Wednesday, 23 April 2025
อภิสิทธิ์_เวชชาชีวะ

'อภิสิทธิ์' กล่าวเตือน 'อุ๊งอิ๊ง' ระวังเจอรัฐประหาร หากนิรโทษกรรม พา 'ทักษิณ' กลับเมืองไทย

วันนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ช่องยูทูปสภาที่ 3 กรณีท่าทีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชู นางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว ขึ้นมาแล้วหวังว่าจะเกิดแลนด์สไลด์ และนางสาวแพทองธารจะเอานายทักษิณกลับบ้าน ทำให้มีการวิเคราะห์ว่าอาจจะมีการรัฐประหารเกิดใหม่อีกรอบว่า...

ต้องยอมรับว่าความกังวลตรงนี้มีแน่นอน เพราะเกิดความรู้สึกว่าในที่สุดพรรคเพื่อไทย ก็ยังก้าวไม่พ้นครอบครัวชินวัตร ทั้งนี้สมมติว่าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง คนในครอบครัวมาดำรงตำแหน่งอีก ลำพังตรงนั้นก็ไม่เป็นไร ถ้าประชาชนเลือก เพียงแต่ว่าอย่าย้อนกลับไปสู่ พฤติกรรมหรือการกระทำที่เป็นลักษณะของการเอื้อประโยชน์ ให้ครอบครัว ให้พวกพ้องหรือไปทำอะไรที่ฝืนกับหลักธรรมาภิบาล หลักกฎหมาย

ซึ่งอาจจะรวมไปถึงแนวคิดเรื่องการนิรโทษกรรม ฉะนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล ถ้าตัวบุคคลนั้นผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งตนพูดเสมอว่าการได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งมา เป็นความยินยอมพร้อมใจของประชาชนให้เข้ามาผลักดันนโยบายหรือทำงานให้กับประเทศชาติ แต่ไม่ใช่ใบอนุญาตให้เข้ามาทำอะไรก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องที่ขัดต่อหลักของกฎหมาย

นายอภิสิทธิ์ ยังตอบคำถามในประเด็นการรัฐประหาร ซึ่งตนเองไม่เห็นด้วย และไม่เอาระบอบประยุทธ์ แต่ท้ายที่สุดคนใต้กลับไม่เอา และสนับสนุนให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ไปร่วมรัฐบาลว่า ตนก็พยายามนำเสนอว่า ถ้าความเห็นต่างตรงนี้ ยังถูกมองเป็นแค่เรื่องว่า เราเป็นศัตรูกันเราอยู่คนละข้างกัน สุดท้ายการเมืองก็จะเป็นแพ้แค่เรื่องเอาชนะอีกฝ่าย โดยวิธีการอะไรก็ได้ ซึ่งอาจจะเป็นการใช้เงิน ใช้อำนาจรัฐ

‘โอ๊ค’ โต้ ‘มาร์ค’ อยาก PR ตัวเองเพื่อกอบกู้พรรคก็ทำไป แต่อย่ามาใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ

นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ทวิตเตอร์ “Oak Panthongtae @oak_ptt” กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ วิพากษ์วิจารณ์พรรคเพื่อไทยก้าวไม่พ้นจากครอบครัวชินวัตร ว่า...

อยากจะ PR ตัวเอง เพื่อกลับมากอบกู้พรรคจากเรื่องหื่นเรื่องฉาวของรองหัวหน้าฯ ก็ทำไป อย่ามาใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ เลยครับ

ขุดปมลับล้างใจ ‘เฉลิมชัย-อภิสิทธิ์’ พร้อมจับตาลูกฮึดบ้านใหญ่กู้ซาก ปชป.

สัปดาห์ที่ผ่านมา ลาท่าน บก.ไปทำภารกิจส่วนตัวเสียหลายวัน ไม่ได้ขยับต้นฉบับเลย ขณะที่เหตุบ้านการเมืองก็เปลี่ยนไปเร็ว และบางกรณีก็คาดไม่ถึง เช่นกรณี ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ นอกจากขอถอนตัวจากการลงแข่งขันชิงหัวหน้าพรรคแล้ว ยังประกาศลาออกจากสมาชิกพรรคกลางวงประชุม 9 ธ.ค.2566 อีกต่างหาก…เซอร์ไพรส์!!

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แวะจอดป้ายเรื่องประชาธิปัตย์ซะเลย...พูดไปก็ต้องบอกว่ามีดรามาเล็ก ๆ ตอนที่ ‘อภิสิทธิ์’ ท้า ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ คุยกันตัวต่อตัว...ที่ประชุมต้องพักกว่า 10 นาทีให้อดีต ‘คอหอยกับลูกกระเดือก’ เมื่อครั้งอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้า เฉลิมชัยเป็นเลขาพรรค ปี 2556 โน่น…

ไปคุยกันเสร็จแล้ว อภิสิทธิ์ก็มาประกาศถอนตัวจากการถูกเสนอชื่อแข่งขันชิงหัวหน้าพรรค พร้อมลาออกจากสมาชิกพรรค โดยบอกว่าทั้งสองเรื่องมาจากเหตุผลเดียวกัน....ซึ่งถ้าใครที่ดูไลฟ์สดหรือดูเทปการประชุมก็จะได้ยินเต็มสองรูหูว่า..อภิสิทธิ์บอกว่า...

“ยืนยันกับทุกท่านที่นี่ ผมไม่มีพรรคอื่นไม่ไปพรรคอื่น กรีดเลือดมาก็เป็นสีฟ้าจนวันตาย เป็นลูกพระแม่ธรณีที่จะเอาอุดมการณ์ประชาธิปัตย์รับใช้บ้านเมือต่อไป วันข้างหน้าถ้าในพรรคคิดว่าผมจะเป็นประโยชน์มาช่วยได้ ผมก็คงไม่ปฏิเสธ แต่วันนี้เพื่อให้ท่านมีสถานะและจะมีอำนาจในการบริหารต่อไป ทำงานด้วยความสบายใจ ทำงานตามแนวทางอย่างเต็มที่ไม่ต้องหวาดระแวงเรื่องผม เรื่องใครใด ๆ ทั้งสิ้นก็ขออนุญาตที่จะลาออก...”

ตรงนี้ชัดแจ้งว่า ‘อภิสิทธิ์’ ลาออกเพื่อให้ทีมของเฉลิมชัยทำงานได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวทีมอภิสิทธิ์จะไปเลื่อยขาเก้าอี้...

ทั้งนี้ ขอเท้าความกันอีกสักนิดว่า...เมื่อตอนที่อภิสิทธิ์ลาออกจากหัวหน้าพรรค เพราะพ่ายศึกเลือกตั้งปี 2562 และไม่เห็นด้วยที่จะไปร่วมรัฐบาลกับ ‘ลุงตู่’ ต่อมา ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ ก็ขึ้นมานำพรรคจากการสนับสนุนของ ‘ชวน-บัญญัติ-อภิสิทธิ์’ โดยเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นเลขาพรรคสืบเนื่อง แต่การทำงานของ ‘จุรินทร์’ กับเฉลิมชัยนั้นไม่เข้าขากันเท่าที่ควร ไม่เป็นคอหอยกับลูกกระเดือก…

มีอยู่บางช่วงสมาชิกพรรคไม่พอใจ ‘จุรินทร์’ ก็คิดก่อการให้ ‘อภิสิทธิ์’ คัมแบ็ก...ด้วยการให้กรรมการบริหารพรรคลาออก โดยเฉพาะช่วงที่เกิดกรณี ‘ปริญญ์ พานิชภักดิ์’ เรื่องการคุกคามทางเพศ...แต่อภิสิทธิ์ไม่เล่นเกมนี้ด้วย...จนกระทั่ง ปชป.แพ้เลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 แบบยับเยิน...‘จุรินทร์’ ลาออกจากหัวหน้า… ‘เฉลิมชัย’ เองก็ติดกับดักการประกาศเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต...จึงมีกระแสเรียกร้องให้อภิสิทธิ์กลับไปกอบกู้พรรคอีกครั้ง...แต่มุ้งใหญ่ในพรรคคือ สส.ที่หนุนเฉลิมชัย ไม่ตอบรับสูตรอภิสิทธิ์

มีคนกลางพยายามประสานให้เฉลิมชัยคุยกับอภิสิทธิ์เพื่อหาทางออก ประมาณว่าให้อภิสิทธิ์นั่งหัวหน้าพรรค กลุ่มเฉลิมชัยเป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งในทีนี้เป็นที่รู้กันว่าคือ เดชอิศม์ ขาวทอง นั่นเอง...แต่การนัดหมายล้มเหลว...แหละนี่คือ ประเด็นที่อภิสิทธิ์ขอเคลียร์ใจกับเฉลิมชัย

สายข่าวแจ้งว่า...การเคลียร์ใจประเด็นการนัดหมายที่ล้มเหลวใช้เวลาเพียงแป๊บเดียว จากนั้นทั้งสองคุยกันถึงทิศทางพรรคสั้น ๆ เฉลิมชัยยืนยันที่จะทำให้พรรคมีศักดิ์ศรีแม้อาจต้องเข้าร่วมรัฐบาล นอกจากนั้นก็เล่าถึงการทุ่มให้พรรคสุดตัวอยู่คนเดียวตอนเลือกตั้ง 2566…

แม้ว่าดูอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์แล้วอาการน่าเป็นห่วง… ‘อดีต สส.-สมาชิก’ ลาออกตามอภิสิทธิ์กว่าสิบคนแล้ว...แบบว่าไม่ตายแต่ก็ไม่โต...แต่ ‘เสี่ยต่อ’ เฉลิมชัย ก็คงมีลูกฮึดลูกสู้ตามประสาคน ‘ใจถึงพึ่งได้’ สไตล์บ้านใหญ่หาหนทางให้พรรคเดินไปข้างหน้า…

ข่าวแจ้งว่า ‘เสี่ยต่อ’ พยายามจะกวักมือเรียกคนเก่า ๆ ที่ลาออกไปมากอบกู้พรรคกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น สกลธี ภัททิยกุล, อันวาร์ สาและ เป็นต้น...

และหากเป็นไปได้ ‘เฉลิมชัย’ กับคณะก็คงจะปั้นให้ ‘ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์’ เป็นจุดขายเป็นหัวหน้าในการเลือกตั้งสมัยหน้า...

‘เล็ก เลียบด่วน’ ไม่ได้ปรามาสใคร...แต่ต้องบอกว่า ถ้ามองไปข้างหน้า เลือกตั้งสมัยหน้า โอกาสที่ประชาธิปัตย์จะได้น้อยกว่าเดิม 25 เสียง สูงมาก…

และวันนั้นแหละอาจเป็นโอกาสสุดท้ายของ ‘อภิสิทธิ์’ ที่จะกลับมากอบกู้พระแม่ธรณี..!!

‘เทพไท’ ฟาด ‘อุ๊งอิ๊ง’ ตระบัดสัตย์-หักหลังปชช. ภาคภูมิใจกับดีลลับ ‘ทักษิณ’ ยก!! ‘ชวน-อภิสิทธิ์’ เป็นตัวอย่าง ให้ความสำคัญ ‘สัจจะวาจา’ มากกว่าอำนาจ

(4 พ.ค.67) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กระบุข้อความว่า

จงภูมิใจกับการจัดตั้งรัฐบาลแบบข้ามขั้วต่อไป

เมื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ‘อุ๊งอิ๊ง’ กล่าวในงานอีเวนต์  ‘10เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม10’ ว่า พรรคเพื่อไทยตัดสินใจถูกตั้งรัฐบาลผสม บอกลูกพรรคอย่าสนวากรรมทำให้ เหมือนผิดคำสัญญาประชาชน นั้น ต้องยอมรับความจริงว่าเป็นความพยายามของพรรคเพื่อไทย ที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐให้ได้ โดยมีการดีลลับกัน ระหว่างนายทักษิณกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม จนสมประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย หรือที่เรียกกันว่า ฮั้วอำนาจทางการเมืองกันลงตัว

เมื่อต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ก็เหมือนกับคุณอุ๊งอิ๊งบอกว่า ตัดสินใจถูกต้องแล้ว และไม่สนคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนว่า จะไม่จับมือร่วมรัฐบาลกับพรรค2ลุง ซึ่งเป็นการประกาศบนเวทีหาเสียง จากปากคุณอุ๊งอิ๊ง นายเศรษฐา ทวีสิน  แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และน.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค เป็นการตระบัดสัตย์และหักหลังประชาชน

ถ้ามั่นใจว่าประชาชนลืมง่าย และสามารถนำผลงานมาเรียกศรัทธาคืนจากประชาชนได้ ก็ขอให้รอดูผลการเลือกตั้งในครั้งต่อไปก็แล้วกัน เพราะคำพูดของนักการเมือง มีความสำคัญเป็นสัจจะวาจาที่ให้ไว้กับประชาชน เมื่อพูดไปแล้วก็ต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ ประชาชนก็จะเสื่อมศรัทธาและจะลงโทษเอง อยากให้ดูการรักษาสัจจะของนักการเมืองอย่างน้อย 2 คน คือ

1.นายชวน หลีกภัย ซึ่งเคยประกาศเป็นสัญญาประชาคมในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อันดับ1 ก็จะไม่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา พรรคประชาธิปัตย์แพ้พรรคความหวังใหม่ 2 เสียง จากเหตุไฟฟ้าดับตอนนับคะแนนที่จังหวัดปทุมธานี นายชวนก็เปิดโอกาสให้พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่จัดตั้งรัฐบาล และเป็นนายกรัฐมนตรีทันที

2.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้ประกาศไว้ในการ หาเสียง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ว่า จะไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ มีมติด้วยเสียงข้างมาก ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล สนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์ก็แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ลาออกจากการเป็นส.ส.ในทันที ทั้งที่สามารถหลีกเลี่ยงการขานชื่อ สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ โดยการรับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่นายอภิสิทธิ์ ยึดหลักบาป 7 ประการ ของมหาตมะ คานธี คือ
1.เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ
2.หาความสุขสำราญโดยไม่ยั้งคิด
3.ร่ำรวยเป็นอกนิษฐ์โดยไม่ต้องทำงาน
4.มีความรู้มหาศาลแต่ความประพฤติไม่ดี
5.ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลธรรม
6.วิทยาศาสตร์เลิศล้ำแต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์
7.บูชาสูงสุดแต่ไม่มีความเสียสละ

ขอให้พรรคเพื่อไทย จงภูมิใจกับการเป็นรัฐบาลต่อไปเถิด ถ้าคิดว่าผลงานช่วงเป็นรัฐบาล 4 ปีนี้สามารถเรียกคะแนนนิยมคืนได้ 10 เต็ม ตามที่ประกาศไว้ ถือเป็นความโชคดีไป ขอให้ยืนยันและภูมิใจในการตัดสินใจหักหลังประชาชน กระโดดข้ามขั้วจัดตั้งรัฐบาล ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว

จะตัดสินใจถูกหรือผิดในการจัดตั้งรัฐบาลแบบข้ามขั้ม อย่าคิดเอง เออเอง รอให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ในการเลือกตั้งครั้งหน้าดีกว่า

‘อภิสิทธิ์’ มองเกม!! ถึงยุบก้าวไกล พรรครับไม้ต่อก็เต็งหนึ่งเลือกตั้ง ชี้!! ถ้าอยากหยุดส้มจริงจัง ต้องทำงานให้น่าประทับใจ แต่ไม่ง่าย

(18 มิ.ย. 67) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง’ ทางช่องยูทูบ ‘แนวหน้าออนไลน์’ ในประเด็นการยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งปัจจุบันคดีอยู่ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า นโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ว่า… 

แม้สถานการณ์จะเลวร้ายที่สุด คือพรรคถูกยุบและมีบุคคลถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ฝ่ายก้าวไกลก็มั่นใจว่าจะมีพรรคการเมืองมาสานต่อ

ซึ่งแม้จะเสีย สส. งูเห่าออกไปบ้าง แต่ก็เชื่อว่ายังมีแรงสนับสนุน ก็ทำให้เคลื่อนต่อไปได้ อย่างคณะก้าวหน้าที่ปัจจุบันก็เห็นเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ แน่นอนว่ากระทบตัวบุคคล คือมีคนถูกตัดสิทธิ์ แต่ในภาพรวมทางการเมืองไม่เปลี่ยนแปลง หากวันนี้พรรคก้าวไกลถูกยุบ ตนเชื่อว่าบรรดานักวิเคราะห์การเมืองก็คงมองว่า พรรคที่มารับช่วงต่อก็ยังมีโอกาสมากที่สุดที่จะชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม ที่มีการลือกันว่าตนจะไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ว่า ขอยืนยันว่าไม่รู้เรื่องและไม่เกี่ยวข้องด้วย อาจเป็นความเห็นส่วนตัวของคนที่พูดเรื่องดังกล่าวขึ้นมา แต่เขาคงไม่เอาตนไปเป็นหัวหน้าพรรค อีกอย่างเวลานี้เขาคงวุ่นอยู่กับการต่อสู้คดี ซึ่งที่คนรู้สึกว่าคดีพรรคก้าวไกลต้องเดินไปแบบนี้ เพราะเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีที่มีคนไปร้องให้พรรคก้าวไกลหยุดการกระทำ และเมื่อศาลวินิจฉัยออกมาแบบนั้น คนก็ต้องมองว่าต้องมีคดีนี้ต่อมา

“ตอนนี้มันต้องต่อสู้เรื่องนี้เป็นหลัก ผมเข้าใจอย่างนั้น เพราะว่ามันก็ยากที่จะไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เขาเปลี่ยนสิ่งที่เขาเคยเขียนไว้ในคำวินิจฉัยในคดีนั้น เพียงแต่ว่าตอนนี้ถ้าจะสู้ก็อาจจะต้องเป็นลงไปว่าเป็นเจตนาไหม? หยุดการกระทำแล้วต้องยุบไหม? มีอำนาจยุบหรือเปล่า? การดำเนินการในการยุบมันถูกต้องตามขั้นตอนไหม? ผมดูว่ามันก็จะไปในเรื่องพวกนี้มากกว่า” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวต่อไปว่า…

ส่วนคดี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 40 คน ไปร้องศาลรัฐธรรมนูญให้ตรวจสอบกรณีการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนายพิชิตอาจขาดคุณสมบัติและเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ว่า ในประเทศไทย ทุกคดีจะคุยกันได้ 2 มุม คือมุมกฎหมายกับมุมการเมือง ซึ่งในความเห็นของตนอาจผิดก็ได้ แต่ในมุมกฎหมายหากพูดกันตามสามัญสำนึกก็มีความรู้สึกว่าค่อนข้างชัด

ซึ่งหากแต่งตั้งบุคคลที่มีประวัติแบบนี้ แล้วมีประมวลจริยธรรมอยู่ ถ้าบอกว่าไม่ผิดก็จะเกิดคำถามมากมายเหมือนกันว่าประมวลจริยธรรมเขียนไว้ทำไม? หรือแปลว่าอะไร? อย่างไรก็ตาม ในทางกฎหมายก็มีเรื่องของเทคนิคอยู่ เช่น หากเป็นเรื่องจริยธรรมจริงก็ควรไปผ่านช่องทางอื่นๆ มาก่อนหรือไม่? ซึ่งจริงๆ เหตุที่เกิดขึ้นจะบอกว่าไม่รู้เรื่องเลยก็คงไม่ได้ เพราะตอนตั้งรัฐบาลใหม่ๆ ก็มีชื่อนายพิชิตอยู่ในโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แต่งตั้ง ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกที่มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่างอยู่ แต่การที่ไม่ตั้งก็เป็นที่รับรู้กันว่ามีเครื่องหมายคำถามเรื่องคุณสมบัติ

และแม้ในภายหลัง นายพิชิต จะลาออกจากตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ แต่ก็เป็นเรื่องของนายพิชิต ส่วนนายกฯ เศรษฐา ก็จะยังต้องถูกตรวจสอบเรื่องการแต่งตั้งนายพิชิตต่อไป ถึงกระนั้น หากมามองในมุมการเมือง การที่นายเศรษฐาต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ มีผลกระทบสูง เพราะหากรัฐบาลชุดเดิมยังต้องการอยู่ด้วยกันต่อไป ทางพรรคเพื่อไทยยังเหลือรายชื่อบุคคลที่พรรคเสนอให้เป็นนายกฯ อีก 2 คน แต่คำถามคือเป็นที่เห็นพ้องต้องกันแล้วหรือยัง ที่สำคัญคือ การเลือกนายกฯ คนใหม่ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จะไม่เกี่ยวข้องอีกแล้ว สมการก็เปลี่ยนไปอีก

ดังนั้น หากในมุมการเมืองแล้วก็อาจรอด เพราะไม่เช่นนั้นอาจเกิดเรื่องยุ่งๆ ตามมา แต่หากเป็นมุมกฎหมายสำหรับตนแล้วตรงไปตรงมาว่าค่อนข้างชัด ส่วนคำถามว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่มีการเตรียมตัวกันมา เหมาะสมหรือยังกับการรับตำแหน่งนายกฯ เรื่องนี้อย่ามาถามตน แต่ตนถามว่าถามว่า โอกาสที่จะเป็นหรือไม่เป็นมาจากปัจจัยอะไร? เพราะจริงๆ ทุกคนก็พูดตรงกันว่าครอบครัวคิดอย่างไร? ซึ่งดูเหมือนครอบครัวเขาจะยังไม่พร้อม และตนก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน แต่ปัญหาคือถ้าเอาอย่างนั้นแล้วจะมีตัวเลือกอื่นหรือไม่?

อย่างอีกชื่อหนึ่งในพรรคเพื่อไทย คือ นายชัยเกษม นิติสิริ ก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพ หรือจะข้ามมาที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็มีคำถามว่าพรรคเพื่อไทยจะปล่อยมือจากตำแหน่งนายกฯ ด้วยเหตุผลใด? หรือจะย้ายขั้วไปเลย เป็นพรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคก้าวไกล ก็ยังมีปัญหาอีกว่าแล้วจะให้ฝ่ายไหนเป็นนายกฯ รวมถึงพรรคก้าวไกลก็ยังมีเรื่องยุบพรรคอยู่ ดังนั้น คดีนายกฯ เศรษฐา จะเป็นคดีที่ตัดสินแล้วจะเกิดเรื่องยุ่งมากที่สุด และหากถึงที่สุดจริงๆ ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องชู น.ส.แพทองธาร เพื่อให้รัฐบาลยังเป็นชุดเดิมและไม่กระทบพรรคเพื่อไทย

“ที่คิดว่าเขาจะไม่ได้เป็นก็มีแต่คนบอกว่าเพราะยังจะไม่ได้เป็นนะ ไมได้แปลว่าในอนาคตจะไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้นถ้าเกิดดุลอำนาจที่ทางพรรคเพื่อไทยกับคุณทักษิณ (ทักษิณ ชินวัตร-อดีตนายกรัฐมนตรี) ยังถึงอยู่ ก็มีการมองอยู่ตลอดเวลาว่าวันใดวันหนึ่งคุณอุ๊งอิ๊งก็จะต้องขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี” นายอภิสิทธิ์ ระบุ

นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า “ส่วนเรื่องที่วิเคราะห์กันว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กลับมาได้ เพราะมีการเจรจากันทางการเมืองโดยจำเป็นต้องให้นายทักษิณมาช่วยจัดการกับพรรคก้าวไกล เรื่องนี้ตนไม่อยากใช้คำว่าจัดการ คือเป็นวิธีที่ไม่ทำให้พรรคก้าวไกลได้อำนาจเท่านั้นเอง ไม่ใช่จัดการในความหมายว่าต่อกรหรือต่อสู้ และหากไม่นับบรรดากองเชียร์ ก็จะเห็นบุคคลระดับบนๆ ของพรรคเพื่อไทยตอบโต้พรรคก้าวไกลน้อยมาก”

ทั้งนี้ ต่อข้อสังเกตที่ว่า พรรคก้าวไกลอยู่เฉยๆ ก็ได้คะแนนเพิ่มขึ้น ในขณะที่พรรคเพื่อไทยนับวันมีแต่คะแนนจะต่ำลง จริงๆ ก็เป็นเช่นนั้น เพราะการรวมตัวกันของบรรดาพรรคการเมืองที่มาเป็นรัฐบาลชุดนี้ ต้องยอมรับว่าในใจลึก ๆ ของผู้สนับสนุนนั้นฝืนความรู้สึกอยู่แล้ว อาจจะยกเว้นอยู่บ้างกับพรรคภูมิใจไทย แต่พรรคอื่น ๆ มีลักษณะที่ฝืนอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลข้ออ้างอะไร ทั้งหมดก็คือการไม่ให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล และยิ่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคก้าวไกลได้ที่นั่ง สส. ในสภามากที่สุด อารมณ์ของสังคมอย่างไรก็ต้องไหลไปทางพรรคก้าวไกล

“ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลตั้งแต่ต้นที่พูดกันมา ถ้าจะหยุดยั้งก้าวไกลได้ พูดง่ายๆ การทำงานมันต้องเป็นที่ประทับใจจริง ๆ ซึ่งผมก็เคยวิเคราะห์ตั้งแต่แรกว่าบังเอิญมันไม่ง่าย เพราะสถานการณ์โลก สถานการณ์เศรษฐกิจโลก โครงสร้างเศรษฐกิจไทย อะไรอีกหลายอย่างตอนนี้มันไม่ค่อยเป็นใจให้เท่าไร นั่นก็เป็นปัจจัยลบอยู่แล้ว และตัวรัฐบาลเองก็ผ่านมาก็นานพอสมควร ก็ต้องยอมรับว่ายังไม่มีอะไรที่จะบอกได้ว่าเป็นผลงานที่ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าประทับใจ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

🔎ส่อง 5 ปัจจัยขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงโลกในปัจจุบันและผลกระทบต่อ ‘ประเทศไทย’

THE STATES TIMES ชวนส่อง 5 ปัจจัยขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงโลกในปัจจุบันและผลกระทบต่อ ‘ประเทศไทย’ โดยคุณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top