์ที่ดี ภายใต้การบริหารจัดการด้านการเลี้ยงสัตว์ที่มีมาตรฐาน ด้วยการนำขีดความสามารถของบริษัทฯ มาถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมการเลี้ยงแก่เกษตรกร ที่สำคัญเกษตรกรต้องมีตลาดรองรับผลผลิต บริษัทฯ จึงทำหน้าที่เป็นตลาดรับซื้อผลผลิตคืนจากเกษตรกร เพื่อให้มีอาชีพที่ไร้ความเสี่ยงด้านราคาและการตลาด และมีหลักประกันรายได้ที่มั่นคง โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมาที่ราคาสุกรผันผวนมาก จากการเข้ามาของขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อน หากแต่เกษตรกรรายย่อยที่เลี้ยงสุกรกับซีพีเอฟ ไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากมีการทำสัญญาตกลงราคากันไว้ล่วงหน้า และบริษัทฯ รับซื้อผลผลิตของเกษตรกรไว้ทั้งหมด

“นอกจากการส่งเสริมให้เกษตรกรรายย่อยได้รับทั้งความรู้ด้านการเลี้ยงสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทำให้เกษตรกรสามารถดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ เกษตรกรไม่ได้รับความเสี่ยงตลาดผันผวน โดยสินค้าที่ซีพีเอฟผลิตส่งจำหน่ายในตลาดและห้างโมเดิร์นเทรดต่าง ๆ ก็มาจากเกษตรกรรายย่อยที่บริษัทฯ รับความเสี่ยงโดยตรง และยังมีเกษตรกรรายกลางอีกร่วม 500 ราย ที่ซีพีเอฟ เข้าไปช่วยสนับสนุนองค์ความรู้ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยในอาหาร เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรในห่วงโซ่คุณค่าเติบโตไปด้วยกัน” นายสมพร กล่าว

ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ปี 2518 ที่ซีพีเอฟนำระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง (Contract Farming) มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมแบบครบวงจร เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์แบบพันธสัญญาแก่เกษตรกรรายย่อย ภายใต้หลักคิด ‘เกษตรกรคือคู่ชีวิต’ ร่วมสนับสนุนความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยของไทย มีความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน พึ่งพาตนเองอย่างเข้มแข็ง มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับชุมชนและประเทศ ควบคู่กับการผลิตเนื้อสัตว์ที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันผลิตและส่งมอบสินค้าอาหารคุณภาพมาตรฐานสูง สร้างความมั่นคงด้านอาหารให้คนไทย 

‘ไก่ย่างห้าดาว’ จัดโปรฯ หลังต้นทุนวัตถุดิบปรับราคาลง ประกาศลดราคาสินค้า 4-10 บาท สานฝันคนชอบกินไก่

(11 ก.พ. 67) แม้เปิดปีมังกรมา ผู้บริโภคจะเผชิญกับภาวะข้าวยากหมากแพง เพราะสินค้าจำนวนหลายรายการตบเท้าขึ้นราคา หรือหากแบรนด์ไหนไม่ขยับขึ้น ก็มีการใช้กลยุทธ์การ ‘ลดไซส์’ เพื่อคงราคาขายเดิมไว้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดแค่ในไทยแต่เป็นทั่วโลก จนมีกระแส ‘Shrinkflation’

ท่ามกลางของแพง ‘ธุรกิจห้าดาว’ หรือที่คนรู้จักกันในชื่อเล่น ‘ไก่ย่างห้าดาว’ ได้ประกาศปรับลดราคาสินค้าลง 4-10 บาท โดยจะมีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 12 กุมภาพันธ์ 2567

ทั้งนี้ ธุรกิจห้าดาวระบุว่า บริษัท ขอแจ้งการปรับลดราคาจำหน่ายผู้บริโภค โดยโครงสร้างราคาใหม่นี้ผู้ประกอบการยังคงได้รับ ‘กำไรเท่าเดิม’ ซึ่งการปรับลดราคาต้นทุนวัตถุดิบมีผลตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567

พร้อมกันนี้ บริษัทได้ยืนยันในเรื่องของการพยายามที่จะพัฒนาคุณภาพและความคุ้มค่า เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเป้าหมายของครอบครัวห้าดาวมาโดยตลอด

สำหรับรายการสินค้าที่ปรับลดราคามีทั้งสิ้น 9 รายการ ลดตั้งแต่ 4-10 บาท เช่น ไก่ย่างพริกไทยดำ (ตัว) ราคาใหม่175 บาท ลดลง 10 บาท จากราคาเดิม 185 บาท, ไก่ย่างสูตรต้นตำรับ (ตัว) ราคาใหม่ 165 บาท ลดลง 10 บาท จากราคาเดิม 175 บาท, ไก่กรอบห้าดาว (ชิ้น) ราคาใหม่ 29 บาท ลดลง 6 บาท จากราคาเดิม 35 บาท, ไก่ทอดเกลือ(ครึ่งตัว) ราคาใหม่ 75 บาท ลดลง 4 บาท จากราคาเดิม 79 บาท และไก่จ๊อสามสี (ไม้) ราคาใหม่ 25 บาท ลดลง 5 บาท จากราคาเดิม 30 บาท เป็นต้น

พลันที่แบรนด์ประกาศลดราคาสินค้า ทำให้ค่อนข้างได้ใจ และได้รับคำชมจากผู้บริโภค เพราะหลายคนมองเป็นเรื่องราวดีๆ ท่ามกลางผู้ประกอบการ หรือธุรกิจอาหารไม่น้อยที่มีการปรับขึ้นราคาขาย รับกับภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนการผลิตวัตถุดิบอยู่ในช่วงขาขึ้น

ทั้งนี้ การปรับราคาสินค้า ส่วนใหญ่เมื่อขยับขึ้นแล้ว การหั่นราคาลงค่อนข้างน้อย

‘ธุรกิจห้าดาาว’ เป็นธุรกิจอาหารของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ดำเนินการภายใต้ ‘ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน’ ซึ่งพอร์ตโฟลิโอของบริษัทยังมีแบรนด์ธุรกิจอาหารอื่นๆ รวม 6 แบรนด์ ได้แก่ ไก่ห้าดาว แฟรนไชส์ไก่ย่าง ไก่ทอดที่เป็นตำนานของธุรกิจห้าดาว, ไฮพอร์ค แฟรนไชส์หมูพรีเมียม ราคาสุดคุ้ม, เป็ดเจ้าสัว แฟรนไชส์เป็ดพะโล้ เป็ดย่าง ที่มีซอสสูตรลับชูรสชาติความอร่อย

ข้าวมันไก่ไห่หนาน แฟรนไชส์ข้าวมันไก่พรีเมียม ต่อยอดจากไก่ห้าดาว, กระทะเหล็ก แฟรนไชส์อาหารตามสั่งต้นตำรับรสชาติไทย และสตาร์คอฟฟี่ แฟรนไชส์เครื่องดื่มที่ต่อจิ๊กซอว์ความครบครันให้ธุรกิจห้าดาวนั่นเอง

 

‘CPF’ ประกาศรับซื้อ ‘ปลาหมอคางดำ’ 2 ล้านกิโลกรัม ทั่วประเทศ ตั้งราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม หวังเร่งกำจัด-นำมาผลิตเป็นปลาป่น

เมื่อวานนี้ (23 ก.ค. 67) นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประกาศความร่วมมือกับคณาจารย์จาก 3 สถาบันการศึกษาชั้นนำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมทั้งโรงงานผลิตปลาป่น เพื่อบูรณาการแก้ไขสถานการณ์ของปลาหมอคางดำ

โดย นายประสิทธิ์ เปิดเผยว่า บริษัทตระหนักดีว่า ขณะนี้การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นความเดือดร้อนของประชาชนในหลายพื้นที่ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตอนนี้ คือ การร่วมมือและสนับสนุนการจัดการปัญหาเพื่อบรรเทาผลกระทบอย่างเร่งด่วน ในฐานะภาคเอกชน บริษัทสนับสนุนแผนปฏิบัติการ 5 โครงการ ร่วมแก้ไขปัญหานี้ของภาครัฐตามศักยภาพของบริษัท ต้องขอบคุณ ฯพณฯ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้ามาตรการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ประกอบกับ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมงที่เข้มแข็งลงมือปฏิบัติการเชิงรุกอย่างเต็มรูปแบบเพื่อลดจำนวนปลาหมอคางดำไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน

“บริษัทพร้อมนำศักยภาพขององค์กรเข้ามาช่วยสนับสนุนการแก้ไขอย่างบูรณาการกับทุกภาคส่วน และลงมือปฏิบัติการเชิงรุกในหลายมิติตามแนวทางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมีแผนปฏิบัติการเชิงรุก 5 โครงการ” ดังนี้

โครงการที่ 1 : ทำงานร่วมกับกรมประมงสนับสนุนการรับซื้อปลาหมอคางดำจากทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด ราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 2,000,000 กิโลกรัม นำมาผลิตเป็นปลาป่นเพื่อเร่งกำจัดปลาหมอคางดำออกจากระบบให้มากและเร็วที่สุด โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมมือกับโรงงานปลาป่นศิริแสงอารำพี จังหวัดสมุทรสาคร รับซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่ไปแล้ว 600,000 กิโลกรัม และยังมีแผนรับซื้ออย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานจุดรับซื้อเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณกรมประมงที่มีมาตรการที่รัดกุม ออกประกาศห้ามการเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเพาะเลี้ยงเพื่อการค้า

โครงการที่ 2 : ร่วมสนับสนุนภาครัฐและชุมชน ปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ จำนวน 200,000 ตัว โดยที่ผ่านมา บริษัทมีการส่งมอบปลากะพงขาว จำนวน 45,000 ตัว ให้กับประมงจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และจันทบุรี ทั้งนี้ ขั้นตอนในการปล่อยปลาผู้ล่านั้น เป็นไปตามแนวทางของกรมประมง

โครงการที่ 3 : ร่วมสนับสนุนภาครัฐ ชุมชนและภาคประชาสังคม จัดกิจกรรมจับปลา สนับสนุนอุปกรณ์จับปลาและกำลังคน ในทุกพื้นที่ที่ประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมกิจกรรม ‘ลงแขกลงคลอง ทีมแม่กลองปราบหมอคางดำ’ ที่จัดขึ้นในจังหวัดสมุทรสงครามแล้ว 4 ครั้ง เป็นต้น และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด

โครงการที่ 4 : การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำ โดยมีสถาบันการศึกษาแสดงความสนใจเพื่อร่วมดำเนินการดังกล่าว ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร

ที่ผ่านมา บริษัทได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาเมนูอาหารจากปลาหมอคางดำ อาทิ ปลาร้าทรงเครื่อง ผงโรยข้าวญี่ปุ่น และ น้ำพริกปลากรอบ

โครงการที่ 5 : ร่วมทำวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แสดงเจตจำนงร่วมมือกับบริษัทในการบูรณาการเพื่อพัฒนาแนวทางที่จะบรรเทาปัญหาในระยะยาวต่อไป และยินดีที่จะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม

นายปรีชา ศิริแสงอารำพี เจ้าของโรงงานปลาป่นศิริแสงอารำพี จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า ปลาหมอคางดำเป็นปลาที่มีโปรตีนที่สามารถนำมาผลิตเป็นปลาป่นคุณภาพ โรงงานยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาปัญหานี้ โดยได้ประสานงานกับซีพีเอฟที่ร่วมปฏิบัติการกับกรมประมง และได้รับซื้อแล้วตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาเป็นจำนวน 600,000 กิโลกรัม โดยยังคงเปิดรับซื้ออย่างต่อเนื่อง

“ตั้งแต่กระทรวงเกษตรฯ เริ่มการจับปลาหมอคางดำใน จ.สมุทรสาคร ชาวประมงที่เริ่มออกปลาตั้งแต่วันแรก บอกกับท่านรัฐมนตรีเองว่า วันนี้ปลาหายไป 80% แล้ว แต่เรายังต้องทำต่อเนื่อง ซึ่งรัฐก็มีมาตรการในการกำกับไม่ให้เกิดการลักลอบเลี้ยงและนำมาจำหน่าย การกำจัดด้วยวิธีการนี้จึงมาถูกทางและช่วยลดปริมาณปลาได้มาก การที่ทุกภาคส่วนมาช่วยกันเช่นนี้ถือว่าดีมาก” นายปรีชากล่าว

ด้านนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา ผศ.ดร.สิทธิชัย ฮะทะโชติ ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และพันธกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีความเชี่ยวชาญโดยตรงกับการวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการควบคุมปลา รวมถึงการพัฒนาแปรรูป เพื่อเร่งนำปลาออกจากแหล่งน้ำได้อย่างรวดเร็วและการปล่อยปลากะพงในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งมหาวิทยาลัยได้มีการทำการวิจัยปลาชนิดนี้มาหลายปี และคิดว่างานวิจัยจะช่วยเติมเต็มภารกิจของกรมประมงได้ ปลามีโปรตีนที่ดี สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารเพื่อการบริโภคได้ โดยมหาวิทยาลัยจะนำปลาหมอคางดำมาทำปลาร้า โดยใช้จุลินทรีย์ที่ช่วยย่นระยะเวลาการหมักปลาร้าให้สั้นลง ทั้งยังสามารถทำปลาป่นใช้ผลิตอาหารสัตว์ได้ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาหาแนวทางอื่น ๆ ในการจัดการควบคุมปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับความกังวลว่าจะมีการเพาะเลี้ยงปลาเพื่อนำมาขายในโครงการรับซื้อนั้น ข้อเท็จจริง ระยะการเลี้ยงปลาหมอคางดำใช้เวลาเลี้ยงนานเป็นปี แต่มีเนื้อน้อย ต้นทุนการผลิตสูงกว่าราคาที่รัฐบาลรับซื้อ ที่สำคัญการนำมาเป็นปลาป่นสำหรับอาหารสัตว์ยังช่วยลดต้นทุนการนำเข้าปลาป่นจากต่างประเทศ

ผศ.ดร นันทิภา พันธุ์สวัสดิ์ ภาควิชาผลิตภัณฑ์ประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ควรสร้างการรับรู้การบริโภคปลาชนิดนี้ให้มากขึ้น ภาควิชาได้ศึกษานำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์ทั้งในระดับครัวเรือน อุตสาหกรรม และร้านอาหาร และปรุงเป็นอาหารหลากหลายเมนู อาทิ ขนมจีนน้ำยา ในช่วงนี้ผู้คนสนใจชิมปลาหมอคางดำ จึงควรมีการเชื่อมโยงสู่การแปรรูปตัดแต่งเนื้อปลาและทำ ‘เนื้อปลาแช่แข็ง’ เพื่อให้สามารถขนส่งแก่ผู้บริโภคได้กว้างขวางมากขึ้น หากมีคนที่พร้อมแปรรูปหรือตัดแต่งปลาจะช่วยปลาชนิดนี้เข้าถึงผู้บริโภคในภูมิภาคอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น และการทำเป็นอาหารแปรรูปยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายของปลาเข้าสู่พื้นที่อื่น ๆ อีกด้วย

ด้าน ผศ.ดร.วัลย์ลดา กลางนุรักษ์ ผู้ช่วยคณบดี คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นนิมิตหมายอันดีที่ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกัน และ คณาจารย์ สจล.มีความยินดีที่จะร่วมมือกำหนดแนวทางเพื่อจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างยั่งยืน โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยร่วมกับวิธีควบคุมทางชีวภาพ เช่น เทคโนโลยี Environmental DNA ซึ่งเป็นการสำรวจร่องรอย DNA ในธรรมชาติ สำรวจการระบาดได้ตั้งแต่ช่วงต้น ก็สามารถนำปลาผู้ล่าเข้ามาได้ทันการณ์ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการนำปลานักล่าท้องถิ่นกลับสู่ระบบนิเวศ ซึ่งเป็นการมุ่งเป้าไปที่การรักษาสมดุลทางธรรมชาติ และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำของไทย ทั้งนี้ ปลาหมอคางดำ ไม่ใช่เอเลี่ยนตัวแรกที่เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งภาคประชาชนสำคัญมากในการตระหนักรู้และช่วยกันแก้ปัญหาตลอดจนรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ

ผศ.ดร.สรณัฎฐ์ ศิริสวย ภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ กรมประมงมีการศึกษาเชิงลึกอยู่แล้ว และมีการเตรียมแผนอย่างดี เพื่อนำปลาขนาดใหญ่ออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติให้เร็วที่สุด เหลือแต่ปลาหมอคางดำขนาดเล็ก ทั้งการผ่อนปรนใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมในการปล่อยปลาผู้ล่า วิธีการดังกล่าวช่วยกำจัดวงจรชีวิตของปลาไปเรื่อย ๆ ขณะที่ กรมประมงอยู่ระหว่างทำการวิจัยปลา 4N เพื่อผสมกับปลาปกติ 2N ให้ได้ปลา 3N ซึ่งเป็นหมัน ส่วนกรณีที่เกษตรกรเข้าใจว่าไข่ปลาสามารถอยู่ได้ถึง 2 เดือนในช่วงที่ตากบ่อนั้น แทบเป็นไม่ได้เลย ขอให้ประชาชนทุกคนตระหนักแต่อย่าตระหนก หากพบเจอปลาหมอคางดำที่ไหนให้แจ้งกับกรมประมงทันที

‘ซีพีเอฟ’ เผยความคืบหน้าโครงการ ‘จัดการปลาหมอคางดำ’ ยอดรับซื้อล่าสุด 6 แสนกิโล เผย!! เร่งจับมือกับทุกภาคส่วน เพื่อแก้ปัญหา ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย และต่อเนื่อง

(17 ส.ค.67) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้ให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะการเร่งจับปลาหมอคางดำออกจากระบบอย่างต่อเนื่อง ในทุกจังหวัดที่พบปลาชนิดนี้

โดย ล่าสุดคณะฯหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ติดตามผลปฏิบัติการของบริษัท จากการเร่งดำเนินการใน 5 โครงการเชิงรุก โดยบูรณาการความร่วมมือกับทั้งกรมประมง โรงงานปลาป่น และสถาบันการศึกษาชั้นนำ เพื่อเร่งกำจัดปลาหมอคางดำให้ได้มากที่สุด

สำหรับโครงการเชิงรุกที่ CPF ดำเนินการ ประกอบด้วย 

1.ความร่วมมือกับกรมประมง สนับสนุนการรับซื้อปลาหมอคางดำจากทุกจังหวัดทั่วประเทศที่พบปลาชนิดนี้ ตั้งเป้ารับซื้อจำนวน 2 ล้านกิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 15 บาท เพื่อนำไปผลิตเป็นปลาป่น ภายใต้ความร่วมมือกับโรงงานปลาป่น บริษัท ศิริแสงอารำพี จำกัด จังหวัดสมุทรสาคร โดยรับซื้อปลาจากชาวประมงในสมุทรสาครไปแล้วมากกว่า 6 แสนกิโลกรัม (กก.) และบริษัทได้ขยายจุดรับซื้ออีกหลายจังหวัดต่อไป

2.โครงการสนับสนุนปลานักล่า จำนวน 200,000 ตัว เพื่อปล่อยสู่ลงแหล่งน้ำตามแนวทางของกรมประมง เพื่อกำจัดลูกปลาที่เหลือออกจากระบบนิเวศให้มากที่สุด จนถึงปัจจุบันบริษัทได้ส่งมอบปลากะพงขาวปลานักล่าไปแล้ว 54,000 ตัว ให้กับประมงจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และจันทบุรี

จากการดำเนินการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ปรากฏผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุด ประมงจังหวัดสมุทรสาคร ยืนยันว่าจังหวัดสามารถกำจัดปลาหมอคางดำไปแล้วกว่า 800,000 ตัว สอดคล้องกับชาวประมงจังหวัดสมุทรสาครที่ให้ข้อมูลว่า จำนวนปลาหมอคางดำในพื้นที่ลดลงถึง 80%

จัดกิจกรรมจับปลา เช่นกรมประมงเปิดปฏิบัติการ ‘ลงแขกลงคลอง’ โดยบริษัทสนับสนุนอุปกกรณ์ใช้แล้วขนาด 1,000 ลิตร จำนวน 200 ใบ จากโรงงานผลิตอาหารสัตว์ มอบแก่สำนักงานพัฒนาที่ดินจังหวัด เพื่อนำมาใช้ใหม่เป็นถังบรรจุน้ำหมักชีวภาพปลาหมอคางดำ เพื่อส่งต่อให้การยางแห่งประเทศไทยต่อไป ขณะนี้ได้ทยอยส่งมอบให้สำนักงานพัฒนาที่ดินฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ และจังหวัดอื่น ๆ จนครบต่อไป

4.โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำ โดยมีสถาบันการศึกษาแสดงความสนใจร่วมดำเนินการ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ม.เกษตรฯ) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (ม.ขอนแก่น) และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ที่ได้ศึกษาวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร อาทิ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ร่วมพัฒนาเมนูอาหารจากปลาหมอคางดำ ทั้งปลาร้าทรงเครื่อง ผงโรยข้าวญี่ปุ่น และน้ำพริกปลากรอบ

5.โครงการร่วมทำวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญ ในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว โดย สจล. และ ม.เกษตรฯ ได้แสดงเจตจำนงร่วมมือกับบริษัทในการบูรณาการเพื่อพัฒนาแนวทางที่จะบรรเทาปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และบริษัทยินดีที่จะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม ล่าสุด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ แสดงความสนใจเข้าร่วมด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top