Tuesday, 22 April 2025
โออาร์

โออาร์ ร่วมมือ GC ผลิตน้ำมันดีเซลสูตรพิเศษ กำมะถันต่ำเทียบเท่ามาตรฐานยูโร 5 ช่วยลดฝุ่น PM 2.5 พร้อมจำหน่าย ในราคาเท่าเดิม ตาม พีทีที สเตชั่น กว่า 400 แห่ง ตั้งแต่ 1 พ.ย. 2564 - 31 มี.ค. 2565

นายบุญมา พลธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ (OR) เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) คาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ที่จะกลับมาสูงเกินค่ามาตรฐานอีกครั้งในช่วงปลายปี โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โออาร์ เห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว และในฐานะผู้บริหารแบรนด์สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น โออาร์ พร้อมจำหน่ายน้ำมันอัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล (UltraForce Diesel) สูตรพิเศษที่มีกำมะถันต่ำเทียบเท่ากับน้ำมันยูโร 5

โดยมีค่ากำมะถันต่ำเฉลี่ยประมาณ 10 PPM ซึ่งต่ำกว่าค่าที่กฎหมายกำหนด (50 PPM) ถึงประมาณ 5 เท่า ซึ่งเป็นการร่วมมือกับโรงกลั่นน้ำมันของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ในการกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกำมะถันต่ำและนำมาผลิตเป็นน้ำมันอัลตร้าฟอร์ซ ดีเซล สูตรพิเศษที่คลังน้ำมันพระโขนงเพื่อจ่ายให้กับสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมกว่า 400 สถานี ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 - 31 มี.ค. 2565 รวมทั้งจ่ายให้กลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม และหน่วยงานราชการ

‘โออาร์’ มอบของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ตรึงราคาน้ำมันนาน 11 วัน

โออาร์ คาดแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4 ดีขึ้น รับอานิสงส์การท่องเที่ยวกลับมา ด้านการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เตรียมมอบของขวัญให้คนไทย ไม่ปรับขึ้นราคาน้ำมัน 11 วัน ระหว่างวันที่ 24 ธ.ค. 65 – 3 ม.ค. 66 เติมเต็มความสุขช่วงเทศกาลปีใหม่

(21 ธ.ค. 65) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า จากการที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการจำกัดการเดินทางต่าง ๆ คลี่คลาย การเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ประชาชนเริ่มออกเดินทาง ท่องเที่ยวช่วง High season และจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น ประกอบสภาพเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว จึงน่าจะส่งผลให้ผลการดำเนินการไตรมาส 4 ของ OR ที่น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นทั้ง Mobility Lifestyle และ Global ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์และความเห็นของนักวิเคราะห์ 

ส่วนกรณีข่าวเกี่ยวกับประเด็นกองทุนต่างประเทศอ้างว่า OR ละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศเมียนมานั้น ขอยืนยันว่าการลงทุนของ OR ในเมียนมามุ่งสร้างและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนชาวเมียนมา รวมทั้งยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลักการสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล โดยปัจจุบันมี PTT Station 3 แห่งและร้าน cafe amazon 8 สาขาดำเนินการโดยผู้แทนจำหน่ายและแฟรนไชซีในเมียนมา และไม่ได้มีส่วนสนับสนุนหรือเกี่ยวข้องกับกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในเมียนมาแต่อย่างใด

สำหรับในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ที่จะมาถึงนี้ OR ได้เตรียมจัดกิจกรรมเพื่อเติมเต็มความสุขให้ผู้บริโภค ด้วยโปรโมชั่นพิเศษมากมายสำหรับลูกค้าที่ใช้บริการสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และร้านค้าต่าง ๆ ในเครือ OR ดังนี้

PTT-OR แจงทำธุรกิจในเมียนมา ยึดหลักสิทธิมนุษยชนเคร่งครัด ไม่หนุนความรุนแรงในพม่า หลังมีข่าวกองทุนถอนลงทุน

ซีอีโอ PTT-OR แจงข่าวกองทุนถอนลงทุนจากประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนในเมียนมา ยืนยันดำเนินธุรกิจยึดหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด ด้าน OR ยันลงทุนคลังปิโตรเลียมในเมียนมาจริง แต่แสดงเจตนารมณ์ให้บริษัทร่วมทุนหยุดการดำเนินงานและไม่ชำระเงินทุนเพิ่มเติมแล้ว

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่มีข่าวระบุว่ามีกองทุนได้ประกาศถอนการลงทุนใน PTT และบริษัทในกลุ่ม เนื่องจากประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมานั้น บริษัทขอขี้แจงว่า ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ทั้งในส่วนที่ ปตท.ดำเนินการเองและลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน

ซึ่งประกอบด้วยมิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติการกำกับดูแล โดยมีการบูรณาการหลักสิทธิมนุษยชน ครอบคลุมสายโซ่อุปทานของบริษัท ตั้งแต่การตรวจสอบอย่างรอบด้าน การบริหารจัดการ ตลอดจนส่งเสริม ปกป้อง และให้ความเคารพด้านสิทธิมนุษยชนให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากลอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ทั้งนี้ ในการพิจารณาการลงทุนของ ปตท.นั้น ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่มีการบังคับใช้ รวมถึงมีการตรวจสอบและวิเคราะห์สถานะของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว

ปตท.ยึดถือการเคารพสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐาน และมีความกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมียนมาภายหลังการรัฐประหารปี 2564 โดยสนับสนุนการแก้ไข ปัญหาวิกฤตอย่างสันติและเข้มงวดในการปฏิบัติตามกฎหมาย แนวปฏิบัติสากลในทุกพื้นที่ปฏิบัติการ

รวมถึงการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงกระบวนในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งพลังงานได้อย่างเท่าเทียม ปตท.หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ในเมียนมาจะคลี่คลายและกลับคืนสู่สภาวะปกติในเร็ววัน

'โออาร์' และ 'สำนักงานตำรวจแห่งชาติ' ร่วมเตือนภัย 'อาชญากรรมทางเทคโนโลยี'

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ พร้อมด้วย นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ และ พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ. สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมติดตั้งโปสเตอร์เตือนภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อรณรงค์ เสริมสร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนป้องกันตัวเองจากภัยจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ณ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ทุกสาขาทั่วประเทศ

นายดิษทัต กล่าวว่า ปัจจุบันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีมีความรุนแรงและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การสร้างความตระหนักรู้ถึงภัยอันตรายของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ โออาร์ จึงได้ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติผลิตและติดตั้งโปสเตอร์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลความรู้เตือนภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ณ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ทั่วประเทศ 

OR มอบรางวัล การประกวด 'Green Innovation Contest' ประจำปี 2567 ตอกย้ำภารกิจ ‘เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน’ บนโลกเดียวกันที่ยั่งยืน

(8 ต.ค. 67) นางสาวราชสุดา รังสิยากูล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกิจการพิเศษ 1 บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มอบรางวัลและแสดงความยินดีแก่ทีมแข่งขันจากการประกวดโครงการ 'Green Innovation Contest' ประจำปี 2567 ณ ห้อง The Synergy Hall ชั้น 6 ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ อาคารซี กรุงเทพมหานคร

นางสาวราชสุดา เปิดเผยว่า OR ได้จัดโครงการ 'Green Innovation Contest' เป็นครั้งแรก ในหัวข้อ 'นวัตกรรมสีเขียวเพื่อโลกที่ยั่งยืน' โดยมุ่งหวังสนับสนุนให้เยาวชนไทยแสดงศักยภาพในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และประเทศชาติต่อไป

ในโดยในปีนี้ OR ได้เปิดรับสมัครเยาวชนจากกลุ่มนิสิต นักศึกษา และอาชีวศึกษาจากทั่วประเทศ มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันกว่า 100 ทีม การคัดเลือกแบ่งออกเป็น 3 รอบ คัดเหลือ 15 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบชิงถ้วยพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โดยทีมที่ชนะการประกวด มีดังต่อไปนี้

รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีม C-dots Coating Cell ผลงาน นวัตกรรมสเปรย์ฟิล์มเคลือบผิวโซลาร์เซลล์สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยอนุภาคนาโนคาร์บอนดอทจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม Plankton collector ผลงาน หุ่นยนต์เก็บแพลงก์ตอนอัจฉริยะพลังงานแสงอาทิตย์

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม Bio-Farmer ผลงาน ถังน้ำหมักชีวภาพจากขยะครัวเรือนด้วยระบบอัตโนมัติ (Bio-Auto Fermenter)

โดยทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ จะได้รับถ้วยพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พร้อมประกาศนียบัตรและทุนการศึกษา 30,000 บาท ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 และ 2 จะได้รับเหรียญทอง เหรียญเงิน ประกาศนียบัตรและทุนการศึกษา 20,000 บาท และ 10,000 บาท ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีรางวัลชมเชย 12 ทีมที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ โดยได้รับเหรียญทองแดง ประกาศนียบัตร และทุนการศึกษา 5,000 บาท 

กิจกรรมเด่นภายในงาน นอกจากการนำเสนอผลงานของทั้ง 15 ทีมที่ผ่านเข้ารอบแล้ว ยังมีบูธนิทรรศการแสดงนวัตกรรมของแต่ละทีม รวมถึงบูธเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ของ OR ซึ่งสะท้อนการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าให้แก่สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีกิจกรรมสร้างความสนุก อาทิ การร่วมแสดงความคิดเห็น และกิจกรรมคีบของรางวัล เพื่อร่วมลุ้นรับของรางวัลรักษ์โลก การจัดงานทั้งหมดออกแบบเพื่อลดการสร้างขยะให้น้อยที่สุด โดยขยะที่เกิดขึ้นบางส่วนจะถูกนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี เช่น ขวดน้ำและฝาขวดจะถูกคัดแยกและส่งต่อไปยังโครงการ 'แยกแลกยิ้ม x GC Youเทิร์น' เมื่องานเสร็จสิ้น 

โครงการ 'Green Innovation Contest' นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่ OR ผลักดันและส่งเสริมให้เยาวชนได้มีส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจหลักของ OR ที่มุ่ง “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน ในการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับสู่นวัตกรรมในแบบฉบับของ OR” นอกจากนี้ ยังเป็นการวางรากฐานเพื่อพัฒนาเยาวชนที่มีศักยภาพ เพื่อสนับสนุนให้ OR บรรลุเป้าหมายที่มุ่งเน้นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Healthy Environment) ซึ่งรวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในสถานประกอบการ และการลดปริมาณขยะ มุ่งสู่การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2030 ทั้งนี้ เป้าหมายดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานสำคัญสู่การเป็นองค์กรที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2050 นางสาวราชสุดา กล่าวเสริมในตอนท้าย

‘พีทีที สเตชั่น’ ร่วมโครงการ 'หัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน' พร้อมผ่านการรับรองระดับสีเงิน 105 ปั๊ม มากที่สุดในประเทศ

พีทีที สเตชั่น ทุกสถานีทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ 'หัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน' ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นโครงการเสริมจากมาตรการทางกฎหมาย ผ่านการรับรองระดับสีเงิน 105 สถานี ถือเป็นแบรนด์สถานีบริการที่ได้รับการรับรองระดับสีเงินจำนวนมากที่สุด และมี พีทีที สเตชั่น ที่ผ่านการรับรองหัวจ่ายมาตรฐานแล้ว 2,167 สถานี ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการและรออนุมัติ พิสูจน์ความมุ่งมั่นในการส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสูงสุดให้กับผู้บริโภค

(28 ก.พ. 68) นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า โครงการ 'หัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน' เป็นการประสานความร่วมมือระหว่าง กรมการค้าภายใน ร่วมกับ บริษัทผู้ค้าน้ำมันทั้ง 10 บริษัท โดยให้สถานีที่เข้าร่วมโครงการฯ จะต้องส่งรายงานผลการทดสอบน้ำมันของตน ให้กับกรมการค้าภายใน เดือนละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน  และหลังจากนั้นให้ส่งรายงานผลการทดสอบน้ำมันให้กรมเดือนละครั้ง ทุกเดือน หากสถานีใดดำเนินการได้ถูกต้อง ครบถ้วน จะได้การยกระดับป้ายสัญลักษณ์เป็นสีเงิน (Silver) และหากปฏิบัติตามเงื่อนไขถูกต้องจนครบ 2 ปี จะได้รับการยกระดับป้ายสัญลักษณ์เป็นสีทอง (Gold) ตามลำดับ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่ใช้บริการจากสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศว่าจะได้ปริมาณถูกต้องครบถ้วนอย่างแน่นอน ปัจจุบันนี้มีสถานีที่สมัครและเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 6,793 สถานี และได้รับการอนุมัติเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 5,788 สถานี และมีสถานีที่ได้รับป้ายสีเงินแล้วทั้งสิ้น 211 สถานี   

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า การเข้าร่วม 'โครงการหัวจ่ายเชื้อเพลิงมาตรฐาน' ของกรมการค้าภายใน สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานและความตั้งใจของ OR ที่ให้ความสำคัญกับการรักษามาตรฐานการให้บริการของ พีทีที สเตชั่น มาอย่างต่อเนื่องให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น และเป็นตัวอย่างที่สำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของ OR ในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด และตอกย้ำความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคว่าจะได้รับปริมาณน้ำมันเป็นไปตามมาตรฐานทุกหัวจ่ายตามที่กรมการค้าภายในกำหนด โดยปัจจุบัน สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ทุกแห่งทั่วประเทศจำนวน 2,340 สถานี ได้สมัครเข้าร่วมโครงการครบถ้วนทั้งหมด 100% แล้ว โดยมีสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่ได้รับการอนุมัติให้ผ่านการรับรองแล้ว 2,167 สถานี ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการและรออนุมัติ และยังมีสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่ได้รับการรับรองระดับสีเงิน ซึ่งเป็นสถานีบริการที่รักษามาตรฐานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน จำนวน 105 แห่ง จากจำนวนสถานีบริการทุกแบรนด์ที่ได้รับการรับรองระดับเงินทั้งหมดทั่วประเทศ จำนวน 211 แห่ง ซึ่งถือเป็นแบรนด์สถานีบริการน้ำมันที่ได้รับมาตรฐานในระดับนี้จำนวนมากที่สุดในประเทศ และอยู่ระหว่างการมุ่งสู่การรับรองระดับสูงสุดคือระดับสีทองที่ต้องรักษามาตรฐานต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี อีกด้วย 

ทั้งนี้ OR มีหน่วยงานตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการของสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ทั่วประเทศ (Mobile Unit) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้บริโภคจะได้รับทั้งสินค้าและบริการที่ได้มาตรฐานสูงสุด และที่ผ่านมา OR ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยตรวจสอบหัวจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น และนำส่งรายงานการตรวจสอบให้กองชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นประจำทุกเดือน และหากพบว่ามีค่าที่ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดจะปิดการจำหน่ายหัวจ่ายนั้น ๆ ทันที และประสานงานแจ้งเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัด เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ และให้คำรับรองมาตรวัดปริมาตรน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ก่อนที่จะเปิดจำหน่ายอีกครั้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top