Monday, 21 April 2025
แจ็ครัสเซล

ยอมใจ!! ‘นักการเมืองพรรคส้ม’ ขยันสร้างเรื่องฉาว แถม ‘ไร้ความสามารถ – ขาดผลงาน’ 14 ล้านเสียงเริ่มเบือนหนี

ทำไมเรื่องฉาวโฉ่ เรื่องหลอกต้มสังคม เรื่องน่าละอาย จึงมีแต่นักการเมืองพรรคส้ม..พรรคเดียว 

แทบจะทุกวันตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าเป็นข่าวของนักการเมืองแย่ ๆ ทำในเรื่องไม่ดี ๆ ที่คนอื่นไม่กล้าทำกัน สำหรับสังคมไทยก็มักจะเกิดขึ้นกับ 'นักการเมืองพรรคส้ม' พรรคเดียว ตามหน้าฟีดเฟซบุ๊กจะมีข่าวให้คนเอาไปเมาท์ไปก่นด่ากันไม่จบไม่สิ้น 

ถือเป็น 'พรรคเซเลบริตี้' ประจำสังคมไทยยุคใหม่ แต่ดังในทางเสื่อม จนสังคมเอือมระอาและเบื่อหน่าย แม้แต่คนที่เคยอยู่ใน 14 ล้านเสียง จากที่พูดคุยกับคนเหล่านี้จำนวนไม่น้อยถึงวันนี้ก็หูตาสว่างกันมากแล้ว ด้วยเรื่องแย่ ๆ เรื่องเดิมยังไม่ทันจบ กลิ่นเหม็นเน่ายังไม่ทันจางหายไปจากโซเชียล เรื่องใหม่กับนักการเมืองในพรรคคนใหม่ ก็ผลัดเปลี่ยนมาสร้างเรื่องที่น่าอับอายต่อทันที จนช่องข่าวแทบทุกค่าย ยกเว้นค่าย 'น้อยสีหัวใจแอบส้ม' นำเสนอข่าวคาว ๆ แทบไม่ทัน 

ประสาคนรักบ้านเกิด รักสังคมไทยแบบผม หรือคนไทยอีกมากมายที่เราต่างก็เสียภาษี ไม่ได้รู้สึกดีที่เรามีนักการเมืองคุณภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นนี้ เห็นข่าวแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น พฤติกรรมแย่ ๆ ทั้งในและนอกสภา การแอบอ้าง การเอาดีเข้าตัวผลักความชั่วให้คนอื่น การสร้างภาพตบตาคนโง่ว่าตนนั้นเป็นนักการเมืองที่ดี และการได้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ไม่ไกลไปกว่าเด็กมัธยมปลาย ผมรู้สึกเสียดายเงินภาษีที่ต้องไปแบ่งจ่ายให้กับนักการเมืองพรรคนี้ ถึงวันนี้ผมก็ยังมองไม่เห็นประโยชน์ หรือผลงาน ที่นักการเมืองเหล่านี้สร้างทำให้กับสังคมไทยเลยแม้แต่น้อย เพราะมีแต่เรื่องคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ หรือไม่ก็ยกเลิก 112 

คนเราเมื่อมีมาตรฐานที่ต่ำ ความคิด การกระทำ ก็ย่อมจะไม่สูง เรื่องต่ำ ๆ สกปรก เรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ก็จะเกิดขึ้นในมโนสำนึก และมักจะดึงดูดคนในมาตรฐานเดียวกันให้มาอยู่รวมกัน ถ้าจะมีข้อดี ก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์ของผู้คนในสังคมไทยมากถึง 14 ล้านเสียงได้เป็นอย่างดี เพื่อให้เราสามารถคะเนได้ว่าเรามีคนไทยร่วมชาติมีความคิดกันอย่างไร แต่โชคดีที่คนที่กาเลือกพรรคนี้ไม่ได้มีสูงเกินครึ่งของจำนวนคนไทยทั้งประเทศ มิเช่นนั้นประเทศไทยของเราอาจจะยากลำบากกว่านี้ 

เพราะนอกจากเราจะมีนักการเมืองที่โง่เง่า ทำงานไม่เป็น สร้างแต่ข่าวฉาว ๆ และน่าอับอายชาวโลกรายวัน เรายังมีเพื่อนร่วมชาติที่เบาปัญญาไม่ต่างกันมาช่วยสนับสนุนให้ความชั่วนั้นเติบโต หากเป็นเช่นนั้น ประเทศไทยคงจะเกิดสงครามกลางเมืองไปนานแล้ว ผมยังเชื่อว่าคนไทยฝั่งที่เลือกจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และไม่ได้เป็น “เด็กเช็ดรองเท้าให้ตะวันตก” เหมือนพรรคการเมืองไร้ความสามารถพรรคหนึ่ง ยังมีอยู่มากล้นในผืนแผ่นดินไทย 

‘นักต้มตุ๋น’ ยุคใหม่ส่วนใหญ่ล้วนผ่าน ‘การทำศัลยกรรม’ หวังหลอกเหยื่อผ่านรูปลักษณ์ แต่ซุกไว้ด้วยจิตใจไม่รู้จักพอ!!

(15 ต.ค. 67) ทำไม นักหลอกลวง นักต้มตุ๋น นักอวดรวย ที่เป็นคนไทย แทบจะ 100% มักเป็นคนที่เสพติดการทำศัลยกรรมใบหน้า?

บทความนี้ไม่ได้จะบอกว่าทุกคนที่ทำศัลยกรรมใบหน้าเป็นคนไม่ดี แต่ตามประสบการณ์ที่พบเห็นมาหลายคดีความที่เกี่ยวกับการหลอกลวง, การต้มตุ๋น, แชร์ลูกโซ่, Forex-3D, แม่ค้าออนไลน์ขายทอง, ขายครีม, ขายกระเป๋าแบรนด์เนม หรือแม้แต่การหลอกลวงให้นำเงินมาลงทุน ไม่ว่า “นักฉ้อโกงระดับหัวหน้า” จะเป็นชาย หรือหญิง ก็มักจะทำศัลยกรรมใบหน้ามาอย่างโชกโชนทุกคน

เป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่โจรมักจะ “เกลียดใบหน้าเดิมของตัวเอง” ตรงกัน หรือเพราะการทำศัลยกรรมใบหน้าสามารถบ่งชี้ได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของคนที่พร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดูดีในสังคม เพื่อที่จะมีมากกว่าคนอื่น จนสามารถไปยืนในจุดที่มีผู้คนยอมรับ โดยไม่สนว่าจะได้รับความร่ำรวยมาด้วยวิธีการใด?! 

คนที่เกลียดความเป็นจริงของตัวเอง โดยเริ่มจากใบหน้า สรีระร่างกาย ฐานะความเป็นอยู่ หรือสังคมแวดล้อม ก็ย่อมจะหาทางหนีให้ห่าง และพยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างชีวิตใหม่ เพื่อมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้คน

ไม่ผิด ที่คนเราจะมีความทะเยอทะยานมุ่งหวังให้ชีวิตของตนเองสุขสบาย แต่ควรต้องอยู่ในกรอบของความดีงาม ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร และต้องไม่ทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย โดยเลือกเส้นทางอาชญากร หรือเป็น “นักหลอกต้มสังคม” ที่คิดแสวงหาเงินทอง ความมั่งคั่ง ด้วยวิธีที่ไม่บริสุทธิ์ใจ

แต่คนที่เลือกทางลัด นิยมทางเร็ว เกลียดทางเก่า และเมินโลกสังคมที่ดูไม่โสภาของตัวเอง มักจะไม่กลัวความเจ็บปวดใด ๆ ในชีวิต เพราะชินชาที่ต้องพบเจออยู่ทุกวันอยู่แล้ว มีดหมอ เข็มแหลมคม จะผ่า หรือฉีด ร้อย ถัก เย็บ ให้ต้องเจ็บสักกี่ครั้งก็คือเรื่องธรรมดา เพราะโลกใบใหม่หลังลืมตาตื่นดูจากบนเตียงศัลยกรรมนั้นคือสิ่งที่จูงใจ และรอคอยมากกว่า 

การกล้าหาญที่จะหนีจาก “ใบหน้าเดิม” ที่เห็นตัวเองในกระจกมาทั้งชีวิต อาจถือได้ว่าเป็นความมุ่งมั่นเกินคนปกติในแบบหนึ่ง แต่ไม่ใช่บทสรุปว่าคนๆ นั้น ต้องกล้าทำในสิ่งที่ชั่วช้าสามานย์ต่อมา ส่วนประเด็นที่ว่าแล้วทำไมทุกครั้งที่มีข่าว “โจรหลอกต้มผู้คน” ตามสื่อช่องต่าง ๆ โจรมักจะ “ศัลยกรรมใบหน้า” แทบทุกรายนั้น ก็เพื่อจะบอกว่าแม้ทุกคนที่ศัลยกรรมหน้าอาจจะไม่ใช่โจร แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต้องระมัดระวัง 

ศัลยกรรมคือเครื่องหมายของความทะเยอทะยาน เจอคนดี ชีวิตก็ดี เจอคนผิด ชีวิตอาจพังทลาย 

พระดัง พิธีกร นางฟ้า เทวดา ดารา รัฐมนตรี ใครร่วมทำผิดล้วนต้องติดคุก..ไม่มีข้อยกเว้น!!

(22 ต.ค. 67) มหากาพย์แชร์ลูกโซ่ “ดิไอคอน” ที่ “กลุ่มบอสโจร” สุมหัวกันหลอกปล้นผู้เสียหายไปนั้น กำลังเปลือยให้เห็นถึง “ความเน่าเหม็นของสังคมไทย” ชนิดหมดไส้หมดพุง 

ใครก็ตามทั้งพระดัง พิธีกร นางฟ้า เทวดา ดารา หรือรัฐมนตรีที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ ทั้งที่ละเอียดรอบคอบมาดีมากพอแล้ว หรือไม่เคยศึกษาลงลึกให้ถ้วนถี่ใด ๆ เลย เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “แชร์นรกแสนล้าน” ทางใดก็ตาม บัดนี้ก็ได้เวลาแล้วที่ “เงาบาป” กำลังไล่ล่าให้ต้องร่วมรับผิดชอบชีวิตน้อย ๆ ของผู้เสียหาย

บาปที่เกิดจากการร่วมเสพสุขบนความทุกข์ระทมใจของผู้บริสุทธิ์นั้น ไม่ต่างจากการจุดไฟเผาให้เขาต้องดิ้นตายทั้งเป็นต่อหน้าต่อตา กรรมรูปแบบนี้ไม่ต้องรอชาติอื่นมาลงทัณฑ์ ทำกับใครเขาไว้ในชาติใด ก็ชดใช้โดยเร็วในชาติชีวิตนั้นทันที 

ส่วนใครเป็นมวย และมีบารมีมาก ก็อาจจะดึงเกมให้ตัวเองอยู่นอกคุกได้นานหน่อย แต่ค่อนข้างแน่ใจว่างานนี้ไม่ช้าก็เร็วใครที่เคยมีเอี่ยวในการโฆษณาชวนเชื่อ คอยพูดชม เชียร์ หรือช่วยชักจูงให้ผู้คนมาเป็น “ทาสแชร์” จนหมดเนื้อหมดตัว ย่อมจะมีปัญหากับชีวิตไม่มากก็น้อยแน่นอน  

บางคนที่เคยตีกินจากความมั่งคั่งของ “บอสนักต้มตุ๋น” เหล่านี้ เงินบาปเหล่านั้นกำลังย้อนศรชีวิตตนเอง หันมาทิ่มแทงให้แต่ละวันต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ หลายคนที่คิดว่าตัวเองอาจจะโดนแน่ ๆ จึงคิดหาวิธีตีตัวออกห่างในสารพัดรูปแบบ บ้างก็เก็บตัวเงียบ บ้างทำไม่รู้ไม่ชี้ บ้างก็ไปซ่อนตัวต่างประเทศ แม้สื่อจะไล่ขุดเอาหลักฐานเก่า ๆ มาโปรยให้สังคมเห็นรายวัน แต่คนที่เก๋าเกมก็ยังไม่หลงกลสื่อง่าย ๆ หลายรายจึงยังต้องไล่บี้ในข้อกฎหมายต่อไป 

แต่ไม่ว่าจะมีใครเข้าปิ้งตาม “บอสอวดรวย” ที่ไปนอนรับกรรมในตะรางแล้วหรือไม่ อย่างไร คดีนี้ก็เปลือยให้เห็นล่อนจ้อนถึง “ความเบาปัญญา” ของสังคมไทยอีกครั้ง 

คนดัง คนมีชื่อเสียงแทบจะทุกวงการ ต่างกระโจนเข้าหาเงินก้อนโต ช่วยกันพูดเชียร์ สนับสนุน ส่งเสริม ผลักดัน ให้เหล่ามหาโจรซึ่งก็ไม่ได้ดูฉลาด กลายเป็นกลุ่มคนที่ดูน่าเชื่อถือในสังคม จนเกิดเหยื่อผู้น่าสงสารเต็มบ้านเต็มเมือง อย่าลืมว่าเหยื่อจำนวนมากไม่ได้มาเพราะ “บอสโนเนม” แต่มาหมดตัวเพราะมีคนที่น่าเชื่อถือทำให้ “บอสมหาโจร” เหล่านี้มันโด่งดัง

แล้วเวลานี้จะบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวได้อย่างไร?

‘สื่อไม่เอาไหน ทนายขี้โกง ตำรวจขี้ฉ้อ นักตบทรัพย์’ ผุดโผล่ขึ้นเป็นดอกเห็ด จนยากจะแก้ไขได้ทันแล้ว

สำหรับประเทศไทย คงไม่มีช่วงเวลาไหนที่ 'ความโฉดชั่ว' จะปรากฏจนเบ่งบานเท่าสี่ห้าปีมานี้อีกแล้ว บ้านเมืองเรามีแต่ข่าวเทา ๆ ดำ ๆ ของเหล่าทนายขี้โกง ตำรวจขี้ฉ้อ นักตบทรัพย์ นักการเมืองคอรัปชัน ผุดโผล่ขึ้นมาให้สังคมไทยได้รับรู้กันราวดอกเห็ด และที่น่าเศร้ากว่าใด ๆ 'คนดีในคราบโจร' เหล่านี้ ยังลอยหน้าลอยตาในสังคม อยากจะไปออกสื่อไหน ก็มีคนต้อนรับขับสู้ คอยเชื้อเชิญ เรียกท่าน เรียกคุณ ราวกับว่าคอนเทนต์ และยอดคนดู จะสำคัญกว่าเรื่องความย่อยยับของสังคมไทย

สื่อดังหลาย ๆ สำนักไม่จดจำใส่ใจ ไม่กล้าแสดงการ 'บอยคอต' บุคคลที่เป็นอันตราย หรือมีตำหนิติดตัวที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข พอข่าวลบ ๆ จางหายไป ทั้ง ๆ ที่ยังไร้การพิสูจน์ความจริง ก็เชื้อเชิญให้มานั่งหน้าสลอนในรายการ พูดเรื่องใหม่เพื่อให้ลืมเรื่องแย่ ๆ ที่เคยทำไว้ในอดีต ถือเป็นการ 'ช่วยฟอกความผิด' ที่ติดตัวมาช้านาน 

สังคมไทยจึงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาแต่คนแย่ ๆ หน้าเดิม ๆ ที่ไม่ต้องรับโทษ เพราะมีสื่อที่สนิทชิดเชื้อคอยเก็บกวาดพื้นที่ให้สะอาดจะได้มีที่ยืนใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา จึงพูดได้ว่าสื่อไทยบางสำนักขาดวิสัยทัศน์ และไร้ความหวังดีกับสังคมไทย ด้วยมุ่งหวังแต่การทำมาหากิน กลายเป็นสื่อที่ไร้จรรยาบรรณ ไร้มาตรฐาน ไร้จริยธรรมอย่างรุนแรง 

เรื่องนี้ยังรวมถึงคนสื่อที่มีชื่อเสียงมายาวนาน สามารถยืนระยะมาได้ถึงปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่บางสื่อถึงกับเคยเปิดพื้นที่ในรายการให้คนที่ทำมาหากินแบบเทา ๆ หรือคนคดโกงผู้คนไม่ต่างจาก 'อาชญากร' มาออกรายการเพื่อนำเสนอธุรกิจที่แฝงการหลอกต้มผู้คน เท่ากับสื่อที่มีคนดูมากมาย ลงมือช่วย 'การันตีโจร' ให้ผู้คนร่วมยินดีไปโดยปริยาย ความเสียหายของสังคมไทยจึงเกินคณานับ 

เหล่ามหาโจรในคราบ 'คนดีของสังคม' จึงปรากฏออกมาให้เห็นบนจอสื่อแทบทุกช่อง เมื่อสื่อคิดแค่ว่าต้องหารายได้ คำว่าสื่อน้ำดีจึงมีเหลืออยู่น้อยเต็มทีในปัจจุบัน เพราะทันทีที่สื่อเปิดใจต้อนรับคนเทาดำอย่างขาดสติ ขาดอุดมการณ์ที่จะช่วยพยุงให้สังคมไทยนั้นดีขึ้น ชั่วโมงนี้เราจึงเห็น 'คนที่ไม่น่าไว้วางใจ' เล่นบทคนดีมานั่งเสนอหน้าในหลาย ๆ รายการเสมอ 

ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ยัง 'คิดกันไม่เป็น' สื่อไทยก็ช่วยให้ 'คนเบาปัญญา' มองเห็นคนเลว ๆ เป็นแบบอย่างที่ดี ที่ควรเดินตาม 

บรรลัยล่ะครับ..ประเทศไทย

สส. โกงเกณฑ์ทหาร-ใช้ สด. 43 ปลอม อีกหนึ่งความมัวหมองของนักการเมืองไทย

(5 พ.ย. 67) คนไทยที่มีหัวใจเป็น “ลูกผู้ชายตัวจริง” ถ้าไม่ได้ผ่านการเรียน รด. ครบ 3 ปี เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปเกณฑ์ทหารตามปกติเฉกเช่น “ผู้ชายไทย” ทั่วไป จึงจะถือว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เอาเปรียบเพื่อนชายไทยด้วยกัน และยังได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่มีความกล้าหาญ มีความสุจริตใจ พร้อมที่จะปฏิบัติตนตามกฎกติกาของสังคม   

บางคนร่างเป็นชาย กายอยากเป็นหญิง แม้ร่างกายจะซ่อนความตุ้งติ้งไว้ภายใน แต่เมื่อมีหัวใจที่เข้มแข็งไม่แพ้ชายไทยแท้ ก็มีทั้งเลือกเรียน รด. ตอนชั้นมัธยมปลาย และมีทั้งรอไปเกณฑ์ทหารเสี่ยงจับใบดำใบแดง ก็ต้องยกย่องว่าเป็น “คนดีของสังคมไทย” ในแบบหนึ่ง

ส่วนผู้ชายไทย ที่ รด. ก็ไม่เรียน ขณะที่เพื่อน ๆ ต้องลงทุนแต่งชุด รด. อดทนถือหนังสือคู่มือนักศึกษาวิชาทหารเล่มหนาเกือบครึ่งฝ่ามือ โหนรถเมล์ไปฝึกสัปดาห์ละหนึ่งวันเป็นเวลายาวนานถึงสามปี และในตอนใกล้จบหลักสูตรก็ต้องไปฝึกภาคสนามที่ “เขาชนไก่” จังหวัด กาญจนบุรี อีกเจ็ดวันเต็ม ๆ แล้วพอถึงเวลาที่ตนเองต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ก็ยังหนี หรือโกงอีก นอกจากจะมีความผิดทางกฎหมาย ยังมองเห็นความผิดปกติในเรื่องของ “นิสัยใจคอ” สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดถึงการเป็นคนที่ชอบ “โกงเวลาชีวิตของคนอื่น” คนประเภทนี้ขาดความเสียสละ แล้งน้ำใจ ขาดความเคารพนับถือทั้งต่อตนเอง และสังคมส่วนรวม ถือเป็นคนที่ไม่น่าคบค้าสมาคม

ผู้ชายที่แค่การเกณฑ์ทหารยังหนี ยังโกง ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพที่สูงส่งหรอก แค่มีอาชีพ “หาเช้ากินค่ำ” ก็ยังไม่พ้นข้อหาน่ารังเกียจไปได้ เพราะถือว่าเป็นผู้ชายที่มีพฤติกรรมที่เอาเปรียบสังคม 

แต่ถ้ามีอาชีพเป็นถึง “นักการเมือง” ได้กินเงินเดือนจากภาษีอันเหนื่อยยากของประชาชน แต่มาถูกขุดคุ้ยว่าเคยหนีการเกณฑ์ทหาร แถมยังโกหกสังคมด้วยการโชว์ใบ สด.43 ปลอมอีก ต้องถือว่าเป็นนักการเมืองในระดับ “ชั่วเรียกพี่” นอกจากสมควรต้องได้รับโทษทางกฎหมาย เงินเดือนที่ได้รับจากภาษีของประชาชนมาตลอดการเป็น ส.ส. สมควรต้องคืนหลวงให้ครบทุกบาททุกสตางค์ 

ถ้าไม่มีเงิน ก็ลองไปขอเรี่ยไรจาก “คน 14 ล้าน” ที่ยังหูหนวกตาบอดอยู่ หรือไม่ก็ไปปรึกษา “ทนายนักต้มตุ๋นสังคม” ที่กำลังเป็นข่าวดู ถามเขาว่าเมื่อถูกผู้คนจับได้ไล่ทันแล้วว่าเป็นคนที่ “ปลิ้นปล้อน” สถานการณ์แบบนี้ควรทำตัวอย่างไรดี 

เพราะถึงอยู่ ก็ไม่สู้ตายดีกว่า อยู่แบบหมา มันเสียชาติชาย

14 ล้านเสียงเริ่มตาสว่าง หลังกระจ่างชัดในพฤติกรรม ‘พรรคล้มเจ้า‘ ทั้ง ‘หนีการเกณฑ์ทหาร - ปลิ้นปล้อนกลิ้งกลอก - หลอกใช้วัยรุ่นใจแตก‘

(26 พ.ย. 67) กว่าที่คน 14 ล้านเสียงจะเริ่มหูตาสว่าง ก็ต้องใช้เวลาลงลึกต่อสิ่งที่เลือกเข้ามาอยู่นานพอดูถึงจะเข้าใจถ่องแท้ว่าสิ่งที่ดี กับสิ่งที่เลวนั้นมีหน้าตาแตกต่างกันอย่างไร ถึงวันนี้จาก 14 ล้าน จึงหายศีรษะไปกันเยอะแล้ว

หลายคนให้เหตุผลว่าที่เลือกพรรคล้มสถาบันเพราะเบื่อ “ลุงตู่” เป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่แสนจะมักง่าย แค่เบื่อนายกคนเก่า เบื่อรัฐบาลเก่า ก็เลยเลือกส่งเดชเชียร์เด็กนิสัยเกเรแถมยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมให้เข้ามาบริหารชาติเพื่อความสะใจ 

พรรคใดที่สามารถจะล้มทหารได้ก็ออกหน้าเชียร์พรรคนั้น โดยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือว่าสิ่งที่เลวร้ายกว่าทหารก็คือพรรคการเมืองที่แอบร่วมมือกับตะวันตก ยอมเป็น “เด็กเช็ดรองเท้า” ให้เขา ร่วมมือกันเพื่อมาล้มล้างการปกครองในประเทศชาติของตัวเอง 

ลองถามใจคุณดู ระหว่างรัฐบาลที่มาจากเผด็จการทหาร แต่กลับไม่เคยคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ยังคงปกป้อง รักษา ให้เป็นสถาบันที่เป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติดังเดิม กับพรรคการเมืองจากนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่แอบดีลลับร่วมมือกับต่างชาติ หวังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในสังคมไทย กระทบชิ่งไปถึงสถาบันกษัตริย์ผ่านน้ำมือเด็กวัยรุ่น วัยเรียน ที่ถูกหลอกใช้ จนโดนคดี 112 จำนวนมาก และที่หนีไปต่างประเทศก็ไม่น้อย คุณลองคิดดูสิว่าแบบไหน “มันเหี้ยมจนตัวมอม้าหาย” มากกว่ากัน? 

ผมไม่ได้บอกว่าการปฏิวัติรัฐประหารนั้นเป็นสิ่งที่ดี แม้จะมาด้วยเจตนาที่ดี แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีที่ประชาชนแบบเราจะพูดถึงความประทับใจได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่การที่เราเบื่อหน่ายพรรคหนึ่งพรรคใด ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลือกพรรคอื่นที่ตั้งธงรบด้วยการเกลียดพรรคที่เราไม่ชอบเหมือนกัน เพราะพรรคที่เราเลือกมันอาจจะเลวในแบบอื่น ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายได้มากกว่า เราไม่ควรเอาประเทศชาติไปล้อเล่นเพียงเพราะเหตุผลว่าเราต้องเลือกพรรคการเมืองสักพรรค หรือเพียงเพราะอยากแก้แค้นพรรคที่เราเกลียด

เพราะผลที่ได้ ก็จะเป็นอย่างที่เห็น เราจึงได้นักการเมืองที่ไร้ความสามารถ หนีการเกณฑ์ทหาร กลิ้งกลอก หลอกใช้วัยรุ่นใจแตก ซุกกระโปรงเด็กผู้หญิง พูดจาโกหกปลิ้นปล้อนประชาชนไปวัน ๆ และมีแนวคิดล้มล้างสถาบันเข้ามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน มีดีสักคนไหม?

เอาปากกามาวงให้เห็นหน่อยเถอะครับ 

ระหว่างกาช่อง ‘โหวตโน’ กับเลือกที่ ‘ไม่เข้าขั้นแย่’ แบบใดจะนำพาประเทศชาติหลุดพ้นจากวังวนเดิม ๆ

อยู่ประเทศไทยหากจะหานักการเมืองที่ซื่อตรงต่อประชาชนอย่างจริงแท้ คนส่วนใหญ่จึงเลือกพรรคการเมืองที่แย่น้อยหน่อยตามความนึกคิดของตัวเองให้เข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง เพราะถ้าจะหาในแบบที่ดีบริสุทธิ์ 100% ตายแล้วเกิดใหม่อีกหลายครั้งก็ใช่ว่าจะพบเจอ เป็นการลดความคาดหวังออกจากอุดมคติของตนเอง มาก้มหน้ายอมรับสิ่งที่เห็นจริงตรงหน้า เพื่อให้สังคมไทยได้เดินต่อ แม้จะเป็นการก้าวเหยียบดินไม่เต็มฝ่าเท้าก็ตาม 

เพราะการมองและเลือกมุมนี้เท่ากับว่า คนไทยส่วนนี้สิ้นหวังแล้วว่าจะไม่พบเจอนักการเมืองที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ทุจริต และทำงานรับใช้ชาติเพื่อส่วนรวม จึงจำใจกาเลือกไปตามสติปัญญาของตัวเอง 

คนจำนวนนี้คิดว่าการ 'โหวตโน' เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นการเสียสิทธิ์ สู้เลือกพรรคการเมืองที่ยัง 'ไม่เข้าขั้นแย่' ก็น่าจะดีกว่า จะได้เอาไว้คานอำนาจ ไว้ต่อสู้กับพรรคการเมืองที่ 'เลวทั้งโคตร' หรือ 'เป็นอันตรายต่อสถาบันไทย' ย่อมจะมีประโยชน์กว่าการออกไป 'โหวตโน' ให้บัตรทิ้งเสียไปเฉย ๆ 

นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลของคนที่ไม่กาช่อง 'โหวตโน' แม้สิ่งที่เลือกจะไม่ใช่ในแบบที่ใฝ่ฝันไว้ก็ตาม

แต่ประโยชน์ของช่อง 'โหวตโน' ที่ซ่อนอยู่ คือจะช่วยสะท้อนให้เห็นว่า นักการเมืองที่เห็นและเป็นอยู่ไม่ได้มีคุณค่า หรือมีความหมายต่อคนไทยอีกต่อไปแล้ว คนไทยจึงพร้อมใจกันกาเลือก 'ช่องที่ไม่ต้องเลือกใคร' เพราะมองไม่เห็นว่าคนหรือพรรคการเมืองใดควรคู่กับ 'ความไว้วางใจ' ของประชาชนได้อีกต่อไปแล้ว 

เข็ด เบื่อ เหลืออด ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง คนใหม่ก่นด่าว่าคนเก่าแต่พอเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ทำในสิ่งที่แย่กว่า และปัญหาการคอร์รัปชันก็ไม่เคยหมดหายไปจริง ๆ แล้วจะให้ประชาชนกาเลือกในสิ่งที่มีอยู่อีกทำไม? นี่คือเหตุผลหลักของคนที่เลือกช่อง 'โหวตโน' 

หากมองในมุมโลกสวยขึ้นมาอีกนิด คนไทยที่เลือกช่อง 'โหวตโน' หรือเลือกพรรคที่ 'ไม่เข้าขั้นแย่' คนไทยสองกลุ่มนี้ก็ยังเป็นกลุ่มคนที่พอจะหวังพึ่งพิงได้ของประเทศชาติ เพราะอย่างน้อยก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่บ้องตื้นกาเลือกพรรคการเมืองที่วัน ๆ คิดแต่จะล้มล้างการปกครอง หรือพรรคการเมืองที่นอกจากเคยโกงจำนำข้าว, มีนักโทษลวงโลกบนชั้น 14 ก็ยังมีนายกนอมินีที่ติดอันดับโง่จนทำให้ประเทศชาติอับอายแทบจะทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์สื่อ

ถึงมีคำกล่าวที่ว่า นายกเป็นแบบใด คนเลือกเข้ามามันก็เป็น..แบบนั้น

เมื่อพรรคโกงจำนำข้าว แอบผสมโรงพรรคล้มล้างการปกครอง หวังขุด เจาะ ทะลวง เซาะกร่อนสถาบันผ่านสภา

(6 ม.ค. 68) ความเน่าเหม็นของรัฐบาลในหลาย ๆ เรื่อง จนเกิดเป็นความเบื่อหน่ายของประชาชนคนไทยจำนวนมาก บวกกับพรรคฝ่ายค้านที่ไม่ทำงาน “ตรวจสอบความผิดปกติของรัฐบาล” เงียบปากสนิทราวกับว่าแอบทำงานรับใช้รัฐบาลอยู่ หาใช่การเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนไม่ ที่น่าทุเรศที่สุดคือการออกตัวว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ เข้ามาเพื่อต่อสู้และกำจัด “ความเหลื่อมล้ำ” อยากเห็นสังคมไทยเท่าเทียม แต่สิ่งที่เห็น กลับไม่กล้าหืออือสักนิดกับ “เศรษฐีชั้น 14” กรณีที่วางแผนลับไม่ให้ตนเองต้องติดคุกเหมือนนักโทษทั่วไปแม้เพียงวันเดียว 

ประชาชนที่มีปัญญาวิเคราะห์ก็พอจะบอกได้ว่าทั้ง “รัฐบาลและฝ่ายค้าน” น่าจะกำลังพึ่งพากันในเรื่องสำคัญ และถ้าเดาก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่ไม่หวังดีต่อสถาบันเบื้องสูง เพื่อจะใช้แผน “สามัคคีชั่วชุมนุม” ต่อรองกับพรรคการเมืองฝั่งที่จะดำรงไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ 

ทุกลมหายใจเข้าออกของนักการเมืองสองพรรคนี้ มีแต่การ “เล่นการเมือง” เพื่อเป้าประสงค์และผลประโยชน์ของตนเอง ไม่มีสักนิดที่จะคิดทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนคนไทย

ฝ่ายค้านเห็นรัฐบาลทำเลว ก็เงียบ ไม่เร่งตรวจสอบ ไม่กล้าทักท้วง กลายเป็น “นักการเมืองทาสนักโทษ” ที่น่าละอายที่สุด แต่กลับเอาเวลาที่มีไปทำหน้าที่อุ้มชูพลเมืองจากประเทศเพื่อนบ้านแทน ถือว่าเป็นฝ่ายค้านที่ไร้ประโยชน์ติดอันดับต้น ๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย  

ความนิ่งเฉยในการตรวจสอบรัฐบาลของฝ่ายค้าน ทำให้สังคมเริ่มได้กลิ่นการ “ผสมโรงชั่ว” ระหว่าง “นักล้มการปกครอง” กับ “นักโทษชั้น 14” เพื่อการทำลายสถาบันโชยมาเป็นระยะ จากนี้ไปคนไทยที่รักสถาบันต้องช่วยกันจับตาดูสองพรรคนี้ให้ดี ๆ เมื่อพรรคหนึ่งแม้จะได้เป็นรัฐบาล แต่ก็ทำตามที่พูดไว้ไม่ได้จริง และไม่ได้ใจใครแม้แต่คนที่กาเลือกเข้ามา ทำให้คะแนนเสียงหดหาย ส่วนอีกพรรค เอาแต่คิดล้มล้างการปกครอง ทำแต่เรื่องแย่ ๆ โง่ ๆ ออกสื่อรายวัน จนคนที่เคยเลือกเริ่มจะหูตาสว่าง และถอยห่างกันมากโขแล้วในวันนี้ 

วิธีเดียวที่ทั้งสองพรรคจะต่อรองให้ตนเองมีที่ยืนเพื่อทำเรื่องชั่ว ๆ กับประเทศชาติได้อีกต่อไป ก็คือต้องหันหน้ามา “ผสมพันธุ์” กัน แล้วใช้สภาที่ตนเองอาศัยฟอกตัวอยู่รวมหัวทำร้ายสถาบันเงียบ ๆ 

ทฤษฎีที่ใครเคยบอกว่าเลือกแดงเพื่อมาล้มส้ม ผมพูดเสมอว่านั่นเป็นเพียงเรื่องในจินตนาการ

ศิลปินนักร้อง จำพวกเกลียด 112 จ้องล้มเจ้า ถึงคราวตัวเองฟ้องหมิ่นทันที - แถมใช้เพลงพระราชนิพนธ์หากิน

(28 ม.ค. 68) ข่าวโด่งดังในสังคมไทยเมื่อสัปดาห์ก่อน คงหนีไม่พ้นประเด็นศิลปินนักร้องชายชื่อดัง “แอบคบชู้” จนนำไปสู่การฟ้องร้อง และถึงแม้ฝ่ายถูกฟ้องจะยอมความพร้อมชดใช้ค่าเสียหายในที่สุด แต่เรื่องราวเชิงลึกกลับไม่จบลงแค่นั้น เพราะมีประเด็น 112 โผล่ขึ้นมากลาง “สนามรักสนามแค้น” 

สำหรับสังคมไทย คนเป็นศิลปินนักร้องที่มีชื่อเสียง แค่ถูกจับได้ว่า “นอกใจภรรยา” ก็สร้างความมัวหมองให้กับอาชีพของตนเองได้แล้ว แต่หากสืบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือมีแนวคิด “ล้มล้างสถาบัน” ก็ย่อมจะถูกสังคมไทยต่อต้าน ก่นด่า และเลิกติดตามสนับสนุน ชีวิตอาจจะดับมืดลงทันทีถ้าชื่อเสียงและบารมีไม่แข็งแรงพอ ด้วยสถาบันกษัตริย์ยังคงเป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ สมควรต้องปกปักรักษาเอาไว้ 

หากมองย้อนกลับไปในอดีต เราจะเห็นว่าศิลปินนักร้องไทยยุคสมัยก่อน จะรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เหนืออื่นใด จึงไม่ค่อยมีประเด็นที่ศิลปินนักร้องเข้าไปเฉียดใกล้คดี 112 ให้ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของตัวเองต้องมีตำหนิ ซึ่งผิดกับศิลปินนักร้องจำนวนไม่น้อยในยุคสมัยนี้ นอกจากจะไม่จงรักภักดี ไม่คิดว่าการที่ประเทศไทยอยู่อย่างมั่นคงมาได้ยาวนานส่วนสำคัญก็เพราะเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ ยังไปสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีแนวคิดล้มล้างสถาบัน หรือไม่ก็แอบติฉินนินทาด้วยภาษาหยาบ ๆ คาย ๆ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ จนบางคนเข้าข่ายผิด 112 

สังคมไทยเรียกขาน “ศิลปินนักร้องล้มเจ้า” เหล่านี้ว่า “นักร้องสามกีบ” มีพฤติกรรมเด่นคือ ชอบแอบด่า แอบกัดเซาะ แสดงตนดูหมิ่นสถาบัน แต่พอจะถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 ซึ่งเป็นคดีหมิ่นประมาทที่มีไว้ปกป้องพระมหากษัตริย์ ก็เที่ยวโห่ร้องตะโกนว่า 112 เป็นภัยต่อสังคม เป็นคดีทางการเมือง ถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองใช้มาตรานี้มารังแกตนเอง 

ทางกลับกัน พอถูกใครมาดูหมิ่น เหยียดหยาม ก่นด่า หรือใส่ร้ายตนเองบ้าง ก็เที่ยวไปฟ้องร้องดำเนินคดีคน ๆ นั้นในข้อหา “หมิ่นประมาท” ทันที พฤติกรรมเช่นนี้จึงดูย้อนแย้ง เอาแต่ได้ และเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจที่สุด ยังไม่นับที่นักร้องบางคนออกตัวว่า “เกลียดเจ้า” แต่กลับนำ “บทเพลงพระราชนิพนธ์” ไปร้องเพื่อทำมาหากิน เจอนักร้องแบบนี้ที่ไหน อย่าไปสนับสนุนให้เสียเวลาชีวิตเลย 

มันเป็นได้แค่ “ขี้กากมนุษย์” ไร้หลักการ ไร้อุดมคติ ไร้ความนับถือใด ๆ แม้แต่ตัวเอง 

ผลเลือกตั้ง นายกอบจ.ลำพูน เมื่อลูกลำไยกลายเป็นมีเปลือกส้ม รสชาติออกเปรี้ยวนำ ความหวานหอมแต่ดั้งเดิมกำลังจะเลือนหาย

(4 ก.พ. 68) เป็นที่แน่นอนแล้วว่าทุกจังหวัดในประเทศไทย “พรรคส้มล้มสถาบัน” ไม่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เลย ยกเว้นจังหวัด ลำพูน เพียงจังหวัดเดียว ย่อมสะท้อนให้เห็นแนวคิด และมาตรฐานของผู้คนในพื้นที่ได้หลากหลายมิติ 

ส่วนใหญ่ที่สุด คนลำพูนเบื่อหน่ายนายก อบจ. คนเก่า ซึ่งเป็นคนของ “พรรคโกงจำนำข้าว” ซึ่งเป็นคนใหญ่โตในพื้นที่ เก๋าเกมกางปีกคลุมเมืองลำพูนมาช้านาน แต่กลับไร้การพัฒนาตามความรู้สึกนึกคิดของ “คนรุ่นใหม่” เมื่อตัวแทนผู้สมัครจาก “พรรคส้มล้มเจ้า” โชว์วิสัยทัศน์และนโยบายที่ตรงใจ มีความหวังว่าจะเกิดขึ้นจริงในจังหวัดลำพูนได้ จึงคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ได้เป็นนายก อบจ. ของจังหวัดลำพูนคนใหม่ทันที

ประชาชนหลายจังหวัด แม้จะเบื่อนายก อบจ. คนเก่าของจังหวัดตัวเอง แต่ก็ตื่นรู้เรื่องแนวคิด “ล้มสถาบัน” ของพรรคประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อประเทศชาติ ไม่อาจหาญไปกาเลือกผู้สมัครของ “พรรคล้มสถาบัน” ให้เข้ามาเจาะเปลี่ยนความคิดของผู้คนให้ชิงชังกษัตริย์ตาม “นโยบายล้มเจ้า” ที่ฝังลึกอยู่ใน DNA ของพรรคส้ม ถ้าไม่กาช่อง “โหวตโน” ก็จะเลือกจะให้โอกาสคนจากพรรคใดก็ได้ที่ไม่มีแนวคิดล้มล้างการปกครองอย่างที่รู้สึกกัน 

เพราะตกผลึกแล้วว่า “ได้ย่อมไม่คุ้มกับเสีย” แค่การเบื่อคนเก่า แต่กาเลือกคนที่มีแนวคิดล้มสถาบันให้เข้ามาดูแลจัดการจังหวัดบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง อนาคตอาจจะพังพินาศยิ่งกว่า

การเมืองท้องถิ่นย่อมใกล้ชิดประชาชนในพื้นที่ การจะปลุกระดม เปลี่ยนแปลง สร้างความเชื่อมั่น และปลุกปั่นความนึกคิดของผู้คนให้คล้อยตาม โดยแลกด้วยผลประโยชน์ที่จับต้องได้ ก็สามารถหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้ไม่ยาก ไม่นานก็จะกลายเป็น “ลำพูนส้ม” ที่ลำไยทุกลูกเมื่อลิ้มรสชาติก็จะออกเปรี้ยวนำ หวานแต่ดั้งแต่เดิมกำลังจะหมดหายไป กลายเป็น “ลำไยเปลือกส้ม” แทน

ผมไม่บังอาจฟันธงว่าท่านนายก อบจ. คนใหม่จาก “พรรคส้มล้มเจ้า” เป็นคนไม่เก่ง ไม่มีความรู้ ไม่เจนจัดเรื่องการบริหาร หรือจะเป็นคนที่ไม่สามารถพัฒนา “เมืองลำไย” ได้สำเร็จ ท่านอาจจะทำได้ดี และทำให้ผู้คนชื่นชมมากกว่านายก อบจ. คนก่อนจาก “พรรคนายกหนีคดี” แต่เรื่องแนวคิดการไม่เอาสถาบันผ่านอำนาจที่ท่านมี ยังไง “พรรคล้มเจ้าของท่าน” ก็ต้องวางแผนออกอาวุธอย่างเป็นระบบ 

อย่าลืมว่าพรรคส้มเกิดมาเป้าหลักก็เพื่อล้มสถาบัน อย่างอื่นน่ะเป็นได้แค่เครื่องมือ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top