Saturday, 7 June 2025
เศรษฐกิจไทย

‘รัฐบาล’ จะเอาเศรษฐกิจอยู่ไหม ?? คำถาม ที่ต้องการคำตอบ อย่างเร่งด่วน

(2 มี.ค. 68) เศรษฐกิจโลก น่าจะไม่สงบไปอีกพักใหญ่ หลังการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครน ประสบความล้มเหลว ล่มไม่เป็นท่า สองผู้นำปะทะคารมดุเดือด ฟากสหรัฐ อยากให้ยุติสงคราม พร้อมให้ยูเครน รับภาระเป็นลูกหนี้ กว่า 500,000 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ ฝ่ายยูเครน ต้องการให้สหรัฐสนับสนุน เพื่อต่อสู้กับรัฐเซีย ต่อ... เมื่อสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังไม่สงบ ราคาพลังงาน ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เหลือ 2.00% ถือเป็นข่าวดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ อย่างน้อยการลดดอกเบี้ยนโยบาบ ก็สามารถเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจและประชาชน โดยเฉพาะ SMEs ที่มีหนี้สะสมกว่า 3.15 ล้านล้านบาท จะได้รับผลดีจากการลดดอกเบี้ย ช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินและเพิ่มโอกาสในการขยายกิจการ 

การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณบวกที่ภาคธุรกิจรอคอยอย่างมาก เนื่องจากจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดและส่งผลดีต่อการส่งออก ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังต้องการการฟื้นตัวและการสนับสนุนจากภาครัฐ

ซึ่งปัจจุบัน สินค้าเกษตรส่งออก โดยเฉพาะข้าวไทย ประสบปัญหา ยอดส่งออกลดลงกว่า 32% ในช่วง 2 เดือนแรกปี 2568 อินเดียกลับมาเป็นผู้นำในการส่งออกข้าว ประสิทธิภาพในเชิงผลผลิตต่อไร่ ไทยสู้เวียดนามไม่ได้แล้ว 

ตลาดโลกแข่งขันสูง ผลผลิตข้าวไทยลดลงเรื่อยๆ จนสู้คู่แข่งอย่างเวียดนามไม่ได้แล้ว ศักยภาพการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำเวียดนามแซงหน้าไทยไปมากถึง 1.6 เท่า ที่สำคัญประสิทธิภาพในเชิงผลผลิตต่อไร่ เวียดนามก็สร้างผลผลิตต่อไร่ได้ดีกว่า พร้อมกับเตรียมตัวเจออุปสรรคการส่งออก สหรัฐอเมริกา จ่อขึ้นภาษีนำเข้าข้าว และสินค้าเกษตร อีก 10% 

ส่งออกได้ลดลง เพราะ ‘ข้าวไทย ราคาแพงขึ้น’ เหมือนจะเป็นข่าวดี สำหรับ เกษตรกรชาวนาไทย ที่จะลืมตาอ้าปาก มีกิน มีใช้ แต่กลไกข้าวไทยในปัจจุบัน ชาวนาขายข้าวได้ราคาสูง จริงหรือ? หรือแพงขึ้น จากอะไร? และใคร? ที่ได้ประโยชน์จากข้าวแพง กันแน่ !! 

สถานการณ์ตลาดหุ้นไทย (SET) ปรับลงอีก 22 จุด หลุด 1,200 จุด โดยหุ้นใน SET100 แดงเกือบยกแผง นับจากต้นปี SET ร่วงลงมาแล้วเกือบ 190 จุด หรือเศรษฐกิจไทย จะกู่ไม่กลับแล้ว นักลงทุนไม่เชื่อมั่นต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มี กังวลการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่จะกระทบต่อการส่งออกสินค้า

‘รัฐบาล’ จะเอาเศรษฐกิจอยู่ไหม ? เป็นคำถาม ที่ต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วน ก่อนที่เศรษฐกิจไทย จะพังทลายมากไปกว่านี้.. 

‘ดร.กอบศักดิ์’ แนะไทยปรับ 3 ยุทธศาสตร์ ฝ่าวิกฤตศรัทธาหลัง Moody’s ลดแนวโน้มเครดิต

เมื่อวานนี้ (29 เม.ย. 68) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s Investors Service ประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยจาก 'มีเสถียรภาพ' (Stable) เป็น 'เชิงลบ' (Negative) สะท้อนความกังวลว่าเศรษฐกิจและฐานะการคลังของไทยอาจอ่อนแอลงในระยะข้างหน้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและภาระหนี้ภาครัฐที่สูงขึ้น

ด้าน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จึงออกมาโพสต์เตือนผ่านเฟซบุ๊กว่า การเปลี่ยนมุมมองของมูดีส์ถือเป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่การลดอันดับเครดิตของไทยในอนาคต หากไม่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหรือจัดการภาระหนี้อย่างจริงจัง

มูดีส์ระบุสาเหตุหลักมาจากความเสี่ยงที่ศักยภาพการเติบโตของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สถานการณ์โลกยังผันผวน โดยเฉพาะนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและห่วงโซ่อุปทานที่ไทยมีบทบาทสำคัญ รวมถึงความเปราะบางของการคลังที่ยังคงมีอยู่ตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19

แม้ Outlook เชิงลบจะยังไม่เท่ากับการลดอันดับเครดิต แต่ถือเป็น “คำเตือนอย่างเป็นทางการ” โดยในอดีตก็เคยเกิดขึ้นช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ก่อนที่มูดีส์จะกลับมาปรับมุมมองเป็นเสถียรภาพอีกครั้งในภายหลัง หากไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรง

มูดีส์ชี้ว่า หากไทยสามารถรักษาการเติบโตของ GDP ได้ในระดับ 3–4% อย่างต่อเนื่อง และลดสัดส่วนหนี้ภาครัฐต่อ GDP ลงได้ ก็อาจกลับไปสู่มุมมอง 'เสถียรภาพ' ได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจยังชะลอตัว หรือการเมืองไร้เสถียรภาพจนกระทบต่อการดำเนินนโยบาย ก็มีโอกาสที่อันดับเครดิตจะถูกลดลงจริง

ทั้งนี้ ดร.กอบศักดิ์เสนอแนวทางว่า 1) หลีกเลี่ยงนโยบายหรือพฤติกรรมที่สร้างความกังวลแก่ตลาดและสถาบันจัดอันดับ 2) เตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ 3) เร่งสร้างศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืน 3–4% ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมใหม่ การพัฒนาคน และปฏิรูปกฎหมายที่เป็นอุปสรรค

‘บอสชาตรี’ ปลื้มบิ๊กอีเวนต์ ONE สร้างเงินสะพัดระดับชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย มูลค่ากว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี

(20 พ.ค. 68) ชาตรี ศิษย์ยอดธง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ ONE แชมเปียนชิพ แสดงความภาคภูมิใจ หลังรายงานล่าสุดจาก Nielsen ชี้ว่า ONE มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สร้างรายได้หมุนเวียนกว่า 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี ผ่านการจัดการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลก และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา

รายงานระบุว่า 82% ของผู้ชมต่างชาติ ซึ่งมาจากประเทศมีกำลังซื้อสูง เช่น ออสเตรเลีย สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และแคนาดา เดินทางมาไทยเพื่อชมการแข่งขันของ ONE และกว่า 65% ของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ยังเลือกขยายทริปเที่ยวในจังหวัดอื่น ทำให้ใช้เวลาในประเทศไทยเฉลี่ยมากกว่า 10 วัน

ด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ภาคค้าปลีกและนันทนาการได้รับรายได้สูงสุดจากอีเวนต์ของ ONE รวมกว่า 105 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,675 ล้านบาท) ตามด้วยภาคที่พัก 1,890 ล้านบาท และภาคอาหารเครื่องดื่ม 1,330 ล้านบาท

บิ๊กบอสชาตรี กล่าวย้ำว่า ONE ไม่เพียงเป็นเวทีการต่อสู้ระดับโลก แต่ยังเป็นเครื่องมือทรงพลังในการส่งเสริมภาพลักษณ์และเศรษฐกิจไทย พร้อมขอบคุณแฟนคลับ นักกีฬา พันธมิตร และทีมงานทุกคนที่ร่วมผลักดัน ONE ให้เป็นฟันเฟืองสำคัญในแนวคิด 5F ของการท่องเที่ยวไทยอย่างแท้จริง

‘กอบศักดิ์’ ชี้ บริโภค – อุตสาหกรรมไทยถดถอย แนะเร่งแก้หนี้ครัวเรือน - ผลัดใบอุตสาหกรรมใหม่

 ‘ดร.กอบ’ ชี้ 2 จุดอ่อนหลักฉุดเศรษฐกิจไทย ทั้งการบริโภค - อุตสาหกรรมถดถอย เครื่องยนต์เศรษฐกิจเริ่มดับ แนะเร่งแก้หนี้ครัวเรือน-ผลัดใบอุตสาหกรรมใหม่

วันที่ (20 พ.ต. 68) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊ก กอบศักดิ์ ภูตระกูล ระบุว่า

ปัญหาหลักของเศรษฐกิจไทย !!!

เมื่อวานนี้ทางสภาพัฒน์ได้ประกาศ GDP ไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ขยายตัว +3.1% ออกมาได้ดีกว่าที่หลายคนคิด จากการเร่งส่งออก ที่ช่วยให้การส่งออกสินค้า +13.8% ซึ่งจะดีต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2

โดยผู้ประกอบการสหรัฐคงพยายามเร่งนำเข้าก่อนที่จะหมด 90 วัน มีของไว้ก่อน ดีกว่า แม้ว่าจะถูก Tariffs 10% เพราะในอนาคตไม่รู้ว่าจะจบกันอย่างไร

ในข้อมูล GDP ของสภาพัฒน์ที่แถลงออกมา มีตัวเลข 2 ตัวที่น่าจับตามองที่จะกดดันเศรษฐกิจไทยไปในช่วงหลายปีข้างหน้า

1. การบริโภคภาคเอกชน ที่ขยายตัวได้เพียง +2.6% ซึ่งน่ากังวลใจ เพราะปกติแล้ว การบริโภคภาคเอกชนจะมีขนาดประมาณ 55% ของเศรษฐกิจ เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย จะคึกคักหรือไม่ ก็จะขึ้นกับว่า คนใช้จ่ายหรือไม่ ซึ่งตัวเลขนี้ควรจะขยายตัวได้ 5-6% แต่ช่วง 4 ไตรมาสสุดท้าย ขยายตัวได้เพียงประมาณ 3% กว่าๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยโต และอีกส่วนคงมาจากการที่เราเป็นหนี้กันมาก มีหนี้ครัวเรือนสูง มีหนี้เสียเพิ่มขึ้น

2. ตัวเลขที่ยิ่งน่ากังวลใจไปกว่านั้น ก็คือ การผลิตของภาคอุตสาหกรรม ภาคนี้ คือ ภาคที่สร้างรายได้หลักของประเทศ ล่าสุดมีสัดส่วนประมาณ 28% ของ GDP ในช่วงที่เราขยายตัวดีๆ ภาคนี้จะเป็นหัวหอก เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยผลักเศรษฐกิจไทย ช่วงปี 2000-2007 ขยายตัวที่ +9.5% ช่วงปี 2010-2018 ขยายตัวที่ +4.1% แต่ 5 ไตรมาสสุดท้าย ขยายตัวเฉลี่ยเพียง +0.5%

เครื่องยนต์ดับ !!!!
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าอุตสาหกรรมไทยกำลังตกรุ่น โรงงานกำลังปิด หรือ ลดกำลังการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มยานยนต์ที่กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ถ้าเราอยากเห็นเศรษฐกิจไทยคึกคักอีกรอบ นี่คือโจทย์สำคัญที่เราต้องแก้ให้ได้

แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และ สร้างหรือผลัดใบภาคอุตสาหกรรมไทย ที่จะมาเป็นรายได้ใหม่ๆ ให้กับประเทศ ทดแทนการปิดตัวของโรงงานแบบเดิม ๆ

ถ้าเราแก้ไม่ได้ เศรษฐกิจไทยก็ยากจะกลับไปโตอย่างที่เราหวังกัน ถูกเพื่อนบ้านแซง หรือ ทิ้งไว้ข้างหลัง โชคดีช่วงนี้ คลื่นการลงทุนรอบใหม่ในอาเซียนกำลังมา หลายๆ ประเทศกำลังหลั่งไหลเข้ามาลงทุน หลังจากทิ้งเราไปหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง

ถ้าหากว่า เราได้ส่วนแบ่งที่พอสมควร อีก 3-5 ปีให้หลัง เราจะมีภาคอุตสาหกรรมใหม่ที่จะออกดอกออกผลอีกครั้งเป็นเครื่องยนต์ใหม่ให้เศรษฐกิจไทยไปอีก 15-20 ปี

ขอเป็นกำลังใจให้กับ BOI ที่พยายามต่อสู้ ช่วงชิงโอกาสให้ประเทศไทย ในช่วงเช่นนี้ หาก BOI มีงบ มีคนเพิ่มเติมอนาคตของไทยก็จะสดใสมากขึ้นครับ

วิพากษ์คำถาม BBC Thai ชี้นำ ‘ศ.โรบินสัน’ เตือนสติ!!..อย่าเปรียบเทียบไทย-เวียดนามโดยไร้บริบท

(25 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ปราชญ์ สามสี โพสต์ข้อความว่า…ข้อทบทวนต่อบทสัมภาษณ์ ศ.เจมส์ เอ. โรบินสัน และคำถามนำจาก BBC ไทย

ข้าพเจ้าได้ติดตามบทสัมภาษณ์ของศาสตราจารย์เจมส์ เอ. โรบินสัน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลและผู้ร่วมเขียนหนังสือ Why Nations Fail ซึ่งเผยแพร่ผ่าน BBC Thai อย่างละเอียด ด้วยความเคารพในองค์ความรู้และเจตนารมณ์ของท่านในการวิพากษ์โครงสร้างของสถาบันทางการเมืองและเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าขออนุญาตแสดงความเห็นต่างในสองประเด็นหลัก ทั้งในส่วนของคำตอบจากศาสตราจารย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อทิศทางของคำถามที่มาจากผู้ดำเนินรายการ ซึ่งมีลักษณะ “ชี้นำ” ไปสู่การเปรียบเทียบที่ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่เหมาะสม

1. คำถามนำที่สร้างกรอบเปรียบเทียบอย่างไม่เป็นธรรม

ประเด็นที่ข้าพเจ้ารู้สึกกังวลเป็นพิเศษ คือการที่ผู้สัมภาษณ์ของ BBC Thai พยายามตั้งคำถามในลักษณะ “ยกเวียดนามขึ้นเปรียบเทียบกับไทย” โดยเฉพาะในช่วงที่ระบุว่า “เวียดนามกำลังจะโตแซงไทย” และเปิดให้ศาสตราจารย์โรบินสันให้ความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว

แม้การเปรียบเทียบประเทศจะเป็นเรื่องปกติในงานวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ แต่การโยงเวียดนามมาเป็น “คู่แข่งโดยตรง” ของไทยในลักษณะคำถามแบบนำ (leading question) โดยไม่ปูพื้นบริบทของแต่ละประเทศให้ชัดเจน เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ามองว่าไม่ยุติธรรม และอาจชักนำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหมู่ผู้อ่านทั่วไป

2. การเติบโตของประเทศไม่สามารถวัดด้วยไม้บรรทัดเดียวกัน

ข้าพเจ้าขอชี้ให้เห็นว่า ประเทศแต่ละประเทศมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม เกาหลีใต้ หรือประเทศไทย ทั้งในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์การเมือง สงคราม ภัยคุกคามจากภายนอก รวมถึงทิศทางการพัฒนาเชิงสถาบัน

เวียดนามโตเร็วจริง หากดูจาก GDP ปี 2025 แต่เป็นการเติบโตที่ยังอิงกับการพึ่งพาภาคการผลิตส่งออกและการลงทุนต่างชาติเป็นหลัก ในขณะที่ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน การกระจายรายได้ และระบบสวัสดิการยังคงเป็นโจทย์ระยะยาวที่ไม่อาจละเลย

สิ่งที่เกิดขึ้นในเวียดนามคือผลจากเจตจำนงของผู้นำในห้วงประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ผลจาก "ความเหนือชั้นของระบบพรรคเดียว" อย่างที่บางคนอาจเข้าใจ และแน่นอนว่าไม่ใช่ "โมเดลที่ไทยควรเดินตาม" อย่างไม่มีเงื่อนไข

3. ประชาธิปไตยอาจช้า แต่ไม่หลงทาง

ประเทศไทยมีความท้าทายของตัวเอง ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมทางสังคม ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธว่าเรายังมีหนทางอีกไกลในการทำให้สถาบันต่าง ๆ มีความครอบคลุมและตรวจสอบได้อย่างแท้จริง

แต่สิ่งที่ควรมองเห็นเช่นกันคือ พลวัตของการตั้งคำถาม การเปลี่ยนแปลงจากภายใน และความพยายามของประชาชนในการผลักดันให้เกิดสังคมที่ดีขึ้น — แม้จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป

การวัดประเทศจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงปีใดปีหนึ่ง หรือใช้ประเทศเพื่อนบ้านมาเป็น “เงาเปรียบเทียบ” โดยไม่มีบริบทที่รอบด้าน จึงเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นว่าควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะในเวทีสื่อสารสาธารณะเช่น BBC ซึ่งมีอิทธิพลต่อทัศนคติของประชาชนในวงกว้าง

บทส่งท้าย — โตแบบไทยในแบบของเรา

ศาสตราจารย์โรบินสันได้กล่าวไว้ว่า “หากคุณจินตนาการสิ่งใหม่ ๆ ไม่ได้ คุณก็จะไม่มีวันเดินหน้าไปไกลได้เลย” ข้าพเจ้าเห็นพ้องในหลักการนั้น และขอเสริมว่า

“หากคุณไม่เข้าใจว่าตนเองยืนอยู่ตรงไหน คุณก็จะไม่รู้เลยว่าควรเดินไปทางใด”

ประเทศไทยอาจไม่ได้โตเร็วเหมือนใคร แต่เรามีสิทธิ์โตในแบบของเรา — โดยไม่ต้องยืมไม้บรรทัดของใครมาวัด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top