Tuesday, 22 April 2025
อัครเดชวงษ์พิทักษ์โรจน์

‘อัครเดช’ ขอบคุณ!! ทุกความไว้วางใจ ส่งให้ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ขึ้นเบอร์ 1 ยัน!! ทำงานต่อไป สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง รักษาผลประโยชน์ของประเทศ

(26 ม.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกท่านที่ร่วมสนับสนุนให้กับพรรค ส่งผลให้ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ประจำปี 2568 โดยพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับเงินอุดหนุนมาเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนเงิน 17,934,107.84 บาท (สิบเจ็ดล้านเก้าแสนสามหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยเจ็ดบาทแปดสิบสี่สตางค์)

โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย สส. และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกคน ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้ร่วมอุดหนุนภาษีให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งแสดงถึงความไว้วางใจ, ความเชื่อมั่น และความศรัทธาที่มีต่อพรรค โดยพรรคจะมุ่งมั่นทำหน้าที่ทั้งในส่วนของ สส. ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติในสภาผู้แทนราษฎร และในส่วนของรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายบริหาร อย่างสุดกำลังเต็มความสามารถ รวมทั้งจะพัฒนาพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้เติบโตเข้มแข็ง เป็นที่มุ่งหวัง พึ่งพาของพ่อแม่พี่น้องประชาชนต่อไป ที่สำคัญพรรคจะขอยืนหยัดรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติและพ่อแม่พี่น้องคนไทยทุกคน โดยเฉพาะในส่วนของพลังงานและอุตสาหกรรมไทยที่พรรคมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลหลักในรัฐบาล

นายอัครเดช ย้ำว่า จากสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า พี่น้องประชาชนได้ให้ความเชื่อมั่นและเชื่อใจพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งในส่วนของการทำงานในด้านพลังงานและอุตสาหกรรม รวมถึงบทบาทของ สส. ในสภา ที่ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการทำงานผ่านร่างกฎหมายต่าง ๆ เช่น ร่าง พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต หรือพ.ร.บ.สุรารวมไทย ที่ช่วยทลายทุนผูกขาด, ร่าง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า ที่มุ่งปกป้องผู้บริโภคและผู้ประกอบการชาวไทย พรบ.การศึกษาแห่งชาติ ที่จะสร้างการศึกษาที่ตอบโจทย์ พื้นที่ ผู้ประกอบการ และผู้เรียน และร่างกฎหมายอื่นๆ ที่กำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

“พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกคนที่ให้การสนับสนุนพรรค และขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องมาร่วมเป็นนายทุนให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ผ่านการอุดหนุนเงินภาษีประจำปีของตนเองให้กับพรรคด้วยการกรอกรหัส 229 ได้สูงสุดคนละไม่เกิน 500 บาท เพื่อให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีกำลังใจและมีเงินอุดหนุนที่มากขึ้น เพื่อนำเงินอุดหนุนเหล่านี้ไปสร้างเครือข่ายสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อมาทำประโยชน์ต่อประเทศชาติและคนไทย และเพื่อพัฒนาพรรคให้เข้มแข็ง เป็นเสาหลักที่พึ่งพิง และเข้าไปในสภาฯเพื่อสู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่องให้กับคนไทยทุกคนต่อไป” นายอัครเดช ระบุทิ้งท้าย

‘อัครเดช’ ขอบคุณ!! ปชช. ที่เลือก ‘ตัวแทนพรรครวมไทยสร้างชาติ’ ให้นั่งนายกฯ อบจ. ย้ำ!! ประสาน ‘การเมืองท้องถิ่น’ สู่ ‘การเมืองระดับประเทศ’ เพื่อประโยชน์ของคนไทย

(2 ก.พ. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่ออกมาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกผู้สมัคร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายกอบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(สมาชิกอบจ.) ซึ่งถือเป็น การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ที่มีความสำคัญอย่างมาก

โดยการเลือกตั้งในครั้งนี้ มีบุคลากรของพรรครวมไทยสร้างชาติ และผู้สมัครที่เป็นกลุ่มแนวร่วมของพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงสมัครเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายกอบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(สมาชิกอบจ.) ในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น สุราษฎร์ธานี, พัทลุง, สมุทรสงคราม, ภูเก็ต และนราธิวาส ในศึกการเลือกตั้งนายก อบจ. 2568  และพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอแสดงความยินดีกับผู้สมัครของพรรคทุกคนที่ได้รับการเลือกตั้งให้เข้าไปทำหน้าที่ในนามสมาชิกอบจ. ซึ่งพรรคยืนยันว่า บุคลากรในนามตัวแทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ จะมุ่งมั่นทำงานพัฒนาท้องถิ่นของตนเองอย่างเต็มที่ ให้เกิดการพัฒนา อันมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่พ่อแม่พี่น้องทุกคนในจังหวัด

ทั้งนี้ การทำงานจะประสานการทำงานเชื่อมโยงการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับประเทศในทุกมิติ เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีเอกภาพ เกิดความต่อเนื่องและสอดคล้องร่วมกัน เพื่อให้สามารถพัฒนาทั้งจังหวัดและประเทศไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยพัฒนาอย่างมีระบบตามความต้องการของพ่อแม่พี่น้องประชาชน

“พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงของพี่น้องที่มอบให้กับผู้แทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการเลือกตั้งนายก อบจ.  ที่ทำให้บุคลากรของพรรคได้รับความไว้วางใจจากพ่อแม่พี่น้องในหลายพื้นที่ และพรรคขอให้คำมั่นว่าจะประสานการทำงานระหว่างการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับประเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดแก่บ้านเมือง" นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

‘อัครเดช’ หารือเอกอัครราชทูตออสเตรียชงหาแนวทางฟรีวีซ่าเชงเก้นพร้อมส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันเพื่อยกระดับการค้าการลงทุน

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภาไทย-ออสเตรีย เปิดเผยว่าตนได้หารือร่วมกับนายวิลเฮ็ล์ม มัคซีมีลีอาน ด็องโค (H.E. Mr. Wilhelm Maximilian Donko) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทย และคณะ 

โดยการหารือในครั้งนี้ได้มีการหยิบยกเอาประเด็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีของสมาชิกรัฐสภาไทยและออสเตรียเพื่อเป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ของทั้ง2ประเทศในการส่งเสริมการค้าการลงทุนการท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทยและประเทศออสเตรีย ซึ่งปัจจุบันมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านยูโร โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจากไทยเพื่อไปประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปที่ออสเตรียก่อนส่งออกจำหน่ายในสหภาพยุโรปต่อไป 

ดังนั้นออสเตรียจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่สำคัญที่ไทยจะต้องส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนต่อไปในอนาคต โดยฝ่ายนิติบัญญัติจะเป็นอีกกลไกหนึ่งที่สามารถช่วยสนับสนุนในการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันของทั้ง 2 ประเทศอีกด้วย 

‘อัครเดช’ แถลงชัด!! แก้กม.ค้าของเก่า ไม่ส่งผลกระทบต่อ ‘ซาเล้ง - ร้านขายของเก่า’ที่ดี พร้อมเตรียมเพิ่มโทษ!! ‘จำคุก’ ร้านของเก่าที่ไม่ทำตามกฎหมาย ลดปัญหา รับซื้อของโจร

(22 ก.พ. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้มีการพิจารณา พ.ร.บ.ควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ.2474 โดยได้เชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้ค้าของเก่า อธิบดีกรมการปกครอง มาร่วมให้ข้อมูล โดยในที่ประชุมได้มีการพิจารณาถึงการแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าว

การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้มีสาเหตุมาจากปัจจุบันมีการลักขโมยทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และของทางราชการเป็นจำนวนมาก ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และงบประมาณของประเทศอย่างสูง และเมื่อทาง กมธ.อุตสาหกรรม ได้พิจารณาถึงปัญหาดังกล่าวพบว่ามีสาเหตุจาก พ.ร.บ.ควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ.2484 ยังมีช่องว่างทางกฎหมายจากบทลงโทษที่ไม่มีประสิทธิภาพในหลายส่วน เช่น 

การกำหนดโทษกรณีผู้รับซื้อของเก่าไม่บันทึกข้อมูลการรับซื้อมีโทษปรับเพียง 2,000 บาท โดยที่ผ่านมาร้านรับซื้อของเก่าที่รับซื้อของโจรยอมที่จะโดนปรับ 2,000 บาท เนื่องจากโทษปรับดังกล่าวน้อยกว่ากำไรที่จะได้รับจากการค้าของโจร ทำให้เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ในส่วนของกรมการปกครองในการปฏิบัติงานเป็นอย่างยิ่ง กรณีนี้ทาง กมธ.อุตสาหกรรม และกรมการปกครอง มีความเห็นตรงกันว่าจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายในส่วนบทลงโทษร้านรับซื้อของเก่าที่ไม่บันทึกข้อมูลผู้ขายให้มีโทษจำคุกจากเดิมมีเพียงโทษปรับ เพื่อลงโทษร้านรับซื้อของเก่าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด กฎหมายฉบับนี้จะเป็นการปกป้องร้านรับซื้อของเก่าที่ปฏิบัติตามกฎหมายจะไม่ต้องถูกข้อกล่าวหาเรื่องรับซื้อของโจรอีกด้วยถ้าลงบันทึกการรับซื้อถูกต้อง 

ความกังวลเรื่องบันทึกการรับซื้อ ได้มีการหารือกับตัวแทนผู้รับซื้อของเก่าว่าควรจะมีการปรับปรุงรูปแบบการบันทึกข้อมูลจากเดิมที่เป็นการบันทึกแบบจดด้วยมือลงสมุดเพียงอย่างเดียวในอนาคตจะเพิ่มเป็นรูปแบบที่ทันสมัยยิ่งขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยี เช่น การลงบันทึกผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ลงบันทึกผ่านเว็บไซต์หรือผ่านแอปพลิเคชัน เป็นต้น เพื่อง่ายและเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ร้านรับซื้อของเก่าและมีความชัดเจนเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของของเก่าที่ถูกนำมาขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดได้ในกรณีที่ทรัพย์นั้นหรือของเก่าที่นำมาขายนั้นถูกโจรกรรมหรือถูกขโมยมา

ซึ่งในพ.ร.บ.จะไม่มีการกำหนดการลงบัญชีรับซื้อในพ.ร.บ.ให้มีรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่จะให้เป็นหน้าที่ของกรมการปกครองต้องหารือร่วมกับผู้ประกอบการหรือตัวแทนร้านรับซื้อของเก่า เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและมีประสิทธิภาพในการติดตามผู้กระทำความผิดโดยจะออกเป็นกฎกระทรวงต่อไป

นอกจากนี้ยังมีผู้ไม่หวังดีได้ให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริงว่า ผู้รับซื้อของเก่ารายย่อย หรือรถซาเล้งที่ตะเวนรับซื้อของเก่าจะได้รับผลกระทบจากการแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ ซึ่งตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง กฎหมายฉบับนี้จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ไปยังผู้ตระเวนรับซื้อของเก่าหรือซาเล้งแต่อย่างใด เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้บังคับใช้เฉพาะร้านรับซื้อของเก่าเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับรถซาเล้งแต่อย่างใด

ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนและทรัพย์สินของราชการมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นและยังจะเป็นการปกป้องร้านรับซื้อของเก่า ที่ดีและปฏิบัติตามกฎหมาย แต่สำหรับผู้ที่จะได้รับผลกระทบคือโจร รวมถึงร้านรับซื้อของเก่าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคือมีเจตนารับซื้อของโจรเพื่อหากินกับทรัพย์สินของทางราชการและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนที่ถูกลักขโมยมาขาย

โดยปัจจุบันกฎหมายฉบับนี้อยู่ระหว่างการเสนอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร บรรจุลงในระเบียบวาระของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้จะทำให้การลักทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนและราชการลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ 

ตนขอฝากไปยังร้านรับซื้อของเก่าที่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าไม่ต้องกังวลกับการแก้ไขกฎหมายค้าของเก่า เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการปกป้องท่าน และที่สำคัญรถซาเล้งจะไม่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายฉบับนี้แต่อย่างใด โปรดอย่าหลงเชื่อบุคคลผู้ไม่หวังดีที่ปลุกปั่นข่าวที่ไม่เป็นความจริง

มติ รทสช. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจแก้รัฐธรรมนูญ ให้ชี้ชัด ต้องทำประชามติถามความเห็นประชาชนก่อนหรือไม่

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เผยพรรคมีมติเห็นชอบส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ ปมอำนาจสภาในการแก้รธน. ย้ำแก้รธน. เรื่องใหญ่ ทำประชามติใช้งบ 4,000 ลบ. จึงต้องรอบคอบ ชัดเจน 

(14 มี.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงการประชุมร่วมรัฐสภาที่จะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2568 นี้ ซึ่งจะมีการพิจารณาใน 2 ญัตติเกี่ยวกับประเด็นอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ญัตติขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ที่เสนอโดยสมาชิกวุฒิสภา และญัตติขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

โดยนายอัครเดช ระบุว่า แต่เดิมในเรื่องนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ออกมาแล้วว่า การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องมีการทำประชามติให้ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนก่อนว่าสมควรให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้าประชาชนเห็นสมควร จึงจะสามารถเดินหน้าขอแก้ไขตามมาตรา 256 เพื่อปูทางไปสู่การจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.) และการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ในเมื่อขณะนี้เกิดปัญหาขึ้นว่ามีสมาชิกรัฐสภาบางส่วนเห็นต่างว่าสามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญในที่ประชุมสภาได้ทันที โดยไม่ต้องทำประชามติ รับฟังความเห็นจากประชาชนก่อน

พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงได้ประชุมและพิจารณาในเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับประเทศชาติและคนไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงได้มีมติเห็นสมควรว่า ให้เห็นชอบกับทั้ง 2 ญัตติดังกล่าว ในการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความขอบเขตอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการพิจารณาในวันจันทร์นี้ เพื่อให้สิ้นข้อสงสัย เกิดความกระจ่างชัดเจนและไม่เป็นประเด็นปัญหาในภายหลังที่อาจจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติได้

“การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งการทำประชามติแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณมากถึง 4,000 ล้านบาท ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนและรอบคอบ พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงเห็นควรว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวให้เกิดความกระจ่างแจ้งอีกครั้ง” นายอัครเดช กล่าว

รทสช. ประกาศเป็นกองหนุนช่วยนายกฯ ชี้แจงเต็มที่ ชี้ ‘พลังงาน-อุตสาหกรรม’ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์

รทสช.เผยพรรคพร้อมรับมืออภิปรายไม่ไว้วางใจ มั่นใจรัฐมนตรีสังกัดพรรค พร้อมสนับสนุนนายกรัฐมนตรีในการชี้แจงเต็มที่ ชี้ ‘พลังงาน-อุตสาหกรรม’ ทำงานจริงจัง ผลงานเป็นที่ประจักษ์ สส.ของพรรคพร้อมควบคุมประเด็นการอภิปราย

(20 มี.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า

ในวันพรุ่งนี้พรรครวมไทยสร้างชาติ โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้มีการจัดประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อควบคุมการประชุมโดยเฉพาะในการประชุมให้อยู่ในญัตติไม่ให้หลุดออกจากประเด็น

สำหรับรัฐมนตรีจากพรรครวมไทยสร้างชาติทั้ง 4 ท่านต่างก็พร้อมที่จะสนับสนุนการชี้แจงของนายกรัฐมนตรี หากมีการพาดพิงถึงการทำงานที่รัฐมนตรีในสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติรับผิดชอบ โดยเฉพาะกระทรวงพลังงานที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ก็มีความพร้อมในการชี้แจงในทุก ๆ ประเด็นอย่างชัดเจน เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการของทั้ง 2 กระทรวงต่างมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน ผลงานเป็นที่ประจักษ์ และเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในความรับผิดชอบอย่างเต็มที่

และในส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติต่างมีความพร้อมในการควบคุมการประชุมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจให้สำเร็จลุล่วงไปได้ และเนื่องจากการประชุมที่มีระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน ข้ามวันข้ามคืน ดังนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคอาจเหนื่อยล้าได้ ทางพรรครวมไทยสร้างชาติจะได้สับเปลี่ยนหมุนเวียนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อทำหน้าที่ในสภาฯให้เกิดประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top