Sunday, 8 June 2025
หมิ่นประมาท

‘ดร.เสรี’ ฟาด!! 'ไอซ์ รักชนก' หยุดสร้างวาทกรรมให้ตัวเองไม่ผิด ชี้!! ประเด็นสำคัญคือการ ‘จาบจ้วง’ สถาบันฯ ด้วย ‘ความเท็จ’

(19 ธ.ค.66) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า ปากดี ไม่สำนึก สร้างวาทกรรมว่าตัวเองไม่ผิด แต่การบังคับใช้กฎหมายผิด ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยแก้ข้อกล่าวหาใด ๆ

อ้างว่าไม่ควรติดคุกเพราะการแสดงความคิดเห็น ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่โพสต์ไม่ใช่แสดงความคิดเห็นแต่เป็นการหมิ่นประมาท

นอกจากนั้นยังแสดงท่าทีข่มขู่อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ มันเป็นความผิดอาญาด้านความมั่นคง

คุณจะล้มเจ้าได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่คุณจาบจ้วงล่วงละเมิดเพื่อสั่นคลอนสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความเท็จ

อย่าคิดว่าประชาชนจนไม่รู้เจตนาของคุณเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์คืออะไร

ซึ่งผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนนี้ รักชนก ศรีนอก หรือ ไอซ์ สส.กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ถูกศาลอาญา รัชดา พิพากษาจำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แต่ศาลมีคำสั่งให้ประกันตัว ด้วยหลักทรัพย์ 500,000 บาท ได้เผยแพร่คลิปตัวเองในประเด็นล้มเจ้า

‘สว.อุปกิต’ ลุยฟ้อง ‘โรม’ หมิ่นประมาทอีกคดี เรียกค่าเสียหาย 20 ล้าน ยัน!! ถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้ฟ้องปิดปาก พร้อมเอาผิดคนใส่ร้ายถึงที่สุด

(19 ธ.ค. 66) ที่ศาลอาญา รัชดาฯ ห้องพิจารณาคดี 910 ศาลนัดฟังคำสั่ง คดีหมายเลขดำที่ อ1743/2566 ที่นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภาฟ้อง นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 20 ล้านบาท เป็นคดีที่ 2 โดยศาลมีคำสั่งให้คดีมีมูล ประทับรับฟ้อง อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ นายรังสิมันต์ ไม่ได้เดินทางมาศาล โดยมอบหมายทนายความมาฟังคำสั่งศาลและศาลนัดสอบคำให้การ/ตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 12 ก.พ. 2567 เวลา 09.00 น.

นายอุปกิต กล่าวว่า ได้ฟ้องร้องนายรังสิมันต์ รวม 3 คดี โดยคดีแรกฟ้องหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท ศาลนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 10 ต.ค. และสืบพยานจำเลย วันที่ 11 ต.ค. 2567 คดีที่สองเรียกค่าเสียหาย 20 ล้านบาท ซึ่งศาลก็รับฟ้อง ส่วนอีกคดีฟ้องต่อศาลแพ่ง ข้อหาละเมิด เรียกค่าเสียหาย 20 ล้านบาท และยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว

“ขอเรียกร้องไปยังนายรังสิมันต์ว่า เมื่อถึงคราวที่ตัวเองตกเป็นจำเลย ก็ควรเปิดโอกาสให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำหน้าที่ ไม่ควรด้อยค่า สร้างกระแสว่าเป็นการฟ้องปิดปาก” นายอุปกิต ระบุ

'โบว์ ณัฏฐา' เผย!! คดี 112 ไม่ควรขอนิรโทษกรรม 'ล่วงเกินใคร' ควร 'ขออภัย' มากกว่าขอ 'ลบโทษ'

(21 มิ.ย. 67) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา พิธีกรรายการวิเคราะห์ข่าว Ringside การเมือง และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

“ถาม: ทำไมคดี 112 จึงควรใช้ช่องทางการขอพระราชทานอภัยโทษ มากกว่านิรโทษกรรม?”

“ตอบ: เพราะเป็นคดีที่มีการหมิ่นเกียรติตัวบุคคลที่เป็นประมุขของรัฐอยู่ ปกติเวลาเราล่วงเกินใครก็ควรมีการ ‘ขออภัย’ กันมากกว่าจะใช้วิธี ‘ลบโทษ’ เอาเลย”

“เป็นโอกาสให้ผู้กระทำได้แสดงความสำนึกผิด ผู้คนที่รู้สึกเดือดร้อนจากการกระทำเหล่านั้นเขาจะได้คลายความโกรธเคืองลงไปด้วย ต้องยอมรับว่าหลายคนกระทำรุนแรงมากและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนถึงวันนี้”

“เสนอลบโทษให้เฉย ๆ คงไม่มีใครสบายใจ นอกจากคนที่เห็นดีเห็นงามกับการกระทำเหล่านั้นตลอดมา”

THE STATESTIMES เปิดตำรา ไขข้อสงสัย ‘ให้โดยเสน่หา’ คืออะไร เรียกคืนได้หรือไม่

(28 ต.ค. 67) จากกระแสข่าวระหว่าง ‘ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด’ กับ ‘เจ๊อ้อย’ ถึงเงินพิพาทกว่า 71 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นนำมาสู่ข้อสงสัยให้กับสังคมว่า ‘การให้โดยเสน่หา’ คืออะไร 

การให้โดยเสน่หา หรือ การให้ อยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 ลักษณะที่ 3 ให้ และอยู่ในบรรพที่ 3 คือ เอกเทศสัญญา

ดังนั้น การให้ หรือ ให้โดยเสน่หา คือ สัญญารูปแบบหนึ่งนั้นเอง 

โดยมาตรา 521 ได้บัญญัติไว้ว่า “อันว่าให้นั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้ โอนทรัพย์สินของตนให้โดยเสน่หาแก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้รับ และผู้รับยอมรับเอาทรัพย์สินนั้น”

สรุปง่าย ๆ คือ การมอบทรัพย์สินของตัวเองให้คนอื่น โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนนั้นเอง 

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม กฎหมายก็ได้กำหนดไว้ว่าในบางกรณีผู้ให้โดยเสน่หา หรือ ผู้ให้สามารถขอทรัพย์สินของตนเองคืนได้ โดยบัญญัติไว้ในมาตรา 531 ความว่า

“อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น ท่านว่าอาจจะเรียกได้แต่เพียงในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้
(1) ถ้าผู้รับได้ประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาชญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายลักษณะอาชญา หรือ
(2) ถ้าผู้รับได้ทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง หรือ
(3) ถ้าผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับยังสามารถจะให้ได้”

ซึ่งจากการสืบค้นคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งเป็น Case Study สำหรับเรื่องกฎหมายแล้ว พบว่าส่วนใหญ่เรื่องที่ขึ้นศาลเกี่ยวกับการให้ จะเกี่ยวข้องกับการขอทรัพย์สินคืน เนื่องจากประพฤติเนรคุณจากเหตุทำให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง ผ่านการหมิ่นประมาทผู้ให้นั่นเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top