Tuesday, 22 April 2025
เจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์

‘แพทย์สาว’ ร้อง!! ถูก ‘เจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์ชื่อดัง’ ทำร้าย เหตุไม่พอใจนั่งหน้าบ้าน พร้อมขู่!! รู้จัก ตร.ยศใหญ่ ยิงตายก็ไม่ผิด

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ.67) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Chaiyachot Uttamang โพสต์ข้อความและภาพว่า ลูกสาวที่เป็นหมออยู่ใน จ.ภูเก็ต ถูกชาวสวิสทำร้าย โดยมีข้อความว่า

“#เรื่องเล่า_จากแพทย์หญิงไทยถูกชายต่างชาติชาวสวิสทำร้ายบนผืนดินไทย
ลูกสาวของผมผู้เป็นหมออยู่ที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นคนสุภาพและถ่อมตนเป็นปกติ เขียนข้อความออกมาจากร่างกายและจิตใจของเธอที่ถูกทำร้ายว่า…

สวัสดีค่ะ ขออนุญาตขอความช่วยเหลือเพื่อกระจายข่าวเพื่อความยุติธรรมด้วยค่ะ
เราถูกชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์ช้างทำร้ายร่างกายค่ะ
โดยมีลำดับเหตุการณ์ ดังนี้

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ 19.30 น. เราไปกินข้าวกับเพื่อนผู้หญิงที่เป็นหมอด้วยกัน ที่ร้าน Taste Yamu หลังกินเสร็จก็ชวนกันไปเที่ยวหาดสาธารณะแถวใกล้บ้านบริเวณ Cape Yamu คือ ปกติไปเดินเที่ยวบ่อยเนื่องจากเป็นหาดที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด และค่อนข้างปลอดภัย

ตอนเราเดินไปที่หาดกับเพื่อนเจอพี่ยามคนนึง แกก็ถามว่าเรามาดูดวงจันทร์ใช่มั้ย เพราะมันเป็นวันมาฆบูชา (ฟูลมูน) เลยตอบไปว่า ใช่ค่ะ พี่ยามก็บอกว่า ครับ เอนจอย ครับ แล้วเดินจากเราไป เรากับเพื่อนเดินดูดวงจันทร์บนชายหาดกันสักพัก รู้สึกเมื่อยและอยากนั่งพัก จึงเดินไปนั่งตรงบันไดที่ปลูกลงมาบริเวณชายหาดที่ต่อลงมาจากวิลล่า หมายเลข 23 เพราะคิดว่าเป็นบันไดของชายหาด โดยที่เท้ายังจุ่มอยู่บนพื้นทราย

ในขณะที่เรานั่งอยู่รู้สึกเหมือนมีใครเดินมาข้างหลัง จึงหันไปพูดกับเพื่อนว่า รู้สึกเหมือนมีคนเดินมา จากนั้น พลันก็รู้สึกสะเทือนหนักหน่วงไปทั้งร่าง เมื่อได้สติก็ทำให้รู้ว่า เกิดจากหน้าแข้งที่กระหน่ำเตะลงมาที่กลางหลัง จากชายชาวต่างชาติตัวใหญ่น้ำหนักราว 100 กิโลกรัม ในสภาพหน้าแดง เหงื่อท่วม กำลังถือโทรศัพท์เพื่ออัดวิดีโอ และสบถด่าคำหยาบออกมาสารพัด เรากับเพื่อนเลยเดินไปหาพี่ยาม บนป้อมยามบนเนินข้างบน แล้วบอกว่า “พี่คะ หนูถูกทำร้ายร่างกาย” พี่ยามก็ตกใจและพาเราไปยังหน้าวิลล่า 23 ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ

ฝรั่งคนนั้นแสดงอาการโกรธสบถคำด่าออกมาสารพัด จากนั้นภรรยาชาวไทยพร้อมแผงสร้อยเพชรเม็ดโตก็เดินออกมา ตอนนั้นเรากับเพื่อนแอบดีใจเพราะคิดว่าจะเคลียร์กันได้ แต่ประโยคแรกที่ภรรยาชาวไทยพูดถึงกับทำให้เรากับเพื่อนสตันท์ไป เพราะเธอบอกว่า “นี่อีดอ* สองตัวนี้มานั่งอยู่หน้าบ้านกู พวกมึ* รู้ไหมต่อให้พวกกู ยิงพวกมึ*ตาย กูก็ไม่ผิด เพราะลูกกูเป็นตำรวจและรู้จักนายตำรวจใหญ่ของภูเก็ต กูจะเอาพวกมุ*เข้าคุกให้ได้ กูจะโทรหาท่านรองเดี๋ยวนี้” จากนั้นเธอก็โทรหาตำรวจยศใหญ่ของเธอว่าให้ส่งตำรวจมา

ผ่านไปประมาณ 15 นาที มีตำรวจ 2 คนเดินมา คนหนึ่งแต่งตัวนอกเครื่องแบบ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นตำรวจในเครื่องแบบ ตำรวจหนุ่มทั้งสองพยายามมาเจรจาเคลียร์เรื่อง หลังจากที่ตำรวจมาคุยกับเรา เราก็บอกกับตำรวจว่า เราถูกทำร้ายร่างกาย ชายชาวต่างชาติก็มาพูดกับเราว่า “อ่อเป็นชนพื้นเมือง เป็นคนไทยเหรอ รู้ไหมชั้นไม่ได้จ่ายค่าเช่าวิลล่าเดือนละล้านบาท มาให้พวกมุ*นั่งหน้าบ้านกู”

เราก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร หลังจากนั้นตำรวจก็เดินมาพูดกับเราว่า ตอนนี้มันผิดกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเราเป็นคนบุกรุกมีโทษหนักกว่าต้องติดคุก 4 ปี ฝ่ายเขาแค่ทำร้ายร่างกายจ่ายเงินก็จบ เราเลยช็อกไป ตำรวจนายหนึ่งบอกว่าต้องเคลียร์ให้ยอมความกันให้ได้ จะได้ไม่ต้องถึงโรงพัก

เราจึงเสนอให้ 3 ทางเลือก คือ 1. ต่างคนต่างขอโทษแล้วจบ 2. ต่างคนต่างไม่ขอโทษแล้วจบ 3. ไปคุยกันที่โรงพัก ฝั่งนู้นเขาบอกว่า “#เราขอโทษฝรั่งได้_แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษเรา #และเราจะต้องติดคุก”

หลังจากนั้นเราจึงไปแจ้งความที่ สภ.ถลาง หลังจากแจ้งความ เราได้ทราบชื่อของชาวต่างชาติคนนี้ซึ่งทำให้เราช็อกมาก เพราะชายคนนี้เป็นชาวสวิส ที่เป็นเจ้าของศูนย์อนุรักษ์สัตว์ดัง ที่เคลมว่าเขาจะปกป้องดูแลช้างและไม่ทำร้ายช้าง แต่เขาทำร้ายผู้หญิงค่ะ!

รบกวนขอความยุติธรรมกับเรื่องนี้ด้วยนะคะ เพราะอีกฝั่งเป็นชาวต่างชาติที่มีอิทธิพลในภูเก็ต มีข้อสังเกตว่ามีตำรวจยศใหญ่คอยช่วยเหลือดูแลอยู่เบื้องหลัง และเราคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น #ไม่สมควรมีคนไทยคนไหนโดนชาวต่างชาติทำร้ายร่างกาย #คนไทยผู้เป็นสุจริตชน #ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยค่ะ

จาก #ผู้หญิงไทยคนหนึ่งผู้ถูกชายชาวต่างชาติคนหนึ่งทำร้าย
(28 กุมภาพันธ์ 2024)”

ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้โทรศัพท์พูดคุยกับเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ผู้เสียหายเป็นลูกสาวของตนเองประกอบอาชีพเป็นแพทย์อยู่ในโรงพยาบาล ที่จังหวัดภูเก็ต ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อดูแลครอบครัวให้ได้รับความเป็นธรรม มีกำหนดการเดินทางมาที่จังหวัดภูเก็ต ถึงในค่ำวันนี้เนื่องจากในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พนักงานสอบสวน มีกำหนดการเรียกไปพบ เพื่อต้องการที่จะเอาเอกสารใบรับรองของแพทย์ที่ตรวจร่างกายไปให้ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเท่าที่ทราบ พนักงานสอบสวนยังไม่ลงหมายเลขคดีแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ลูกสาวต้องการขอความเป็นธรรม ในคดีให้อายัดตัวนักธุรกิจรายนี้ อย่างไรก็ดีทราบว่า มีนายตำรวจ ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 มีกำหนดการว่าจะมาร่วมพบปะลูกสาว ที่ สภ.ถลางในวันพรุ่งนี้ด้วย (ภรรยาชาวสวิสอ้างว่า มีลูกชายเป็นตำรวจและรู้จักตำรวจระดับรองฯ) อย่างไรก็ดีเท่าที่ได้พูดคุยกับลูกสาว ลูกสาวยืนยันว่า จะต่อสู้ในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แพทย์หญิงรายดังกล่าว ยังได้นำใบลงบันทึกประจำวัน โพสต์ลงในเฟซบุ๊กด้วย

‘ชายชาวต่างชาติ’ คู่กรณี ‘แพทย์หญิง’ อ้าง!! ไม่ได้เตะ แค่สะดุดล้ม ยัน!! มีหลักฐานมอบให้ตร.แล้ว หลังถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย

(29 ก.พ.67) จากกรณีเกิดเหตุแพทย์หญิงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตได้ร้อง กรณี ถูกชายชาวต่างชาติ เจ้าของพูลวิลล่าหรูริมหาดอ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง เตะเข้าที่บริเวณหลังได้รับบาดเจ็บ ขณะนั่งชมพระจันทร์ในคืนวันมาฆบูชา กับเพื่อนที่บริเวณบันได พูลวิลล่า ซึ่งคิดว่าอยู่ในพื้นที่ชายหาดสาธารณะ และถูกภรรยาชาวไทย ของชายชาวต่างชาติ ต่อว่าด่าทอหยาบคายต่างๆ นานา อ้างมีลูกชายเป็นตำรวจ และ รู้จักกับนายตำรวจใหญ่ของ จ.ภูเก็ต

อย่างไรก็ตามหลังมีการนำเสนอข่าวตามสื่อต่างๆ ปรากฏว่า มีกระแสวิจารณ์เกิดขึ้น จำนวนมาก ต่างก็ให้กำลังใจหมอ ที่ปนะสบเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะที่หมอได้เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรถลางแล้ว

ขณะที่ชายชาวต่างชาติ นายเดวิด (นามสมมุติ) คู่กรณี ได้เดินทางไปที่ สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมทนายความ พร้อมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เข้าชี้แจงกับ พ.ต.ท.ปฎิวัติ ยอดขวัญ รองผกก.สอบสวนสภ.ถลาง หลังแพทย์หญิง คู่กรณีเข้าแจ้งในข้อหาทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ โดยได้มอบคลิปที่นายเดวิด อ้างถ่ายจากโทรศัพท์มือถือของตนเอง ขณะเดินเข้าไปด้านหลังแพทย์หญิง แล้วลื่น ทำให้เท้าไปถูกด้านหลังของแพทย์หญิงคนดังกล่าว

โดยนายเดวิด เปิดเผยถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ผ่านทนายความ ว่า นายเดวิดไม่ได้เตะคู่กรณี แต่เป็นการสะดุด แล้ว เท้าไปถูกหลัง และไม่มีเจตนาที่จะไปเตะ ซึ่งตนเองอยากจะแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากที่จะขอโทษที่เท้าของตัวเองหรือตัวไปถูกคู่กรณี และ ขอยืนยันว่าเป็นการสะดุดล้ม

ขณะที่ทนายความระบุ ว่า ได้มีการพูดคุยข้อเท็จจริงกับ นายเดวิด มาพอสมควรและได้เห็นพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งนายเดวิดก็มีหลักฐานที่สามารถชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและในส่วนที่เกี่ยวข้อง ถ้าจะมีการดำเนินคดี เราก็เตรียมหลักฐานในส่วนนี้ไว้แล้ว ซึ่งตนในฐานะทนายความก็ต้องทำไปตามพยานหลักฐานว่าไม่ใช่การเตะ ซึ่งตนเองในฐานะทนายความคิดว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะรู้กันดีว่าเหตุการณ์มันคืออะไร

ความจริงแล้วมันมีที่มาที่ไปก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องราวขึ้น คือ ก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์ คนอื่นเข้ามาบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ทำให้เป็นการบุกรุก และนายเดวิดเคยให้บุคคลในวันนั้นออกไปจากบริเวณดังกล่าว ส่วนกรณีที่ภรรยานายเดวิดต่อว่าแพทย์หญิงและเพื่อน นายเดวิด และทนายความไม่ได้ตอบ เรื่องนี้

ขณะที่ นายเกษม จันทร์ดำ พ่อของแพทย์หญิง กล่าวว่า หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับเป็นคดีแล้ว ทางลูกสาวยืนยันว่าจะดำเนินคดีข้อหาถูกทำร้ายร่างกาย และจะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรี ที่ถูกเหยียดหยามเรื่องเพศสภาพหญิงไทย รวมทั้งไม่อยากให้คนไทยที่มาอยู่ภูเก็ต หรือคนภูเก็ตเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเธอในขณะที่เดินอยู่บริเวณชายหาดสาธารณะ

และต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนการดูแลคนไทยในภูเก็ต แม้กระแสการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ไม่ควรจะละเลยคนไทย เหตุที่ต้องดำเนินการเช่นนี้ เนื่องจากคำพูดที่ว่า คนไทยขอโทษต่างชาติได้ แต่ฝรั่งจะไม่ขอโทษคนไทย จึงทำให้ลูกสาวรู้สึกว่า จะต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด

ส่วนที่คู่กรณีออกมาบอกว่า ไม่ได้เตะแต่เป็นการล้มใส่ ซึ่งประเด็นนี้ ตั้งข้อสังเกต ว่าหากเป็นการล้มใส่ ของคนที่ตัวโตน้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม น่าจะไม่ใช่แค่จุก น่าจะล้มไปทั้งตัว หากล้มใส่จริง มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปด่าลูกสาวของตนและเพื่อนที่ไปด้วยกัน ส่วนของสภาพจริงของลูกสาวแม้ว่าจะมีความระแวงและกังวล แต่เธอก็ยืนยันว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุด ซึ่งทางครอบครัวก็เคารพสิทธิและการตัดสินใจของเธอ

ทางด้าน พ.ต.อ.นิกร ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า ได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนแล้ว เบื้องต้น พญ.ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับมีการตรวจร่างกายจากแพทย์ เนื่องจากผู้เสียหายระบุถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบปากคำเพิ่มเติม ส่วนคู่กรณีที่ถูกระบุว่าเป็นชายชาวต่างชาติเจ้าของวิลล่าหรูริม อ่าวยามู ต.ป่าคลอก อ.ถลาง นั้น ยังไม่ได้เข้ามาแจ้งความกรณีที่ พญ.บุกรุกตามที่มีการกล่าวอ้างในวันเกิดเหตุ

สำหรับเหตุการณ์นี้ ทางตำรวจจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ส่วนกรณีภรรยาชาวต่างชาติอ้างว่ารู้จักกับนายตำรวจใหญ่ หรือ มีลูกเป็นตำรวจนั้น ใครๆ ก็พูดได้ ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับรูปคดี ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก ตำรวจมีหน้าที่รักษากฎหมาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top