Tuesday, 22 April 2025
เด็ก

‘คุณแม่ชาวอังกฤษ’ โวย!! ไม่มีใครสละที่นั่งบนรถไฟให้ลูกของเธอ คนที่นั่งมีแต่ผู้ชาย แต่กลับมองเด็ก 5 ขวบนั่งบนพื้นหน้าตาเฉย

(8 ก.พ. 67) เพจ ‘Around the World’ ได้แชร์เรื่องราวของคุณแม่รายหนึ่งที่ได้ออกมาระบายความรู้สึกผ่านติ๊กต็อก ถึงกรณีไม่มีใครลุกให้ลูกชายของเธอนั่งเลยแม้แต่คนเดียว โดยระบุว่า…

ผู้หญิงรายหนึ่งทนไม่ไหว ใช้ TikTok ระบายความคับข้องใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครลุกให้ลูกชายวัยเด็กเล็กของเธอนั่ง บนขบวนรถไฟขบวนหนึ่งในอังกฤษ แม้แต่รายเดียว ทั้งที่เก้าอี้ในบริเวณใกล้เคียง มีแต่พวกผู้ชายทั้งนั้น

ในวิดีโอ ซึ่งมีผู้เข้าชมแล้วมากกว่า 2.1 ล้านวิว ผู้ใช้นามว่า @kellyk2016 ต้องการแฉให้เห็นว่าลูกชายของเธอ ต้องนั่งบนพื้นของขบวนรถไฟ เนื่องจากไม่มีเก้าอี้ว่างเหลืออยู่ เธอระบุด้วยว่า "คนเหล่านี้ทุกคนเอาแต่มองดูลูกชายของฉันนั่งอยู่บนพื้น ไม่รับรู้อะไรกันเลย"

ตามรายงานของเดลิเมล ระบุว่า รถไฟที่เคลลีโดยสารนั้น ได้แก่ รถไฟสาย Southern Rail Train และจากข้อความที่ปรากฏบนเว็บไซต์ ดูเหมือนผู้โดยสารจำเป็นต้องซื้อตั๋วเพื่อขึ้นรถไฟ แต่เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ สามารถใช้บริการฟรี ทว่าในกรณีนี้ผู้โดยสารจะสามารถนั่งบนที่นั่งได้ ก็ต่อเมื่อมันไม่มีผู้โดยสารคนอื่น ๆ จับจอง

ทางด้านเว็บไซต์ของ Southern Rail Train ชี้แจงว่า "คุณสามารถนำเด็กอายุ 5 ขวบมาใช้บริการได้ โดยไม่เสียค่าโดยสาร หากว่าคุณมีตั๋ว อย่างไรก็ตามคุณสามารถใช้เก้าอี้ได้ ก็ต่อเมื่อมันไม่มีความจำเป็นแล้ว สำหรับผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่มีตั๋ว"

ผู้ชมบางส่วนแสดงความไม่พอใจกับคลิปบน TikTok ดังกล่าว แสดงความคิดเห็นตำหนิ เคลลี แม้ว่าเธอจะพยายามชี้ให้เห็นว่าลูกของเธอควรได้รับเก้าอี้นั่งเป็นลำดับแรก ๆ 

"เด็กไม่ควรได้เก้าอี้นั่งในลำดับแรก ๆ คนพิการ ผู้หญิงตั้งครรภ์ คนชรา และเด็กทารก ต่างหาก ที่ควรได้นั่งบนเก้าอี้ในลำดับแรกๆ" ผู้ใช้รายหนึ่งเขียน

ส่วนอีกคนเขียนว่า "บทเรียนของชีวิต กรุณาจองตั๋วที่นั่งล่วงหน้า ทำไมคุณถึงคิดว่าลูกของคุณควรมีความสำคัญลำดับต้น ๆ เป็นเพราะคุณบอกงั้นหรือ?" 

ขณะที่อีกคนเขียนติดตลกว่า "เด็ก ๆ นั่งบนพื้น ผู้ใหญ่นั่งบนเก้าอี้ นี่คือที่เขาเรียกว่าการให้ความเคารพ"

อย่างไรก็ตาม เคลลี ชี้แจงในประเด็นนี้ว่า เธอจะมอบเก้าอี้ให้ลูกของเธอ ถ้าเธอมีที่นั่ง แต่ในกรณีนี้เธอเองก็ไม่มีที่นั่ง ทั้งที่ก็ซื้อตั๋วเช่นกัน

ขณะเดียวกันผู้ติดตามบน TikTok ของเธอบางส่วน แสดงความเห็นเข้าข้าง เคลลี และลูกชายของเธอ โดยชี้ให้เห็นถึงทัศนคติที่ย่ำแย่ของพวกผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมลุกให้เด็กนั่ง "มันเป็นพฤติกรรมแย่ ๆ ของพวกผู้โดยสารและความเห็นแย่ๆของผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์ เป็นฉัน ฉันจะมอบเก้าอี้ให้เด็กนั่งภายในเวลาไม่กี่วินาที"

แฉ!! 'ซ้ายใหม่' บ่มเพาะให้ผู้คนรู้สึกเป็นเหยื่อ เพื่อรื้อระบบเก่าแล้วสร้างใหม่  ภายใต้ยุทธศาสตร์ 'ใส่ไฟ' เหมือนอวยเด็กหัดเดินแล้วล้ม เพราะพื้นมันไม่ดี

(16 พ.ค.67) จากเพจ 'ต.ตุลยากร' ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'วัฒนธรรมของการเป็นเหยื่อ' (Victimhood Culture) ระบุว่า...

สังคมไทยปัจจุบันนั้นกำลังถูกหล่อหลอมด้วยแนวคิดของนักวิชาการฝ่ายซ้ายใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากสำนักแฟรงก์เฟิร์ต (เยอรมัน: Frankfurter Schule) 

แนวคิดหลักของสำนักนี้ ได้รับอิทธิพลและพัฒนาแนวคิดต่อยอดมาจากมาร์กซิสต์ เช่น วิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยม รวมถึงแนวคิดเรื่องการปลดปล่อยมนุษย์จากการกดขี่

ซึ่งผลข้างเคียงของการโหมประโคมเรื่องการกดขี่จากระบบ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า 'วัฒนธรรมของการเป็นเหยื่อ' (Victimhood Culture)

คนที่ถูกบ่มเพาะความคิดจากฝ่ายซ้ายมักจะเกิดอาการที่คิดว่าตนเองเป็นเหยื่อของระบบ ไม่พยายามที่จะพัฒนาตนเองเพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า โทษแต่ว่าที่ชีวิตตัวเองยังย่ำแย่อยู่อย่างนี้ก็เพราะระบบ ดังนั้นวิธีแก้ มีอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือ รื้อถอนทำลายระบบปัจจุบัน แล้วสร้างใหม่

ถ้าพูดให้เห็นภาพก็คือ เด็กหัดเดินแล้วล้ม พ่อแม่โทษว่าที่ลูกล้มนั้นเพราะพื้นไม่ดี ต้องทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่

แต่ปัญหาคือ ใช่ว่าทุกคนที่คิดเช่นนั้น หลายคนที่เริ่มต้นจากจุดเดียวกัน ในระบบเดียวกัน กลับมีชีวิตที่ดี โดยไม่ต้องโทษคนอื่น

ดังนั้นหากขบวนการฝ่ายซ้ายต้องการให้คนเห็นด้วยว่าระบบที่มีอยู่นี้ไม่ดี ก็จำเป็นที่จะต้องแสดงให้เห็นถึง 'เหยื่อ' ที่ถูกกดขี่จากระบบอย่างชัดเจน

เมื่อหา 'เหยื่อ' ที่ชัดเจนมาแสดงไม่ได้ ก็เกิดกระบวนการสร้าง 'เหยื่อ' ขึ้นมา แล้วนำโหนเพื่อบอกชาวโลกว่าระบบที่มีอยู่นั้นย่ำแย่

'เหยื่อ' ที่ถูกสร้าง จึงเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานของพวกซ้ายใหม่เท่านั้นเอง

ขอประณามทุกผู้คนที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการสร้างเหยื่อเหล่านี้ครับ

ที่มา: https://www.facebook.com/share/p/sxU25qQCazyCrAxY/?mibextid=oFDknk

แบนบุหรี่ไฟฟ้า 10 ปีแต่วิกฤตบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กพุ่งชึ้บุหรี่ไฟฟ้าเกลื่อนตลาด แม้รัฐเร่งปราบปราม

เพจ ‘มนุษย์ควัน’ ตั้งคำถามเนื่องใน ‘วันงดสูบบุหรี่โลก’ เหตุสถานการณ์ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ วิกฤต หลังพบกรณีเด็กและเยาวชนซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนเกลื่อนเมือง แม้รัฐเร่งปราบปราม พร้อมยกผลสำรวจจากภาครัฐชี้เยาวชนไทยใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า 5.3 เท่าภายในเวลาไม่ถึงสิบปี ชี้บุหรี่ไฟฟ้าเติบโตตามแนวทางส่วนใหญ่ของโลกที่ให้ถูกกฎหมาย การเน้นปราบปรามอาจไม่ใช่ทางออก

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ “มนุษย์ควัน” ที่มีผู้ติดตามกว่า 2.6 หมื่นคน ได้โพสต์ข้อความว่าด้วยเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้าและวันงดสูบบุหรี่โลกว่า “วันงดสูบบุหรี่โลกปีนี้หน่วยงานไทยมาในธีมบุหรี่ไฟฟ้า(อีกแล้ว) ปี 67 นี้ครบรอบ 10 ปีที่ประเทศไทยแบนบุหรี่ไฟฟ้าพอดี มีใครอยากเสนอคำขวัญที่สะท้อนความจริงกว่า ‘ร่วมปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า’ มั้ยครับ?”

นายสาริษฎ์ยังเผยอีกว่า “ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้จะเป็นวันงดสูบบุหรี่โลกประจำปี 2567 โดยมีคำขวัญประจำปีนี้ว่า ‘ร่วมปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า’ ผมจึงอยากถือโอกาสนี้พูดถึงเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าสักหน่อย”
“นับตั้งแต่ที่ประกาศแบนบุหรี่ไฟฟ้าไปเมื่อปี 2557 ขณะนี้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ของการแบนบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว แต่เชื่อว่ามีประชาชนคนไทยไม่น้อยที่งงกับคำกล่าวนี้ หลายคนถึงกับถามว่าประเทศไทยยังแบนบุหรี่ไฟฟ้าอยู่เหรอ นั่นก็เพราะประกาศแบนนั้นไม่สามารถจัดการปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสังคมได้จริง ไม่ว่าจะด้วยความหละหลวมในการบังคับใช้กฎหมาย หรือประเด็นของการทุจริตคอรัปชัน” “ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งการรณรงค์และปลูกจิตสำนึก ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ผมเองก็เห็นด้วยว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ของสำหรับเด็กหรือคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่มาก่อน ทว่าความรุนแรงของปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสังคมไทยในปัจจุบันนั้นน่าเป็นห่วงเกินกว่าที่การรณรงค์ เดินขบวน จัดงานวิ่ง จัดงานปั่นจักรยาน หรือเสวนาจะแก้ไขได้ทัน ในปัจจุบันนี้ตัวเลขจากผลสำรวจของภาครัฐชี้ว่าอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กไทยอายุ 13 ถึง 15 ปี มีเด็กและเยาวชนใช้บุหรี่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.3 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 17.6 ในปี 2565 ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้นกว่า 5.3 เท่าภายในเวลา 7 ปี”

“นั่นชี้ให้เห็นว่า ขณะที่กฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้าออกมา 10 ปีแล้ว อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนก็พุ่งขึ้นสวนทางกับที่ใครๆ คาดหวัง” นายสาริษฎ์กล่าว
“เมื่อวันก่อนสดๆร้อนๆ หน่วยงานได้จับกุมร้านค้าบุหรี่ไฟฟ้าที่มีลูกค้าและผู้ขายเป็นเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้แทบทุกวันจากหน้าข่าว การจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าไม่เคยหายไปเพราะมีบุหรี่ไฟฟ้ามูลค่ามหาศาลหลายล้านบาทที่ทะลักเข้ามาจากประเทศจีนโดยไม่มีการตรวจสอบ จะดีกว่าไหมถ้าประเทศไทยมีกฎหมายมาควบคุมอายุผู้ซื้อผู้ขายบุหรี่ไฟฟ้าเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่” นายสาริษฎ์ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ขณะนี้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า แต่ตนและผู้สูบบุหรี่ไทยอีกนับสิบล้านรายก็ได้แต่คาดหวังว่าผลพิจารณาจะแตกต่างจากเดิม เพราะแบนมา 10 ปีเหมือนไม่แบน สู้เอากฎหมายมาควบคุมให้มีการกำหนดอายุผู้ซื้อ ผู้ขาย ป้องกันการเข้าถึงของเด็กอย่างเข้มงวด เหมือนกว่า 70 ประเทศทั่วโลกที่กำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายจะควบคุมได้ดีกว่า

‘บิณฑ์’ ปลื้มใจ!! ดญ. 8 ขวบยอมอดขนม เอาเงินช่วยตาจ่ายค่าไฟ อาสามอบเงินสมทบช่วยเหลือ เพื่อเป็นกำลังใจให้เด็กกตัญญู

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 67) นับเป็นเรื่องราวที่แสนประทับใจให้กับทาง บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ และ เกศรา น้องสาว พร้อมชาวคณะที่ได้รับรู้จากปากของเด็กหญิง ป.2 คนหนึ่งที่มาเข้าแถวต่อคิวรอรับค่าขนมจาก บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ หลังจากที่เด็กนักเรียนของโรงเรียนบ้านคลองบง ในตำบลวังน้ำเขียว อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เลิกเรียนและกำลังพากันกลับบ้าน 

แต่ในระหว่างทางที่ บิณฑ์ ผ่านทางมาเจอเด็ก ๆ จึงจอดรถเรียกเด็กนักเรียนทั้งหมดมาต่อแถวรับค่าขนมคนละ 100 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับเด็ก ๆ รวมถึงการแบ่งเบาภาระค่าขนมแก่ผู้ปกครอง

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้ถามเด็ก ๆ ที่ได้รับเงินว่าจะเอาเงินไปทำอะไรกัน บางคนบอกไปซื้อขนม บางคนบอกไปให้พ่อแม่ แต่มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งชื่อว่า ‘น้องโยโย่’ อายุ 8 ขวบ นักเรียน ป.2 ของโรงเรียนแห่งนี้ น้องตอบด้วยเสียงและสีหน้าดีใจว่า "จะเอาเงิน 100 บาทที่ได้จากคุณบิณฑ์ ไปให้กับคุณตาคุณยายที่บ้าน เพื่อเอาไว้จ่ายค่าไฟของทางบ้าน" 

ซึ่งคำตอบของน้อง ทำให้หลายคนถึงกับอึ้งในความคิดที่เด็กหญิงคนนี้ จึงเอ่ยปากถามกลับน้องว่า "ค่าไฟที่บ้านกี่บาท" น้องตอบว่า "ไม่รู้ แต่รู้ว่า ตากับยายกำลังเดือดร้อนจากค่าไฟที่ไม่มีจ่ายจึงจะเอาเงิน 100 บาทไปช่วยตากับยายจ่ายค่าไฟ"  

พอ บิณฑ์ ได้ฟังแบบนั้นก็ควักเงินเพิ่มให้ค่าไฟไป 600 บาท และให้ค่าขนมกับน้องอีก 100 แยกจากค่าไฟ สร้างความดีใจให้กับเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก

ต่อมาทีมข่าวได้พบกับคุณตาของ น้องโยโย่ ซึ่งคุณตา ได้มารับน้องกลับบ้านพอดี คุณตาชื่อว่า นายแฉล้ม จงรวยกลาง อายุ 62 ปี มีอาชีพรับจ้างทำสวนทั่วไปในพื้นที่ ยอมรับว่าที่ผ่านมามีความเดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านเพราะรับจ้างรายวัน เงินที่ได้มาก็ใช้จ่ายในบ้านรายวันรวมถึงค่าขนมน้องไปเรียน ทำให้ที่ผ่านมาจะเกิดความทุกข์ใจเรื่องค่าไฟในบ้านบ่อยครั้ง ซึ่งน้องโยโย่ ก็ทราบดีและจะคอยประหยัดค่าขนมเพื่อเก็บเงินช่วยค่าไฟ เช่นกัน พอน้องได้เงินครั้งนี้ก็รีบมาบอกตนว่าได้เงินค่าไฟแล้ว เอาเงินมาให้ตน ทางตนก็ดีใจที่มีเงินจ่ายค่าไฟแล้ว ส่วนค่าไฟที่ใช้ก็ตกเดือนละประมาณ 5-6 ร้อยบาท

ด้าน บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ บอกว่า สำหรับการมอบเงินค่าขนมให้กับเด็ก ๆ แบบนี้ ตนชอบให้และให้เป็นประจำเวลาไปต่างจังหวัด พอเจอเด็ก ๆ ระหว่างทางก็จะจอดรถมอบเงินไว้ให้ค่าขนม ซึ่งครั้งนี้ระหว่างทางที่กลับมาจากวัดที่ตนและมูลนิธิร่วมกตัญญูไปถวายเทียนพรรษา ก็เห็นว่าเด็กนักเรียนเลิกเรียนกำลังพากันกลับบ้าน จึงจอดรถลงมาพูดคุยและมอบเงินค่าขนามให้กว่า 30 คน แต่มีคนหนึ่งที่ตนรู้สึกอึ้งในความกตัญญูและความคิดของน้องโยโย่ ที่มีความคิดว่าจะเอาเงินค่าขนมนี้ไปช่วยตาจ่ายค่าไฟ ซึ่งถือว่าเด็กในวัย 8 ขวบนี้มีความคิดกตัญญูและเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเยาวชน ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในบ้าน 

"อันนี้ขอชื่นชมน้องโยโย่จากใจ ซึ่งนอกจากจะมอบเงินค่าขนมให้กับเด็กแล้ว ผมยังมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับสองตายายที่บ้านอยู่ข้างโรงเรียนเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจสำหรับคุณตาและคุณยายทั้งสองท่านอีกด้วย" บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ กล่าว

รรท.รอง ผบ.ตร. ขับเคลื่อนงานพิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง ยกระดับกระบวนการคัดกรองบุคคลกลุ่มเสี่ยงเหยื่อค้ามนุษย์

วันนี้ ที่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาล ที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดเกี่ยวกับเด็ก สตรี ครอบครัว และภาคประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ พร้อมกับการนำประเทศไทยไปสู่ระดับ Tier 1 โดยมุ่งหวังให้ ตร. มีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาล มาสู่การปฏิบัติ โดยจัดตั้งศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) และมอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เป็น ผอ.ศพดส.ตร. เพื่อขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

พล.ต.ท.ประจวบฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกระบวนการคัดกรองบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ ณ ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้าและฝ่ายพิธีการเข้าเมือง ชั้น 2 อาคารผู้โดยสารขาเข้า (โซน 1) และฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาออก ชั้น 4 อาคารผู้โดยสารขาออก (โซน 2) ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จว.สมุทรปราการ โดยมี ผู้แทน บก.ตม.2 และ ผกก.ในสังกัด ที่ปฏิบัติหน้าที่ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เข้าร่วม โดยได้กำชับให้ยึดถือขั้นตอนการปฏิบัติตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ หรือ NRM (National Referral Mechanism) ยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง (Victim-Centered Approach) คำนึงถึงบาดแผลทางใจของผู้เสียหาย(Trauma Informed Care) และเน้นย้ำไม่ให้เจ้าหน้าที่ทุกนาย เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด           

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า พฤติกรรมที่เข้าข่ายการค้ามนุษย์ที่อาจพบได้ในสนามบิน มีหลายประการ เช่น การถูกหลอกลวงไปทำงาน การถูกหลอกลวงไปค้าประเวณี การเดินทางเข้ามาเป็นขอทานในประเทศไทย การถูกหลอกลวงโดยแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ การถูกหลอกลวงเรียกค่าไถ่เสมือนหรือถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่โดยตรง โดยมีกระบวนการขึ้น Watch List และควบคุมแรงงานไทยที่เคยเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ คือ กต.ส่งข้อมูลแรงงานไทยที่เคยขอความช่วยเหลือกลับประเทศไทย เนื่องจากตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ให้กับ สตม. ตรวจสอบข้อมูลเปรียบเทียบกับข้อมูลผู้เสียหายในคดีค้ามนุษย์ เมื่อพบว่าเคยเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์มาก่อน จะดำเนินการขึ้น Watch List เมื่อฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาออก หรือด่าน ตม.ทอ.พบบุคคลตาม Watch List จะแจ้ง ฝ่ายสืบสวน ด่าน ตม.ทอ. นั้นๆ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานทำการคัดกรอง ขั้นตอนของกระบวนการคัดกรองต่างๆ เป็นไปตามขั้นตอนที่เข้มงวด โดยมีจุดประสงค์ในการแก้ไขปัญหา เป็นทางผ่านของกลุ่มบุคคลที่จะเดินทางออกไปยังประเทศที่สาม ที่จะไปประกอบอาชีพผิดกฎหมายหรือเข้าข่ายเรื่องของการค้ามนุษย์ ซึ่งกระบวนการคัดกรองเข้า-ออกราชณาจักรอย่างเข้มงวดถูกปฏิบัติมาแล้วอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว นอกจากนี้ยังพบว่าในพื้นที่ชายแดนประเทศไทย โดยเฉพาะในจุดด่านพรมแดน อ.แม่สอด จว.แม่ฮ่องสอน ก็เป็นพื้นที่ที่พบว่าเป็นจุดทางออกยอดนิยม ของบุคคลที่ต้องการเดินทางออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งคาดว่าจะไปก่ออาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ และการค้ายาเสพติด ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการอย่างเข้มงวดกวดขันในการตรวจสอบ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนกว่า 6,000 กิโลเมตร ที่ติดกับอีก 4 ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวคู่ขนานกับการคัดกรองเข้มงวดในพื้นที่ต้นทาง เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.ท.ประจวบฯ รรท.รอง ผบ.ตร. กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการระดมสรรพกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกภาคส่วน ในการเร่งรัดปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับเด็ก สตรี ครอบครัว การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมงจะประสบผลสำเร็จ ตอบสนองนโยบายรัฐบาล เสริมสร้างความเสมอภาค เท่าเทียม และรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ภายใต้กรอบของกฎหมาย ประชาชนและสังคมมีความสงบเรียบร้อยสืบไป   


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top