Friday, 6 June 2025
อานนท์นำภา

ศาลสั่งจำคุก 'อานนท์ นำภา’ 2 ปี 8 เดือน ผิด ม.112 และ 116 จากคดีม็อบ 'แฮร์รี่ พอตเตอร์' รวมโทษจำคุกหกคดี 18 ปี 10 เดือน 20 วัน

(19 ธ.ค. 67) iLaw และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานคำพิพากษาศาลอาญาของอานนท์ นำภา จากการปราศรัยในการชุมนุม 'เสกคาถาผู้พิทักษ์ ปกป้องประชาธิปไตย' หรือม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์เมื่อปี 2563 ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 116 ลงโทษจำคุก 4 ปี ให้การเป็นประโยชน์เหลือ 2 ปี 8 เดือน

วันที่ 19 ธ.ค. 2567 เว็บไซต์ iLaw รายงานอ้างศาลที่พิเคราะห์ว่า การที่กล่าวทำนองว่า มีการแทรกแซงรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติมาแล้วเป็นการดูหมิ่นกษัตริย์ การเชิญชวนให้มาฟังความคิดเห็นของจำเลยไม่ได้กระทำในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การติชมโดยสุจริต  เพื่อสร้างความปั่นป่วนและกระด้างกระเดื่อง

เช่นเดียวกับเฟซบุ๊กศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ระบุว่า การปราศรัยทำให้กษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ การกระทำของจำเลยไม่อยู่ในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ จึงเป็นความผิดตามมาตรา 112 และมาตรา 116 ให้ลงโทษบทหนักที่สุดคือมาตรา 116

คำพิพากษาล่าสุดเป็นคดีตามมาตรา 112 คดีที่ 6 ของอานนท์ นำภา ซึ่ง 5 คดีแรกอานนท์ถูกลงโทษจำคุกแล้ว 16 ปี 2 เดือน 20 วัน ทำให้รวมโทษล่าสุด 6 คดีอยู่ที่จำคุก 18 ปี 10 เดือน 20 วัน

กรณีของ ‘อานนท์ นำภา’ บทเรียนจากมาตรา 116 สิทธิมนุษยชนที่ไม่คำนึงถึงความสงบเรียบร้อย

คดีของอานนท์ นำภา ซึ่งถูกตัดสินจำคุกกว่า 18 ปีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 และยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 ได้กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจจากองค์กรสิทธิมนุษยชนอย่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล การเคลื่อนไหวที่สนับสนุนอานนท์และโจมตีกฎหมายดังกล่าวสร้างคำถามที่สำคัญเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ความรับผิดชอบต่อสังคม และการเคารพกฎหมาย

มาตรา 116: เสรีภาพที่ต้องอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ
มาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญากำหนดบทลงโทษสำหรับการกระทำที่ยุยงปลุกปั่นซึ่งกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ โดยครอบคลุมถึงการปลุกระดมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือกฎหมายโดยวิธีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การยุยงให้เกิดความวุ่นวายในสังคม และการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน กฎหมายนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อปิดกั้นเสรีภาพ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความสงบเรียบร้อยในสังคม

พฤติกรรมของอานนท์ที่เข้าข่ายมาตรา 116 ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ แต่กลับแสดงถึงเจตนาที่จะปลุกระดมและกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทย การกระทำดังกล่าวไม่เพียงส่งผลต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ แต่ยังทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความแตกแยกในสังคมอย่างลึกซึ้ง

สิทธิมนุษยชน: การปกป้องเสรีภาพต้องคู่กับความยุติธรรม
สิทธิมนุษยชนเป็นหลักการที่มีคุณค่าและควรได้รับการเคารพ แต่การปกป้องสิทธิของบุคคลหนึ่งไม่ควรละเลยผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมโดยรวม การที่องค์กรอย่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยกกรณีของอานนท์เป็นตัวอย่างในการเคลื่อนไหว อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการกระทำที่ละเมิดกฎหมายและปลุกปั่นความแตกแยกสามารถถูกยอมรับได้ในนามของสิทธิมนุษยชน

ในสังคมที่ต้องการความสงบเรียบร้อย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการเคารพกฎหมายต้องเดินไปด้วยกัน กฎหมายอย่างมาตรา 116 ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อปิดกั้นเสียงของประชาชน แต่เพื่อปกป้องสังคมจากการยุยงให้เกิดความวุ่นวายและความแตกแยก

คืนสติ: เสรีภาพต้องมีขอบเขต
ในท้ายที่สุด คดีของอานนท์นำมาซึ่งบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับขอบเขตของเสรีภาพ เสรีภาพไม่ใช่การกระทำตามใจโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่น การเคลื่อนไหวใดๆ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ความสร้างสรรค์ และความเคารพกฎหมาย การอ้างสิทธิมนุษยชนโดยละเลยผลกระทบต่อส่วนรวมไม่เพียงแต่บั่นทอนคุณค่าของสิทธิมนุษยชน แต่ยังสร้างความไม่สมดุลในสังคม

บทเรียนจากกรณีนี้คือ เราควรใช้สิทธิเสรีภาพอย่างมีสติ รอบคอบ และคำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวม เพื่อสร้างสังคมที่เคารพซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง

ส่องแนวคิด ‘จรัล ดิษฐาอภิชัย’ กับตรรกะที่ผิดเพี้ยนชู หลังชู ‘อานนท์ นำภา’ เป็นบุคคลแห่งปีทั้งที่ทำผิด กม. ซ้ำซาก

รูปปั้นประชาธิปไตยที่หล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย

เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2567 จรัล ดิษฐาอภิชัย โพสต์เสนอชื่อ อานนท์ นำภา เป็นบุคคลแห่งปี 2567 พร้อมชูเขาเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ การยกย่องบุคคลที่ถูกตัดสินจำคุก 18 ปีด้วยข้อหาภายใต้มาตรา 116 และ 112 นั้น กำลังสร้างภาพประชาธิปไตยในแบบใด? มันไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งเสรีภาพหรือความเท่าเทียม แต่คือ “รูปปั้นประชาธิปไตยที่หล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย” และรูปปั้นนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานที่มั่นคง แต่มันสั่นคลอนด้วยแนวคิดที่ไม่เคารพหลักนิติรัฐ

มาตรา 116: กติกาที่ปกป้องเสถียรภาพของสังคม
มาตรา 116 เป็นเหมือนรั้วที่ช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านประชาธิปไตย มันไม่ได้มีไว้เพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการพูด แต่มันมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คำพูดหรือการกระทำใดๆ ยุยงให้เกิดความไม่สงบในสังคม การที่อานนท์ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ไม่ได้เกิดจากการแสดงความคิดเห็น แต่เพราะเขาจงใจละเมิดกติกานี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งในการปลุกปั่นยุยงและการกระทำที่ล้ำเส้นเกินกว่าการใช้เสรีภาพส่วนตัว

18 ปีแห่งการละเมิด: ราคาของการไม่เคารพกฎหมาย
การที่อานนท์ถูกตัดสินจำคุกถึง 18 ปีไม่ได้มาจากระบบที่อยุติธรรม แต่มาจากการกระทำผิดซ้ำซากที่ขัดต่อกฎหมายที่ทุกคนยอมรับร่วมกัน การเชิดชูบุคคลที่ละเมิดกฎหมายในลักษณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องของการส่งเสริมประชาธิปไตย แต่มันคือการลดคุณค่าของระบบที่ควรสร้างบนความยุติธรรมและการเคารพกติกา

ประชาธิปไตยหรือการบูชาคนผิด?
สิ่งที่จรัลทำในการยกย่องอานนท์ คือการสร้าง “รูปปั้น” ที่ไม่ได้สะท้อนถึงประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่กลับเป็นการปั้นสัญลักษณ์ของการไม่เคารพกฎหมาย การนำคนที่ทำผิดอย่างต่อเนื่องมาชูเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ ไม่เพียงแต่ทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมเสีย แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดว่า ความวุ่นวายและการละเมิดกฎหมายคือสิ่งที่ยอมรับได้

บทสรุป: สัญลักษณ์ที่ไม่ควรมี
ประชาธิปไตยไม่ควรถูกหล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย การสร้างสัญลักษณ์ที่ขัดแย้งกับรากฐานของระบบย่อมไม่ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง หากเรายังคงหล่อรูปปั้นจากความผิดพลาด ประชาธิปไตยในสายตาของคนไทยและนานาชาติจะไม่เหลือคุณค่า นี่ไม่ใช่การสร้างอนาคต แต่มันคือการย้อนกลับไปทำลายรากฐานที่สำคัญที่สุดของสังคม

ศาลเชียงใหม่ สั่งจำคุก 'อานนท์ นำภา' 2 ปี คดีปราศรัยผิด ม.112 รวมโทษจำคุกถึงตอนนี้ 20 ปี 19 เดือน

(27 มี.ค. 68) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X ว่า วันนี้ ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาคดี #ม112 ของอานนท์ นำภา กรณีปราศรัยหอศิลป์ มช. วันที่ 23 พ.ย. 63 เห็นว่ามีความผิดตามฟ้อง คำปราศรัยของจำเลยทำให้สถาบันเบื้องสูงเสื่อมเสีย

ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ฟังไม่ขึ้น เพราะการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจะใช้ได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ จะใช้จนกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐมิได้

พิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษหนึ่งในสาม เหลือจำคุก 2 ปี

รวมโทษจำคุกของอานนท์ตอนนี้ 20 ปี 19 เดือน 20 วัน ทุกคดียังไม่สิ้นสุด

ศาลสั่งจำคุกอีก 2 ปี ‘อานนท์ นำภา’ คดี 112 ปราศรัยหน้าสน.บางเขน รวมโดนโทษจำคุกแล้ว 22 ปี

ศาลอาญาสั่งจำคุก 3 ปี 'อานนท์ นำภา' อดีตแกนนำม็อบราษฎร บุกชุมนุมที่หน้าสน.บางเขน อีกคดี แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี และนับโทษต่อจากคดีอื่น ส่วนเพนกวิน หลบหนีออกนอกประเทศ ศาลให้ออกหมายจับและสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว

ที่ห้องพิจารณาคดี 806 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมิ่นเบื้องสูง อ.910/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้องนายอานนท์ นำภา ทนายความและอดีตแกนนำกลุ่มราษฎร 2563 กับนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวินอดีตแกนนำกลุ่มราษฎร 2563เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และความผิดฐานร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง โดยไม่ได้รับอนุญาต

จากกรณีเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2563 จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายด้วยการปราศรัยแสดงความคิดเห็นต่อประชาชนผ่านเครื่องขยายเสียง โดยมีชุมนุมประมาณ 150 คน จัดการชุมนุมที่หน้าสน.บางเขน จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานไปบ้างแล้วจำเลยที่ 1ให้คำรับสารภาพ เรื่องใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว แต่หลบหนี ศาลจึงให้ออกหมายจับและจำหน่ายคดีนายพริษฐ์ จำเลยที่ 2 ชั่วคราว

โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายอานนท์ จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษาว่านายอานนท์ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง มาตรา 9 วรรคหนึ่ง ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จำคุก 3 ปี คำรับสารภาพของ นายอานนท์ จำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ฐานทำการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ปรับเป็นพินัย 100 บาท ไม่ชำระ ค่าปรับเป็นพินัยให้บังคับตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 มาตรา 30, 31 นับโทษจำคุก นายอานนท์ จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2841/2566 ของศาลนี้ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่อ56/2567 ของศาลนี้และจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.4019/2567 ของศาลนี้

ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุก นายอานนท์จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลย ที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ2887/2564 ของศาลนี้ จำเลยที่ 1 ในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 62888/2564 ของศาลนี้ และจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 2948/2564 ของศาลนี้ คดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธศาลมีคำสั่งแยกฟ้องและจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 แล้ว ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจาก โทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ1186/2565 ของศาลแขวงดุสิต จำเลย ที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ415/2566 ของศาลแขวงปทุมวันนั้น ศาลมีคำพิพากษาปรับ และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ1802/2564 ของศาลอาญากรุงเทพ ใต้ศาลมีคำพิพากษารอการลงโทษ จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

รวมทุกคดี นายอานนท์ นำภา โดนโทษจำคุกรวม 22 ปี 25 เดือน 20 วัน

อดีตอธิการบดี มธ. อวยยศ 'อานนท์ นำภา' ควรเป็นคนไทยคนแรกถูกเสนอชื่อรับรางวัลโนเบล

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.68) ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อานนท์ นำภา ติดคุก มาแล้วกว่า 600 วัน เขาถูกจารีตนครบาล ตีตรวน เดินตีนเปล่า

เขาได้รางวัลความกล้าหาญด้านสิทธิมนุษยชนหลายรางวัล

เขาควรจะเป็นคนไทยคนแรกที่ถูกเสนอให้ได้รับรางวัลโนเบลไหม ครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top