Tuesday, 22 April 2025
สุชัชวีร์สุวรรณสวัสดิ์

‘สุชัชวีร์’ กระตุ้นทุกฝ่ายตระหนัก ‘โลกร้อน’ ชี้!! หากทำทองไม่รู้ร้อน กทม. จมน้ำแน่

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (เอ้) อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.)  โพสต์เฟซบุ๊กถึงภาวะโลกร้อนที่จะส่งผลกระทบต่อกรุงเทพฯ โดยมีเนื้อหาว่า
กทม. จมน้ำแน่ๆ หากเรายังช้า (มากๆ)!!!

เดือนพฤศจิกายน ฝนยังตกในกทม. น้ำยังท่วงขังหลายจังหวัด ท่านคิดว่าปกติ?

พูดกันตรงๆ วิกฤตมาเยือนแล้วครับ แต่เราทุกคนอาจทำนิ่งเฉย ปล่อยผ่านเลยไป?

การประชุมผู้นำโลก COP26 (Climate Change Conference 2021) ที่สกอตแลนด์ ที่ผู้นำทุกชาติออกมาประกาศจุดยืน รวมทั้งประเทศไทย ร่วมต่อสู้กับสภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศโลก ตอกย้ำว่าเรื่องนี้มันซีเรียส!!!

เพราะการศึกษาและวิจัยระดับโลก พูดชัด  ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อย 3 เท่า จากที่เคยพยากรณ์ไว้ในอดีต เพราะความสามารถในการเก็บข้อมูล และการคำนวณด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ปัจจุบันพยากรณ์ได้แม่นยำขึ้นเยอะ

‘ดร.เอ้’ ชี้!! ต้องเร่งหาเหตุสะพานลาดกระบังถล่มด่วน แนะ!! ชะลอโครงการไว้ ก่อนเกิดเหตุสลดอีกในอนาคต

(12 ก.ค. 66) จากรายการ Meet THE STATES TIMES ประจำวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 เผยแพร่ทาง THE STATES TIMES ได้มีการพูดถึงประเด็นเหตุการณ์สะพานข้ามแยกลาดกระบังถล่ม โดยเชิญ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ‘ดร.เอ้’ อดีตนายกสภาวิศวกรรม, อดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย มาร่วมพูดคุย มีสาระสำคัญ ดังนี้…

จากเหตุการณ์โครงการสะพานข้ามแยกลาดกระบังถล่ม เมื่อช่วงเย็นวันจันทร์ ที่ 10 ก.ค.66 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บหลายรายนั้น ทาง THE STATES TIME ได้สัมภาษณ์ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ‘ดร.เอ้’ อดีตนายกสภาวิศวกรรม, อดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ผ่านรายการ MEET THE STATES TIME ข่าวคุยเพลิน ถึงสาเหตุที่ทำให้ ดร.เอ้ ต้องโพสต์เตือนผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับความน่าห่วงของโครงการดังกล่าว เมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ระบุว่า…

“ด้วยความที่ผมเป็นวิศวกรและประสบการณ์เกี่ยวกับการวิบัติโครงสร้าง อีกทั้งยังมีฐานะเป็นนายกสภาวิศวกรรม, นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย และเคยได้เข้าไปช่วยเหลือเรื่องวิบัติโครงสร้างมามากมาย รวมถึงเป็นประชาชนที่ต้องขับรถผ่านถนนเส้นทางนี้อยู่เป็นประจำนั้น ในวันที่ 9 สิงหาคม 2565 เป็นวันที่ผมได้มองเห็นโครงสร้างของไซด์งานนี้อยู่ในระหว่างหล่อเสาตอหม้อ ซึ่งปกติการหล่อเสาสูงๆ แบบนี้ จะต้องต่อนั่งร้านขึ้นไป แต่เมื่อผมมองไปเห็นนั่งร้านของคนงานแล้วยังคงไม่เป็นไปตามมาตรฐานก็ห่วง

“เท่านั้นยังไม่พอ ขั้นตอนการหล่อเสาตอม่อที่เห็นไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น และจากประสบการณ์ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา จะเป็นว่าคนงานก่อสร้างจะเสียชีวิตจากนั่งร้านพังระหว่างเทคอนกรีตเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงเท่านั้นผมยังเห็นในส่วนของเครื่องจักรต่างๆ ไม่ค่อยเรียบร้อย แหงนหน้าขึ้นไปมองเห็นตัวเครนที่ล้ำเข้ามาในพื้นที่ถนนที่มีการจราจรแออัด นั่นจึงทำให้ผมตัดสินใจเขียนเตือนผ่านเฟซบุ๊กในฐานะประชาชนและวิศวกรอาวุโส  แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“จนเมื่อวันที่ 10 ก.ค.66 ช่วงเที่ยงก่อนเกิดเหตุนิดเดียว ผมยังชี้ให้เพื่อนของผมดูเลยว่า มันน่ากลัวนะ เพราะสัญชาตญาณวิศวกรบอกตนว่า ไซด์งานแบบนี้ดูไม่เรียบร้อย ไม่ปลอดภัย อันตราย พอตกตอนเย็นเกิดเหตุโครงสร้างได้พังถล่มลงมาตนรู้สึกเสียใจมาก ตนมองว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้น เนื่องจากประเทศไทยทำโครงการแบบนี้มามากมาย ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ของวิศวกรไทยหรือผู้รับผิดชอบ มันควรมีความปลอดภัย 100% ด้วยซ้ำไป เพราะเป็นสิ่งที่เราทำกันมาอยู่ตลอด”

เมื่อถามถึงสาเหตุที่โครงสร้างสะพานถล่มครั้งนี้เกิดจากอะไร? ดร.เอ้ กล่าวว่า “ไม่สามารถตอบได้ ไม่มีใครจะรู้จริงว่าเกิดจากสาเหตุใด จนกว่าจะได้พิสูจน์ตามหลักวิศวกรรม แต่วิศวกรที่มีประสบการณ์จะต้องตั้งคำถามเพื่อไปแสวงหาคำตอบข้อเท็จจริง ดังนั้นตนจึงขอตั้งคำถาม 3 ข้อ เพื่อที่จะช่วยคนรับผิดชอบ…

1. คานร่วงหล่นมาได้อย่างไร เป็นเพราะโครงสร้างตัวเคนที่หิ้วคานไหม ? อุปกรณ์พร้อมหรือไม่ หรือกระบวนการทำงานถูกต้องหรือไม่
2. เหล็กเสริมถูกต้องได้มาตรฐานหรือไม่ คอนกรีตรับกำลังได้หรือไม่ เสาตอหมอถึงหักขาดสะบั้น
3. เสาเข็มสมบูรณ์หรือไม่

“ดังนั้นการวิเคราะห์ ต้องจากล่างขึ้นบนด้วย ไม่ใช่แค่บนลงล่างเท่านั้น ต้องไปหาคำตอบจาก 3 ข้อนี้ ถึงจะได้คำตอบที่แท้จริงแล้วว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากสิ่งใดกันแน่”

เมื่อถามถึงหลักการทางวิศวกรรม ว่าจะต้องทำอย่างไรกับซากและโครงการที่ยังรันอยู่? ดร.เอ้ ตอบว่า “หลังจากนี้เราต้องไปสำรวจตอหม้อที่เหลืออยู่ทั้งหมดว่ามีปัญหาหรือไม่ รวมถึงเสาเข็มใต้ตอหม้อว่ามีปัญหาแค่ไหน แต่ถ้าเกิดว่าตอหม้อที่เหลือมีปัญหาจริง ก็ยังไม่ต้องเป็นกังวลไปครับ เพราะโดยทางเทคนิคสามารถเสริมเสาเข็มใต้ตอหม้อได้ แต่ต้องรู้ก่อนนะ ไม่ใช่ว่าก่อสร้างต่อ เพราะนั่นจะทำให้เราไม่สามารถทราบได้ว่าสะพานแห่งนี้มีจุดอ่อนตรงจุดไหน แล้วถ้าเกิดสะพานได้รับแรงสั่นสะเทือนมากๆ เช่น จากรถสิบล้อ หรือเกิดแผ่นดินไหวขึ้นในกรุงเทพฯ มั่นใจได้ว่าคงมีผลกระทบตามมาอีกแน่นอน ซึ่งผมก็ไม่อยากจะจินตนาการเลยถ้าถึงวันนั้นจะเกิดผลกระทบเสียหายอีกมากน้อยแค่ไหน 

“ดังนั้นสิ่งแรกที่อยากแนะนำ คือ ต้องยุติการก่อสร้างชั่วคราว แล้วไปดูองค์ประกอบต่างๆ ของโครงการอย่างละเอียด โดยทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปดู ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น”

ดร.เอ้ กล่าวเสริมอีกด้วยว่า “สำหรับประเทศไทยผู้ที่ดูแลรับผิดชอบในเรื่องนี้ ก็คือ เจ้าของโครงการที่ต้องเข้ามาดูแล แต่ถ้าในต่างประเทศจะมีหน่วยงานกลางที่เข้ามาดูแลและหาสาเหตุของปัญหานี้ และนี่คือ สิ่งที่ประเทศไทยขาดหรือไม่มี

“ฉะนั้นนั้นถึงเวลาหรือยังที่เราจะมี ‘หน่วยงานกลาง’ ที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเข้ามาดูแล ซึ่งผมอยากจะขอฝากไปยังรัฐบาลชุดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ขอให้เข้ามาผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคม เราจึงควรทอดบทเรียนอย่างละเอียดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ตนอยากจะเห็นความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และพร้อมที่จะเข้ามาช่วยในเรื่องนี้ถ้าเกิดรัฐบาลชุดใหม่ต้องการจะทำในเรื่องนี้”

สุดท้ายในฐานะอดีตนายกสภาวิศวกรรม, นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ขอฝากถึงเจ้าของโครงการต่าง ๆ ดังนี้…

1. ต้องคิดถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้งสำคัญที่สุด
2. ยึดมั่นมาตรฐานความปลอดภัย
3. ต้องจริงใจ จริงจัง ในการถอดบทเรียน

ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)

(14 ธ.ค.66) ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

"พ่อแม่ต้องอยู่เบื้องหลังลูกทุกคน สนับสนุนในสิ่งที่ลูกรัก ที่ลูกอยากทำ สร้างความมั่นใจ ไม่ต้องกลัว ทำดี ทำเลย...สุภาพอ่อนน้อม เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก...พูดคุย ยิ้ม หัวเราะ กอดกัน สร้างวินัย รับผิดชอบเรื่องการเรียน สอนให้รู้จักอารมณ์ตัวเอง รู้จักผิดถูก และ...เล่นมือถือต่อหน้าลูกให้น้อยลง"

‘ดร.เอ้’ เตือนรัฐไม่ควรเอาง่าย แจกตังค์อย่างเดียว ชี้!! ไทยยังไม่มี ‘เครื่องจักรทางเศรษฐกิจ’ ตัวใหม่ 

(20 ก.พ.67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า สภาพัฒน์ฯ แจงเศรษฐกิจไทยโตเพียง 1.9% รัฐบาลไม่ควรเอาง่าย แจกตังค์อย่างเดียว ไม่ใช่ทางออก จะเป็นภาระลูกหลาน เพราะเราไม่มี ‘เครื่องจักรทางเศรษฐกิจ’ ตัวใหม่เลย หวังแต่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ใครก็รู้ ได้เงินน้อยลงทุกวัน แถมเปราะบาง เกิดเหตุโน่นเนี่ย เขาก็ไม่มาบ้านเรา

ขณะที่ทุกชาติ ประกาศพัฒนา 4 ด้าน

1. สร้างทักษะขั้นสูง ของคนในชาติ
2. สร้างธรรมาภิบาล การลงทุนโปร่งใส
3. สร้างสิ่งแวดล้อม ปลอดภัย
4. สร้างนวัตกรรม พึ่งตนเอง ส่งออกมูลค่าสูง

ผมฝากท่านนายกด้วยครับ

'ดร.เอ้' โพสต์ซึ้ง!! "อีกไม่นาน ฝันของผม กำลังจะเป็นจริง" 'โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร' จากน้ำใจของทุกท่าน

(22 มี.ค. 67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ 'ดร.เอ้' รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เอ้ สุชัชวีร์' โดยระบุว่า…

"อีกไม่นาน ฝันของผม กำลังจะเป็นจริง" ทุกเช้า ผมจะผ่าน #โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ริมมอเตอร์เวย์ ที่สร้างมาจากน้ำใจของท่าน

เพราะไม่มีบุญใด ใหญ่กว่า การช่วยชีวิตคน แม้ว่าจากวันแรก ถึงวันนี้ มันช่างยากเย็นแสนเข็ญ กว่าเราจะทำได้...

พิสูจน์ ทุกอย่างเป็นไปได้ หากมุ่งมั่น ลงมือทำ!

วันนี้การก่อสร้างก้าวหน้าไปมาก ปีนี้ได้จะเปิดให้บริการทุกคน แล้วนะครับ

ผมภูมิใจสุดๆ ทุกครั้ง ทุกวัน เล่าให้ลูกฟัง "พ่อเอ้ ขอเป็นตัวอย่าง สร้างการเปลี่ยนแปลง" ทำดี ให้ลูกดู

ขอบพระคุณทุกท่าน ท่านกำลังจะมีโรงพยาบาลที่เป็นผู้นำด้านการรักษาพยาบาล และสร้างนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ ลดการนำเข้า วันหนึ่ง เราจะพึ่งพาตนเองให้ได้ครับ

ผมเชื่อว่า คงไม่ใช่แค่ฝันของผมเพียงลำพัง แต่เป็นฝันของคนไทยทุกคน กำลังเป็นจริง

โรงพยาบาลของคนไทย โดยคนไทย เพื่อคนไทยทุกคน จากน้ำใจท่าน

อนุโมทนาบุญ ขอบพระคุณจริงๆครับ

วิเคราะห์ความเป็นจริง 'อนาคตไทย-เยาวชนไทย' สาละวันเตี้ยลง พ่ายแพ้เยาวชนเวียดนาม ยับ!!

บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2564 เวียดนาม ประเทศสังคมนิยม เคยทำสงครามกับสหรัฐฯ วันนี้ เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และ กำลังก้าวขึ้นเป็น 'จีน 2' ในเอเชีย 

ทำไมเวียดนาม ถึงก้าวกระโดด? (ข้ามประเทศไทย) เพราะเขามีปัจจัยหลัก ดังนี้...

1. มีปริมาณ 'กำลังคน' ประชากรมีมากกว่าไทย มีคน 100 ล้าน และ ไม่ใช่แค่คนระดับใช้แรงงานเท่านั้น แต่ยังมีคนระดับชั้นมันสมองเพิ่มมากขึ้น จากการพัฒนาการศึกษา 'เชิงคุณภาพ' ต่อเนื่อง อย่างจริงจัง ขณะที่ไทย...สาละวันเตี้ยลง ต่ำลง

ลองพิสูจน์จากเด็กเวียดนาม ที่ได้รับทุน (ของไทย) มาเรียนปริญญาโท-เอก ที่คณะวิศวะลาดกระบัง ทุกคนทั้งเก่งคณิตศาสตร์ (มากกว่าเด็กไทย) ภาษาอังกฤษก็เข้มแข็งกว่า และ ยังขยันสุด ๆ น่ากลัวมาก อาจารย์ไทยชอบมาก เพราะทำงานวิจัยได้ยอด รับผิดชอบสูง น่าประทับใจ

นี่แค่ เด็กเวียดนามระดับกลาง ๆ เพราะระดับตัวท็อป จะไปเรียนต่อที่อเมริกา ซึ่งวันนี้ มีมากกว่า 24,000 คน!!! ซึ่งเน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะที่มีเด็กไทยเรียนอยู่ในอเมริกาเพียง 6,000 คน น้อยกว่าเวียดนาม 4 เท่า!!!! 

หมายความว่า เวียดนามกำลังมี 'คนระดับมันสมอง' โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งคือ รากฐานของการยกระดับประเทศ มากกว่าไทย (หลายเท่า) 

2. มีเงิน มีงบประมาณ เพราะเศรษฐกิจเวียดนาม ในปีที่ผ่านมา เติบโตที่สุดของโลก! ขณะที่ประเทศอื่น รวมทั้งไทย ติดลบ! และ เพียงแค่ครึ่งปีที่แล้วนี้ โตไปมากกว่า 5% แล้ว และจะร้อนแรงยิ่งขึ้น...

เพราะเกิดการลงทุน จากต่างประเทศมหาศาล (มากกว่าลงทุนในไทยไปนานหลายปีแล้ว) เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก มีบริษัทเกาหลี มาลงทุน 4,000 กว่าบริษัท ขณะที่มาไทยเพียง 400 บริษัท และ มีบริษัทชั้นนำของโลกทุกแขนง กำลังมุ่งสู่เวียดนาม

ทำให้เกิดการส่งออกสินค้า มูลค่าเพิ่มมหาศาล ซึ่งตอนนี้เวียดนามส่งออกมากกว่าไทยไปแล้วครับ และ กำลังจะทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ หากเราไม่คิดสู้!!

3. มีความรักชาติ เป็นชาตินิยมสูง ถือเป็นจุดแข็งของเวียดนาม เด็กเวียดนามทุกคนเรียนรู้ 'ประวัติศาสตร์ชาติ' รู้จัก 'การต่อสู้ของลุงโฮ' ท่านโฮจิมินห์ บิดาของชาติ รู้เรื่องราว การต่อสู้ ด้วยความทรหด อดทน ไม่ยอมแพ้ ให้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างชาติ 

(ส่วนเยาวชนไทยจำนวนไม่น้อย ถูกอาจารย์ในมหาลัย ปลูกฝังความรู้สึกชังชาติ มีการยกเลิกการเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย ฯลฯ อนาคตมีแต่ จะพาชาติตกต่ำ)

เวียดนาม ปลูกฝังค่านิยม การรักการอ่าน การขยันเรียนแบบสุดๆ โรงเรียนในเวียดนาม แม้ไม่ใหญ่ ไม่สวย เหมือนโรงเรียนไทย แต่คุณภาพไม่แพ้ใครในโลก ลองดูคะแนนมาตรฐาน PISA Score เด็กเวียดนามทำได้คะแนนสูงสุดในอาเซียน เกือบเท่าเด็กสิงคโปร์!!

คนอเมริกัน เชื้อสายเวียดนามในสหรัฐฯ ก็เรียนเก่ง (ที่ MIT ก็มีเด็กอเมริกันเวียดนามเยอะมาก) ประสบความสำเร็จสูงมาก แม้แต่คุณหมอ พญ. ดร. พริสซิลลา ชาน ภรรยาคนสวยของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ก็เป็นคนเชื้อสายเวียดนาม คนเหล่านี้ยังสนับสนุนประเทศเวียดนามทุกรูปแบบ เต็มที่

ไม่อยากให้คนไทยมองข้ามเรื่องนี้ รุ่นพ่อแม่เราเกิดมา ก็ไม่แพ้เกาหลี วันนี้เกาหลีเป็นประเทศชั้นนำของโลกไปแล้ว พวกเราหลายคนเกิดมาก็ไม่แพ้สิงคโปร์ ไม่แพ้มาเลเซีย แต่วันนี้เขากระโดดไปไกลแล้ว 

และวันนี้ พวกเราหลายคนยอมรับว่า "ทำใจไม่ได้" ที่เรากำลังเป็นรองเวียดนาม 

แม้เราไม่ได้อิจฉาเวียดนาม และ ก็ไม่ได้ชื่นชมว่า เวียดนามจะดีเก่งกว่าไทยไปซะทุกเรื่อง เพียงแต่อยากให้ คนไทยเรียนรู้ข้อเท็จจริง เพื่อนำมาวางแผนสู้ พัฒนาชาติไทย ต้องไม่ยอมแพ้!!!

ปกติ #คนไทยไม่แพ้ใครในโลก และ # ถ้าจะทำ ก็ทำได้ 

ขอเป็นกำลังใจ ให้คนไทยทุกคนสู้ๆ 

ขอเสริมจุดที่สำคัญจุดอื่น ที่คนไทยหลายส่วน อาจจะไม่รู้ หรือ ลืมไป คือ...

1) เมื่อตอนไซ่ง่อนแตก คนเวียดอพยพไปสู่ 2 แหล่งสำคัญ คือ สายฝรั่งเศสและ สายอเมริกา 

2) สายฝรั่งเศส คือ กลุ่ม Elite พวกนายพลฝ่ายขวา ที่ยังพอหอบเงินไปตั้งตัวพอให้อยู่ได้บ้าง ส่วนสายที่ไปอเมริกานั้น เป็นคนจนล้วนๆ คือพวกไม่มีค่าเครื่องบินเลยหนีไม่ทันนั่นแหล่ะ

3) เมื่อทั้ง 2 สายไปถึงประเทศปลายทาง ทุกคนก็ต้องทำงานหนัก เพราะรัฐไม่ให้ใครอยู่เฉยๆ Elite ต้องหางานทำ มีตังหน่อย ก็เปิดร้านอาหารเล็กๆ อภิสิทธิ์เดิม ที่เคยได้จากระบบหมดสิ้น กลายเป็นผู้อพยพพลเมืองใหม่ ของประเทศ ทุกชนชั้นเลยต้อง Set zero คนเวียดนาม เรียกเวียดโพ้นทะเลว่า 'เวียดกิ่ว'

4) เวียดกิ่ว เมื่อจำเป็นต้องทำงาน รัฐก็ส่งไปเรียนหลากหลายอาชีพ เวียดกิ่ว เลยอยู่ในทุกวงการ  ไม่ใช่เน้นจับธุรกิจร้านอาหารอย่างเดียว เหมือนคนไทย

5)  เมื่อเด็กๆ เห็นพ่อแม่ลำบาก ก็เลยต้องตั้งใจเรียน  ยิ่งไปเป็นพลเมืองอพยพ ต้องเก่งกว่าคนในประเทศเป็น 2 เท่า เด็กเวียดกิ่ว เลยขยันเรียนหนังสือมากเป็นที่ 1 ของห้องเป็นส่วนใหญ่

6) เมื่อเด็กพวกนี้ สอบมหาวิทยาลัยในระดับกะทิได้  ก็มีหน้าที่การงานที่ดีตามมา ทั้งฝั่งอเมริกา และ ฝรั่งเศส ได้เป็นหมอ อจ.มหาลัย นักกฎหมาย นักวิทยาศาสตร์ พวกนี้ มักได้กลายเป็นมือขวาของนายฝรั่ง

7) ถึงแม้จะเป็นผู้อพยพ แต่ความคิดถึงแผ่นดินแม่  ยังคงแรง ยิ่งพวก Elite ที่ได้ไปรับรู้รสชาติชีวิต คนธรรมดา เลยทำให้เข้าใจว่า พวกตนเคยได้อภิสิทธิ์อะไรมา ส่วนคนจนลำบากยังไง เริ่มมีการกลับไปทำงานสังคม สร้างมูลนิธิ ช่วยคนยากจน สมาคมทันตแพทย์ในฝรั่งเศส ระดมหมอฟันเวียดกิ่วอาสา  400 กว่าคน บินมาลงพื้นที่ทำฟันให้ชาวบ้านฟรี ทุกปี หมอจ่ายค่าเดินทาง กินอยู่เอง

8) เมื่อรุ่นที่ 2 ทั้งเก่ง ทั้งแข็งแรง เริ่มอยากช่วยบ้านเกิด จึงเริ่มมาเปิดธุรกิจเอาไว้ พร้อมทั้ง เอาความสามารถของตัวเองมาลง Set up บริษัทในเวียดนาม  ศักยภาพของเวียดนาม เลยโตแบบก้าวกระโดด

9) คิดภาพนะ คนเวียดนาม มืออาชีพ ทำงานระบบฝรั่ง ทั้งชีวิตจากทั้ง 2 ฝั่งโลก รวมหลายแสนคนเดินทาง มาพัฒนาบ้านเค้า เทียบกับคนไทยไปเรียนเก๋ๆ กอดปริญญาสวยๆ จบก็กลับบ้าน ไม่เคยทำงานจริง ลองเทียบคุณภาพฝีมือกันดู (จะต่างชั้นกันมาก)

10) ถ้าวันนี้ เวียดนามจะไปไกลมาก ไม่ใช่เพราะแค่ฝรั่ง เห็นวัยรุ่นเยอะเลยจะมาใช้แรงงาน แต่เพราะมีคนเวียดนาม ระดับมือพระกาฬบินมาลงมือเองด้วย  ขนความรู้ระดับสูงจากทั้ง 2 ฝั่งโลก มาเทลงในประเทศเดียว เวียดกิ่ว USA ยังมีเขม่น กับเวียดกิ่ว France อยู่พอสมควร แต่เขาแข่งกันสร้างของดี ความดี...

11) ยังไม่รวม สายสัมพันธ์ที่คนเวียดกิ่ว จากทั้งอเมริกาและฝรั่งเศส มีกับรัฐบาลตัวเอง จะขออะไรก็ได้หมด แต่แน่นอน คนเวียดกิ่วไม่เอาจีน

12) 5 ปีที่แล้ว เด็กที่มาจากเวียดนาม สร้างปรากฏการณ์การสอบเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ คณะทันตของฝรั่งเศส จากคะแนนสูงสุด 10 คน มี 7 คนมาจากเวียดนาม

ทุกวันนี้คนไทยหลายคน ยังหัวเราะเยาะ ดูถูกคนเวียดนาม (มองเพียงระดับคนขายแรงงานเท่านั้น)

มองอนาคตจากปัจจุบัน จะเห็นได้ชัดว่า เยาวชนไทย แพ้เยาวชนเวียดนาม แบบเกือบหมดทางสู้ในด้านการพัฒนาประเทศ

‘ดร.เอ้’ เห็นต่าง ‘กาสิโนเสรี’ ชี้ ประเทศไทยยังไม่พร้อม ย้ำ!! ต้องศึกษาให้ละเอียด ‘ไม่ฉาบฉวย-ไม่เร่งร้อน’ เกรงกระทบต่อสังคม

(31 มี.ค.67) ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความเห็นในฐานะ พลเมืองไทยและพ่อคนหนึ่ง ที่ในขณะนี้นายกรัฐมนตรี พูดเรื่อง "กาสิโนเสรี" 

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ กล่าวว่า ไทยเรายังไม่พร้อม ทั้งเรื่องโครงสร้างกฎหมาย และการบังคับใช้จากเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งเรายังไม่มีภูมิคุ้มกันให้แก่เยาวชน สุดท้ายจะกลายเป็น "ปัญหาร้ายแรง" ที่แก้ไขยาก เช่นเดียวกับ "กัญชาเสรี" และอาจรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ! 

อีกทั้งไม่ได้การันตีว่า "บ่อนออนไลน์" และ "บ่อนเถื่อน" จะหมดไปแต่อย่างใด อาจเฟื่องฟูกว่าเดิมก็เป็นไปได้ โดยสุดท้าย ส่งผลให้ "คุมผลกระทบไม่ได้" เกิดการบานปลาย และสังคมพัง

ขณะเดียวกัน ยกตัวอย่างจาก “ผู้นำสิงคโปร์” เตรียมความพร้อม "ด้านการศึกษา" มาเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่พลเมือง และ มุ่งสร้างรายได้ประชาชาติจาก "เศรษฐกิจมูลค่าเพิ่ม" ที่แท้จริง ก่อนจะทำเรื่องอื่น

หากจะเลียนแบบสิงคโปร์ ที่มีกาสิโน ก็ควร "ศึกษาปัญหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน" ไม่ฉาบฉวย ไม่เร่งร้อน รับฟังประชาชนรอบด้าน ทั้งสิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก พลเมืองน้อย เจ้าหน้าที่รัฐเข้มแข็ง ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ปกป้องลูกหลาน ได้อย่างเต็มที่ เราทำแบบเขาได้ไหม? 

ซึ่งให้ความคิดเห็นต่อ “นายกรัฐมนตรีไทย”  ที่เน้นแต่จะสร้าง "รายได้เฉพาะหน้า" โดยไม่คำนึงถึง “การพัฒนาคน” และจะส่งผลกระทบ ต่อเด็ก ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ซึ่งจุดนี้ตนอดห่วงในลูกหลานเสียไม่ได้

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ ขอพูดในฐานะ พลเมืองไทยและพ่อคนหนึ่ง ที่ไม่ต้องการให้ประเทศไทย เดินทางแบบมั่วซั่ว ลองผิดลองถูก สุดท้ายลูกๆหลานๆ ต้องมาเสียคน อะไรก็ทดแทนกันไม่ได้

'เฉลิมชัย-ประชาธิปัตย์' ห่วงปัญหาเหลื่อมล้ำยากจนจัดเวทีนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจเดโมแครต ฟอรั่ม 'ขจัดการผูกขาด: ลดเหลื่อมล้ำแก้จน'

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าววันนี้ว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยมีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการผูกขาด ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมส่งผลกระทบต่อประเทศและประชาชน ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์จึงได้จัดงานเสวนา เดโมแครต ฟอรั่ม (Democrat Forum) ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ 'ขจัดการผูกขาด: ปฏิรูปเศรษฐกิจลดเหลื่อมล้ำแก้จน' ในวันจันทร์ที่ 2 ธันวาคมนี้ เวลา 09.00 - 12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พรรคประชาธิปัตย์ 

การจัดเสวนาครั้งนี้จึงมุ่งนำเสนอแนวทางในการขจัดการผูกขาดเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผ่านการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และการพัฒนานโยบายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทุกคนในสังคมสามารถเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาตนเอง และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

โดยมี กำหนดการ ในการจัดงาน ดังนี้
8.30 - 9.00 ลงทะเบียน
9.00 - 9.30 พิธีเปิด 

กล่าวรายงานโดย ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
พิธีเปิดและปาฐกถาพิเศษโดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
9.30 - 11.15 เสวนา 'ขจัดการผูกขาดทางเศรษฐกิจ: ต้นเหตุความเหลื่อมล้ำและยากจน' โดยวิทยากร
1.ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
2.ผศ.ดร.พรเทพ เบญญาอภิกุล ผู้อำนวยการโครงการเศรษฐศาสตรบัณฑิต หลักสูตรนานาชาติ อดีตรองคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
3.นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่ 1และ
4.รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ข้อสังเกตต่อความเห็น : เพื่อส่งต่อสังคมการเมือง ปัจจุบัน
11.00 - 11.45 เปิดเวทีแสดงความคิดเห็น
11.45 - 12.00 สรุปการเสวนา
โดยดร.เจนจิรา รัตนเพียร โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่พิธีกร

สำหรับผู้สนใจร่วมงานเดโมแครต ฟอรั่ม สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่: https://form.democrat.or.th/democrat-forum3 (50 ท่านแรกที่ลงทะเบียนจะได้รับต้นกล้าไม้คนละ 2 ต้นเพื่อช่วยกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวลดโลกร้อน ตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
ทั้งนี้มีการถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live พรรคประชาธิปัตย์ หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร: 065 714 6725

‘ดร.เอ้’ ชี้!! อนาคต AI ชี้!! หากไทยไม่ทำวันนี้ อาจสายเกินไป

(14 ธ.ค. 67) ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

ถึงเวลา ‘จุดประกาย AI ในประเทศไทย’

ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย CMKL ที่มุ่งมั่น สร้างคนไทยสู่เวทีระดับโลก ด้าน AI มาเป็น ‘Keynote Speaker’ องค์ปาฐก บรรยายเรื่อง ‘อนาคต AI’ ในงาน AI Summit 2024

เพราะวันนี้ หากไทยไม่สู้ อาจสายเกินไป เพราะประเทศอื่นก้าวกระโดดไปไกลมากแล้ว โดยเฉพาะเวียดนาม

เราจัดงาน AI Summit 2024 เพื่อรวมพลังสุดยอดคน AI ระดับโลก มาร่วมทีม AI ไทยแลนด์ พัฒนางานวิจัย และพัฒนา ‘คนรุ่นใหม่’ ให้เข้าสู่โลก AI ได้

และหมดยุค ‘แข่งกับตัวเอง’ หรือ ‘แข่งกันเอง’ เพราะทัศนคติแบบพูดเพียง ‘หล่อๆ’ นี้ ทำให้เราไม่คิดเปรียบเทียบ หรือแข่งกับ ‘คนเก่ง’ สุดท้ายเราก็ไม่พัฒนา สู้โลกไม่ได้ น่าเสียดาย

AI Summit 2024 จึงเป็นการ 'จุดประกาย' ให้คนไทย ตระหนักถึง ‘ยุค AI’ และ กลับมา ‘รวมพลัง’ คนเก่งของไทย ที่เก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก

แล้วท่านล่ะครับ พร้อมเข้าสู้ยุค AI หรือยังครับ

‘ดร.เอ้’ เผยสาเหตุ!! ทำไม ‘Nvidia’ บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ ‘เวียดนาม’ ชี้!! ‘พัฒนาคน – หนุนการลงทุน – มีนโยบายต่อเนื่อง - สามัคคี ช่วยเหลือกัน'

(21 ธ.ค. 67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ทำไม Nvidia บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ ‘เวียดนาม’ แล้ว ‘ไทยจะทำอย่างไร’ เมื่อ ‘เวียดนาม’ ขึ้นแท่น ‘ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน’

ผมได้ยินจากปาก ‘เจนเซ่น หวง’ ประธานบริหาร Nvidia บริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ว่า "เราจะเปิดศูนย์ออกแบบและวิจัยที่เวียดนาม" ก่อนที่ Nvidia จะประกาศอย่างเป็นทางการเสียอีก

ผมถามกลับทันทีว่า ‘เวียดนาม’ เสนออะไรแก่คุณ ถึงไปลงทุน ‘ศูนย์ออกแบบ’ ที่เป็น ‘หัวใจ’ และ ‘มันสมอง’ ของอุตสาหกรรมไฮเทค ที่ทุกคนหวงแหน

คนสนิท เจนเซ่น หวง ขยับตัวทันที ห้ามไม่ให้นายพูดอะไรต่อ เจนเซ่นเลยตอบว่า "มันไม่สำคัญหรอก" (ไทยอย่าไปรู้เลย)

แต่ผมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เพราะผมในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย ‘CMKL’ ที่ Carnegie Mellon สถาบันระดับโลกด้าน AI มาก่อตั้งร่วม เราเป็น ‘ลูกค้าคนแรก’ ที่ซื้อ ‘ซุปเปอร์ AI คอมพิวเตอร์’ รุ่น DGX-A100 ความเร็วสูงสุดในประเทศจาก Nvidia เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

ยิ่งผมนั่งตรงข้าม ‘ตามองตา’ กับ ‘เจนเซ่น หวง’ เราเป็นพันธมิตรกันมาหลายปี ‘รู้กัน’ จึงตอบคำถามได้ไม่ยากว่า มีอยู่ 4 ปัจจัยที่บริษัทระดับโลกไปลงทุนที่ ‘เวียดนาม’

1. เวียดนามพัฒนาคุณภาพคน

ประสบการณ์ของผม ทั้งที่มีเพื่อนชาวเวียดนามเมื่อครั้งเรียนที่ MIT และทั้งเคยสอนเด็กเวียดนามที่มาเรียนวิศวะลาดกระบัง ไม่ต้องอายแล้วที่จะบอกว่า "เด็กเวียดนาม" ฉลาด เก่ง และขยันมากกว่า ทั้งคะแนนวัดผล PISA ชี้ชัดว่าเด็กเวียดนามได้คะแนนสูงที่สุดในอาเซียน เป็นรองเพียงเด็กสิงคโปร์เท่านั้น

เวียดนามยังส่งเด็กรุ่นใหม่ ไปเรียนในสาขา ‘วิศวกรรม และคอมพิวเตอร์’ ในมหาวิทยาลัยระดับโลก ทั้งสหรัฐ ยุโรป และรัสเซีย มากกว่าชาติใดในอาเซียน เพื่อกลับมาสร้าง ‘นวัตกรรม’ พัฒนาเวียดนามสู่โลก AI เต็มรูปแบบ

พิสูจน์เวียดนาม ‘ทุ่มเท’ พัฒนาคุณภาพคน ตั้งแต่ ‘อนุบาลถึงปริญญาเอก’ จึงไม่แปลกที่บริษัทไฮเทค ทั้ง Nvidia Apple SpaceX และ Samsung ถึงยอมมาลงทุนที่เวียดนาม เพราะได้ ‘คนเก่ง’ ที่คุ้มค่ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับ ‘ค่าจ้าง’

2. เวียดนามสนับสนุนการลงทุน
เพราะเวียดนามเรียนรู้จาก ‘จีน’ เรื่องการ ‘ดึงดูดทุนต่างชาติ’ ใช้วิธี "วันนี้ฉันยอมเธอก่อน" วันหน้าฉันทำได้เอง แล้วค่อยว่ากัน คือ ยอมสนับสนุน ให้สิทธิพิเศษมากมาย พอบริษัทไฮเทคมาลงทุนสร้างโรงงาน สร้างศูนย์วิจัย ให้ SME เวียดนามได้เป็นผู้จัดหาของ หรือ Supplier เรียนรู้จนทำได้เอง คราวนี้แหละ เดี๋ยวได้รู้กัน ฉันอาจจะชนะเธอก็เป็นไปได้ เลียนแบบกรณีจีนยอมเสนอให้ Tesla มาตั้งโรงงาน เพื่อให้ SME จีนเรียนรู้ สุดท้ายจีนกลายเป็น ‘เจ้าตลาด’ รถพลังงานไฟฟ้า ไปเรียบร้อย

3. เวียดนามมีนโยบายต่อเนื่อง

ไม่ว่า ‘ผู้นำ’ จะเป็นใครนโยบายเวียดนามไม่เปลี่ยน เพราะอะไรที่ดีต่อประเทศชาติ ยังไงก็ต้องสานต่อ

นโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ 1986 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจเวียดนาม เปิดประเทศให้กับการลงทุนจากต่างชาติ นโยบายเดินไปอย่างต่อเนื่อง

ยิ่งเวียดนามเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2007 ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ เวียดนามได้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Economic Zones) ตามแบบจีน ยิ่งเกิดการลงทุนแบบก้าวกระโดด จนถึงทุกวันนี้

ขณะที่แนวคิดสานต่อไม่ค่อยเห็นในสังคมไทย เราดีแค่ไหน คนใหม่มา เขาก็อยากเปลี่ยน อยากทำแบบของเขา สุดท้ายองค์กร ‘เสียหาย’ ไม่พัฒนาต่อเนื่อง หากไม่เปลี่ยน ‘ทัศนคติ’ ประเทศไทยสู้คนอื่นยากครับ

4. เวียดนามสามัคคี ช่วยเหลือกัน

‘เวียดนาม’ ประเทศสังคมนิยม ที่บอบช้ำจากสงครามยาวนาน เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และเคยอยู่ใต้อิทธิพลของจีนมานานนับพันปี แต่วันนี้ผงาดขึ้นเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุด ทั้ง ‘ด้านเศรษฐกิจ’ เพราะรู้ว่า ‘ทางรอด’ มีทางเดียว คือ ‘ชาตินิยม’ เพราะไม่มีชนชาติใดรักเรา เท่าชนชาติเราเอง

คนเวียดนามไม่ว่าอยู่ที่ใดรวมกันติด และ ช่วยเหลือกัน ผลักดันทุกรูปแบบ ให้รัฐบาลสหรัฐ ยุโรป และรัสเซีย ต้องสนับสนุนเวียดนาม

‘ชาตินิยม’ แบบเวียดนาม จึงเป็นความรักชาติที่กลมกล่อม ไม่ไปรุกรานใคร แต่ก็พร้อมจะแข่งขันกับทุกคน ผมขอพยากรณ์ว่า เวียดนามจะเป็น ‘ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน’ และอาจขึ้นเทียบชั้นกับ 'เกาหลี' ในอนาคตได้

ที่จริงไทยเราจับ ‘สัญญาณ’ การก้าวกระโดดของเวียดนามได้มาหลายปี เพราะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากต่อเนื่อง แต่ไทยเรายังนิ่งไม่เข้าสู่โหมดแข่งขันอย่างจริงจังสักที ทำให้เสียโอกาสไปทุกวัน ที่ไม่อาจย้อนคืน

แม้ผมยังเชื่อมั่นว่า #คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่ก็กังวลไม่น้อย เมื่อรู้แจ้งว่า เวียดนามและชาติอื่น วันนี้ไม่มีใครอยู่นิ่งเลย ทุกชาติ ‘พร้อมแข่งขัน’ แล้วไทยจะทำอย่างไร 

ทุกท่านคิดว่าไง แชร์กันได้นะครับ!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top