Saturday, 7 June 2025
7Eleven

เจ้าถิ่นเจ๋ง!!! ร้านสะดวกซื้อเจ้าถิ่นใน ‘อินโดนีเซีย’ แข็งแกร่ง!! แม้แต่ ‘7-11’ ยังต้องยอมแพ้ - ล้มเลิกกิจการ

สวัสดีนักอ่านทุกท่านครับ วันนี้ผมมีเรื่องราวน่าสนใจจากประเทศเพื่อนบ้านมาเล่าสู่กันฟังครับ หากพูดถึงร้านสะดวกซื้อในไทยที่เราเห็นได้บ่อย เข้าใช้บริการบ่อย ก็ต้องนึกถึง 7-Eleven ถูกต้องไหมครับ และเป็นที่รู้กันโดยทั่วว่า 7-Eleven ประสบความสำเร็จในประเทศไทยอย่างยิ่ง

แต่ถึงแม้ว่า 7-Eleven จะประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายในหลาย ๆ ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็น ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์ แต่ใน ‘อินโดนีเซีย’ แล้วนั่น กลับเป็นเรื่องที่ยากแสนยาก และไม่มีทีท่าว่าจะสามารถเจาะตลาดร้านสะดวกซื้อของประเทศนี้ได้

เหตุผลหลัก ๆ ที่เป็นเช่นนั้น คือ ‘อินโดนีเซีย’ มีเครือข่ายร้านค้าสะดวกซื้ออยู่แล้ว เช่น ‘Indomaret’ และ ‘Alfamart’ ที่สามารถพบเจอได้เกือบทุก ๆ ๑ กม. หรือน้อยกว่านั้น และร้านค้า ๒ เจ้านี้จะกระจายตัวอยู่ตามเมืองใหญ่หรือเมืองเล็ก ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่ 7-Eleven ทำแล้วได้ผลดีในประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ร้านสะดวกซื้ออย่าง Lawson's และ Family Mart ก็ใช้วิธีการนี้ด้วยเช่นกัน

นอกจาก 7-Eleven จะนิยมเปิดร้านสะดวกซื้อภายในอาคาร สำนักงาน หรือในพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน โดยกำหนดเป้าหมายไปยังพื้นที่ที่ Indomaret และ Alfamart ตั้งอยู่ หวังให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแล้ว 7-Eleven ยังอัปเกรดร้านให้เป็นร้าน ‘ระดับพรีเมียม’ โดยมีบริการสถานที่นั่งรับประทานอาการ ดื่มเครื่องดื่ม และมี Wi-Fi ให้ใช้ฟรีอีกด้วย

ดูเหมือนว่ากลยุทธ์นี้จะดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้ แต่ก็เพียงแค่ในระยะแรกที่เป็นกระแสเท่านั้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปผู้คนมักจะเข้ามาซื้อเพียงเครื่องดื่มที่มีราคาถูก เพียงหวังจะได้นั่งในร้านเพื่อใช้ Wi-Fi ฟรีเป็นเวลาหลายชั่วโมง ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ 7-Eleven มีรายได้น้อย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายสูง (ค่าไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และค่าเช่าพื้นที่ในพื้นที่ระดับพรีเมียม) 

7-Eleven เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น นักเรียนนักศึกษา อายุระหว่าง 18 - 25 ปี โดยลูกค้ากลุ่มนี้จะใช้ 7-Eleven เป็นสถานที่แฮงก์เอาต์ และสถานที่ท่องเที่ยวทั้งในกลางวันและกลางคืน (24 ชม.) โดยมีการนำเสนอรายการอาหารและเครื่องดื่มของ 7-Eleven แบบดั้งเดิมเช่น Slurpee และของว่างพร้อมกับอาหารท้องถิ่นและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั่นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงฮิตในกล่มวัยรุ่น

ในปี ค.ศ. 2020 7-Eleven มีสาขามากถึง 70,750 แห่งทั่วโลก แต่ร้าน 7-Eleven แต่กลับไม่มีสักสาขาเดียวในอินโดนีเซีย เนื่องจากในปี ค.ศ. 2017 7-Eleven ได้ประกาศปิดสาขาทั้งหมด หลังเข้ามารุกธุรกิจในประเทศนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 

การดำเนินงานของ 7-Eleven ในอินโดนีเซียจะดำเนินงานผ่านผู้ให้บริการท้องถิ่นคือ PT Modern Internasional ซึ่งจัดการบริการที่ตรงกันข้ามกับร้านสะดวกซื้อในอเมริกาที่เน้นการซื้อกลับบ้านและของกินเล่นยามดึก หลังเริ่มธุรกิจได้ไม่นาน บริษัท PT Modern Internasional ก็เริ่มขยายตัวภายในกรุงจาการ์ตา โดย 7-Eleven เปิดสาขาแห่งที่ 21 ภายในปี ค.ศ. 2010 และมีสาขาครบ 100 แห่งในปี ค.ศ. 2012 

ในปี ค.ศ. 2013 บริษัทมียอดขายสูงสุดประมาณ 78 แห่งจากร้านค้าทั้งหมด 190 แห่ง ดูเหมือนว่าอนาคตของ 7-Eleven ในอินโดนีเซียจะสดใส แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่ เนื่องจากประสบปัญหาที่แก้ไม่ตกเพราะลูกค้าไม่ยอมใช้เงินในร้าน แม้ว่าจะมีลูกค้าจำนวนมากใน 7-Eleven แต่ก็จ่ายเงินซื้อเครื่องดื่มเพียงแก้วเดียว แล้วนั่งนาน ๆ หลายชั่วโมง 

บริษัท PT Modern Internasional ได้ออกมาบอกด้วยว่า “ยอดขายที่ขาดหายไปเป็นเพราะการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งรายเดิมและรายใหม่ เช่น Family Mart และ Alfamart”

All Now เปลี่ยนใช้รถบรรทุกไฟฟ้า กระจายสินค้าเข้า 7-Eleven  เล็งเพิ่มจำนวนรถให้บริการเป็น 100 คัน ภายในสิ้นปี 2567

(26 ก.ค. 66) นายธเนศ พิริย์โยธินกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ออลล์ นาว (ALL NOW) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท ออลล์นาว เป็นกลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพี ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจบริหารจัดการโลจิสติกส์ครบวงจรโดยมีโมเดลธุรกิจเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้าแบบครบวงจรให้แก่ธุรกิจทั้งในและนอกเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีผนึกกำลังกับซีพี ออลล์ ในการเป็นพันธมิตรด้านโลจิสติกส์และการกระจายสินค้าทั้งแบบ off-line และ on-line จากศูนย์กระจายสินค้าไปสู่ร้าน 7-Eleven กว่า 10,000 จุดทั่วประเทศ และเพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจแบบยั่งยืน จึงได้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำโลจิสติกส์ด้านส่งเสริมการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม โดยประกาศดำเนินโครงการ EV Vision ด้วยการใช้รถบรรทุก 4 ล้อไฟฟ้าขนาดใหญ่ในการขนส่งสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าไปยังร้านสาขา 7-Eleven โดยรถบรรทุกไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ระยะทาง 200 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้งนอกจากนี้ ตัวรถยังมีขนาดตู้บรรจุสินค้าที่สามารถบรรจุได้มากถึง 16 คิวบ์

“ธุรกิจโลจิสติกส์ เป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมที่จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมาจากเชื้อเพลิงที่ใช้กับยานยนต์ได้ จากความตั้งใจอย่างจริงจังของกลุ่มบริษัท ออลล์ นาว ที่ต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้า แทนการใช้พลังงานน้ำมัน โดยมุ่งหวังลดปริมาณการสร้างมลพิษทางอากาศเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังช่วยลดต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ ด้วยการขนส่งสินค้าปริมาณที่มากขึ้นต่อเที่ยว ซึ่งโครงการ EV Vision เป็นโอกาสที่ดีที่กลุ่มบริษัท ออลล์ นาว จะตั้งเป้าเป็นผู้นำทางด้านโลจิสติกส์สีเขียว เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายธเนศกล่าว

ปัจจุบัน ออลล์ นาว ได้เริ่มนำร่องขนส่งและกระจายสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าบางบัวทองเป็นแห่งแรก ไปยังสาขา7-Eleven ในกว่า 20 เส้นทาง และวางแผนที่จะขยายเพิ่มเติมไปสู่ศูนย์กระจายสินค้ามหาชัย และ ลาดกระบัง ทำให้สามารถกระจายสินค้าไปได้กว่า 700 สาขา พร้อมกับตั้งเป้าเพิ่มจำนวนรถบรรทุกไฟฟ้าที่จะให้บริการทั้งหมดเป็น 100 คัน ภายในสิ้นปี 2567 พร้อมกันนี้ ออลล์ นาว ยังได้ลงทุนติดตั้งสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าในพื้นที่ศูนย์กระจายสินค้าแต่ละแห่ง โดยตั้งเป้าขยายการติดตั้งสถานีไปให้ครอบคลุมครบทุกศูนย์กระจายสินค้าในอนาคต นอกจากนี้ ออลล์นาว ยังวางแผนที่จะขยายการขนส่งและกระจายสินค้าด้วยรถขนส่งไฟฟ้าไปในธุรกิจอื่นๆทั้งในและนอกเครือฯ ต่อไปในอนาคต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจโลจิสติกส์สีเขียวที่ช่วยส่งเสริมการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมภายในปี 2568” นายธเนศกล่าว.-สำนักข่าวไทย

อุกอาจ!! 'แก๊งวัยรุ่นมะกัน' รวมพลปล้นร้าน 7-Eleven มูลค่าความเสียหาย 40,000 เหรียญสหรัฐ พบ!! ไม่ใช่ครั้งแรก

(29 ส.ค. 67) เพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' ได้เผยแพร่ภาพการปล้นร้านสะดวกซื้อ 'เซเว่นอีเลฟเว่น' (7 Eleven) โดยวัยรุ่นที่มีการรวมตัวกันประมาณ 30-50 คน

ทั้งนี้ วัยรุ่นกลุ่มดังกล่าว ได้เข้าปล้น 7-Eleven สาขา ซานเปโดร ลอสแอนเจลิส ประมาณ เวลา 01:39 น. ของวันเสาร์ที่ 24/08/2024  

จากรายงาน คนร้ายได้ขโมยบุหรี่ไปกว่า 1,000 ซอง ตั๋วล็อตเตอรี่ และเครื่องคิดเงิน 2 เครื่อง ที่มีเงินสดอยู่ข้างในประมาณ 5,000 เหรียญสหรัฐฯ ก่อนจะหลบหนีไปได้ เบื้องต้นมูลค่าความเสียหายจากการประเมินอยู่ที่ 40,000 เหรียญสหรัฐ

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านั้นช่วงเดือนสิงหาคม 7-Eleven หลายสาขาในลอสแอนเจลิส ก็เคยถูกปล้นมาแล้ว เพียงแต่ไม่แน่ชัดว่าเป็นวัยรุ่นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ทางเมืองลอสแองเจลลิสได้ขอเพิ่มกำลังตำรวจเพื่อตรวจตราเพิ่มขึ้นแล้ว

บริษัทแม่ 7-Eleven เล็งถอนหุ้น ทิ้งตลาดหลักทรัพย์โตเกียว แปรสภาพเป็นเอกชน

(13 พ.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า Seven & i Holdings บริษัทญี่ปุ่นเจ้าของเครือร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ทั่วโลก กำลังพิจารณาซื้อหุ้นคืนจากนักลงทุนเพื่อนำบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ซึ่งเป็นแผนป้องกันการเทกโอเวอร์จาก Alimentation Couche-Tard Inc. กลุ่มทุนค้าปลีกจากแคนาดาที่ได้ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการของ Seven & i เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยหากดีลนี้สำเร็จ คาดว่าจะเป็นมูลค่าการซื้อหุ้นคืนอาจสูงถึง 2 ล้านล้านบาท

นิกเคอิ เอเชีย รายงานเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2024 โดยอ้างแหล่งข่าวว่า Seven & i Holdings กำลังอยู่ในขั้นตอนการติดต่อสถาบันการเงินเพื่อจัดหาทุนสนับสนุนในการซื้อหุ้นคืน เพื่อป้องกันการเข้าครอบครองจาก Couche-Tard อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่านักลงทุนและครอบครัวผู้ก่อตั้งจะตอบรับข้อเสนอนี้หรือไม่

ด้าน  Bloomberg ระบุว่ามูลค่าของดีลนี้อาจสูงถึง 9 ล้านล้านเยน (ประมาณ 2.02 ล้านล้านบาท) และทางตลาดหลักทรัพย์โตเกียวได้ประกาศระงับการซื้อขายหุ้น Seven & i ชั่วคราวตั้งแต่เวลา 11.43 น. ของวันที่ 13 พฤศจิกายน เพื่อสอบถามข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องของข่าวการซื้อคืนหุ้น

ทั้งนี้ ราคาหุ้นของ Seven & i ปรับตัวสูงขึ้น 23% เมื่อซื้อขายผ่าน Japannext หลังปิดตลาดภาคเช้า ขณะที่นิกเคอิรายงานว่า หากดีลซื้อหุ้นคืนสำเร็จ จะกลายเป็นดีลซื้อกิจการที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

'มาซาโตชิ อิโตะ' ต้นตระกูลเจ้าของยักษ์สะดวกซื้อ หลังมีข่าวผนึก CP สกัดค้าปลีกแคนาดาเทคโอเวอร์

(31 ม.ค.68) หนึ่งข่าวแวดวงธุรกิจช่วงนี้ที่ถูกกล่าวถึงกันมากคือ รายงานข่าวของสื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นที่ว่า ตระกูลอิโตะ (Ito)ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท 7-ELEVEN ญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ เซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ (Seven & i Holdings)เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-ELEVEN มีสาขาทั่วโลก ติดต่อกลุ่มธุรกิจเครือ CP เจริญโภคภัณฑ์ ของเจ้าสัว ธนินท์ เจียรวนนท์ ให้ช่วยเหลือเพื่อกันไม่ให้บริษัทร้านสะดวกซื้อแคนาดาชื่อดัง Alimentation Couche-Tard เข้าเทคโอเวอร์กิจการในราคา 47 พันล้านดอลลาร์ 

แม้ว่าปัจจุบันสมาชิกตระกูลอิโตะ จะไม่ได้ทำหน้าที่บริหารกลุ่มเซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ โดยตรงแล้วก็ตาม โดยให้นายริวอิจิ อิซากะ รับหน้าที่ประธานและซีอีโฮของกลุ่มเซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ แทน แต่ปัจจุบันตระกูลอิโตะยังคงมีบทบาทและถือหุ้นใน เซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ อยู่ไม่น้อย

ก่อนหน้านี้ในปี 2023 กลุ่มเซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ เพิ่งสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาทอย่างมากต่อการเกิดขึ้นของแบรนด์ 7-ELEVEN ในญี่ปุ่น นั่นคือการเสียชีวิตของนาย มาซาโตชิ อิโตะ อดีตประธานและผู้ก่อตั้งกลุ่ม เซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ ที่เสียชีวิตด้วยโรคชราในวัย 98 ปี เมื่อ 14 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา

นายมาซาโตชิ อิโตะ นับว่าเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างแบรนด์ 7-ELEVEN ให้รู้จักไปทั่วญี่ปุ่นรวมถึงทั่วโลก ต้องเท้าความก่อนว่าเชนแฟรนไชนส์ร้านสะดวกซื้อ 7-ELEVEN นั้นแรกเริ่มเดิมทีมีต้นกำเนิดในเมืองเออร์วิง รัฐเท็กซัส ของสหรัฐ โดย โจ ซี. ทอมป์สัน (Joe C. Thompson) กระทั่งต่อมาขายหุ้นบริษัทให้กับกลุ่ม‘อิโตะ-โยคาโดะ’ (Ito-Yokado) ของตระกูลอิโตะ 

ย้อนกลับมาที่ประวัติของมาซาโตชิ อิโตะ ย้อนไปในปี 2499 นายอิโตะรับช่วงต่อธุรกิจร้านเสื้อผ้าขนาดเล็กต่อจากลุงและพี่ชายต่างมารดา ก่อนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น ‘อิโตะ-โยคาโดะ’ (Ito-Yokado) และเปลี่ยนธุรกิจไปเป็นเชนร้านสะดวกซื้อครบวงจร ที่ขายทุกอย่างตั้งแต่ของชำไปจนถึงเสื้อผ้า และได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 2515

ในเวลาเดียวกัน นายโทชิฟุมิ ซูซุกิ ผู้บริหารคนหนึ่งของ อิโตะ-โยคาโดะ ได้เป็นเจอร้าน เซเว่น อีเลฟเว่น ขณะเดินทางเยือนสหรัฐฯ พวกเขาเล็งเห็นโอกาส ในเวลาต่อมา อิโต-โยคาโดะ จึงได้ทำข้อตกลงกับบริษัทสหรัฐฯ ‘เซาท์แลนด์ คอร์เปอเรชัน’ (Southland Corporation) ซึ่งเป็นบริษัทแม่เจ้าของ เซเว่น อีเลฟเว่น ในสหรัฐ นำแบรนด์เข้ามาทำตลาดแดนอาทิตย์อุทัย และเปิดร้านสาขาแรกในญี่ปุ่นในปี 2517

หลังจากนั้นในเดือนมีนาคม 2533 บริษัทของนายอิโตะก็เข้าซื้อหุ้น 70% ของบริษัท เซาท์แลนด์ คอร์เปอเรชัน หลังเซาท์แลนด์ฯ ประสบปัญหาหนี้ท่วมจนต้องยื่นล้มละลาย ทำให้นายอิโตะได้สิทธิ์ในการบริหารกิจการทั้งหมดของเซาท์แลนด์ฯ ก่อนจะขยายสาขาของ เซเว่น อีเลฟเว่น ไปในหลายประเทศทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ในปี 2535 นายอิโตะต้องลาออกจากตำแหน่งใน อิโตะ-โยคาโดะ เพื่อรักษาความสงบในการประชุมผู้ถือหุ้น หลังจากผู้บริหารของบริษัท 3 คนถูกกล่าวหาว่า จ่ายเงินผิดกฎหมายให้กลุ่มแก๊งยากูซ่า

จากนั้นในปี 2548 บริษัท เซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ ก็ถูกก่อตั้งขึ้น และมีการปรับโครงสร้างการบริหาร ให้ อิโตะ-โยคาโดะ ไปเป็นบริษัทสาขาแทน แต่ทางบริษัทยังให้ความสำคัญกับนายอิโตะ โดยตัว ‘ไอ’ (i) ของชื่อ เซเว่น แอนด์ ไอ มีที่มาจากอักษรตัวแรกจากชื่อของนายอิโตะกับบริษัท อิโตะ-โยคาโดะ และนายอิโตะยังได้รับตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ด้วย

ปัจจุบัน เซเว่น อีเลฟเว่น เป็นร้านสะดวกซื้อครบวงจรที่มีสาขามากกว่า 83,000 แห่งใน 17 ประเทศทั่วโลก โดย 1 ใน 4 ของจำนวนนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่น คู่แข่งหลักของเซเว่น อีเลฟเว่น ได้แก่ ลอว์สัน (Lawson) ที่มีเจ้าของเป็นชาวญี่ปุ่นเช่นกัน และแฟมิลี มาร์ท (Family Mart) ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ แต่ทั้ง 2 เจ้าก็ยังมีจำนวนสาขาทั่วโลกไม่เยอะ หรือทั่วถึง เทียบเท่ากับอาณาจักรของเซเว่น อีเลฟเว่น 

กล่าวกันว่ามุมมองธุรกิจที่เฉียบแหลมของอิโตะ ส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ที่ปรึกษาด้านการจัดการของเขา ผู้ซึ่งเคยยกย่องอิโตะว่า "เป็นผู้ประกอบการและผู้สร้างธุรกิจที่โดดเด่นคนหนึ่งของโลก"

ปี 2531 อิโตะเคยให้สัมภาษณ์กับ The Journal of Japanese Trade and Industry ว่าเมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในปี 2503 เขาเกิดความรู้สึกตกใจว่า "ทำไมทุกคนที่นี่ถึงดูร่ำรวย ในขณะญี่ปุ่นเวลานั้นเศรษฐกิจย่ำแย่ และอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2"

เขาจึงเริ่มศึกษาจำนวนผู้บริโภคที่แท้จริงในสหรัฐ จนพบว่ามีขนาดใหญ่ และลองหาเทคนิคการจัดจำหน่ายที่เป็นไปได้เพื่อตอบสนองผู้บริโภคกลุ่มใหญ่นี้

“แม้ผู้คนอยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่พวกเขายังคงมีความต้องการโดยพื้นฐานเหมือนกัน และระบบการจัดจำหน่ายของญี่ปุ่น จะเริ่มเหมือนของสหรัฐมากขึ้น เมื่อสังคมผู้บริโภคของญี่ปุ่นเติบโตขึ้น”

อิโตะ เป็นผู้ประกอบการที่สร้างธุรกิจในยุคหลังสงคราม เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ปั้นแบรนด์ระดับโลกที่จำหน่ายสินค้าทุกอย่าง ตั้งแต่โยเกิร์ตไปจนถึงอาหารสำเร็จรูปและยารักษาโรค  ตลอดช่วงปี 2513 -2523 มีผู้สนใจเสนอซื้อกิจการและขยายกิจการหลายครั้งหลายครา

ในบทสัมภาษณ์ของอิโตะเมื่อ 2531 เขาเคยกล่าวว่า “ผมมักถูกถามว่า ประสบความสำเร็จได้ เพราะทำงานหนักหรือเพราะโชคดี คำตอบของผม คือ ทั้งสองอย่าง”

สำหรับบริษัท Seven & i Holdings ปัจจุบันมีบริษัทโฮลดิ้งของตระกูลอิโตะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ  Ito Kogyo KK มีสัดส่วนถือหุ้นประมาณ 8.14%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top