Tuesday, 22 April 2025
สิทธิมนุษยชน

กรณีของ ‘อานนท์ นำภา’ บทเรียนจากมาตรา 116 สิทธิมนุษยชนที่ไม่คำนึงถึงความสงบเรียบร้อย

คดีของอานนท์ นำภา ซึ่งถูกตัดสินจำคุกกว่า 18 ปีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 และยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 ได้กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจจากองค์กรสิทธิมนุษยชนอย่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล การเคลื่อนไหวที่สนับสนุนอานนท์และโจมตีกฎหมายดังกล่าวสร้างคำถามที่สำคัญเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ความรับผิดชอบต่อสังคม และการเคารพกฎหมาย

มาตรา 116: เสรีภาพที่ต้องอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ
มาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญากำหนดบทลงโทษสำหรับการกระทำที่ยุยงปลุกปั่นซึ่งกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ โดยครอบคลุมถึงการปลุกระดมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือกฎหมายโดยวิธีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การยุยงให้เกิดความวุ่นวายในสังคม และการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน กฎหมายนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อปิดกั้นเสรีภาพ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความสงบเรียบร้อยในสังคม

พฤติกรรมของอานนท์ที่เข้าข่ายมาตรา 116 ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ แต่กลับแสดงถึงเจตนาที่จะปลุกระดมและกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทย การกระทำดังกล่าวไม่เพียงส่งผลต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ แต่ยังทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความแตกแยกในสังคมอย่างลึกซึ้ง

สิทธิมนุษยชน: การปกป้องเสรีภาพต้องคู่กับความยุติธรรม
สิทธิมนุษยชนเป็นหลักการที่มีคุณค่าและควรได้รับการเคารพ แต่การปกป้องสิทธิของบุคคลหนึ่งไม่ควรละเลยผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมโดยรวม การที่องค์กรอย่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยกกรณีของอานนท์เป็นตัวอย่างในการเคลื่อนไหว อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการกระทำที่ละเมิดกฎหมายและปลุกปั่นความแตกแยกสามารถถูกยอมรับได้ในนามของสิทธิมนุษยชน

ในสังคมที่ต้องการความสงบเรียบร้อย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการเคารพกฎหมายต้องเดินไปด้วยกัน กฎหมายอย่างมาตรา 116 ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อปิดกั้นเสียงของประชาชน แต่เพื่อปกป้องสังคมจากการยุยงให้เกิดความวุ่นวายและความแตกแยก

คืนสติ: เสรีภาพต้องมีขอบเขต
ในท้ายที่สุด คดีของอานนท์นำมาซึ่งบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับขอบเขตของเสรีภาพ เสรีภาพไม่ใช่การกระทำตามใจโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่น การเคลื่อนไหวใดๆ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ความสร้างสรรค์ และความเคารพกฎหมาย การอ้างสิทธิมนุษยชนโดยละเลยผลกระทบต่อส่วนรวมไม่เพียงแต่บั่นทอนคุณค่าของสิทธิมนุษยชน แต่ยังสร้างความไม่สมดุลในสังคม

บทเรียนจากกรณีนี้คือ เราควรใช้สิทธิเสรีภาพอย่างมีสติ รอบคอบ และคำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวม เพื่อสร้างสังคมที่เคารพซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง

นายพลยูกันดา ลูกชายปธน. ประกาศกร้าวอยากตัดศีรษะผู้นำฝ่ายค้าน

(7 ม.ค.68) มูฮูซี ไคเนรูกาบา หัวหน้ากองทัพยูกันดา ซึ่งเป็นบุตรชายของประธานาธิบดีโยเวอรี มูเซเวนี ผู้นำคนปัจจุบันของยูกันดา ได้โพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายว่าเขาต้องการตัดศีรษะ 'บ็อบบี้ ไวน์' ผู้นำฝ่ายค้านที่มีชื่อเสียงของประเทศ

ไคเนรูกาบา ซึ่งคาดว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีจากบิดา ผู้ปกครองยูกันดามาตั้งแต่ปี 1986 มักจะโพสต์ข้อความที่กระตุ้นความโกรธในสื่อสังคมออนไลน์ โดยในปี 2022 เขาเคยข่มขู่จะบุกประเทศเคนยา ก่อนที่ในภายหลังเขาจะขอโทษและกล่าวว่าโพสต์บางรายการเป็นเพียงการประชดประชัน

ในโพสต์ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ (5 ม.ค.) ไคเนรูกาบาได้กล่าวว่า พ่อของเขา 'มซี่' คือบุคคลเดียวที่ทำให้บ็อบบี้ ไวน์ ผู้นำฝ่ายค้านยังคงปลอดภัยจากเขา "หากมซี่ไม่อยู่ ผมจะตัดหัวเขาวันนี้" ไคเนรูกาบากล่าว

บ็อบบี้ ไวน์ ซึ่งมีชื่อจริงว่า โรเบิร์ต คยากูลันยี เคยได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับสองในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2021 ตอบโต้โพสต์ของไคเนรูกาบาโดยกล่าวว่า เขาไม่มองคำขู่ครั้งนี้เป็นเรื่องเล่น ๆ และไม่เคยละเลยความพยายามหลายครั้งในการลอบสังหารตน

ไคเนรูกาบาได้ตอบกลับว่า "ในที่สุด! ฉันปลุกคุณแล้วหรือ? ก่อนที่ฉันจะตัดหัวคุณ คืนเงินที่พวกเราเคยให้คุณยืม" โดยอ้างว่ารัฐบาลเคยจ่ายเงินให้ไวน์เพื่อหวังทำลายฝ่ายค้าน

โฆษกรัฐบาลยูซานดาเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่าโพสต์ของไคเนรูกาบาในโซเชียลมีเดียควรถือเป็นความคิดเห็นที่ไม่ควรนำมาคิดจริงจังหรือมองว่าเป็นนโยบายของรัฐบาล

ไวน์ ซึ่งเคยเป็นนักดนตรีและได้ผันตัวมาทำการเมืองเป็นผู้ท้าชิงที่แข็งแกร่งในเวทีการเมืองของมูเซเวนี และได้ปฏิเสธผลการเลือกตั้งปี 2021 โดยอ้างว่ามีการทุจริตในการเลือกตั้งและการข่มขู่ประชาชน

นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนได้กล่าวหาว่ารัฐบาลมูเซเวนีมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างแพร่หลาย รวมถึงการทรมานและการกักขังโดยไม่มีการตัดสิน ขณะที่รัฐบาลยูซานดาได้ยืนยันว่าไม่เคยมีการทุจริตในการเลือกตั้งหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน

‘สถานทูตจีน’ ชี้แจง!! กรณีส่งตัวชาวจีน 40 คนกลับประเทศ ระบุ!! เป็นการบังคับใช้กฎหมายปกติ และสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ

(2 มี.ค. 68) สถานทูตจีนชี้แจงกรณีส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ

• สถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีที่ประเทศไทยส่งตัวชาวจีน 40 คนที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกลับประเทศจีน โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการบังคับใช้กฎหมายปกติและสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ

• สถานทูตจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าการส่งตัวกลับประเทศครั้งนี้เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง โดยยืนยันว่าผู้ที่ถูกส่งตัวกลับเป็นผู้ลักลอบเข้าเมือง ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย และการกระทำนี้ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลไทย

• แถลงการณ์ยังตอบโต้ข้อกล่าวหาเรื่องการทรมานและละเมิดสิทธิมนุษยชนหลังจากถูกส่งตัวกลับประเทศจีน โดยยืนยันว่าจีนเป็นประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายและให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน  และมีกลไกการคุ้มครองสิทธิอย่างเข้มงวด

• สถานทูตจีนอธิบายถึงสถานการณ์ในซินเจียงว่ามีการก่อการร้ายและการแทรกแซงจากต่างประเทศในอดีต  แต่ปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น  และการกล่าวหาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง

• รัฐบาลไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเป็นสักขีพยานการเดินทางกลับประเทศจีนของชาวจีนกลุ่มนี้ และจีนยินดีที่จะเชิญเจ้าหน้าที่ไทยไปติดตามสถานการณ์ในอนาคตเพื่อยืนยันความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของพวกเขา

• สถานทูตจีนเชิญชวนให้บุคคลจากทั่วโลกที่ไม่มีอคติเดินทางไปเยือนซินเจียงเพื่อสัมผัสกับความเป็นจริงด้วยตนเอง  และปฏิเสธข้อกล่าวหาจากต่างประเทศที่กล่าวหาว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง

• ความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียแสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย  ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลไทยและจีน  โดยมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและการเมืองระหว่างประเทศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสหราชอาณาจักร เปิดตัว 'สถานีตำรวจนำร่อง' เพื่อยกระดับมาตรฐานการควบคุมตัวผู้ต้องหา สู่ความเป็นเลิศด้านสิทธิมนุษยชน

(19 มี.ค.68) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมและเปิดตัวโครงการ “สถานีตำรวจนำร่อง” เพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีมาตรฐานเป็นสากล โดยมี นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , ผศ.ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , นายพิทยา จินาวัฒน์  ที่ปรึกษาประจำสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ ที่ปรึกษาประจำสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , Mr. David Thomas Deputy อุปทูตสหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย , Mr.David Lawes ที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย สหราชอาณาจักร , Ms.Leanne Moorhouse ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้องติดตัว จาก Devon & Cornwall Police สหราชอาณาจักร , Mr.Seamus Weightman เจ้าหน้าที่หัวหน้าส่วนคุมขัง จาก Northumbria Police สหราชอาณาจักร พร้อมด้วย พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.ธนู พวงมณี ผู้บังคับการกองยุทธศาสตร์ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , พ.ต.อ.ธรา แปงเครื่อง รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 และ พ.ต.อ.ศิริชาติ จันทร์พรมมา ผู้กำกับการ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน ร่วมประชุมและเปิดตัวโครงการฯ ณ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน

โครงการ “สถานีตำรวจนำร่อง” เพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีมาตรฐานเป็นสากล จากการริเริ่มของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติ ดำเนินโครงการฯ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสหราชอาณาจักร โดย Mr. David Thomas อุปทูตสหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย โดยการนำแนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best practice) และบทเรียน (Lesson learned) เกี่ยวกับการควบคุมผู้ต้องหาจากสหราชอาณาจักรมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับกฎหมายและบริบทของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการคุ้มครองผู้ต้องหาให้ปลอดภัยจากการซ้อมทรมาน และป้องกันมิให้เกิดการเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว เพื่อให้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และส่งเสริมความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องชีวิต ร่างกาย และวิธีการปฏิบัติ 

ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสหราชอาณาจักร ที่จะพัฒนาการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีความปลอดภัย โดยแนวทางการปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นนั้นต้องสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง และเป็นผลดีต่อทั้งผู้ต้องหาและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติ ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี ไปรับการฝึกอบรมจากกองบัญชาการตำรวจนอร์ทัมเบรีย ณ สหราชอาณาจักร และยังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย จากสหราชอาณาจักร มาให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อนำแนวทางปฏิบัติมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้ต้องหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นำหลัก "Change by Design" มาพัฒนาแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้ต้องหา โดยเน้นการออกแบบเชิงระบบ เริ่มจากการปรับปรุงโครงสร้างห้องควบคุมให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย มีกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์ตลอดเวลา และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกขั้นตอนต้องเกิดขึ้นในพื้นที่ห้องขัง นอกจากนี้ ยังพัฒนากระบวนการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีความปลอดภัยและโปร่งใส โดยการประเมินความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงสภาพความพร้อมด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ต้องหาในการถูกควบคุมตัว การจัดทำบันทึกควบคุมตัวโดยละเอียด มีการบันทึกทรัพย์สินส่วนบุคคล และการตรวจสอบการควบคุมตัวโดยผู้บังคับบัญชา ซึ่งทุกขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นจะถูกบันทึกลงในบันทึกการควบคุมตัวผู้ต้องหาเพื่อสร้างกระบวนการที่โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้

เป้าหมายสูงสุดของโครงการสถานีตำรวจนำร่อง คือการป้องกันมิให้เกิดการซ้อมทรมานและการเสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัว โดยหลักปฏิบัติที่สำคัญของโครงการนี้คือ การประเมินความเสี่ยงและสภาพความพร้อมด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ต้องหาในการถูกควบคุมตัวในโอกาสแรกที่สามารถทำได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเกิดประโยชน์อย่างมากในกรณีที่ผู้ต้องหานั้นมีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อชีวิต มีอาการบาดเจ็บ หรือมีประวัติการเสพยาเสพติดซึ่งอาจนำไปสู่อาการต้องการเสพยาขั้นรุนแรง เนื่องจากการทราบถึงข้อมูลเหล่านี้ก่อนจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปนั้น สามารถทำให้เจ้าหน้าที่ประจำห้องขังสามารถตัดสินใจได้ว่ามีความจำเป็นต้องส่งต่อผู้ต้องหาไปยังโรงพยาบาลหรือไม่ หรือต้องกำหนดระดับการดูแลและตรวจสอบที่ระดับใด การตัดสินใจที่ถูกต้องและรวดเร็วบนพื้นฐานของข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้สามารถรักษาชีวิตของผู้ต้องหาเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้ ซึ่งแนวทางปฏิบัตินี้ได้ถูกนำมาปฏิบัติและพิสูจน์ว่าเกิดประสิทธิภาพในการช่วยชีวิตผู้ต้องหาได้จริงในสถานีตำรวจ 2 แห่งแล้ว ได้แก่ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า หลังจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติและการวิเคราะห์ข้อมูลการควบคุมตัวผู้ต้องหามากยิ่งขึ้น โดยจะพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับใช้ในการบันทึกการควบคุมตัวผู้ต้องหา และในระยะต่อไปจะขยายแนวทางการปฏิบัติรูปแบบใหม่นี้ไปยังสถานีตำรวจในสังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ก่อนที่จะนำไปใช้ในทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ โครงการ "สถานีตำรวจนำร่อง" นี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 รวมถึงกฎหมาย และระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top