Wednesday, 23 April 2025
โศกนาฏกรรม

25 กันยายน พ.ศ. 2537 น้ำป่าถล่ม ‘วังตะไคร้’ ฉับพลัน โศกนาฏกรรมกลืน 21 ชีวิต

วันนี้ เมื่อ 28 ปีก่อน เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของไทย เมื่อเกิดเหตุน้ำป่าไหลหลากอย่างฉับพลัน ถล่มอุทยานแห่งชาติวังตะไคร้ จ.นครนายก ที่คร่าชีวิตผู้คนที่มาท่องเที่ยวในวันหยุดไปถึง 21 ราย 

ช่วงบ่ายวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2537 ขณะนักท่องเที่ยวพาครอบครัวลูกหลานมาเที่ยวชมธรรมชาติในวันหยุด ผู้คนจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 400-500 คน ทั้งเด็กผู้ใหญ่กำลังสนุกสนานกับการลงเล่นน้ำ ท่ามกลางฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทันใดนั้นหตุภัยธรรมชาติจากน้ำป่าจำนวนมหึมาไหลเป็นคลื่นยักษ์ทะลักเข้าอุทยานแห่งชาติวังตะไคร้ ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก ชนิดที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว 

เหตุการณ์ครั้งนั้น กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของไทย มีผู้เสียชีวิตมากถึง 21 คน ที่ถูกกระแสน้ำสีแดงขุ่นอันเชี่ยวกรากพัดพาร่างหายไปกับน้ำ

ตามข่าวระบุว่า ในวันนั้นผู้คนจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 400-500 คน ทั้งเด็กผู้ใหญ่กำลังสนุกสนานกับการลงเล่นน้ำ ท่ามกลางฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก

อย่างไรก็ดี ตามรายงานข่าวระบุว่า เบื้องต้นก่อนเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ได้รับการติดต่อจากฝ่ายต้นน้ำวังตะไคร้บริเวณเขาใหญ่ว่า มีมวลน้ำป่าขนาดใหญ่กำลังตรงไปทางจุดเล่นน้ำตกวังตะไคร้

ที่สุดเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติวังตะไคร้ได้ใช้จักรยานยนต์แจ้งเตือนนักท่องเที่ยวให้ขึ้นจากน้ำแล้วได้มีการเป่านกหวีดและเรียกให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาจากน้ำ ซึ่งบางคนต่างงงว่าเกิดอะไรขึ้น

3 ธันวาคม พ.ศ. 2527 โรงงานยูเนียนคาร์ไบด์ เมืองโบพาล อินเดีย ระเบิด โศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตกว่า 15,000 คน

3 ธันวาคม พ.ศ. 2527 ก๊าซเมทิลไอโซไซยาไนด์กว่า 40 ตัน รั่วไหลในโรงงานยาฆ่าแมลงที่เมืองโภปาล อินเดีย ก๊าซแพร่ไปในอากาศอย่างรวดเร็ว เสียชีวิตทันทีราว 3 พันคน ยอดรวมจากนั้นตาย 15,000 คน บาดเจ็บนับแสนคน 

ได้เกิดอุบัติเหตุโรงงานบริษัทยูเนียนคาร์ไบด์ ที่เมืองโบพาล รัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย เกิดระเบิดขึ้น จากนั้นสารเคมีก๊าซเมทิลไอโซไซยาไนด์กว่า 40 ตัน เกิดการรั่วไหล โดยก๊าซพิษได้แพร่กระจายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันทีกว่า 3 พันคน โดยในสัปดาห์แรกมีผู้เสียชีวิตกว่า 8 พันคน และเจ็บป่วยกว่า 5 แสนคน ซึ่งต่อมามีรายงานว่าเหตุดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1.5 หมื่นคน และผู้ที่รอดชีวิตแม้จะดูเหมือนโชคดีที่ยังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็โชคร้ายมากเพราะต้องเผชิญกับความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจ มีลูก ลูกก็ป่วยออทิสติกหรือด้อยพัฒนาการบางประการ ซึ่งเหตุดังกล่าวนับเป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการอุตสาหกรรม

โศกนาฏกรรมตุรเคีย-ซีเรีย

สะเทือนฟ้ามหาวิปโยค
ความเศร้าโศกบรรเลงเพลงงานศพ
รายเรี่ยเสียชีวิตทุกทิศทบ   
จุดจบกลบกลายสู่วายชนม์

อาคารโค่นทรุดทับลงกับพื้น   
หยิบยื่นความตายในห้วงหน
ผู้สูญหายในท่ามความมืดมน   
แขวนบนเส้นแดงแห่งความตาย

16 เมษายน พ.ศ. 2557 ‘เรือเซวอล’ อับปาง ขณะเดินทางไปเกาะเชจูโศกนาฏกรรมคร่าชีวิตชาวเกาหลีใต้กว่า 304 คน

ในวันนี้เมื่อ 9 ปีก่อน ได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สะเทือนใจคนทั้งโลก โดยเฉพาะชาวเกาหลีใต้ นั่นก็คือ โศกนาฏกรรม ‘เรือเซวอล’ อับปาง ที่คร่าชีวิตไปกว่า 304 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยม

โดยเหตุการณ์นี้ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) เรือเซวอลกำลังมุ่งหน้าจากเมืองอินชอนสู่เกาะเชจูตามตารางเวลาที่กำหนด โดยบนเรือส่วนใหญ่เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมของโรงเรียนดันวอน ที่กำลังออกไปทัศนศึกษา

เมื่อรวมจำนวนผู้โดยสารและลูกเรือแล้ว เรือลำนี้บรรจุผู้โดยสารกว่า 476 ชีวิต ซึ่งเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของน้ำหนักผู้โดยสาร ที่เจ้าของเรืออ้างว่าเซวอลสามารถบรรทุกได้

ในวันเกิดเหตุ กัปตันอีจุนซอก วัย 69 ปี ผู้กุมชะตาชีวิตคนบนเรือเกือบ 500 คน กลับไม่ได้อยู่ในห้องควบคุมเรืออย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับสั่งให้ลูกเรือเป็นผู้ดำเนินการทุกอย่างแทน ซึ่งเมื่อเรือเข้าสู่ช่องแคบ ที่เต็มไปด้วยโขดหินและคลื่นแรงใต้ทะเล ลูกเรือที่ไม่มีประสบการณ์มากพอก็ตัดสินใจผิดพลาดได้หันหัวเรือกะทันหัน และกระปุกพวงมาลัยเรือที่ทำงานขัดข้อง จึงเป็นปัจจัยแรกที่ทำให้เซวอลศูนย์เสียการทรงตัว

นอกจากความหละหลวมในการทำหน้าที่ของเขาแล้ว เรือลำนี้ยังบรรทุกสินค้าที่ไม่สมดุลและเกินน้ำหนักมาตรฐาน คอนเทนเนอร์สินค้าที่จัดวางอย่างไม่รัดกุม รวมถึงน้ำอับเฉาที่มีน้อยกว่าที่ทางการกำหนด โดยเรือเซวอลนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรือมือสองที่ซื้อต่อมาจากบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทชองแฮจินของเกาหลีใต้ ได้ซื้อมาเพื่อใช้งานต่อเมื่อปี 2012

หลังจากนั้น บริษัทชองแฮจินของเกาหลีใต้ ได้มีการปรับปรุงเรือและทำการต่อเติม เพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้มากกว่าเดิม ซึ่งจุดนี้เองจึงกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ เพราะการต่อเติมเรือ ทำให้ศูนย์ถ่วงเรือมีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นทางบริษัทฯ ยังได้ยื่นขอบรรทุกสินค้าเกือบ 2,000 ตัน ซึ่งต่อมากรมทะเบียนเรือ ได้ปรับลดน้ำหนักบรรทุกสินค้าของเซวอลลงเหลือครึ่งหนึ่ง และกำหนดให้ต้องบรรทุกน้ำอับเฉาถึง 2,000 ตัน เพื่อให้เรือสามารถทรงตัวอยู่ได้

‘ชาวเซอร์เบีย’ ส่งมอบปืนคืนรัฐฯ กว่าหมื่นกระบอก หลังเกิดโศกนาฏกรรมกราดยิงในโรงเรียน

‘เซอร์เบีย’ เป็นประเทศที่มีอัตราการถือครองอาวุธปืนมากเป็นอันดับ 5 ของโลก และมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในยุโรป ปัจจุบันจากจำนวนชาวเซอร์เบียราว 7 ล้านคน มีการถือครองปืนมากถึง 2.7 ล้านกระบอก และมากกว่าครึ่งเป็นอาวุธปืนที่ครอบครองโดยผิดกฎหมาย

วัฒนธรรมการถือครองปืนของชาวเซอร์เบีย เริ่มแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ช่วงหลังสิ้นสุดสงครามยูโกสลาเวียในปี 1989 ซึ่งชาวเซอร์เบียมองว่า การมีอาวุธปืนในครอบครองถือเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานในการป้องกันตนเอง อีกทั้งการใช้ปืน ยังเป็นส่วนหนึ่งในพิธีแต่งงาน งานเฉลิมฉลองในวันเกิดทารก หรือแม้แต่เป็นหนึ่งในสมบัติประจำครอบครัวที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

แต่ทั้งนี้ คดีอาชญากรรมที่ใช้ปืนเป็นอาวุธในเซอร์เบียอยู่ในระดับกลาง ราวๆ 0.3 คดีต่อประชากร 100,000 คน และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ อีกด้วย อาจทำให้ชาวเซอร์เบียชะล่าใจว่า การถือครองปืนไม่ได้ส่งผลต่อระดับคดีอาชญากรรมในประเทศ จนกระทั่ง เกิดเหตุโศกนาฎกรรม กราดยิงครั้งใหญ่ ติดต่อกันถึง 2 แห่งภายในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นในโรงเรียน Vladislav Ribnikar Model Elementary School ชานกรุงเบลเกรด โดยนักเรียนอายุ 13 ปี ใช้ปืนของพ่อกราดยิงเพื่อน และ ครูในโรงเรียน เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 คน และบาดเจ็บอีก 6 คน หลังจากนั้นเพียง 2 วัน เกิดเหตุชายวัย 21 ขับรถไล่ยิงคนตามหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ทางใต้ของกรุงเบลเกรด จนมีผู้เสียชีวิตถึง 8 รายในคืนเดียว

จากเหตุสลดดังกล่าว ทำให้ชาวเซอร์เบียเริ่มตระหนักถึงอันตราย จากการมีอาวุธใกล้มือเกินไปที่บ้าน และเรียกร้องให้ประธานาธิบดี อเล็กซานดาร์ วูซิส ออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนโดยทันที

ด้านผู้นำเซอร์เบีย ก็ได้ออกคำสั่งกวาดล้างอาวุธปืนเถื่อน และเพิ่มโทษการถือครองอาวุธปืนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนถูกต้อง ด้วยโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี

แต่ประธานาธิบดี วูซิส ได้ประกาศช่วงนิรโทษกรรม 1 เดือนให้กับชาวเซอร์เบียทุกคนที่ยังครอบครองอาวุธปืนเถื่อน ให้นำมาส่งมอบคืนกับรัฐบาล จะได้รับการยกเว้นโทษ ซึ่งช่วงนิรโทษกรรมเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม ไปจนถึง 8 มิถุนายนนี้ หากพ้นชวงนี้ไป ทางรัฐบาลเซอร์เบียจะเริ่มนโยบายกวาดล้างอาวุธปืนเถื่อน และใครที่ยังถือครองอยู่จะได้รับโทษตามกฏหมาย ไม่มีละเว้น

ซึ่งทันทีที่มีประกาศ ชาวเซอร์เบียก็ได้นำอาวุธไปคืนให้กับรัฐบาลเซอร์เบียเป็นจำนวนมาก จนกองพะเนินเป็นภูเขา และยังเป็นที่น่าตกตะลึงว่า ในจำนวนปืนที่นำมาส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ นอกจากจะมีปืนกล ปืนกึ่งอัตโนมัต ที่เป็นกลุ่มอาวุธที่รัฐบาลไม่อนุญาตให้พลเรือนครอบครองอยู่แล้ว ยังพบปืนต่อสู้รถถัง และ ปืนยิงขีปนาวุธ บางส่วนด้วย ซึ่งนับรวมแล้วตอนนี้มีปืนจากประชาชน ส่งคืนให้รัฐบาลไม่น้อยกว่า 13,500 กระบอก

แม้ว่าการเปลี่ยนวัฒนธรรมการครอบครองปืนของชาวเซอร์เบียจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี โดยผู้นำเซอร์เบียได้ออกมากล่าวชื่นชมชาวเซอร์เบียที่นำอาวุธมาส่งคืนให้ เพราะมีตัวเลขที่น่าสนใจว่า ในจำนวนปืนราวหมื่นกระบอกนี้ กว่าครึ่งเป็นปืนที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง แต่ชาวเซอร์เบียบางส่วนก็ยินดีส่งมอบคืนให้แก่รัฐบาล เพราะเห็นว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ปืนเหล่านี้แล้ว อีกทั้งไม่อยากเห็นเหตุกราดยิงเกิดขึ้นในเซอร์เบียอีก

การออกมาตรการควบคุมอาวุธปืนในเซอร์เบีย กำลังจะเป็นที่สนใจอย่างมากในอีกประเทศที่มีปัญหาคดีอาชญากรรมจากอาวุธปืนอย่างหนัก นั่นก็คือ สหรัฐอเมริกา

โดยสื่อในสหรัฐ พยายามถอดรหัส ‘เซอร์เบียโมเดล’ การปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนลดการถือครองอาวุธปืน และสร้างความเชื่อมั่นในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยได้โดยปราศจากอาวุธ

แต่โมเดลเซอร์เบีย อาจจะเกิดขึ้นไม่ง่ายที่สหรัฐ เนื่องจากในเซอร์เบียไม่มี ‘สมาคมปืนแห่งชาติ’ ที่พร้อมทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อล็อบบี้นักการเมืองอเมริกัน ในการยกมือคัดค้านกฎหมายควบคุมอาวุธปืน โดยอ้างสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ มานานนับร้อยปีนั่นเอง

‘บิ๊ก ตร.โซล’ เจอตั้งข้อหาประมาทเลินเล่อ ปมโศกนาฏกรรมอิแทวอน ด้านครอบครัวเหยื่อ ซัด!! กระบวนการล่าช้า-เรียกร้องให้ลาออกทันที

(20 ม.ค. 67) ความคืบหน้าเหตุโศกนาฏกรรมเบียดกันตายที่อิแทวอน ย่านสถานบันเทิงยามราตรีชื่อดังในกรุงโซลของเกาหลีใต้ เมื่อคืนวันที่ 29 ตุลาคมปี 2022 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน่าเศร้าสลดมากถึงเกือบ 160 รายนั้น มีรายงานล่าสุดว่า ‘นายคิม ควาง-โฮ’ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจนครบาลโซล ที่มีส่วนรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคืนวันเกิดเหตุนั้น ได้ถูกอัยการตั้งข้อหาแล้วฐานปล่อยปละละเลย จนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในโศกนาฏกรรมดังกล่าว

ในแถลงการณ์ที่ออกโดยสำนักงานอัยการแขวงตะวันตกของกรุงโซล เมื่อวันศุกร์ที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า ในฐานะผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจนครบาลโซล เขาไม่ได้ใช้มาตรการที่จำเป็น เช่น การระดมกำลังตำรวจให้เพียงพอ และควบคุมการบังคับบัญชา และการกำกับดูแลที่เหมาะสมในวันเกิดเหตุ แม้ว่าเขาจะคาดการณ์ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ จากความแออัดยัดเยียดในย่านสถานบันเทิงยามราตรีแห่งนั้น

‘คิม ควาง-โฮ’ ซึ่งเป็นนายตำรวจระดับสูงสุดที่เผชิญการสอบสวนในโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ได้ถูกตั้งข้อหาโดยปราศจากการถูกควบคุมตัว

ด้านครอบครัวของเหยื่อได้ออกมาแสดงความไม่พอใจ หลังสำนักงานอัยการแถลงการณ์ตั้งข้อกล่าวหาบิ๊กตำรวจนครบาลโซลผู้นี้ โดยกล่าวว่าพวกเขารู้สึกเสียใจกับกระบวนการตัดสินใจที่ยาวนานของสำนักงานอัยการ ก่อนจะมีการตั้งข้อหานายคิม และว่านายคิมต้องลาออกจากตำแหน่งในทันที และเผชิญกับการถูกไต่สวนคดี

“ประธานาธิบดียุน ซอกยอล จะต้องปลดเขานายคิมออกทันที” ครอบครัวเหยื่อโศกนาฏกรรมอิแทวอนกล่าว

เดือนมกราคมปีที่แล้ว คิม ควาง-โฮ และเจ้าหน้าที่อีก 22 คน จากสำนักงานตำรวจ กู้ภัยและสำนักงานเขต ได้ถูกทีมตำรวจชุดสืบสวนพิเศษส่งไปดำเนินคดี เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการที่ผิดพลาดของรัฐบาล ในเหตุโศกนาฏกรรมเบียดกันตายที่อิแทวอน ในช่วงการฉลองเทศกาลฮาโลวีน ที่มีนักท่องราตรีหนุ่มสาวหลายหมื่นคน ออกมาเที่ยวในย่านสถานบันเทิงดังกล่าว จนเป็นผลให้เกิดการเบียดเสียดเหยียบกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 160 ราย ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 20-30 ปี และมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 300 คน

เด็ก 14 กราดยิงโรงเรียนมัธยม ‘รัฐจอร์เจีย’ ทำครู-นักเรียนดับ 4 ศพ เผยประวัติ เคยถูกสอบปากคำเมื่อปีก่อน ฐานโพสต์ขู่กราดยิง

(5 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ตำรวจสหรัฐฯ ควบคุมตัวเด็กชายวัย 14 ปี ซึ่งใช้อาวุธปืนยิงใส่ครูและนักเรียนเสียชีวิตรวม 4 ศพ และมีผู้บาดเจ็บอีก 9 คน ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในรัฐจอร์เจีย เมื่อวันพุธ (4 ก.ย.) กลายเป็นเหตุกราดยิงสะเทือนขวัญครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เริ่มเปิดภาคการศึกษาใหม่

เด็กชายต้องสงสัยถูกตำรวจควบคุมตัวภายในเวลาไม่นาน หลังเกิดเหตุกราดยิงขึ้นที่โรงเรียน Apalachee High School ในเมืองวินเดอร์ รัฐจอร์เจีย โดยตามรายงานระบุว่า เด็กคนนี้เคยถูกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเรียกสอบปากคำเมื่อปีที่แล้วฐานโพสต์ข้อความข่มขู่กราดยิงโรงเรียนลงในสื่อออนไลน์

คริส โฮซีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนประจำรัฐจอร์เจีย ระบุในงานแถลงข่าวว่า โคลต์ เกรย์ (Colt Gray) วัย 14 ปี จะถูกตั้งข้อหาและดำเนินคดีเสมือนเป็นผู้ใหญ่

จัด สมิธ ผู้ปกครองเทศมณฑลแบร์โรว์ส ระบุว่า เด็กชายคนนี้ใช้ “อาวุธปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ” ในการก่อเหตุ และเมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ก็ยอมจำนนหมอบราบลงกับพื้นทันที

พนักงานสอบสวนเชื่อว่าผู้ก่อเหตุกระทำการเพียงคนเดียว แต่ยังปฏิเสธที่จะเผยว่าอะไรคือมูลเหตุจูงใจ

สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 4 รายแบ่งออกเป็นนักเรียน 2 คน และครูอีก 2 คน ได้แก่ เมสัน เชอร์เมอร์ฮอร์น วัย 14 ปี, คริสเตียน แอนกูโล วัย 14 ปี, ริชาร์ด แอสเพนเวลล์ วัย 39 ปี และ คริสตินา อีริมี วัย 53 ปี ส่วนผู้บาดเจ็บที่เหลือถูกนำส่งโรงพยาบาล และคาดว่าจะมีอาการดีขึ้นตามลำดับ

สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) ได้แถลงในเวลาต่อมาว่า ทางหน่วยงานเคยตรวจสอบคำขู่ออนไลน์ว่าจะกราดยิงโรงเรียนในปี 2023 และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นได้เรียกตัวเด็กชายวัย 13 ปีมาสอบปากคำพร้อมกับบิดาของเขา ซึ่งแม้ว่าคำแถลงของ FBI จะไม่ระบุชื่อเด็ก แต่เจ้าหน้าที่รัฐจอร์เจียยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับผู้ก่อเหตุกราดยิงในครั้งนี้

“ผู้เป็นบิดาอ้างว่ามีปืนล่าสัตว์อยู่ในบ้าน แต่ไม่ได้ปล่อยให้ลูกชายเข้าถึงโดยปราศจากคำแนะนำ ส่วนตัวเด็กเองก็ปฏิเสธว่าไม่เคยโพสต์ข้อความข่มขู่ ทางเทศมณฑลแจ็คสันจึงได้แจ้งไปยังโรงเรียนในพื้นที่ให้เฝ้าติดตามพฤติกรรมของเด็กคนนี้” FBI ระบุ พร้อมย้ำว่าในขณะนั้นยังไม่มีเหตุอันควรให้ต้องดำเนินการจับกุม

เหตุกราดยิงครั้งนี้ยิ่งโหมกระพือข้อถกเถียงระดับชาติเกี่ยวกับมาตรการควบคุมอาวุธปืน และหลายฝ่ายได้ออกมาแสดงความโศกเศร้าที่ความสูญเสียลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยเหลือเกินในสหรัฐอเมริกา

ประชาชนในเมืองวินเดอร์ซึ่งอยู่ห่างจากแอตแลนตาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 80 กิโลเมตรได้ไปรวมตัวกันที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งในค่ำวันพุธ (4 ก.ย.) เพื่อร่วมกิจกรรมจุดเทียนไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต

15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 โศกนาฏกรรม แก๊ประเบิด จ.พังงา คร่าชีวิตไทยมุงกว่า 200 ศพ

วันนี้ เมื่อ 34 ปีก่อน เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของคนไทย และเป็นอุทาหรณ์สำหรับ 'ไทยมุง' เมื่อรถสิบล้อกับรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ซึ่งบรรทุกแก๊ปไฟฟ้าไว้ในลังไม้ น้ำหนักรวมกว่า 20 ตัน มีรถตำรวจทางหลวงนำหน้า ออกเดินทางจาก จ.ภูเก็ต มุ่งหน้าไป จ.สระบุรี เพื่อนำแก๊ปไฟฟ้าไปใช้ระเบิดหิน เกิดเหตุเสียหลักพลิกคว่ำ ทำให้แก๊ปไฟฟ้าตกกระจายเกลื่อนเต็มถนนและสองข้างทาง

โดยเหตุเกิดที่บริเวณทางโค้ง สามแยกตลาดทุ่งมะพร้าว หน้าสถานีอนามัยทุ่งมะพร้าว กม.ที่ 41-42 ต.ทุ่งมะพร้าว อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ในช่วงเวลาประมาณ 17.30 น.

ชาวบ้านและผู้เห็นเหตุการณ์ได้กรูกันเข้ามาเก็บแก๊ปไฟฟ้า โดยไม่ฟังคำห้ามปรามของตำรวจว่าอาจเกิดระเบิด ทั้งยังมีรถที่สัญจรไปมา ซึ่งต้องจอดติดรอให้ยกรถที่พลิกคว่ำขวางถนนออก มีรถ บขส.กรุงเทพฯ-ภูเก็ต ผู้โดยสารเต็มคันรถ รถสองแถว 4-5 คัน และจักรยานยนต์อีกประมาณ 50 คัน ทำให้เหตุการณ์ยิ่งชุลมุน

เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง มีไทยมุงจำนวนหนึ่งนำเหล็กมางัดตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรจุแก๊ปไฟฟ้า ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดตูมสนั่นหวั่นไหว รัศมีระเบิดแผ่กว้างถึง 1 กม. อาคารโดยรอบเจอแรงระเบิดพังยับเยิน ทั้งโรงเรียนทุ่งมะพร้าว บ้านเรือน สถานีอนามัย ศาลาอเนกประสงค์ แรงระเบิดทำให้ถนนเป็นหลุมยักษ์ลึกถึง 4 เมตร ถนนถูกตัดขาด รถสัญจรไม่ได้

แรงระเบิดทำให้ไทยมุงเสียชีวิตทันที 60 ศพ สภาพศพแหลกเหลว รถ บขส. ที่จอดติดอยู่พังยับ ผู้โดยสารเสียชีวิตคารถจำนวนมาก รวมทั้งผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุรวมจำนวนกว่า 100 ศพ นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมาอีกจำนวนหนึ่ง 

ตำรวจ สภ.ท้ายเหมือง พร้อมรถบรรเทาสาธารณภัยของมูลนิธิต่าง ๆ รวมทั้งตำรวจตระเวนชายแดน จ.นครศรีธรรมราช มาช่วยกู้ซากรถ เนื่องจากเกรงจะเกิดระเบิดขึ้นมาอีก ขณะที่กำลังอีกส่วนหนึ่งพยายามเข้าควบคุมเพลิงที่ลุกไหม้อาคารรอบที่เกิดเหตุ

จากการสอบสวนเบื้องต้นคาดว่า สาเหตุของการระเบิดมาจากแรงเสียดสีที่ไทยมุงกลุ่มที่ไปงัดตู้คอนเทนเนอร์ เนื่องจากท่อแก๊ปไฟฟ้ามีคุณสมบัติจุดระเบิดได้ง่าย เพียงแต่มีแรงกระทบหรือประกายไฟจากบุหรี่หรือการอัดกระแทก ก็เกิดระเบิดขึ้นมาได้ หรืออาจจะมีไทยมุงเก็บแก๊ปไปสูบบุหรี่ไป ทำให้กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งมโหฬารของไทย ที่ในที่สุดแล้วมีจำนวนผู้เสียชีวิตรวมกว่า 200 ศพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top