Tuesday, 22 April 2025
เงินดอลลาร์สหรัฐ

'สภาทองคำโลก' เผย!! ทองคำยังให้ผลตอบแทนดีกว่าทรัพย์สินหลัก ชี้!! ช่วยกระจายความเสี่ยง ให้ผลตอบแทนระยะยาวเชิงบวก

(4 ก.ย. 67) สภาทองคำโลก (World Gold Council) ‎เผยแพร่บทวิเคราะห์แนวโน้มของทองคำตามกรอบแนวทางการประเมินมูลค่าของ ‎QaurumSM และสภาทองคำโลก‎ โดยได้วิเคราะห์ว่าหากทิศทางเศรษฐกิจโลกและอัตราดอกเบี้ยยังคงสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดในปัจจุบัน ทองคำอาจจะยังคงได้รับแรงหนุนจากการลงทุนต่อไป

รายงานภาพรวมของทองคำช่วงกลางปีที่สภาทองคำโลกได้เผยแพร่ยังชี้ให้เห็นว่าทองคำมีผลตอบแทนดีกว่าสินทรัพย์หลักส่วนใหญ่ในครึ่งแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา ‎โดยในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน 2567 ทองคำพุ่งขึ้นสูงถึง 12% และเกือบแตะ 15% ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ผลตอบแทนของทองคำในครึ่งแรกของช่วงครึ่งปีหลังนี้มีความแข็งแกร่ง แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับสูงและเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ซึ่งมักจะเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อทองคำ

มีสาเหตุหลายประการด้วยกันที่จะทำให้ทองคำมีผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง สภาทองคำโลกได้เริ่มเห็นว่านักลงทุนได้หันกลับมาสนใจในทองคำอีกครั้ง จากกระแสการลงทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำสำหรับนักลงทุนในภูมิภาคยุโรปตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม และในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยการลดลงของอัตราดอกเบี้ยควบคู่กับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่ อาจช่วยสนับสนุนแนวโน้มนี้ต่อไป

คุณฮวน คาร์ลอส อาร์ทิกัส (Juan Carlos Artigas) หัวหน้าฝ่ายวิจัยระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “เช่นเดียวกับในเศรษฐกิจระดับโลก ดูเหมือนว่าทองคำกำลังรอปัจจัยที่จะเข้ามากระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเกิดขึ้นในรูปแบบของกระแสการลงทุนจากทางตะวันตกในขณะที่อัตราดอกเบี้ยลดลง หรือตัวชี้วัดระดับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่สูงขึ้น ถึงแม้ว่าแนวโน้มของทองคำในอนาคตอาจจะยังมีความท้าทายอยู่บ้าง แต่ความต้องการทองคำเพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในการจัดสรรสินทรัพย์นั้นกำลังเพิ่มสูงขึ้น”

คุณฮวน กล่าวเสริมว่า “ในขณะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน นักลงทุนจึงต้องการรู้ว่าแนวโน้มของทองคำที่ผ่านมาจะยังสามารถดำเนินต่อไปหรือจะลดความร้อนแรงลง ในอดีตตลาดมักมองเฉพาะที่อัตราดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นในการกำหนดมุมมองเกี่ยวกับทองคำ ซึ่งหากมองจากแนวทางดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 นั้นน่าจะส่งผลเชิงลบต่อทองคำ แต่ราคาทองกลับพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้ง และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในตลอดทั้งไตรมาสที่ 2” 

สภาทองคำโลกคาดว่าความต้องการทองคำของธนาคารกลางในปีนี้จะยังคงสูงกว่าแนวโน้มที่ผ่านมา ซึ่งเป็นมุมมองที่สอดคล้องกับ Metals Focus โดยการคาดการณ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากรายงานผลการสำรวจจากธนาคารกลางของสภาทองคำโลกที่ได้แสดงให้เห็นว่าผู้จัดการด้านทุนสำรองทองคำยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทองคำต่อไป อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าธนาคารกลางบางแห่งซึ่งรวมถึงธนาคารประชาชนจีน (PBoC) นั้นได้ปรับลดปริมาณการซื้อทองคำลง

นักลงทุนชาวเอเชียยังได้มีบทบาทสำคัญต่อผลการดำเนินงานของทองคำในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเห็นได้ชัดจากความต้องการในทองคำแท่งและเหรียญทองคำ รวมถึงการไหลเข้าของกระแสการลงทุนใน ETF ทองคำในไตรมาสที่ 2 ‎ของปี 2567‎

ด้าน คุณเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ความต้องการทองคำผู้บริโภคของประเทศไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ได้เพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อยู่ที่ระดับจำนวน 9 ตัน ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตคิดเป็น % ที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับไตรมาสที่ 2 และแม้ว่าราคาทองคำได้พุ่งสูงขึ้น ความต้องการทองคำทั่วโลกก็ยังคงเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 1,258 ตัน และถือเป็นไตรมาสที่ 2 ของปีที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เราได้เก็บรวบรวมข้อมูลมา 

ทั้งนี้ เมื่อมองไปในอนาคต คำถามคือมีปัจจัยอะไรบ้างที่จะผลักดันให้ทองคำยังคงมีความน่าสนใจเป็นอันดับต้น ๆ ในกลยุทธ์การลงทุนต่อไป คุณฟาน มองว่า จากการคาดการณ์และรอคอยมาเป็นระยะยาวนานว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่นานนี้ ทำให้กระแสการลงทุนได้ไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจากตะวันตกหันกลับมาให้ความสนใจอีกครั้ง การฟื้นตัวของการลงทุนจากกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง อาจเปลี่ยนแนวโน้มการเคลื่อนไหวของความต้องการทองคำในช่วงครึ่งหลังของปี 2567”‎

โดยสรุปแล้วทองคำอาจยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบที่จำกัด (Rangebound) หากธนาคารกลางสหรัฐใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่ทองคำจะมีผลตอบแทนสูงกว่าจากจุดนี้ โดยอาจเกิดจากแรงหนุนของกระแสการลงทุนในฝั่งตะวันตก ในทางกลับกันหากความต้องการทองคำของธนาคารกลางลดลงอย่างมาก และอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอเชียเปลี่ยนไป นักลงทุนอาจเห็นการปรับฐานในช่วงครึ่งปีหลัง 

ทั้งนี้การวิเคราะห์ของสภาทองคำโลกได้แสดงให้เห็นว่าทองคำมีบทบาทสำคัญในการกระจายความเสี่ยง และเป็นแหล่งสภาพคล่องทางการเงิน ควบคู่ไปกับการให้ผลตอบแทนระยะยาวในเชิงบวก

อุ้งมือจีน!! จับตาผู้ส่งออกจีนถือดอลลาร์ในมือกว่า 500,000 ล้าน ลุ้น!! หากแปลงเป็นหยวน 'เงินหยวน' จ่อแซงหน้าดอลลาร์ทันที

(10 ก.ย. 67) 'IMCT News Thai Perspective on Global News' เผยสถานการณ์เงินตราโลกในปี 2024 จับตาไปที่เงินดอลลาร์ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ฯ ที่ผู้ส่งออกจีนครอบครองอยู่ หากแปลงเป็นหยวนทั้งหมดจะส่งให้เงินจีนแข็งค่าขึ้นทันตา จนอาจแซงหน้าดอลลาร์ และก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในการทำธุรกรรมข้ามประเทศได้ เนื่องจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเริ่มไม่นิยมใช้ดอลลาร์แล้ว แต่ปัจจุบันผู้ส่งออกจีนยังลังเลที่จะเก็บหยวนไว้ เพราะอาจผันผวนและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จึงยังไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อดอลลาร์ แต่ถ้าเปลี่ยนใจ เงินจีนจะกลายเป็นมหาอำนาจตัวใหม่ทันที 

ผู้ส่งออกของจีนมีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในครอบครองรวมกันสูงถึงราว 500,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 16.5 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2024 ซึ่งเป็นผลจากการค้าขายระหว่างประเทศ หากพวกเขาพร้อมใจกันเปลี่ยนเงินดอลลาร์ที่ถือครองเหล่านี้มาเป็นเงินหยวนจีนแทน ค่าเงินหยวนก็มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นทันทีจากแรงซื้อเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งจะทำให้จีนก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศ และกลายเป็นคู่แข่งสำคัญที่จะมาท้าทายสถานะของดอลลาร์สหรัฐได้

ท่ามกลางการอ่อนแรงลงของค่าเงินสหรัฐฯ สะท้อนผ่านดัชนี DXY ที่ร่วงลงมาอยู่ที่ราว 100 จุด และเสี่ยงที่จะยังหดตัวต่อไปเรื่อย ๆ ประกอบกับความพยายามของกลุ่ม BRICS ที่ต้องการดันบทบาทของเงินหยวนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ถ้าหยวนเป็นที่นิยมในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา ดอลลาร์ก็มีสิทธิ์แพ้ภัยในทันที เพราะปริมาณดอลลาร์ฯ มหาศาลจะไหลย้อนกลับสหรัฐฯ เนื่องจากความต้องการใช้ลดลง ส่งผลให้เกิดปัญหาเงินเฟ้ออย่างหนัก

แม้ในเวลานี้ผู้ส่งออกจีนอาจจะยังชะลอการเปลี่ยนเงินดอลลาร์ เพราะยังได้ประโยชน์จากการถือครองสกุลเงินหลักของโลก และกังวลกับความผันผวนของเงินหยวนที่ยังผูกโยงกับเศรษฐกิจในประเทศ แต่สักวันหนึ่ง หากทุกคนลงความเห็นที่จะเทขายดอลลาร์พร้อมกัน เพื่อถือครองเงินหยวนแทน นั่นอาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะทำให้สกุลเงินจีนแข็งแกร่งจนก้าวขึ้นแท่นเงินตราหลักของโลกได้อย่างรวดเร็ว #imctnews รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top