Sunday, 8 June 2025
ในหลวงร9

29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 ในหลวง ร.9 ทรงปลูกต้นนนทรี 9 ต้น ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

วันนี้ เมื่อ 60 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ยังมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทรงปลูกต้นนทรี 9 ต้น พร้อมร่วมการแสดงดนตรีที่หอประชุมของมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก

วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้เสด็จพระราชดำเนินยังมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตามคำกราบบังคมทูลเชิญเสด็จของคณะกรรมการสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

และได้ทรงปลูกต้นนนทรี 9 ต้น ณ บริเวณหน้าหอประชุม มก. ทั้งยังมีพระราชดำรัสถึงบุคลากรและนิสิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในคราวนั้นว่า

“ขอฝากต้นไม้นี้ให้มหาวิทยาลัยและนิสิตช่วยกันรักษาให้ดี อย่าให้หงอย ขอฝากนิสิตทั้งหลาย ขอให้ช่วยกันรักษาตัวเองให้ดี และอย่าลืมว่าตัวเองนั้นจะอยู่กันได้ก็ด้วยแผ่นดินไทย ขอให้ช่วยรักษาแผ่นดินไทยไว้ด้วย คนไทยถ้าไร้แผ่นดินก็จะหงอยกันหมด อยู่กันไม่ได้ และเราก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น”

นอกจากนี้ในการเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระมหากรุณาธิคุณร่วมการแสดงดนตรีที่หอประชุมของมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก อันนำไปสู่การเสด็จ ‘เยี่ยมต้นนนทรี’ ที่ทรงปลูกและ ‘ทรงดนตรี’ สืบเนื่องมาจนถึงปี พ.ศ. 2515

โดย ‘ต้นนนทรี’ เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 เพราะต้นนนทรีเป็นไม้ยืนต้น มีอายุยืนยาวนาน มีใบเขียวตลอดทั้งปี ลักษณะใบเป็นฝอยคล้ายใบกระถิน ดอกสีเหลืองประปรายด้วยสีขาว ช่อดอกเป็นพวงระย้า ฝักไม่ยอมทิ้งต้น ทนทานในทุกสภาพอากาศของเมืองไทย 

ซึ่งต้นนนทรีทั้ง 9 ต้น ได้สร้างความเป็นสง่าราศี เป็นขวัญกำลังใจ เป็นจิตวิญญาณและให้ความร่มเย็น แก่เหล่าลูกนนทรีมาโดยตลอด ปัจจุบันนนทรีทั้ง 9 ต้นเจริญเติบโตเป็นไม้ใหญ่ เต็มวัย มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย 53 เซนติเมตร มีความสูงเฉลี่ย 15 เมตร 

มีพื้นที่เรือนยอดปกคลุม 123 ตารางเมตรต่อต้น หรือพื้นที่เรือนยอดรวม 1,108 ตารางเมตร ด้วยต้องยืนตระหง่านฝ่าร้อนฝ่าฝนและหนาวมาเป็นระยะเวลายาวนานย่อมถูก โรคภัยเบียดเบียน มหาวิทยาลัยได้เฝ้าดูแลต้นนนทรีทั้ง 9 ต้น ด้วยความใส่ใจมาตลอด พร้อมทั้งทำศัลยกรรมตกแต่งปิดโพรงภายในจากการทำลายของโรคอย่างถูกวิธี เพื่อให้นนทรีทั้ง 9 ต้นดำรงความเป็นเกียรติประวัติแก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์สืบไป

4 ธันวาคม ของทุกปี ‘วันสิ่งแวดล้อมไทย’ รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวง ร.9 ที่

วันที่ 4 ธันวาคม ของทุกปี เป็น ‘วันสิ่งแวดล้อมไทย’ กำหนดขึ้นเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีพระราชดำรัสถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของประเทศไทย

วันที่ 4 ธันวาคม ของทุกปี เป็น ‘วันสิ่งแวดล้อมไทย’ กำหนดขึ้นเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีพระราชดำรัสถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและสถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลก เมื่อครั้งเสด็จออกให้คณะบุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลา ดุสิดาลัย พระตำหนัก จิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2532 เพื่อตรัสเตือนคนไทยให้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และให้ถือว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้มีพระราชดำรัสใจความตอนหนึ่งว่า

“วันก่อนนี้เราพูดถึงปัญหาว่า เมืองไทยนี้อีกหน่อยจะแห้ง ไม่มีน้ำเหลือจะต้องไปซื้อน้ำจากต่างประเทศซึ่งก็อาจเป็นได้ แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าถ้าคำนวณดูน้ำในประเทศไทยที่ไหลเวียนนั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ต้องบริหารให้ดี ถ้าบริหารให้ดีแล้ว มีเหลือเฟือ มีตัวเลขแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้ไปแยกแยะตัวเลข เหมือนที่ได้แยกแยะตัวเลขของคาร์บอน น้ำนั้นน่ะ ในโลกมีมากแล้วที่ใช้จริงๆ มันเป็นเศษหนึ่งส่วนหมื่นของน้ำที่มีอยู่ อาจไม่ถึง ก็ต้องบริหารให้ดีเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำ น้ำนี้จะต้องใช้ให้ดี คือ น้ำนั้นมีคุณอย่างที่เราใช้สำหรับบริโภค น้ำสำหรับการเกษตร น้ำสำหรับอุตสาหกรรมทั้งหมดนี้ต้องใช้น้ำที่ดี หมายความว่าน้ำที่สะอาด”

“น้ำมีมากในโลก เป็นน้ำทะเลส่วนใหญ่ซึ่งจะใช้อย่างนี้ไม่ได้แล้ว นอกจากนั้นเดี๋ยวนี้ที่กำลังมีมากขึ้นก็คือ น้ำเน่า จะต้องป้องกันไม่ให้มีน้ำเน่า น้ำเน่าจะมีอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำเน่านั้นเป็นโทษมากเกินไป ฉะนั้น นี่เป็นอีกโครงการหนึ่งที่เราจะต้องปฏิบัติ แล้วก็ถ้าไม่จัดการโดยเร็วเราจะนอนอยู่ในน้ำเน่า น้ำดีจะไม่มีใช้แม้จะไปซื้อน้ำจากต่างประเทศมา ก็กลายเป็นน้ำเน่าหมด เพราะว่าเอามาใช้โดยไม่ได้ระมัดระวัง”

“ถ้าเรามีน้ำแล้วมาใช้อย่างระมัดระวังข้อหนึ่ง และควบคุมน้ำที่เสียอย่างดีอีกข้อหนึ่ง ก็อยู่ได้ เพราะว่าภูมิประเทศของประเทศไทย ‘ยังให้’ ใช้คำว่า ‘ยังให้’ ก็หมายความว่า ยังเหมาะแก่การอยู่กินในประเทศนี้ ไม่ใช่ไม่เหมาะ ประเทศไทยนี้เป็นที่ที่เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาเอาไว้ไม่ทำให้ประเทศไทยซึ่งเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทรายก็ป้องกันได้ ทำได้”

จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นจุดเริ่มต้นในการเคลื่อนไหวของทุกฝ่าย ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่หันมาร่วมมือกันริเริ่มโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงเป็นการปลูกจิตสำนึกของประชาชนให้มีจิตสำนึกในการเห็นความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ

จากนั้นเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ 2534 ในการประชุมของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบ กำหนดให้วันที่ 4 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมไทย

‘หมอสุรันต์’ เผยภาพประทับใจ ‘จัตุรัส ร.9’ กลางบอสตัน ตั้งแท่นหินแกรนิตจารึกประวัติ กษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักของชาวโลก

(25 พ.ค. 68) ทพ.สุรันต์ จันทร์พิทักษ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ แบ่งปันเรื่องราวสุดแสนประทับใจ หลังเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา โดยโพสต์ผ่านเฟสบุ๊กว่า…

จัตุรัสภูมิพลอดุลยเดช ตั้งอยู่ในเมืองเคมบริดจ์ จัตุรัสแห่งนี้ตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงในหลวงรัชกาลที่9 อันเป็นที่รักที่เทิดทูนของปวงชนชาวไทย

พระองค์เสด็จพระราชสมภพที่โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น(Mount Auburn Hospital) เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่พระราชสมภพบนแผ่นดินอเมริกา นายกเทศมนตรีเมืองเคมบริดจ์ จึงขอพระราชทานนามว่า “จัตุรัสภูมิพลอดุลยเดช” เพื่อเป็นเกียรติแก่เมืองเคมบริดจ์

เหตุที่ทรงเสด็จพระราชสมภพที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเนื่องมาจากสมเด็จพระบรมราชชนกได้ทรงศึกษาวิชาการแพทย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

โดยเช่าอพาร์ทเม้นท์ใกล้ๆมหาวิทยาลัย เป็นที่พำนักอยู่กับสมเด็จพระบรมราชชนนี (หม่อมสังวาลย์มหิดล ณ อยุธยาในขณะนั้น) ซึ่งต่อมาเจ้าชายพระองค์นี้ทรงเติบใหญ่เป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งแห่งราขวงศ์จักรี

บนแท่นหินแกรนิตกลางจัตุรัส มีอักษรโลหะบันทึกบอกเรื่องราวการเสด็จพระราชสมภพของพระองค์ Hampton Hotel Boston,Massachusetts, United States Of America 22May 2025 10°C(Feel like6°C),Rainy 07.05A.M. “เพราะโลกมันกว้าง เราจึงอยากแบ่งปัน”

8 มิถุนายน พ.ศ. 2514 ในหลวง ร.9 วางศิลาฤกษ์ ‘ถนนรัชดาภิเษก’ เชื่อมมหานครสู่ความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2514 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งนับเป็นโครงการสำคัญในแผนพัฒนาระบบคมนาคมของกรุงเทพมหานครในยุคนั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรที่เริ่มทวีความรุนแรงจากการขยายตัวของเมือง

ถนนรัชดาภิเษกได้รับการออกแบบให้เป็นถนนวงแหวนรอบในของกรุงเทพฯ เชื่อมโยงถนนสายสำคัญต่าง ๆ เช่น ถนนลาดพร้าว ถนนพระราม 9 และถนนประชาอุทิศ เพื่อให้สามารถกระจายการเดินทางและลดความแออัดในย่านใจกลางเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ชื่อ 'รัชดาภิเษก' ได้รับพระราชทานเพื่อเป็นที่ระลึกในวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองราชสมบัติครบ 25 ปี ในปี พ.ศ. 2514 นับเป็นถนนที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของชาติ

ปัจจุบัน ถนนรัชดาภิเษกเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักของกรุงเทพมหานคร เต็มไปด้วยแหล่งธุรกิจ การค้า ศูนย์ราชการ และระบบขนส่งมวลชนที่ทันสมัย สะท้อนถึงความสำเร็จของโครงการที่วางรากฐานมาตั้งแต่กว่าครึ่งศตวรรษก่อน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top