Monday, 9 June 2025
สหรัฐ

รมว.ต่างประเทศสหรัฐอ่อนซ้อม แก้ปัญหาอุยกูร์ไม่ได้ สะท้อนอาเซียนเมินสหรัฐฯ หันหา 'จีน-รัสเซีย' มากขึ้น

(28 ก.พ. 68) การส่งตัวชาวมุสลิมอุยกูร์จากไทยกลับสู่จีน สะท้อนให้เห็นว่ารัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐคนใหม่ 'มาร์โก รูบิโอ' ยังอ่อนประสบการณ์ สะท้อนถึงความล้มเหลวในความพยายามของ มาร์โค รูบิโอ ที่จะรักษาความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์กับไทย

ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ระหว่างการให้การต่อสภาคองเกรสก่อนเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ รูบิโอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการล็อบบี้รัฐบาลไทยไม่ให้ส่งตัวอุยกูร์กลับจีน โดยระบุว่า “ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด” อย่างไรก็ตาม เพียงหนึ่งเดือนหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่ง รัฐบาลไทยก็ตัดสินใจดำเนินการสวนทางกับความพยายามของวอชิงตัน

รูบิโอออกแถลงการณ์ทันทีหลังการส่งตัวเกิดขึ้น โดยระบุว่า “เราขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการที่ไทยบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน” พร้อมเตือนว่าไทยอาจละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานของสหประชาชาติ เขายังเรียกร้องให้รัฐบาลไทยตรวจสอบว่าจีนปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์หรือไม่

ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ และชาติตะวันตกแสดงความไม่พอใจ สถานเอกอัครราชทูตจีนในไทยออกแถลงการณ์ตอบโต้ โดยยืนยันว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนนั้นเป็นไปตามกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมชี้ว่า “บุคคลบางส่วนที่ถูกส่งกลับมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย”

ข้อกล่าวหาที่ว่ากลุ่มอุยกูร์บางส่วน มีความเกี่ยวข้องกับ ‘ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก’ (ETIM) ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายไม่ได้กล่าวหาแบบไร้หลักฐาน เพราะตามรายงานของ Reuters เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ระบุว่า เจ้าหน้าที่จีนเคยเตือนว่าชาวอุยกูร์ที่หลบหนีผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเป้าหมายจะนำแนวคิดญิฮาดกลับไปยังจีน โดยมีบางส่วนเดินทางไปเข้าร่วมรบในซีเรียกับกลุ่ม Turkistan Islamic Party (TIP)

นอกจากรอยเตอร์ ช่วงที่ผ่านมามีสื่อตะวันตกเริ่มให้ความสนใจกับประเด็นนี้มากขึ้น เช่น The Economist รายงานว่า “Militant Uyghurs in Syria threaten the Chinese government” และ The Telegraph พาดหัวข่าวว่า “Uyghur fighters in Syria vow to come for China next” ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของรัฐบาลจีนที่เพิ่มขึ้น

เหตุการณ์ล่าสุดนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณว่าไทยเอนเอียงไปทางจีนมากขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ ในขณะที่สหรัฐฯ และสหประชาชาติแสดงความ 'เสียใจ' ต่อการกระทำของไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านการทูตชี้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับดุลอำนาจระหว่างไทย-จีน-สหรัฐฯ

เป็นที่น่าสังเกตอีกว่า ในวันเดียวกับที่ไทยส่งตัวอุยกูร์ให้จีน ทางรัสเซียได้ส่ง เซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงไปหารือกับผู้นำอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งทั้งอินโดฯ และมาเลเซีย กำลังพยายามเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม  BRICS อย่างชัดเจนตลอดช่วงที่ผ่านมา สะท้อนว่าทั้งรัสเซีย-จีน ต่างกำลังขยายอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งคงต้องจับตากันว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่นำโดยรัฐมนตรีใหม่ถอดด้านอย่าง มาร์โก รูบิโอ จะแก้เกมนี้เช่นไร

ศาลสหรัฐฯ สั่งจีนจ่ายเงินชดเชย 24,000 ล้านดอลลาร์ ชี้เป็นต้นเหตุทำให้โลกเข้าใจผิดเกี่ยวกับโควิด-19 และปกปิดข้อมูล

(10 มี.ค. 68) สำนักข่าว The New York Times รายงานว่า ศาลกลางแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งให้ สาธารณรัฐประชาชนจีน จ่ายเงินชดใช้ความเสียหายแก่ รัฐมิสซูรี รัฐที่อยู่ทางตอนกลางของสหรัฐฯ จำนวน 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 816,000 ล้านบาท) หลังจากที่ศาลตัดสินว่า จีน ได้ชักนำให้โลกเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ โควิด-19 โดยอ้างว่าจีนได้มีการปกปิดข้อมูลและปล่อยให้ข้อมูลผิดๆ แพร่กระจายออกไปจนกระทบต่อการรับมือการระบาดในระดับโลก

คำตัดสินดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก รัฐมิสซูรี ยื่นฟ้องร้องรัฐบาลจีนในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลที่ไม่โปร่งใสเกี่ยวกับต้นตอของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีการกล่าวหาว่าการกระทำดังกล่าวของจีนทำให้การแพร่ระบาดลุกลามอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อชีวิตและเศรษฐกิจทั่วโลก

ศาลระบุว่า จีนต้องรับผิดชอบในการปกปิดข้อมูลที่สำคัญในช่วงเริ่มต้นของการระบาด ส่งผลให้รัฐบาลและประชาชนในหลายประเทศไม่สามารถเตรียมพร้อมตอบสนองต่อวิกฤตนี้ได้อย่างทันท่วงที ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ รวมถึงความสูญเสียทางชีวิตอย่างมหาศาล

ทั้งนี้ ทางการจีนยังไม่ออกมาชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็นต่อคำสั่งของศาลสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจีนอาจจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินนี้ เนื่องจากยังคงยืนยันว่าไม่มีการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจมีต้นกำเนิดจากแหล่งอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับจีน

สำหรับคำตัดสินดังกล่าว ถือเป็นคำตัดสินที่สำคัญในคดีที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบทางกฎหมายในระดับสากลเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังคงร้อนระอุในหลายประเด็น

สาวนักวิ่งจากบรู๊กวิลล์ ไฮสคูล โดนคู่แข่งใช้ไม้คฑาวิ่งผลัดฟาดศีรษะ ออกจากการแข่งด้วยความเจ็บปวด ขณะที่มือทำยังปฏิเสธบอกเป็นเพียงอุบัติเหตุ

(11 มี.ค. 68) โลกโซเชียลแชร์คลิปวิดีโอเหตุการณ์ไม่คาดฝันระหว่างการแข่งขันวิ่งผลัด 4×200 เมตร หญิง ระดับไฮสคูลในรัฐเวอร์จิเนีย ของสหรัฐฯ รายการ 'เวอร์จิเนีย สเตท ไฮสคูล ลีก แชมเปี้ยนชิพส์' ซึ่งจัดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยลิเบอร์ตี้ ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา เมื่อหญิงสาวชื่อ เคเลน ทัคเกอร์ นักวิ่งจาก บรู๊กวิลล์ ไฮสคูล ถูกเพื่อนร่วมอาชีพ อาไลล่า เอฟเวอเร็ตต์ จากทีม ไอ.ซี. นอร์คอม ไฮสคูล ใช้ไม้คฑาวิ่งผลัดฟาดเข้าที่ด้านหลังศีรษะ จนต้องออกจากการแข่งขันอย่างเจ็บปวด

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ทั้งสองทีมกำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ทัคเกอร์กำลังพยายามเบียดแซงเอฟเวอเร็ตต์ แต่ในขณะที่ทั้งสองเร่งความเร็วเข้ามาใกล้กันในช่วงทางโค้ง กลายเป็นเอฟเวอเร็ตต์กลับใช้ไม้ผลัดฟาดที่หลังศีรษะของทัคเกอร์อย่างรุนแรง ส่งผลให้ทัคเกอร์เสียการทรงตัวและล้มลงนอกที่นอกลู่วิ่ง 

ต่อมาเจ้าหน้าที่ทีมแพทย์และกรรมการรีบเข้ามาดูอาการของทัคเกอร์ ซึ่งเจ้าตัวมีอาการมึนงง ก่อนถูกหามออกจากการแข่งขัน ขณะที่ผู้จัดการแข่งขันกำลังดำเนินการตรวจสอบเหตุการณ์นี้อย่างละเอียดเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับการกระทำของเอฟเวอเร็ตต์ ซึ่งอาจถูกลงโทษในภายหลัง

เหตุการณ์นี้ทำให้การแข่งขันเวอร์จิเนีย สเตท ไฮสคูล ลีก แชมเปี้ยนชิพส์ ได้รับความสนใจจากผู้ชมคลิปไปทั่วโลก โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมในสนามแข่ง และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปมาตรการด้านความปลอดภัยในกีฬาระดับนี้

อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดเหตุการณ์ อาไลล่า เอฟเวอเร็ตต์ ออกมาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท้องถิ่น WAVY โดยเธอเล่าว่าการฟาดไม้ผลัดใส่ทัคเกอร์นั้นเป็นอุบัติเหตุ

“มันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขัน ฉันพยายามจะวิ่งแซงขณะจับที่ไม้ผลัด แต่ในช่วงที่ทั้งสองทีมเบียดกัน ฉันรู้สึกว่าไม้ผลัดของฉันอาจจะไปโดนเขาโดยไม่ตั้งใจ” เอฟเวอเร็ตต์ กล่าวพร้อมน้ำตา

ทั้งนี้เอฟเวอเร็ตต์ยังได้กล่าวขอโทษต่อทัคเกอร์และทีมของเขา พร้อมทั้งยืนยันว่าเธอไม่เคยมีเจตนาทำร้ายคู่แข่งและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ ชี้หากยูเครนต้องการสันติภาพกับมอสโก ต้องยอมสละดินแดนบางส่วนที่รัสเซียยึดครองมาตั้งแต่ปี 2014

(12 มี.ค. 68) สำนักข่าวนิวยอร์กโพสต์ รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) กล่าวถึง ยูเครนจำเป็นต้องยอมรับการสูญเสียดินแดนที่รัสเซียยึดครองตั้งแต่ปี 2014 เพื่อให้เกิดข้อตกลงสันติภาพกับมอสโก

รูบิโอระบุว่า การยอมรับความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการยุติสงครามที่ยืดเยื้อและลดความสูญเสียเพิ่มเติม เขาเน้นย้ำว่าการคาดหวังให้ยูเครนได้ดินแดนกลับคืน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“ผมคิดว่าทั้งสองฝ่ายต้องเข้าใจว่า ตอนนี้ไม่มีวิธีแก้ไขด้วยกำลังทหารสำหรับสถานการณ์” นายรูบิโอกล่าว “รัสเซียไม่สามารถยึดครองยูเครนได้ทั้งหมด และจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับยูเครนที่จะผลักดันรัสเซียกลับไปเป็นเหมือนในปี 2014 ภายในระยะเวลาอันสมควร”

คำกล่าวของรูบิโอเกิดขึ้นก่อนการเจรจาสันติภาพที่กำลังจะมีขึ้นในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้ประสานงาน แต่ทว่า ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี จะไม่เข้าร่วมการเจรจาโดยตรง แต่จะส่งผู้แทนเข้าร่วมแทน

นอกจากนี้ รูบิโอยังระบุว่า สหรัฐฯ อาจพิจารณากลับมาให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับผลการเจรจาในครั้งนี้ แม้ว่าสหรัฐจะยุติการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองบางส่วนกับยูเครนแล้ว รวมถึงภาพถ่ายดาวเทียม แต่รูบิโอกล่าวว่าวอชิงตันยังคงให้ข้อมูลแก่เคียฟอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้เคียฟสามารถป้องกันตนเองจากการโจมตีของรัสเซียต่อไปได้ เขายังกล่าวอีกว่าไม่มีภัยคุกคามในการยุติการเข้าถึงโครงข่ายดาวเทียม Starlink ของยูเครน ซึ่งเป็นบริการอินเทอร์เน็ตจาก SpaceX ของมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ (Elon Musk)

อย่างไรก็ตาม นักการทูตตะวันตกเตือนว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ไม่มีแนวโน้มที่จะประนีประนอม และยืนยันที่จะรักษาดินแดนที่ยึดครองไว้ทั้งหมด

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงท่าทีของรูบิโอ ซึ่งเคยเป็นผู้วิจารณ์รัสเซียอย่างแข็งขัน แสดงถึงการปรับนโยบายของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

อดีตเสนาธิการทหารสมัย ปธน.จอร์จ ดับเบิลยู บุช ออกมาแฉ CIA เคยยุยงชาวอุยกูร์ในซินเจียง เพื่อสั่นคลอนเสถียรภาพจีน

(12 มี.ค. 68) พ.อ.ลอว์เรนซ์ วิลเกอร์สัน (Lawrence Wilkerson) อดีตหัวหน้าเสนาธิการทหารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในยุคอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เปิดเผยว่า CIA เคยได้รับคำสั่งให้เข้าไปปลุกปั่นชาว อุยกูร์ ที่ไม่พอใจรัฐบาลจีนในมณฑล ซินเจียง เพื่อทำให้เกิดความไม่สงบและสั่นคลอนเสถียรภาพของจีน

คำกล่าวของวิลเกอร์สันเกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีก่อน ในงานสัมมนาเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยเขาระบุว่า เป้าหมายของปฏิบัติการดังกล่าวคือการกดดันจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ เช่น มณฑลซินเจียง ซึ่งเป็นบ้านของชาวอุยกูร์ที่มีวัฒนธรรม ศาสนา และภาษาแตกต่างจากชาวฮั่นที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของจีน

“หากเราต้องการทำให้จีนหวั่นไหว เราควรใช้ CIA เข้าไปกระตุ้นให้ชาวอุยกูร์ที่ไม่พอใจลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลปักกิ่ง” วิลเกอร์สัน กล่าวในเวลานั้นพร้อมเสริมว่า “การสร้างความไม่สงบในซินเจียงจะช่วยกดดันจีนในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ใช้ในการรับมือกับอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวถูกนำกลับมาจนกลายเป็นที่สนใจอีกครั้งในปัจจุบัน ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในซินเจียง ซึ่งจีนกล่าวหาสหรัฐฯ มาตลอดว่าพยายามใช้ประเด็นอุยกูร์เพื่อแทรกแซงกิจการภายในของตน

นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การเปิดเผยของวิลเกอร์สันสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางของสหรัฐฯ ในการใช้ปฏิบัติการลับเพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศคู่แข่ง ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนมองว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางศาสนาในจีน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังไม่ได้ออกมาแสดงท่าทีต่อคำกล่าวนี้อย่างเป็นทางการ แต่ก่อนหน้านี้ ปักกิ่งเคยกล่าวหาสหรัฐฯ ว่า ให้การสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในซินเจียง และใช้ประเด็นอุยกูร์เป็นเครื่องมือทางการเมืองมาโดยตลอด

ส่วนเรื่องการเปิดเผยดังกล่าวจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างไร ยังต้องจับตาดูกันต่อไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้งในหลายประเด็น ตั้งแต่เศรษฐกิจ เทคโนโลยี ไปจนถึงภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ทั้งนี้ ยังไม่พบแหล่งข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศที่ยืนยันข้อมูลดังกล่าว ดังนั้นควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลและตรวจสอบจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เพิ่มเติม

ยูเครนตอบรับข้อเสนอจากสหรัฐฯ ยอมหยุดยิง 30 วัน กลายเป็นก้าวแรกในการยุติสงครามกับรัสเซีย

(12 มี.ค. 68 ) สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ยูเครน ยอมรับข้อเสนอจากสหรัฐอเมริกาในการหยุดยิง เป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาสันติภาพกับ รัสเซีย หลังจากมีการพูดคุยระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และพันธมิตรในยุโรป โดยข้อเสนอนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามในการบรรเทาความรุนแรงและสร้างพื้นที่สำหรับการเจรจาทางการเมืองที่ยั่งยืนในภูมิภาคที่เกิดความขัดแย้งมายาวนาน

ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครนได้ออกมาประกาศว่าฝ่ายรัฐบาลยินดีที่จะรับข้อเสนอดังกล่าวเพื่อเปิดโอกาสในการพิจารณาทางเลือกในการยุติสงคราม ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในยูเครน และช่วยลดการสูญเสียชีวิตของพลเรือนรวมถึงทหารของทั้งสองฝ่าย

แถลงการณ์จากทำเนียบขาว ระบุว่า สหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนการหยุดยิงนี้อย่างเต็มที่ และย้ำว่า การหยุดยิงเป็นขั้นตอนสำคัญในการลดความตึงเครียด และเปิดทางให้การเจรจาสันติภาพดำเนินต่อไปได้ นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงโดยไม่มีเงื่อนไข โดยขอให้ยึดความสำคัญของการยุติการใช้ความรุนแรง

“วันนี้เราได้เสนอข้อตกลงที่ยูเครนยอมรับแล้ว ซึ่งก็คือการหยุดยิงและจะเริ่มเจรจากันทันที” มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าว “ตอนนี้เราจะนำข้อเสนอนี้ไปให้รัสเซีย และเราหวังว่าพวกเขาจะบอกว่าใช่ เพื่อสันติภาพ และตอนนี้ลูกบอลอยู่ในสนามของพวกเขาแล้ว” 

แม้ว่าการหยุดยิงจะมีระยะเวลาจำกัดเพียง 30 วัน แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างบรรยากาศของความไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่าย ในขณะที่ฝ่ายรัสเซียยังคงเงียบต่อข้อเสนอและยังคงยืนยันจุดยืนที่เกี่ยวข้องกับการขยายอำนาจในภูมิภาค

นักวิเคราะห์ระบุว่า การหยุดยิงนี้จะเป็นเครื่องมือในการลดความรุนแรงและเป็นช่องทางให้ประเทศต่าง ๆ สามารถเข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนสำหรับสถานการณ์ที่ยืดเยื้อมานาน

สำหรับกระแสความคิดเห็นในยูเครน มีทั้งผู้สนับสนุนและคัดค้านการหยุดยิง โดยฝ่ายที่คัดค้านยืนยันว่าไม่สามารถยอมรับการหยุดยิงที่อาจทำให้ยูเครนเสียพื้นที่ที่ได้ต่อสู้มา แต่ฝ่ายที่สนับสนุนเห็นว่า การเจรจาสันติภาพมีความสำคัญต่อการยุติสงครามและการฟื้นฟูประเทศในระยะยาว

ทั้งนี้ สหรัฐฯ และพันธมิตรจะติดตามผลการหยุดยิงอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามข้อกำหนดและสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเจรจาสันติภาพในอนาคต

USAID ได้รับคำสั่งให้ทำลายเอกสารลับและแฟ้มบุคลากร ก่อให้เกิดความกังวลด้านความโปร่งใส ท่ามกลางกระบวนการยุบหน่วยงาน

(12 มี.ค. 68) เคย์ล่า เอปสเตน ผู้สื่อข่าวจากบีบีซี รายงานว่า สำนักงานพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้รับคำสั่งให้ทำลายเอกสารลับและแฟ้มบุคลากร โดยการย่อยเอกสารและเผาทิ้ง ท่ามกลางกระบวนการยุบหน่วยงานที่กำลังดำเนินอยู่ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ 

โดยคำสั่งดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลในหมู่พนักงานและกลุ่มแรงงาน ซึ่งเกรงว่าจะกระทบต่อความโปร่งใสและกระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานนี้

ก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยว่า เอริก้า วาย. คาร์ (Erica Y. Carr) รักษาการเลขาธิการบริหาร ได้ส่งอีเมลถึงเจ้าหน้าที่ขอบคุณที่ทำการเคลียร์ตู้เซฟลับและเอกสารบุคลากรจากสำนักงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พร้อมแจ้งให้พนักงานมารวมกันที่ล็อบบี้ของอาคารเพื่อจัดกิจกรรมการกำจัดเอกสารที่ไม่จำเป็น และได้ทำลายเอกสารตลอด 1 วันเต็ม

สำหรับเนื้อหาในอีเมล ระบุว่า “ทำลายเอกสารให้ได้มากที่สุดก่อนแล้วเผา โดยให้ใช้เมื่อเครื่องทำลายเอกสารช่วยอีกแรง” อีเมลยังระบุให้พนักงานใส่เอกสารในถุงสำหรับเผาและปิดผนึกถุงก่อนนำไปเผาที่สถานที่ปลอดภัย พร้อมติดป้าย “SECRET” และ “USAID (B/IO)”

การทำลายเอกสารดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระบวนการปรับโครงสร้างหน่วยงานที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งถือบางส่วนของการปรับโครงสร้างที่ได้เริ่มขึ้นภายใต้การบริหารของรัฐบาลทรัมป์ โดยการลดขนาดของ USAID รวมถึงการระงับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ 

สมาคมการบริการต่างประเทศของอเมริกา (AFSA) ซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงาน USAID ได้แสดงความตกใจเกี่ยวกับคำสั่งนี้และเตือนว่าการทำลายเอกสารอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการทางกฎหมายและการตรวจสอบภายในหน่วยงาน โดยเฉพาะในกรณีที่เอกสารดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องเกี่ยวกับการเลิกจ้างพนักงานและการยุติการให้ทุน

กฎหมายของรัฐบาลกลาง ระบุว่าหน่วยงานต้องเก็บรักษาบันทึกของรัฐบาลไว้เพื่อความโปร่งใส การทำลายเอกสารอาจมีผลกระทบทางกฎหมาย หากทำโดยไม่เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง

ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแห่งชาติ เคล แมคคลานาฮาน (Kel McClanahan) ผู้อำนวยการบริหารของ National Security Counselors ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงานบริหารเอกสารและบันทึกแห่งชาติ เพื่อให้หยุดการทำลายเอกสาร และเตือนว่า การสูญเสียบันทึกบุคลากรอาจทำให้เกิดความยุ่งยากร้ายแรงในการตรวจสอบและประมวลผลสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของพนักงาน

ทั้งนี้ USAID ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ถูกปรับโครงสร้างอย่างหนักภายใต้การบริหารของทรัมป์ โดยมีการลดขนาดและการยกเลิกโครงการต่างๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพนักงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับงานพัฒนาในต่างประเทศ

‘อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี’ เตือนประชาคมโลกอย่าหลงเชื่อคำพูดสหรัฐฯ ชี้วอชิงตันใช้การเจรจาเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างภาพลักษณ์

(13 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี (Ayatollah Ali Khamenei) ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้กล่าวในระหว่างการบรรยายสาธารณะว่า การที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เผยพร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านและเชิญชวนให้เจรจา นั้นเป็นเพียงการหลอกลวงความคิดของประชาคมโลก เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของการเปิดการสนทนาและการยอมรับการเจรจาเท่านั้น

“การกล่าวถึงการเจรจาของสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงความพยายามที่จะหลอกลวงประชาคมโลกเกี่ยวกับการแสดงออกของอเมริกาในการไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของอิหร่าน” ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน กล่าว พร้อมกับเสริมว่า “อิหร่านจะไม่ถูกหลอกให้เชื่อในคำพูดของสหรัฐฯ ซึ่งมีประวัติในการทำลายข้อตกลงระหว่างประเทศ”

การแถลงของผู้นำสูงสุดของอิหร่านเกิดขึ้นหลังจากที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เคยกล่าวในหลายโอกาสว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ในอนาคต โดยประธานาธิบดีไบเดนหวังว่าจะสามารถหาทางออกเพื่อยุติความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ผ่านการเจรจา

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยว่าเขาได้ส่งจดหมายถึง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อเชิญชวนให้อิหร่านเข้าร่วมการเจรจาเกี่ยวกับ โครงการนิวเคลียร์ ระหว่างสองประเทศ โดยเขาระบุว่า การเจรจานี้จะเป็นการหาทางออกอย่างสันติ และ “จะช่วยหลีกเลี่ยงความตึงเครียดในภูมิภาค”

อย่างไรก็ตาม, อิหร่าน ยังคงยืนยันในจุดยืนที่ไม่ยอมรับการเจรจาต่อเงื่อนไขเดิมที่ไม่เป็นธรรม และยังคงมีการวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ต่อการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) ซึ่งสหรัฐฯ ถอนตัวในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งเมื่อครั้งก่อน 

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ในการจัดการกับปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน โดยทรัมป์ได้กล่าวว่า ข้อตกลงนี้ไม่สามารถปกป้องสหรัฐฯ และพันธมิตรจากการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ และกล่าวหาว่าอิหร่านยังคงดำเนินกิจกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในภูมิภาค

“เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ มีคำกล่าวกันว่าจะไม่ยอมให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่หากเราต้องการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ อเมริกาก็ไม่สามารถหยุดเราได้ เป็นความจริงที่ว่าเราไม่มีอาวุธนิวเคลียร์และไม่ได้แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ก็เพราะตัวเราเองไม่ต้องการมัน” คาเมเนอี กล่าว

สำหรับการที่ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ออกมาพูดในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาคมโลกอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ยังคงตึงเครียดและไม่มีท่าทีที่จะคลี่คลายในอนาคตอันใกล้ 

ทั้งนี้ คำพูดของผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในเจตนาของสหรัฐฯ โดยอิหร่านมองว่าการเสนอเจรจาของสหรัฐฯ เป็นเพียงกลยุทธ์ในการบิดเบือนความจริงและไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในท่าทีของอิหร่านได้

อนาคตของ ‘เซเลนสกี’ อยู่ในภาวะวิกฤต หลังสหรัฐฯ กังวลความสามารถในการรักษาความมั่นคงยูเครน

(14 มี.ค. 68) โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการดำรงตำแหน่งผู้นำของเขา โดยมีความกังวลเพิ่มขึ้นในวอชิงตันเกี่ยวกับความชอบธรรมของเขาในการเป็นผู้นำยูเครนในช่วงเวลาที่ประเทศเผชิญกับวิกฤตสงครามกับรัสเซีย

ตามรายงานจากหลายแหล่งข่าวในกรุงเคียฟและวอชิงตัน ระบุว่าในขณะนี้หลายฝ่ายในสหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเซเลนสกี และความสามารถของเขาในการรักษาความมั่นคงของประเทศในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ทั้งในด้านการทูตและความคืบหน้าในการเจรจาทางการทหาร

แหล่งข่าวในวอชิงตันกล่าวว่า มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการของเซเลนสกี โดยเฉพาะในการจัดการทรัพยากรทางทหารและการดำเนินนโยบายภายในที่อาจมีผลต่อความน่าเชื่อถือของเขาในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มพันธมิตรทางทหารของยูเครน

“เราอยู่ในการทำหน้าที่ท้ายๆ ของประธานาธิบดีเซเลนสกี” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนบอกกับไฟแนนเชียลไทม์ส

คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของโวโลดิมีร์ เซเลนสกี โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนอ้างว่า การบริหารงานของเขาในช่วงท้ายๆ ของวาระกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในด้านการทูต การรักษาความมั่นคงของประเทศ และการจัดการวิกฤตสงครามที่ยืดเยื้อกับรัสเซีย 

ในขณะเดียวกัน เซเลนสกีก็ยังคงเดินหน้าพยายามรักษาความเป็นผู้นำของเขา โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ยูเครนจะต้องได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งของโวโลดิมีร์ เซเลนสกีในฐานะประธานาธิบดียูเครนจะหมดลงในปี 2024 โดยเขาได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกในวันที่ 31 มีนาคม 2019 และได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 พฤษภาคม 2019

ปธน.โปแลนด์ เผยต้องการนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการรุกรานจากรัสเซียในยุโรปตะวันออก

(14 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีอันด์แชย์ ดูดา ของโปแลนด์ได้ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาส่งอาวุธนิวเคลียร์เข้าประจำการในดินแดนโปแลนด์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและเป็นเครื่องมือในการป้องปรามการรุกรานจากรัสเซียในอนาคต ซึ่งคำเรียกร้องดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่โปแลนด์ยังคงเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการรุกรานของรัสเซียในภูมิภาคยุโรปตะวันออก

ในคำแถลงของเขาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีดูดาได้กล่าวว่า โปแลนด์จำเป็นต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งทางทหารในฐานะสมาชิกขององค์การนาโต้ (NATO) โดยการมีอาวุธนิวเคลียร์ในดินแดนของตนจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการป้องปรามและเพิ่มความมั่นคงให้กับทั้งโปแลนด์และพันธมิตรในภูมิภาค

การเรียกร้องของประธานาธิบดีโปแลนด์มีขึ้นหลังจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงหลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ซึ่งทำให้หลายประเทศในยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ รู้สึกถึงภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และต้องการเพิ่มความเข้มแข็งด้านการป้องกันประเทศ

แม้ว่าการประจำการของอาวุธนิวเคลียร์ในโปแลนด์จะเป็นการกระทำที่อาจกระตุ้นความตึงเครียดกับรัสเซีย แต่ประธานาธิบดีดูดาก็ยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อการป้องกันประเทศในระยะยาว และจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค

การเรียกร้องของโปแลนด์ได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศในนาโต้ แต่ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้และผลกระทบทางการเมืองจากการที่สหรัฐอเมริกาจะยอมรับคำขอนี้หรือไม่

นอกจากนี้ อันด์แชย์ ดูดา แห่งโปแลนด์ได้แสดงความยินดีต้อนรับข้อเสนอของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ที่จะขยายขอบเขตการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของฝรั่งเศสไปยังประเทศสมาชิกนาโต้ (NATO) อื่นๆ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในยุโรป โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกของยุโรปที่มีความตึงเครียดจากการรุกรานของรัสเซีย

ทั้งนี้ การขยายขอบเขตของอาวุธนิวเคลียร์ฝรั่งเศสอาจกลายเป็นประเด็นที่มีความสำคัญในกลุ่มนาโต้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารระหว่างประเทศมหาอำนาจต่างๆ การตัดสินใจในการขยายอาวุธนิวเคลียร์จะต้องพิจารณาผลกระทบทั้งในด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top