Sunday, 8 June 2025
อาหาร

หนุ่มอินเดียทำคลิปแสดงสีหน้าขยะแขยงเมื่อเห็นอาหารชาติอื่น เจอมติทัวร์ชาวเน็ต 'อินเดียไม่ควรแซะประเทศอื่นเรื่องอาหาร'

(29 ส.ค. 67) กลายเป็นประเด็นในโซเชียล เมื่อหนุ่มอินเดียคนหนึ่งทำคลิปรีแอคชั่นอาหารประเทศต่าง ๆ ในคลิปมีอาหารจากหลากหลายชาติ ซึ่งมีอาหารไทยรวมอยู่ด้วย ทั้งเมนูต้มแซ่บปลาดุก หอยทอดกระทะร้อน และต้มแซ่บเครื่องในวัว โดยทำท่าทางคล้ายขยะแขยงอาหาร เห็นอาหารแล้วจะอาเจียน ชวนให้เข้าใจว่าอาหารต่าง ๆ ที่อยู่ในคลิปนั้นไม่น่าทาน เป็นอาหารที่แย่

งานนี้ชาวเน็ตไม่รอช้า เรียกได้ว่าทัวร์ลงแบบนานาชาติ มีความเห็นหลากหลายภาษาใต้คลิปดังกล่าว แน่นอนชาวเน็ตไทยไม่พลาดขบวน แสดงความเห็น 

"ประเทศนายหนักกว่าเราอีกนะ อร่อยให้ 6 สกปรกให้ 10" 
"มีแต่ของอร่อยทั้งนั้นนี่หว่าา" 
"มันสะอาดเกินไปหรือยังไง" 
"สภาพ ไม่น่าทำท่าอ้วกแบบนั้นเลย"
"อินเดียไม่ควรแซะประเทศอื่นและอาหาร"

ส่วนความเห็นต่างชาติก็คอมเมนต์แรง "It's too clean for you to eat, right? It has to be dirty like the ones you've eaten before for it to be delicious.”

"มันสะอาดเกินกว่าจะกินใช่ไหม? มันจะต้องสกปรกเหมือนอาหารที่คุณเคยกินมาก่อนถึงจะอร่อยหรอ"

บ้างถามกลับว่า "How about your country?" แล้วประเทศของคุณละเป็นยังไง

ไขความลับ 'อาหารแนวเมดิเตอร์เรเนียน' ปลายทาง 'อายุยืน' ที่คนจาก 5 พื้นที่การันตี

(29 ส.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Healme’ ผู้เผยแพร่เรื่องราว Health & Wellness ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีระยะยาว ได้เผยแพร่วิดีโอในหัวข้อ ‘อาหารแบบไหน ช่วยอายุยืน อิงจากการทานอาหารในรูปแบบวิถีชีวิตของชาว Blue Zone ชาวกลุ่มพื้นที่ ที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไปมากที่สุดในโลก’ โดยระบุว่า…

กินอาหารแบบ Mediterranean Food ช่วยอายุยืนได้ เพราะจะช่วยส่งเสริมสุขภาพได้มากที่สุด จากการสำรวจที่เข้าไปดูพื้นที่ Blue Zone กลุ่มคนที่อายุยืนมากที่สุดในโลกที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป พบว่าคนกลุ่มนี้ทานอาหารใกล้เคียงกับแบบ Mediterranean Food ที่สุด 

สำหรับพื้นที่ Blue Zone คือพื้นที่ที่มีคนอายุ 100 ปีมากที่สุดในโลก ได้แก่ โอกินาวา ญี่ปุ่น / ซาร์ดิเนีย อิตาลี / โลมาลินดา สหรัฐอเมริกา / นิโคยา คอสตาริกา / อิคาเรีย กรีซ และเมื่อไปดูวิถีชีวิต อาหารการกินจะพบว่าคนกลุ่มเหล่านี้กินใกล้เคียงกันมาก นั่นก็คือแบบ Mediterranean Food อันได้แก่

1.ไม่กินอาหารแปรรูป เน้นกินอาหารที่มองแล้วรู้เลยว่าเป็นวัตถุดิบอะไร 

2.กินผักผลไม้หลากหลาย รวมทั้งเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ 

3 กินกรดไขมันดีเยอะ เช่น โอเมก้า 3 จากปลา หรือมะกอก หรือน้ำมันมะกอก 

สำหรับ ‘น้ำมันมะกอก’ เป็นหนึ่งในอาหารหลักของอาหารแบบ Mediterranean Food ในน้ำมันมะกอกมีสารไฮดรอกซีไทโรซอล (Hydroxytyrosol) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีค่า ORAC สูงที่สุด โดยมีค่า ORAC มากกว่าแอสต้าแซนทีน 2.4 เท่า และมากกว่าวิตามินซี 7.3 เท่า (ORAC หรือ Oxygen Radical Absorbance Capacity คือการวัดค่าประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระ) 

อาหารที่มีค่า ORAC สูงจะมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระ เช่น โรคหลอดเลือด หัวใจ มะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องเซลล์ให้ปลอดภัยจากการถูกทําลายด้วย

สารไฮดรอกซีไทโรซอล (Hydroxytyrosol) ขึ้นชื่อว่าเป็น Anti-Aging / AntiCancer ช่วยปกป้องร่างกายของได้ดีมาก ๆ โดยจะช่วยดูแลหลอดเลือด และช่วยต้านการอักเสบในร่างกาย ควบคุมระดับความดัน และช่วยปกป้องสมอง เช่น ระบบไฮโพธาลามัส ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมความสมดุลของร่างกาย 

ฉะนั้นถ้าอยากอายุยืนจะต้อง (1) ลดอาหารแปรรูป เลือกทานอาหารที่รู้ว่าคืออะไร (2) หลีกเลี่ยงน้ำตาล ลดแป้ง และเลือกกินอาหารที่มีโอเมก้า 3 มากขึ้น กินกรดไขมันที่ดีมากขึ้น หลีกเลี่ยงพวกโอเมก้า 6 

นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนมาใช้น้ำมันมะกอกในการทำอาหารได้ด้วย โดยใช้วิธีที่เรียกว่า Slow Cooking Low Temperature ไม่ต้องใช้อุณหภูมิสูงมาก ก็สามารถใช้ทําอาหารได้ หรือเปลี่ยนจากน้ำสลัดมายองเนส มาเป็นน้ำมันมะกอกก็ได้ แต่ต้องเป็น Extra Virgin Olive Oil น้ำมันมะกอกแบบสกัดเย็น เพื่อจะได้ประโยชน์มาก ๆ และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สูง

เมนู ‘เกาเหลา’ วาระใหญ่แห่งสยาม ถึงขั้นตั้ง ‘เจ้ากรมเกาเหลาจีน’ ดูแลเฉพาะ | THE STATES TIMES Story EP.154 

หากพูดคำว่า 'เกาเหลา' เชื่อว่าหลายคนจะนึกถึงอาหารเป็นอย่างแรก เพราะเกาเหลาเป็นอาหารที่อยู่คู่คนไทยมานาน อาหารชนิดนี้มีผักและเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เป็นองค์ประกอบหลัก และไม่มีเส้น (ไม่มีก๋วยเตี๋ยว) ด้วยเหตุนี้ทำให้ถูกหยิบไปใช้ในเชิงเปรียบเปรยถึงการไม่ลงรอย และมีความขัดแย้งระหว่างคนสองคนนั่นเอง

แต่จริง ๆ แล้วคำว่า 'เกาเหลา' มีที่มาและประวัติที่น่าทึ่ง เรียกได้ว่า ต้องก่อตั้ง 'กรม' ขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะเลยทีเดียว

วันนี้ THE STATES TIMES STORY ขออาสาเล่าประวัติที่มา ที่ไปของ 'เกาเหลา' ให้ทุกท่านได้รับฟัง หากพร้อมแล้ว ไปเริ่มฟังกันเลย

'สมศักดิ์' มอบ 7 นโยบายขับเคลื่อน Medical & Wellness Hub พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วม 4 คณะแพทย์วิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ ATMPs

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบ 7 นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub จ่อตั้งสำนักงานดูแลโดยเฉพาะ ยกระดับหมอนวดไทยให้เชี่ยวชาญพิศษ 7 กลุ่มอาการ รวมทั้ง 'สมุนไพร-ยา-อาหาร' ของไทย รุกส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ยกระดับมาตรฐานเสริมความงาม อุ้มบุญ ผ่าตัดแปลงเพศกลุ่มต่างชาติ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง หรือ ATMPs พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วม 4 คณะแพทย์ส่งเสริมวิจัยและพัฒนาเพิ่มการเข้าถึงยา ATMPs ของประชาชน

(19 ก.พ.68) ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนนโยบายเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub โดยได้มอบนโยบายต่อผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และการประกาศเจตนารมณ์เรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medical Products, ATMPs) ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.)

นายสมศักดิ์กล่าวว่า การเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจและสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของกระทรวงสาธารณสุขปี 2568 เพื่อยกระดับให้เป็นกระทรวงด้านสังคมควบคู่เศรษฐกิจ โดยส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจสุขภาพของประเทศ เพิ่มโอกาสสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนและประเทศ ผ่านการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านการแพทย์ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย ภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ นวดสปา การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ไปจนถึงเทคโนโลยีนวัตกรรมสุขภาพและชีวการแพทย์ ซึ่งทั้งหมดต้องมีมาตรฐานและความปลอดภัย เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และบริการสุขภาพระดับโลก โดยจะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายดังกล่าวผ่าน 7 นโยบายสำคัญ คือ 1.การจัดตั้ง 'สำนักงานนโยบายและเศรษฐกิจสาธารณสุข (สนศส.)' เป็นหน่วยงานระดับกรม ทำหน้าที่วิเคราะห์ วิจัย และกำหนดนโยบายด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพและการคลังสุขภาพ เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้คุ้มค่า สนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย และสร้างระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและยั่งยืน

2.ยกระดับภูมิปัญญาไทย คือ นวดไทย โดยพัฒนาหมอนวดไทยให้เชี่ยวชาญพิเศษ 7 กลุ่มอาการ คือ กลุ่มปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Office syndrome), โรคหัวไหล่ติด, โรคนิ้วล็อก, ภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (ปวดสลักเพชร), หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท, อัมพฤกษ์อัมพาต และกลุ่มระบบสืบพันธุ์ 3.ยกระดับสมุนไพรไทย/ยาไทย อาหารไทย ภายใต้แนวคิด "เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทย ก่อนไปหาหมอ" โดยผลักดันการใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพ เพิ่มรายการยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติรวม 106 รายการ ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกเพื่อส่งเสริมให้แพทย์สั่งจ่ายยาสมุนไพร 32 รายการใน 10 กลุ่มอาการโรคที่พบบ่อยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย ร้อยละ 10 ส่งเสริมสมุนไพรไทยและอาหารไทยต่างๆ เช่น กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน ไพล ปลาส้ม/แหนมที่มีโพรไบโอติกส์-พรีไบโอติกส์ 4.ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพราว 1.42 ล้านล้านบาท โดยเน้นประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ เช่น สปา บ่อน้ำพุร้อน แหล่งน้ำแร่ จับคู่โรงแรมกับโรงพยาบาลในการให้บริการแพคเกจสุขภาพ พัฒนาระบบเอเยนซีขายแพคเกจสุขภาพ เพิ่มคลินิก Wellness การแพทย์และแพทย์ไทยในโรงแรม ซึ่งมีการนำร่องแล้วคือโมเดล Wellcation ของเขตสุขภาพที่ 5 และ Phuket Wellness Sandbox

5.ศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ โดยปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดราว 2 แสนล้านบาท เป็นการนำเข้า 9 หมื่นล้านบาทและส่งออก 1.18 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ไม่ซับซ้อน ได้แก่ วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เช่น ถุงมือยางทางการแพทย์ หลอดสวน หลอดฉีดยา และกลุ่มครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น เตียงผู้ป่วย เตียงตรวจ รถเข็นผู้ป่วย เบื้องต้นจะส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพและเครื่องมือแพทย์ฝีมือคนไทย เร่งรัดกระบวนการอนุมัติอนุญาตและทดสอบมาตรฐานเครื่องมือแพทย์เพื่อขึ้นทะเบียนให้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะเครื่องมือแพทย์ที่มีความซับซ้อน และใช้วิธีจับคู่ระหว่างผู้วิจัยและผู้ที่จะผลิตต่อ 6.ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง (ATMPs) ซึ่งทั่วโลกมีมูลค่าถึง 4.19 แสนล้านบาท คาดว่าปี 2573 จะเติบโตถึง 1.25 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลกำลังผลักดันศูนย์กลาง ATMPs ตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำด้านการแพทย์สมัยใหม่ในระดับโลก ภายในปี 2570 เนื่องจากเอกชนมีความสนใจและต้องการผลักดันอุตสาหกรรม และจะหาทางออกเพื่อลดข้อกังวลของสภาวิชาชีพในการใช้ผลิตภัณฑ์ ATMPs และ 7.การดูแลบุคคลและความงาม (Personal Care and Beauty) โดยจะขับเคลื่อน 4 เรื่อง คือ เวชศาสตร์ความงาม เน้นตรวจสอบแพทย์ต่างชาติที่เข้ามาประกอบเวชกรรมในไทย รวมถึงแพทย์เถื่อน คลินิกเถื่อน ยกระดับคลินิกความงามให้มีมาตรฐานระดับสากล เปิดหลักสูตรอบรมแพทย์เวชปฏิบัติความงามเป็นหลักสูตรกลางของประเทศ ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับหัตถการเสริมความงาม และพัฒนาระบบเอเยนซีให้สามารถโฆษณาเชิญชวนชาวต่างชาติมารับบริการได้, จิตเวชและพฤติกรรมบำบัดสำหรับชาวต่างชาติ, การอุ้มบุญและการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว การทำ ICSI และการผ่าตัดยืนยันเพศสภาพ ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ

"วันนี้หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข ยังได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ทั้ง 4 สถาบัน ประกาศเจตนารมณ์เพื่อร่วมมือกันทางวิชาการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ATMPs ซึ่งส่วนใหญ่เป็น "ยา" ที่ออกฤทธิ์เป็นยีน เซลล์ หรือเนื้อเยื่อ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยพัฒนาจำนวนมาก เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงของผู้ป่วย โดยปี 2568 มีเป้าหมายให้คนไทยและชาวต่างชาติสามารถเข้าถึงยา ATMPs ในไทยที่ได้มาตรฐานอย่างเหมาะสมผ่านกลไกการอนุญาตวิจัยในพื้นที่ทดลอง 5 แห่งในสังกัดกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ควบคู่ไปกับการจัดตั้งศูนย์บริการผลิตภัณฑ์ยา ATMPs แบบเบ็ดเสร็จ รวมถึงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” นายสมศักดิ์กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top