Monday, 21 April 2025
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

‘อีลอน มัสก์’ ทวิตสนซื้อ ‘แมนฯ ยู’ โดนชาวเน็ตสวน เอาจริงหรือแค่ปั่น

อีลอน มัสก์ นักธุรกิจ และนักลงทุนชื่อดังชาวอเมริกัน เจ้าของบริษัทสเปซเอ็กซ์ เรียกเสียงฮือฮาอีกครั้งในโลกโซเชียล เมื่อโพสต์ข้อความระบุว่า ตนมีแผนจะเข้าไปเทคโอเวอร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวจาก เอ็กซ์เพรส สื่อชั้นนำของอังกฤษ ว่า ตระกูลเกลเซอร์ เจ้าของทีม "ปีศาจแดง" ตั้งราคาขายสโมสรเอาไว้ที่ 4,000 ล้านปอนด์ หลังทีมทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ในการเริ่มต้นฤดูกาล 2022/23

ล่าสุด อีลอน มัสก์ ออกมาทวิตข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัวเมื่อช่วงเช้าวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า "ตอนนี้ผมกำลังซื้อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยความเต็มใจ"

'แฟนผีแดง' งงเต้กหลังซื้อเสื้อแข่ง ‘ผีแดง’ แต่ดันได้กระดุมเสื้อเป็นทีม ‘อาร์เซนอล’

แฟนบอลรายหนึ่งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถึงกับตกตะลึง หลังเสื้อแข่งทีมเหย้าของ 'ผีแดง' ที่เจ้าตัวเพิ่งควักเงินซื้อมาเชยชมหมาด ๆ นั้น กลับใช้กระดุมตรงคอเสื้อที่เป็นของ อาร์เซนอล ทีมคู่แข่งร่วมลีกเสียอย่างนั้น

แฟนบอล 'ผีแดง' รายหนึ่งที่ใช้ชื่อในติ๊กต็อกว่า @greatpmc โพสต์คลิปอวดเสื้อแข่งทีมเหย้าของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ตัวเองเพิ่งซื้อมา พร้อมติดแฮชแท็ก #glazersout เพื่อประท้วงตระกูลเกลเซอร์ผู้เป็นเจ้าของสโมสรด้วย โดยกล่าวว่า “เพิ่งซื้อเสื้อแข่งราคาแพงของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มา เลยจะเอามาตรวจเช็กดูเสียหน่อย ทุกอย่างดูดี ทั้งตราอาดิดาส คอเสื้อก็สวย ทุกอย่างยอดเยี่ยม แต่เดี๋ยวนะ (ในคลิปเห็นภาพกระดุมเสื้อที่เป็นของ อาร์เซนอล) นี่มันอะไรกันเนี่ย!”

แฟนผีแดงเฮ! ‘ตระกูลเกลเซอร์’ ประกาศขายทีม หลังเพิ่งประกาศแยกทาง ‘พี่โด้’ - หุ้นปิดบวก 15%

‘ตระกูลเกลเซอร์’ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน เตรียมปล่อยมือ ประกาศขายทีม 'ปีศาจแดง' แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเป็นทางการ โดยเวลานี้พร้อมเปิดพิจารณาข้อเสนอจากนักลงทุนทั่วโลกที่ให้ความสนใจจะเข้ามาเทคโอเวอร์ ขณะที่หุ้นพุ่ง 15% 

มหาเศรษฐีจากสหรัฐอเมริกา เข้ามาซื้อกิจการ แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ปี 2005 ก่อนจะบริหารทีมมาอย่างยาวนาน 17 ปีจนถึงปัจจุบัน และได้รับเสียงวิจารณ์อยู่บ่อยครั้งจากเหล่า 'เรด อาร์มี' จากการบริหารงานด้านฟุตบอลที่ดูไม่ดีเสียเท่าไหร่

อย่างไรก็ตามล่าสุด 'ปีศาจแดง' แถลงผ่านเว็บไซต์สโมสรถึงประเด็นที่ว่าพวกเขาพร้อมมองหากลุ่มนักลงทุนรายอื่น ๆ ที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์ และดูแลทีมต่อไป

“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นหนึ่งในสโมสรกีฬาที่ประสบความสำเร็จ และมีประวัติศาสตร์เก่าแก่มากที่สุดทีมหนึ่งของโลก พวกเราขอประกาศว่า ณ วันนี้บอร์ดบริหารกำลังเริ่มต้นขั้นตอนสำหรับพิจารณาทางเลือกด้านยุทธศาสตร์ของสโมสรกันใหม่”

“ขั้นตอนดังกล่าวถูกวางแผนขึ้นเพื่อยกระดับการเติบโตของสโมสรในอนาคต โดยมีเป้าหมายที่แท้จริงคือการทำให้สโมสรอยู่ในตำแหน่งที่มีโอกาสได้รับประโยชน์มากที่สุด ทั้งในสนาม และในด้านธุรกิจ”

“บอร์ดบริหารของพวกเราจะพิจารณาทางเลือกยุทธศาสตร์ในทุกด้าน รวมไปถึงการหาการลงทุนใหม่เข้ามาในสโมสร การขายสโมสร หรือการดำเนินการทางธุรกิจอย่างอื่นซึ่งเกี่ยวข้องกับสโมสร รวมไปถึงการประเมินสถานการณ์เพื่อเริ่มเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีม ทั้งเรื่องสนามแข่ง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และขยายโครงการด้านธุรกิจในระดับโลก”

“การดำเนินการทุกอย่างเราจะเน้นไปที่การสร้างความสำเร็จระยะยาวให้ทั้งทีมชาย ทีมหญิง และทีมเยาวชนของสโมสร สร้างประโยชน์ให้แฟนบอล และผู้ถือหุ้นรายอื่น ทั้งนี้เรายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการพิจารณาที่กำลังดำเนินการอยู่นี้จะส่งผลให้เกิดธุรกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสโมสรหรือไม่”

“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะไม่มีการแถลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินการนี้ จนกว่าบอร์ดบริหารจะอนุมัติธุรกรรมใดๆก็ตามหรือจนกว่าจะมีการกระทำอื่นที่จำเป็นต้องมีประกาศอย่างเป็นทางการ” ปีศาจแดง แถลงปิดท้าย

ทั้งนี้คาดกันว่ามูลค่าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากมีการทำธุรกรรมซื้อขายกันจริงๆ อาจไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1.7 แสนล้านบาท และก่อนหน้านี้ก็มีนักลุงทุนทั้งมหาเศรษฐีในอังกฤษ, กลุ่มตะวันออกกลาง และสหรัฐอเมริกา เคยให้ความสนใจ

สื่ออังกฤษปูด ‘แอปเปิล’ สนใจซื้อสโมสรแมนยูฯ คาดตัวเลขซื้อขายอยู่ที่ 5,800 ล้านปอนด์

สะพัด ! ‘แอปเปิล’ ยักษ์เทค สนใจซื้อสโมสรดัง ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ หลังตระกูลเกลเซอร์ประกาศขายเมื่อต้นสัปดาห์ 

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 สื่อต่างประเทศรายงานว่า ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ‘แอปเปิล’ แสดงความสนใจที่จะซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากเจ้าของปัจจุบันคือตระกูลเกลเซอร์ประกาศขายสโมสรชื่อดังแห่งนี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่ามา

สื่ออังกฤษอย่าง ‘เดลีสตาร์’ อ้างว่า แอปเปิลอาจสนใจซื้อแมนฯยูไนเต็ดในราคา 5,800 ล้านปอนด์ (ประมาณ 251,076 ล้านบาท)

‘แมนยูฯ’ เคาะ!! ‘เทน ฮาก’ ยังได้คุมทีมต่อ แม้สัญญาฉบับใหม่จะถูกพิจารณานานไปหน่อย

(12 มิ.ย.67) สำนักข่าว ‘บีบีซี’ รายงานว่า ผู้บริหารทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำการพิจารณาผลงานของอีริก เทน ฮาก กุนซือปีศาจแดงฤดูกาลที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว และตัดสินใจให้เขาทำงานต่อไป โดยกำลังอยู่ระหว่างเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่ เนื่องจากสัญญาปัจจุบันกำลังจะหมดลงในปีหน้า

ทั้งนี้ บอร์ดบริหารหารือกันทันที หลังจบการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ‘เอฟเอคัพ’ ซึ่งแมนยูพลิกชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-1 ท่ามกลางกระแสข่าวลือหนาหูว่ากุนซือชาวดัตช์จะโดนปลดจากตำแหน่งเนื่องจากทำผลงานน่าผิดหวังในเกมลีก ด้วยการจบอันดับ 8 ของตาราง เป็นอันดับแย่ที่สุดของทีมในการเล่นพรีเมียร์ลีก

ที่ผ่านมา มีข่าวลือเกี่ยวกับว่าที่กุนซือใหม่หลายราย อาทิ โธมัส ทูเคิล อดีตผู้จัดการทีมเชลซีและบาเยิร์น มิวนิก, เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่เพิ่งโดนเชลซีปลดจากตำแหน่ง รวมถึงเกรแฮม พ็อตเตอร์, โธมัส แฟรงก์, โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ และแกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือทีมชาติอังกฤษ โดยเฉพาะรายของทูเคิลที่พบกับเซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีเจ้าของ ‘อิเนออส’ ที่เข้าไปถือหุ้น 27.7 เปอร์เซ็นต์ของสโมสร พร้อมสิทธิการบริหารงานด้านฟุตบอล แต่เจ้าตัวปฏิเสธไป

เมื่อเดือนมกราคม แรทคลิฟฟ์ก็เปรยกับสื่อเป็นนัย ๆ ว่าอาจจะให้กุนซือชาวดัตช์ทำหน้าที่ต่อไป โดยกล่าวว่า ในช่วง 11 ปีหลัง แมนยูมีโค้ชมากมาย แต่ไม่มีใครประสบความสำเร็จเท่าเขาในสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ ซึ่งนั่นบอกตนว่าสิ่งแวดล้อมหลายอย่างในทีมมีปัญหา

รายงานข่าวระบุว่า หลังจากบอร์ดบริหารลงมติดังกล่าวแล้วก็ได้พูดคุยเชิงสร้างสรรค์เกี่ยวกับแผนงานอนาคตกับเทน ฮาก โดยแหล่งข่าวใกล้ชิดอ้างว่ากุนซือวัย 54 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างพักผ่อนกับครอบครัวที่อิบิซา ดีใจกับคำตัดสินที่ออกมา แต่ก็ไม่พอใจต้นสังกัดเล็กน้อยที่ใช้เวลาพิจารณาเรื่องนี้นานเกินไป

‘โจชัว เซิร์กซี’ ซัดประตูชัยให้ ‘แมนยู’ เอาชนะ ‘ฟูแล่ม’ 1-0 ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ประเดิมเก็บ 3 แต้ม ผงาดลุ้นแชมป์ เจ้าตัวเผย!! นัดนี้เหมือนฝัน มันยอดเยี่ยมมาก

(17 ส.ค.67) ‘โจชัว เซิร์กซี’ ยอมรับเหมือนฝันที่สามารถทำประตูแรกได้ทันที ในการลงเล่นพรีเมียร์ลีก กับ ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ และทีมคว้าชัยชนะเหนือ ‘ฟูแล่ม’

แนวรุกที่เพิ่งย้ายมาจาก โบโลญญ่า ถูกเปลี่ยนลงไปแทน เมสัน เมาท์ ในช่วงครึ่งหลังนาที 61 และก็สามารถใส่ชื่อเป็นซูเปอร์ซับ ในการลงเล่นพรีเมียร์ลีก นัดแรกได้ทันที โดยประตูชัยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในนาที 87 ช่วยให้ทีม ‘ปีศาจแดง’ประเดิมเก็บ 3 แต้มในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยการชนะฟูแล่ม 1-0 หลังจบเกมเซิร์กซี กองหน้าดาวรุ่งทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ได้เผยถึงความรู้สึกหลังยิงประตูได้ทันทีในการลงเล่นในลีกสูงสุดอังกฤษครั้งแรก

‘คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ชนะได้ในเกมแรกในบ้าน และทำประตูได้ด้วย’

‘มีคนบอกผมว่า การทำประตู (ที่ฝั่งอัฒจันทร์ สเตรทฟอร์ด เอนด์ คือหนึ่งในความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด’

‘ผมขอบคุณ และโชคดีมากที่ได้สัมผัสประสบการณ์นี้ในเกมแรกของผม มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือเราชนะ นั่นคือทั้งหมดที่เราต้องการ ผมไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาได้ มันดีมากๆ มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์เลย’

"ผมได้รับการต้อนรับที่ดีมากๆ นี่คือทีมที่ยอดเยี่ยม เราต้องการบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ให้ได้ มันน่าทึ่ง มันเหมือนฝันจริงๆ" ดาวเตะวัย 23 ปีกล่าวทิ้งท้าย

‘ผีแดง’ แพ้!! ‘ฟอเรสต์’ คาบ้าน 2-3 ปราชัย!! ในลีก 2 นัดติดต่อกันแล้ว

(8 ธ.ค. 67) ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม พลาดท่าพ่าย น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ คาบ้าน 2-3 ปราชัยในลีก 2 เกมติดต่อกัน

เกมดังกล่าว น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ออกนำอย่างรวดเร็ว 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 2 จากจังหวะลูกเตะมุม และเป็น นิโคลา มิเลนโควิช โขกเข้าไป อย่างไรก็ดี แมนฯ ยู มาตีเสมอ 1-1 จากราสมุส ฮอยลุนด์ และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลัง ฟอเรสต์ ออกนำอย่างรวดเร็วอีกครั้ง 2-1 จากลูกยิงนอกกรอบสุดสวยของ มอร์แกน กิ๊บส์ ไวท์ น.47 ก่อนจะมาบวกสกอร์เพิ่มหนีห่าง 3-1 จากลูกโหม่งของ คริส วูด น.54

แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ได้ประตูตีตื้นมาเป็น 2-3 จากจังหวะที่ อาหมัด ดิยัลโล่ จ่ายย้อนกลับมาที่หัวกะโหลกให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซัดเข้าไป

ช่วงเวลาที่เหลือเจ้าถิ่นพยายามโหมบุกอย่างหนักเพื่อทำประตูคืน แต่จบสกอร์ไม่เฉียบคมพอ สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด พ่ายน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ คาบ้าน 2-3 ปราชัย 2 เกมติดต่อกัน รั้งอันดับ 13 ของตาราง มี 19 คะแนน จาก 15 นัด ส่วน ‘เจ้าป่า’ มี 25 แต้ม รั้งอันดับ 5

ทำความรู้จัก ‘เดนนิส ลอว์’ ราชันย์สตั๊ดเหินหาวแห่ง ‘โอลด์แทรฟฟอร์ด’ หนึ่งในตำนาน ‘United Trinity’ คนสุดท้ายที่เพิ่งลาลับตลอดกาล

(19 ม.ค. 68) หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักในเกมฟุตบอล ต่อให้คุณไม่ใช่แฟนบอลของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อย่างน้อยที่สุดคุณก็ต้องเคยได้ยินเรื่องเล่าขานถึงความเก่งกาจของชายผู้เป็นตำนานสุดยอดดาวยิงคนหนึ่งเท่าที่โลกใบนี้เคยมีมา ผู้เป็นเจ้าของลีลาถล่มประตูที่ดุดัน ถึงลูกถึงคน ทำประตูได้ทุกรูปแบบโดยเฉพาะท่าไม้ตายการกระโดดวอลเลย์ลูกกลางอากาศอย่างสวยงาม รวมไปถึงท่าดีใจอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยการยกแขนขวาเหยียดตรงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า อันเป็นภาพคุ้นตาของแฟนบอลในยุค 60’s ต่อ 70’s และเป็นหนึ่งในสามประสาน ‘United Trinity’ ร่วมกับ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ จอร์จ เบส อดีตขุนพลเอกแห่งสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ภายใต้การนำทีมของเซอร์ แมตต์ บัสบี้ นำความสำเร็จมาสู่สโมสรและวงการฟุตบอลอังกฤษอย่างถล่มทลาย สถิติมากมายได้ถูกสร้างขึ้นและคงอยู่อย่างยาวนาน บางสถิติก็ยังไม่ถูกทำลายลงไปได้จนถึงปัจจุบัน 

เนื่องในโอกาสการจากไปของเดนนิส ลอว์ ใดใด Digest ขอน้อมคารวะชายผู้เป็นตำนานท่านนี้ด้วยการบันทึกเรื่องราวของเขาไว้ ณ ที่นี้ครับ 

เดนนิส ลอว์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1940 ณ เมืองอเบอร์ดีน ประเทศสก็อตแลนด์ ในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่ฐานะไม่สู้ดีนัก โดยเป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 7 คน และในความยากจนนี่เองที่เด็กน้อยเดนนิสได้ค้นพบความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลของตัวเองจากการเตะลูกฟุตบอลทำเองจากเศษผ้าเล่นกับบรรดาพี่น้องและเพื่อนฝูง และด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นของเดนนิส ทำให้เขาฉายแสงออกมาจากเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างชัดเจนและในไม่นานก็ถูกค้นพบโดยแมวมองจากสโมสรฟุตบอลอาชีพ ซึ่งทำให้เดนนิสได้มีโอกาสได้ไปทดสอบฝีเท้าและเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพด้วยอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น โดยสโมสรที่ค้นพบเดนนิสและเซ็นสัญญาอาชีพด้วยเป็นทีมแรกคือสโมสรฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ (อ่านมาถึงตรงนี้ ใครรู้สึกคุ้นๆชื่อสโมสรนี้ ใช่ครับ! นี่คือสโมสรที่หนึ่งในตำนานนักฟุตบอลชาวไทยอย่างพี่ซิโก้ เกียติศักดิ์ เสนาเมืองของเราเคยบินมาค้าแข้งด้วยเป็นเวลาสั้นๆนั่นเอง) ในเวลานั้นกุนซือของฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์ได้แก่ บิลล์ แชงค์ลี่ ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาจะก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือระดับอภิมหาตำนานของสโมสรลิเวอร์พูลนั่นเอง ตลอด 4ปีที่ฮัดเดอส์ฟิลด์ทาวน์นี่เองที่เดนนิสได้เริ่มเปล่งประกายความเป็นสุดยอดดาวยิงฟ้าประทานออกมา และทำให้ตัวเขากลายเป็นที่ต้องการของหลายๆสโมสรในอังกฤษ จนกระทั่งเขาได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้เป็นเวลาสั้นๆแค่ 1 ปีด้วยค่าตัวที่สูงที่สุดในเกาะอังกฤษ ณ เวลานั้นที่ 55,000 ปอนด์ ก่อนที่จะถูกสโมสรโตริโน่จากอิตาลีซื้อตัวไปด้วยค่าตัวสูงที่สุดเป็นสถิติโลกในเวลานั้นที่ 110,000 ปอนด์ และทำให้เดนนิสเป็นนักเตะจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่ย้ายมาเล่นในภาคพื้นยุโรป แต่ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการปรับตัวหลายๆอย่างในสมัยนั้น ทำให้เดนนิสย้ายกลับมายังเกาะอังกฤษ และสโมสรที่ซื้อเขากลับมาด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลกอีกเช่นกันที่ 115,000 ปอนด์ ก็คือสโมสรที่ส่งให้เขากลายเป็นตำนานไปตลอดกาลในเวลาต่อมาซึ่งก็คือสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั่นเอง

เดนนิสค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดรวมแล้วทั้งหมด 11 ปี ตั้งแต่ปี 1962 ถึง 1973 ซึ่งตลอดระยะเวลานี้ เขาได้สร้างความสำเร็จและสถิติต่างๆฝากไว้อย่างมากมาย อาทิเช่น

1. สถิติยิงประตูให้สโมสรสูงที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับที่ 3 โดยลงเล่นทั้งหมดให้กับยูไนเต็ด 404 นัด ทำไปได้ทั้งหมด 237 ประตู 

2. ได้รับการขนานนามจากแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดว่าเป็น ‘ราชันย์แห่งเสตร็ทฟอร์ดเอ็นด์’ ซึ่งมีที่มาจากการฉลองการทำประตูของเดนนิสร่วมกับแฟนบอลฝั่งอัฒจันทร์ทีมเหย้าของสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดซึ่งเป็นภาพชินตาของแฟนบอลในยุคนั้น 

3. เดนนิสเป็นสมาชิกคนสำคัญที่นำถ้วยรางวัลมาสู่สโมสรมากมายได้แก่ แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 2 สมัย, แชมป์สโมสรยุโรป 1 สมัย (แม้ว่าจะไม่ได้ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศเนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็ถือเป็นผู้มีความสำคัญในการพาทีมเข้าสู่นัดชิงได้สำเร็จ), แชมป์ FA Cup 1 สมัย

4. ในด้านรางวัลส่วนตัว เดนนิส ขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิตนักฟุตบอลระหว่างเล่นให้ยูไนเต็ดด้วยการได้รับรางวัล Ballon D’Or หรือนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปในปี 1964 และเป็นนักเตะชาวสก็อตคนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งคงจะเป็นหนึ่งเดียวจากสก็อตแลนด์ไปอีกนานหรืออาจจะตลอดไป 

ในช่วงปลายอาชีพเดนนิสได้ย้ายกลับไปเล่นกับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้อีกครั้งเป็นระยะเวลาสั้นๆเพียง 1 ปี แต่ก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นคือ เดนนิสเป็นผู้ยิงประตูชัยด้วยการตอกส้นให้แมนเชสเตอร์ซิตี้เอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ในนัดท้ายๆของฤดูกาล 1974 ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดตกชั้นในปีนั้นในที่สุด ซึ่งเดนนิสก็ได้แสดงความเคารพอย่างสูงต่ออดีตสโมสรของเขาด้วยการไม่แสดงการดีใจและมีสีหน้าเสียใจหลังยิงประตูนั้นได้ซึ่งก็นับเป็นเหตุการณ์สุดคลาสสิคเหตุการณ์หนึ่งของโลกฟุตบอลมาจนถึงปัจจุบัน

ในด้านเกียรติประวัติกับทีมชาติสก็อตแลนด์นั้น เดนนิสลงสนามรับใช้ชาติไปทั้งหมด 55นัด โดยยิงไปได้ 30 ประตู รวมถึงการพาสก็อตแลนด์เข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ทั้งหมด 2 สมัย

ภายหลังจากแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 1974 เดนนิสก็ยังคงมีส่วนร่วมกับวงการฟุตบอลที่เขารักอย่างต่อเนื่องด้วยการรับตำแหน่งเป็นทูตฟุตบอลให้กับสโมสรที่เขาผูกพันที่สุดอย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และออกงานการกุศลเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งและอื่นๆอย่างสม่ำเสมอ 

เดนนิส ลอว์ จากไปอย่างสงบในคืนวันที่ 17 มกราคม 2025 ที่ผ่านมาด้วยวัย 84 ปีจากอาการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์และโรคหลอดเลือดสมอง โดยฝากผลงานและตำนานอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับโลกฟุตบอลและโดยเฉพาะแฟนบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในฐานะ ‘United Trinity’ คนสุดท้าย โดยรูปปั้นของเดนนิสในท่าเหยียดแขนขวาขึ้นสุดพร้อมชี้นิ้วขึ้นสู่ท้องฟ้าอันเป็นท่าฉลองประตูประจำตัวอันคุ้นชินขนาบข้างด้วยสองสหายรักและเพื่อนร่วมทีมอย่างเซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ตัน และ จอร์จ เบส หันหน้าเข้าสู่สนามเหย้าของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ได้รับการขนานนามว่า ‘โรงละครแห่งความฝัน’ จะคงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน รวมถึงความสามารถอันเป็นตำนานและคุณูปการต่างๆที่เดนนิส ลอว์สร้างขึ้นและฝากไว้ให้กับคนรุ่นหลังก็จะถูกจดจำและกล่าวขานไปอีกนานแสนนานเช่นกัน 

ด้วยจิตคารวะ

19 กุมภาพันธ์ 2453 สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดเปิดใช้งานครั้งแรก ลิเวอร์พูลเฉือนชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 4-3

โอลด์แทรฟฟอร์ด (Old Trafford) คือสนามฟุตบอลที่ตั้งอยู่ในเขตโอลด์แทรฟฟอร์ด (Greater Manchester) ประเทศอังกฤษ และเป็นสนามเหย้าของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในพรีเมียร์ลีก โดยมีความจุ 74,310 ที่นั่ง เป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสโมสรฟุตบอลในสหราชอาณาจักร และใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของอังกฤษ รองจากสนามเวมบลีย์ และเป็นอันดับที่ 12 ของยุโรป โอลด์แทรฟฟอร์ดตั้งอยู่ห่างจากโอลด์แทรฟฟอร์ดคริกเกตกราวนด์ประมาณ 800 เมตร (0.5 ไมล์)

สนามแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า 'The Theatre of Dreams' (โรงละครแห่งความฝัน) โดยบ็อบบี ชาร์ตัน ตำนานนักฟุตบอลของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ตั้งแต่ปี 1910 แม้ว่าช่วงระหว่างปี 1941 ถึง 1949 สโมสรจะต้องย้ายไปใช้สนามเมนโรด เนื่องจากสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดได้รับความเสียหายจากระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หลังจากการซ่อมแซมและการขยายสนามหลายครั้งในช่วงปี 1990 และ 2000 รวมถึงการเพิ่มชั้นที่ 2 ให้กับอัฒจันทร์ทั้ง 3 ด้าน สนามจึงสามารถรองรับผู้ชมได้เกือบ 80,000 คน สถิติผู้ชมสูงสุดของสนามคือ 76,962 คน ที่เข้าชมการแข่งขันเอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศระหว่างวูล์ฟแฮมป์ตันวันเดอเรอส์กับกริมสบีทาวน์ในปี 1939

โอลด์แทรฟฟอร์ดยังเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระดับนานาชาติมาหลายครั้ง รวมถึงฟุตบอลโลก 1966, ยูโร 1996, โอลิมปิกฤดูร้อน 2012 และแชมเปียนส์ลีก 2003 รวมถึงการแข่งขันรักบี้ลีกระดับสูง เช่น ซูเปอร์ลีก แกรนด์ไฟนอล และรอบชิงชนะเลิศรักบี้ลีกชิงแชมป์โลกในปี 2000, 2013 และ 2022

สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดมีประวัติศาสตร์ยาวนานที่เริ่มต้นก่อนปี 1902 เมื่อแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยังใช้ชื่อว่า 'นิวตันฮีต' และเล่นในสนามที่มีสภาพไม่ดี จนกระทั่งในปี 1909 จอห์น เฮนรี เดวีส์ ประธานสโมสรคนใหม่ ได้บริจาคเงินสร้างสนามแห่งใหม่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด โดยออกแบบโดยอาร์ชิบัลด์ ลิทช์ สถาปนิกชาวสก็อต ที่มีชื่อเสียงในการออกแบบสนามฟุตบอลหลายแห่ง

การก่อสร้างสนามใช้เวลาจนเสร็จในปี 1909 และมีความจุเริ่มต้นที่ประมาณ 80,000 คน สนามแห่งนี้เปิดใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 1910 โดยแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเปิดบ้านพบกับลิเวอร์พูล ซึ่งลิเวอร์พูลเอาชนะไป 4-3 แม้สนามนี้จะได้รับความเสียหายจากการโจมตีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมและขยายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top