Sunday, 8 June 2025
สังคมสูงวัย

'อ.พงษ์ภาณุ' ห่วง!! สังคมไทยสูงวัยไม่พอ แต่คนรุ่นใหม่ เมินมีลูก เพราะห่วงภาระบาน

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่พูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น สังคมไทยใต้ปีกสังคมสูงวัย และ สถานการณ์ในยุโรปที่ต้องจับตา เมื่อวันที่ 22 ต.ค.66 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

10 ปีที่แล้วโลกเริ่มมีประชากรสูงวัยจากประเทศที่ร่ำรวย เช่น ประเทศญี่ปุ่น สังคมผู้สูงอายุจึงเริ่มเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ได้แก่ คนเสียชีวิตช้าลง คนเกิดน้อยลง ซึ่งปัญหาเด็กเกิดน้อยลงเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน โดยอัตราที่เหมาะสมคือแต่ละครอบครัวต้องมีบุตร 2.1 คน ตามหลักเศรษฐศาสตร์ แต่ปัจจุบันนี้อัตราการเกิดต่ำกว่า 2.1 คน 

สำหรับประเทศไทยอัตราการเกิดเหลือเพียง 1.3 คน ต่อครอบครัว แสดงว่า Generation ถัดไปประชากรจะเริ่มลดลง 

นิด้าโพลสำรวจพบกลุ่มตัวอย่างคนไทย ปรากฏว่าสาเหตุที่ไม่อยากมีลูก…

- ร้อยละ 38.32 ระบุว่า ไม่อยากเพิ่มค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก และเป็นห่วงว่าลูกเราจะอยู่อย่างไรในสภาพสังคมปัจจุบัน 
- ร้อยละ 37.72 ระบุว่า ไม่อยากมีภาระต้องดูแลลูก 
- ร้อยละ 33.23 ระบุว่า ต้องการชีวิตอิสระ 
- ร้อยละ 17.66 ระบุว่า กลัวเลี้ยงลูกได้ไม่ดี 
- ร้อยละ 13.77 ระบุว่า อยากให้ความสำคัญกับงานมากกว่า 
- ร้อยละ 5.39 ระบุว่า สุขภาพตนเองหรือคู่ครองไม่ค่อยดี 
- ร้อยละ 2.10 ระบุว่า กลัวพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์จะไม่ดี ทำให้ลูกที่เกิดมาไม่ดีไปด้วย
- และร้อยละ 0.90 ระบุว่า กลัวกรรมตามสนองเนื่องจากเคยทำไม่ดีไว้กับพ่อ แม่ 

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงมาตรการที่รัฐควรสนับสนุนเพื่อให้คนไทยมีลูก…

- ร้อยละ 65.19 ระบุว่า สนับสนุนการศึกษาฟรีในประเทศจนถึงขั้นสูงสุดสำหรับคนมีลูก
- ร้อยละ 63.66 ระบุว่า รัฐอุดหนุนค่าเลี้ยงดูลูกจนถึงอายุ 15 ปี 
- ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ลดภาษีเงินได้สำหรับคนมีลูก 
- ร้อยละ 29.47 ระบุว่า เพิ่มวันลาให้แม่และพ่อในการเลี้ยงดูลูก 
- ร้อยละ 21.91 ระบุว่า มีเงินรางวัลจูงใจที่สูงสำหรับเด็กแรกเกิด 
- ร้อยละ 19.92 ระบุว่า อุดหนุนทางการเงินแม่ พ่อเลี้ยงเดี่ยว 
- ร้อยละ 17.18 ระบุว่า พัฒนาและอุดหนุนการเงินศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก 
- ร้อยละ 9.85 ระบุว่า มีบริการฟรี ศูนย์ผู้มีบุตรยาก 
- ร้อยละ 7.48 ระบุว่า เพิ่มภาษีเงินได้สำหรับคนไม่มีลูก 
- ร้อยละ 5.50 ระบุว่า รัฐเปิดช่องทางในการอุ้มบุญมากขึ้น
- ร้อยละ 4.89 ระบุว่า รัฐมีหน่วยงานจัดหาคู่ให้กับคนไทย 
- ร้อยละ 2.75 ระบุว่า รัฐไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใด ๆ 
- และร้อยละ 0.76 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

อาจารย์พงษ์ภาณุ กล่าวถึงตัวอย่างมาตรการที่รัฐควรสนับสนุน เช่น ประเทศสิงคโปร์ มีลูกจ่ายทันที 10,000 เหรียญ และจากผลการสำรวจของนิด้าโพลข้างต้นนี้ สรุปได้ว่าคนไทยอยากให้รัฐจัดสวัสดิการให้ แต่ถ้าเป็นการให้ทุนการศึกษาบุตรหลาน น่าจะเหมาะสมกว่าการสนับสนุนการศึกษาฟรีในประเทศจนถึงขั้นสูงสุดสำหรับคนมีลูก ส่วนปัญหาผู้สูงอายุที่ส่งผลกระทบ ได้แก่...

1.แรงงาน ดูผลของเศรษฐกิจซึ่งขึ้นอยู่กำลังแรงงาน ทุน และเทคโนโลยี เห็นว่าจะเกิดภาระค่าใช้จ่ายของผู้สูงวัยขึ้น ถ้าไม่ได้เก็บออมไว้ก่อนอาจประสบปัญหาได้ 

2.ทุน ถึงแม้ผู้สูงอายุมากขึ้นทำให้เกิดการออมจากกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้นก็เป็นไปได้ แต่บางส่วนที่ไม่มีรายได้ ไม่มีบำนาญก็ไม่สามารถลงทุนได้ 

3.เรื่องเทคโนโลยี ผู้สูงวัยมีประสบการณ์มากกว่า แต่เด็กรุ่นใหม่มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าต้องผสมผสานให้ดี โดยรัฐควรมองว่าทำอย่างไรให้มีแรงงานเพิ่มมากขึ้น ทำอย่างไรให้คนเกิดมากขึ้นได้หรือไม่ หรือขยายอายุเกษียณราชการให้ช้าลง ซึ่งควรพิจารณาโดยเร็ว 

อีกประเด็นคือ ควรเคลื่อนย้ายแรงงานจากต่างประเทศเข้ามาในไทยโดยเฉพาะแรงงานมีฝีมือ เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ควรเปิดเสรีแรงงานระดับมืออาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน ถ้ารัฐไม่เร่งแก้ไขจะประสบปัญหากับการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในภาคบริการในอนาคต

นอกจากเรื่องสังคมผู้สูงวัยแล้ว อาจารย์พงษ์ภาณุ ได้เล่าถึง สถานการณ์เศรษฐกิจยุโรปในปัจจุบัน โดยกล่าวถึงที่มาของการรวมกันของสหภาพยุโรปหรือ EU ซึ่งยุโรปในอดีตเกิดสงครามเยอะมาก การรวมตัวกันของ EU ก็เพื่อป้องกันการเกิดสงคราม และทำให้ยุโรปมีอำนาจต่อรองมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในยุโรปที่มีขนาดเล็ก เกี่ยวกับการค้าขายและการลงทุน 

อย่างไรก็ตาม ยุโรปก็ยังมีข้อเสีย โดยมีวิกฤตเกิดขึ้นมาเป็นครั้งคราว เช่น วิกฤตหนี้สาธารณะยุโรป ประสบปัญหาเศรษฐกิจรุนแรง ซึ่งวันนี้ต้องยอมรับว่าภาคธุรกิจของจีนและสหรัฐอเมริกาขึ้นมาโดดเด่นกว่ายุโรปแล้ว เพราะธุรกิจยุโรปยังอยู่ในอุตสาหกรรมเก่า ซึ่งจีนและสหรัฐอเมริกา มีธุรกิจไอที ที่ก้าวนำยุโรปไปแล้ว 

ขณะเดียวกันประเทศที่เป็นแกนกลางของยุโรป เช่นเยอรมนี ตอนนี้เศรษฐกิจก็กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสงครามยูเครน-รัสเซีย อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากตลาดรถยนต์หดตัวลงอย่างรวดเร็ว และมีคู่แข่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV จากจีน ซึ่งแตกต่างกับประเทศฝรั่งเศส ที่ลงทุนทางโครงสร้างพื้นฐานอย่างมหาศาล เศรษฐกิจเข้มแข็ง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย สินค้า Luxury แถมยังได้ลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่เพื่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในฝรั่งเศส รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ทำรายได้หลัก ซึ่งฝรั่งเศสมีนโยบายหลายอย่างที่สนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง 

ขณะที่นโยบายด้านอาหารและเครื่องดื่มของฝรั่งเศสก็ส่งเสริมให้เกิดการเติบโต ซึ่งแตกต่างกับไทยที่มีนโยบายเก็บภาษีเครื่องดื่มแพงมาก เพราะฉะนั้นประเทศไทยควรมองจุดนี้ แล้วหันมาส่งเสริมนโยบายด้านอาหารและเครื่องดื่มให้มากขึ้นด้วย 

ส่วนบทบาทของไทยกับยุโรป มองว่าควรเจรจาเปิดการค้าเสรี ไทย-ยุโรป อย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการแข่งขัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมาก

‘สมศักดิ์’ เผย คณะกรรมการผู้สูงอายุฯ เคาะให้รางวัล ‘เจ้าสัวธนินท์’ ชี้ มีผลงานช่วยเหลือสังคม ผลักดันให้เยาวชน มีการศึกษา เรียนรู้ อย่างเท่าเทียม

(16 มี.ค.67) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ ได้ไปเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เพื่อพิจารณาการขับเคลื่อนนโยบายการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุ พร้อมรับทราบข้อเสนอเชิงนโยบายวิกฤตประชากรและสังคมสูงวัย และข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการขับเคลื่อนสังคมสูงวัย โดยมีการนำเสนอเรื่องที่น่าสนใจ คือ ธนาคารเวลารองรับสังคมสูงวัย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สมาชิก แลกเปลี่ยนบริการขั้นพื้นฐาน โดยบันทึกเวลาไว้ในบัญชีธนาคาร เพื่อเบิกเวลามาใช้ยามจำเป็น ซึ่งจะมีผู้จัดการ เป็นผู้ประสานการบริการ มีธนาคารเวลาแล้ว 32 ประเทศ ใน 8 ทวีป เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ซึ่งในประเทศไทย มีการดำเนินงานธนาคารเวลา แล้ว 80 พื้นที่ โดยรูปแบบในประเทศไทย ยังเป็นการเก็บเวลา เพื่อแลกกับเวลาเท่านั้น ยังไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ เพราะต้องการทำให้ทุกคนรู้สึกเท่าเทียม เวลาจึงมีค่าเท่ากันทั้งหมด ซึ่งตนมองว่า เป็นสิ่งที่ดี ที่เราสามารถไปบริการคนอื่น เพื่อเก็บเวลามาใช้ในวันที่เราต้องมีผู้ช่วยไปทำธุระ เช่น ไปซื้อของ ไปโรงพยาบาล โดยที่ประชุม ก็มีการเสนอแนะให้เก็บเวลาเป็นดิจิทัลด้วย เพราะจะได้สามารถบันทึกเวลาได้ยาวนาน

“ที่ประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ยังได้มีการพิจารณารายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเพื่อประกาศสดุดีเกียรติคุณผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2567 โดยได้มีการสรรหาผู้สูงอายุ ที่เป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม ซึ่งมีผู้ได้รับเสนอรายชื่อจำนวน 53 ราย โดยเมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์ ที่ประชุมได้มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบให้ นายธนินท์ เจียรวนนท์ อายุ 85 ปี เป็นผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจำปี 2567 เพราะที่ผ่านมา นายธนินท์ ได้ช่วยเหลือสังคม ด้วยการขับเคลื่อนโครงการทรูปลูกปัญญา เป็นการมอบโอกาสการเรียนรู้อย่างเท่าเทียม พร้อมสนับสนุนด้านการศึกษาแก่เยาวชนของชาติ มาเป็นเวลากว่า 40 ปี จึงประกาศสดุดีเกียรติคุณยกย่องให้เป็นผู้สูงอายุแห่งชาติ” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

'กระทรวงแรงงาน' จับมือ 'ซีพี แอ็กซ์ตร้า' ส่งเสริมการมีงานทำ ฝึกทักษะผู้สูงอายุ รองรับสังคมสูงวัย ในโครงการ '60 ยังแจ๋ว'

วันที่ 20 มิ.ย.67 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายนายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการมีงานทำให้ผู้สูงอายุ ระหว่าง กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ร่วมผนึกกำลังสนับสนุนการจ้างงานผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป  เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี ควบคู่การเพิ่มบทบาทและสร้างคุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมให้ผู้สูงวัย โดยโครงการ “60 ยังแจ๋ว” ประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 
1.การจ้างงานผู้สูงอายุ ปฏิบัติงานในสาขาของ แม็คโคร และ โลตัส 
2. “เถ้าแก่วัยเก๋า” โครงการฝึกอาชีพ สร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุที่ต้องการทำงานอิสระหรือมีธุรกิจของตนเอง และ 3. “ตลาดสุขใจวัยเก๋า” เปิดพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับพ่อค้าแม่ค้าสูงวัยในพื้นที่ของสาขาแม็คโคร-โลตัส โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตอกย้ำการสร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาสให้กับคนไทย

นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์” ทำให้ต้องมีการขับเคลื่อนการส่งเสริมการมีงานทำแก่ผู้สูงอายุให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้มีงานทำในอาชีพที่เหมาะสมกับวัยและประสบการณ์ สร้างหลักประกันที่มั่นคงด้านรายได้ สร้างคุณค่าและความภาคภูมิใจให้แก่ผู้สูงอายุ ตลอดจนเป็นการเพิ่มบทบาทและคุณค่าของผู้สูงอายุด้วยการมีส่วนร่วมในเชิงเศรษฐกิจ ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐในด้านสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ จึงจัดทำบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งเสริมการมีงานทำให้ผู้สูงอายุ ระหว่างกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ทั้ง 3 ฝ่ายจะร่วมมือในการขับเคลื่อนมาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยกรมการจัดหางาน ทำหน้าที่ส่งเสริมการมีงานทำในตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ทำหน้าที่สนับสนุนหลักสูตรการฝึกอบรม และการจัดฝึกอบรมส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีความรู้ ทักษะ สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ เช่น การทำเบเกอรี่ การประกอบอาหารว่างและเครื่องดื่ม การทำอาหารจานด่วนเพื่อจำหน่าย การประกอบอาหารไทยเชิงธุรกิจออนไลน์ เป็นต้น ระยะเวลาการฝึก 18-30 ชั่วโมง      

ในส่วนของ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน)(แม็คโคร - โลตัส) จะจ้างงานผู้สูงอายุตามกรอบนโยบายที่สถานประกอบการกำหนด และเตรียมความพร้อมรองรับการจ้างงานผู้สูงอายุ พร้อมกับจัดส่งตำแหน่งงานว่างสำหรับผู้สูงอายุให้กรมการจัดหางาน และร่วมจัดหลักสูตรการฝึกอบรมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

ด้านนายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ เป็นการแสดงเจตจำนงถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วน ที่จะสร้างกรอบความร่วมมือในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีงานทำ เพราะผู้สูงอายุมีความเพียบพร้อมไปด้วย วัยวุฒิ คุณวุฒิ และประสบการณ์จากการทำงานและการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้ใช้แรงงานได้เป็นอย่างดี โดยมีเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุภายในปี พ.ศ. 2567 จำนวน 800 คน เบื้องต้นบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า พร้อมรับผู้สูงอายุทำงานในสถานประกอบการแม็คโคร และโลตัส ในงานที่ผู้สูงอายุสามารถทำได้ เป็นงานที่ไม่หนัก และไม่เป็นอันตราย อาทิ ตำแหน่งจัดเรียงสินค้า ตำแหน่งบริการลูกค้า ณ จุดบริการลูกค้า เป็นต้น มีรายได้ไม่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ ควบคู่กับการพัฒนาทักษะฝีมือให้กับผู้สูงอายุด้วย

นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ซีพี แอ็กซ์ตร้า ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัย (aging society) ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยบริษัทฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผนึกกำลังกับกระทรวงแรงงาน ในโครงการ “60 ยังแจ๋ว” ร่วมส่งเสริมการสร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงวัยในสังคม โดยการจ้างงานผู้สูงอายุทำงานในสาขาแม็คโคร-โลตัส รวมถึงส่งเสริมทักษะอาชีพ และเปิดพื้นที่ให้จำหน่ายสินค้า ทั้งนี้ ซีพี แอ็กซ์ตร้า พร้อมสนับสนุนความแตกต่าง ความหลากหลาย เปิดกว้างรับคนทำงานตามความสามารถและทักษะ ควบคู่การเป็นแพลตฟอร์มแห่งโอกาสให้กับทุกคน”  

นอกจาก การจ้างงานแล้ว ซีพี แอ็กซ์ตร้า ยังได้มีกิจกรรมสนับสนุนผู้สูงอายุอย่างครบวงจร ทั้ง
“เถ้าแก่วัยเก๋า” ที่ขยายโอกาสให้ผู้สูงอายุทั่วประเทศ ได้รับการฝึกอาชีพสร้างรายได้ให้กับตนเอง และโครงการ “ตลาดสุขใจวัยเก๋า” ที่เปิดพื้นที่จำหน่ายสินค้า ขยายช่องทางจำหน่ายช่วยพ่อค้าแม่ค้าสูงวัยในแต่ละชุมชนได้เข้าถึงลูกค้าผ่านสาขาของ แม็คโคร – โลตัส โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นขององค์กรในสร้างคุณค่าและประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้แก่สังคม (Social impact & economic contribution) ขยายโอกาสสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้กับผู้สูงวัย ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและมีความสนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถติดต่อได้ที่ แม็คโคร และ โลตัส หรือติดต่อสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job center) อาคาร 3 ชั้น ด้านหน้ากระทรวงแรงงาน เว็บไซต์ ไทยมีงานทำ.doe.go.th หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694  

หาทางออก!! แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ในเวทีสานพลังไทย รับมือ!! ‘สังคมสูงวัย’

(10 ธ.ค. 67) ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช  ผู้ทรงคุณวุฒิ ประธานการประชุมกล่าวเปิดว่า มุมมองของคนไทยต่อ ‘สังคมสูงวัย’ ยังค่อนข้างแคบ หลายคนยังมองว่าสังคมสูงวัยเป็นเรื่องของ ‘ผู้สูงอายุ’ เท่านั้น โดยเน้นไปที่ความจำเป็นในการดูแลสุขภาพ หรือการจัดสวัสดิการสำหรับผู้สูงวัย แต่ในความเป็นจริง สังคมสูงวัยคือเรื่องของ ‘ทุกคน’ และทุกช่วงวัยในสังคม  พร้อมเสนอข้อคิดมุมมองเพื่อการเตรียมรับมือสังคมสูงวัยไว้  5 ประการ คือ

(1) รณรงค์สร้างความรู้ ว่าผู้สูงอายุ คือพลัง ไม่ใช่ภาระ ผู้สูงวัยมีศักยภาพที่จะเป็น ‘ครูชีวิต’ ที่ดีได้  การเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่จำกัดเฉพาะช่วงวัยใดวัยหนึ่ง แต่เป็นพื้นฐานที่ทุกคนควรมี เพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงรอบตัว

(2) ให้มีกลไกสานพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วน ให้เข้ามาขับเคลื่อนงานในลักษณะการนำหมู่ (Collective Leaderships) 

(3) ปรับสภาพแวดล้อมทั้งในเชิงพื้นที่และกลไกให้เอื้อต่อการดำรงชีวิต การทำงาน และการเรียนรู้ร่วมกันของผู้สูงอายุและคนทุกวัย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ช่วยลดช่องว่างระหว่างวัย

(4) ใช้วัฒนธรรม ‘สังคมเกื้อกูล’ เป็นธงนำ ใช้รูปแบบวัฒนธรรมของการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และ 

(5) ขยายผลนวัตกรรมและรูปธรรมความสำเร็จไปสู่วงกว้าง อย่างการปรับตัวของภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และประชาชน

“การที่ 12 องค์กรร่วมกันสานพลังทำงานนี้บนแนวคิด สานพลังไทย รับมือสังคมสูงวัย ไปด้วยกัน  เป็นการเดินในทิศทางที่ถูกต้อง เหมาะสม   และมองว่าการเข้าสู่สังคมสูงวัยเป็นโอกาสที่เราจะร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมที่เป็นสุข สังคมที่เกื้อกูลกัน สามารถเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างยั่งยืน มุ่งมั่นที่จะใช้ศักยภาพของตนเอง และส่งเสริมการใช้ศักยภาพของผู้สูงวัยอย่างมีคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด” นายแพทย์วิจารณ์ กล่าว

นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่าการขับเคลื่อนเพื่อรองรับสังคมสูงวัย เป็นภารกิจใหญ่และสำคัญ มีทั้งโอกาสและความท้าทายมากมาย ไม่สามารถดำเนินการเพียงลำพังโดยกลไกภาครัฐเท่านั้น จำเป็นต้องมีการสานพลังทั้งสังคม เพื่อการขับเคลื่อนร่วมกันอย่างเป็นระบบ และเกิด ความรับผิดชอบร่วมและการขับเคลื่อน ซึ่งการจัดประชุมวิชาการครั้งนี้  เพื่อให้เกิดการสานพลังองค์กรภาคีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานโยบายรองรับสังคมสูงวัย  พัฒนาวิชาการและองค์ความรู้จากประสบการณ์ขององค์กรภาคีเครือข่าย และสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายนำไปสู่ขับเคลื่อนรองรับสังคมสูงวัยทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่ 

รศ.ดร.เจิมศักดิ์  ปิ่นทอง  ผู้ทรงคุณวุฒิและอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง ‘สังคมสูงวัย…จุดเปลี่ยนสู่ศักยภาพใหม่ของสังคมไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า’ โดยกล่าวว่า หากปล่อยปัญหาเรื่องสังคมสูงวัยไปไม่มีการดำเนินการใดๆ  และยังคงให้มีปัญหาผลกระทบในอีกสิบปีข้างหน้าจะหนักขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น ยังไม่มีหน่วยงานเจ้าภาพหลักในการแก้ไขปัญหาเด็กเกิดใหม่ลและความพร้อมของครอบครัวที่มีคุณภาพก็ลดน้อยลง  ผู้สูงวัยไม่สามารถพึ่งพิงตนเองได้จึงเป็นภาระของวัยคนทำงาน ไม่มีเงินออม คนจน ความเหลื่อมล้ำ อาชญากรรมจะมีมากขึ้น รัฐเก็บภาษีอากรได้น้อยลงเพราะคนทำงานมีน้อยลง ขณะที่หนี้สาธารณะมีมากขึ้น สวัสดิการมีไม่เพียงพอ ยังไม่สามารถพึ่งพาเทคโนโลยีได้แม้มีหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุแต่ก็ไม่อาจฝากชีวิตได้  มองว่าทุกภาคส่วนต้องร่วมแก้ไขปัญหาเดี๋ยวนี้ ช่วยกันปลุกเตือนให้ทุกคนได้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนประเทศไทยด้วยการสานพลัง มีระบบช่วยดูแลผู้สูงอายุ มีการปรับสภาพแวดล้อมทางกายภาพให้เอื้อกับผู้สูงวัย รัฐบาลส่วนกลางต้องรับผิดชอบและแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยเฉพาะ คิดและทำให้ประชากรแก่ให้ช้า โดยการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและมีสุขภาพดียาวนานที่สุด  ให้ระยะเวลาเจ็บป่วยเกิดสั้นที่สุด พึ่งพาตัวเองให้ยาวที่สุด เสริมทัศนคติให้ระยะเวลาทำงานยาวขึ้น ออมตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เพราะออมเมื่อสูงอายุแล้วจะไม่ทัน

นายวีระศักดิ์  โควสุรัตน์  ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพฯ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรและอดีตสมาชิกวุฒิสภา  ปาฐกถาก่อนปิดการประชุม ในหัวข้อ ‘ต่อยอดจุดแข็งประเทศไทย ไปสู่  Smart Aging Society’  กล่าวว่า สถานการณ์โครงสร้างประชากรทั่วโลกที่ลดน้อยลง ฐานปิรามิดประชากรใน 100 ปีข้างหน้า จะผอมลงมาก  และสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ ทำให้คนไม่กล้ามีลูก ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเมืองในช่วง  20 ปีที่ผ่านมาไม่มีเสถียรภาพ จึงไม่มีสมาธิที่จะเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างประชากรที่ลดน้อยลง  สภาพโลกร้อนขึ้นไม่หยุด รวมถึงนโยบายเลือกเฟ้นคนเข้าเมือง นโยบายถิ่นที่อยู่ นโยบายสัญชาติ ที่น่าจะสามารถเลือกสรรคนมีความสามารถจากทั่วโลกมาร่วมพัฒนาบ้านเมือง  เพราะเราไม่มีทางผลิตประชากรเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ทันในเวลาอันใกล้นี้  

นพ.อำพล จินดาวัฒนะ ประธานกรรมการบริหารโครงการสานพลังพัฒนาโยบายรองรับสังคมสูงวัย เพื่อสุขภาวะองค์รวม พ.ศ. 2568 และอดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวปิดเวทีว่า การขับเคลื่อนสังคมสูงวัยต้องมีการปรับความคิดว่าไม่ใช่เรื่องผู้สูงอายุเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้อง เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องช่วยกันขยับทั้งภาครัฐ  ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ  เพื่อสร้างสังคมที่ Smart  และเชื่อมั่นว่าทำได้  เวทีที่จัดขึ้นเป็นเพียง  1 กิจกรรมในความพยายามที่ต้องทำต่อเนื่อง  เหมือนการวิ่งมาราธอน  เพื่อร่วมกันสร้างความรู้และปัญญาจากงานที่จัด  โดยจะมีการสรุปประมวลเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย  ข้อเสนอไปสู่การพัฒนาปฏิบัติ   บางเรื่องอาจต้องมีการศึกษาวิจัยต่อจากเวทีในครั้งนี้  มีหลายหน่วยงานที่มาได้รู้จักว่ากลุ่มไหน ทำอะไร  ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันแล้ว ยังประสานทำงานร่วมกันต่อไปอีกด้วย  

การประชุมวิชาการ (Mini-symposium) สานพลังไทย รับมือสังคมสูงวัย ไปด้วยกัน  (Smart Aging Society : Together, We can)  จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับมูลนิธิสานพลังเพื่อแผ่นดิน (มสผ.) และองค์กรเจ้าภาพอีก 10 องค์กร ได้แก่ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นเวทีคู่ขนานกับการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ 2567 มีผู้เข้าร่วมกว่า200 คน จากภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และนักวิชาการ  พบว่าเรื่อง ‘สังคมสูงวัย’ ยังไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง มีเพียงการดูแลสวัสดิการ สงเคราะห์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ  และคาดว่าจะผลิตแรงงานไม่ทันกับความต้องการ ระบบโครงสร้าง ยังไม่รองรับความเปลี่ยนแปลงในสังคมที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก เด็กเกิดน้อย แรงงานลดลง พร้อมนำเสนอ 14 กรณีตัวอย่างขับเคลื่อนสังคมสูงวัยแลกเปลี่ยนประสบการณ์

วงถก ‘ธรรมศาสตร์’ ตีแผ่สถานการณ์ ‘ตายลำพัง’ ชี้ ต้องเร่งระดมสรรพกำลังดูแลปัญหา ‘สังคมสูงวัย’

'ธรรมศาสตร์' เปิดวงถกสถานการณ์ปัญหาสังคมสูงวัย นักวิชาการสะท้อนสังคมไทยประสบปัญหา คนแก่เยอะ แก่เร็ว แต่แก่ไม่ดี จี้ภาครัฐผลิตนักจัดการสังคมสูงวัยในชุมชนและให้สิทธิลา Family Caregiver ขณะที่ 'คณบดีสหเวชศาสตร์' ชี้โรค NCDs-พลัดตกหกล้ม-ข้อเสื่อมและสมองเสื่อม เป็นปัญหาสำคัญผู้สูงอายุ พร้อมหนุน อปท.- รพ.สต.ถ่ายโอนฯ ดูแลประชาชน ด้าน 'หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศฯ ด้านวิศวะ' นำเสนอซีรีส์นวัตกรรมฟื้นฟูร่างกาย ใช้งานง่าย-ราคาเข้าถึงได้-และมีมาตรฐาน ส่วน 'รองอธิการฯ ฝ่ายวิจัย' ประกาศยุทธศาสตร์ MOU ทำงานร่วม อปท.-กทม.-อบจ.ปทุมธานี ใช้งานวิจัยดูแลสังคม

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จัดงานแถลงข่าว KICK OFF โครงการ TU Care & Ageing Society ‘ธรรมศาสตร์’ เพื่อนร่วมทางสังคมสูงวัย เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2568 ประกาศความพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลประชาชนและรับใช้สังคมท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายสังคมสูงวัย โดยภายในงานมีการจัดเวทีเสวนา Talk & Share: TU Care & Ageing Society ซึ่งมี 4 นักวิชาการธรรมศาสตร์ร่วมให้มุมมองถึงสถานการณ์ และแนวทางที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะเป็นส่วนหนึ่งในการรับมือกับสังคมผู้สูงวัยในประเทศไทย

ผศ. ดร.ณัฏฐพัชร สโรบล ภาควิชานโยบายสังคม การพัฒนาสังคมและการพัฒนาชุมชน สาขาเชี่ยวชาญสวัสดิการผู้สูงอายุ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า สถานการณ์และปัญหาสุขภาวะของสังคมไทยในปัจจุบัน กำลังประสบกับภาวะ ‘คนแก่เยอะ แก่เร็ว แต่แก่ไม่ดี’ ผู้สูงวัยจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ ‘โคโดกุชิ’ หรือการตายอย่างลำพัง โดยไม่ได้รับความสนใจจากครอบครัว หรือคนรอบข้าง ซึ่งคล้ายคลึงกับประเทศญี่ปุ่น 

นอกจากนั้น ในช่วงขณะที่ยังมีชีวิตก็ประสบกับความว้าเหว่ รู้สึกโดดเดี่ยวจากการที่ลูกหลานต้องออกไปทำงาน อีกทั้ง ยังต้องพบกับสถานการณ์ ‘The Long Goodbye’ ซึ่งผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะมีภาวะสมองเสื่อมเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้ตายจากกันไป แต่ก็เสมือนว่าได้จากกันไปแล้วตลอดกาลทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ 

ผศ. ดร.ณัฏฐพัชร กล่าวต่อไปอีกว่า ที่ผ่านมาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ได้ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมทางกับสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาผู้สูงวัยมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีโปรเจกต์ที่ทำงานกับเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ชื่อว่า ‘SMART AND STRONG Project’ ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบทั้งหมด 39 แห่ง ทั่วประเทศ และตอนนี้ได้ขยายโครงการไปยังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) และหนึ่งในโมเดลที่อยากถอดบทเรียนเพื่อเอามานำเสนอ และสะท้อนไปยังภาครัฐ คือ โครงการ BYT SMART Health City การสร้างศูนย์ผู้สูงอายุ ของเทศบาลเมืองบึงยี่โถ จ.ปทุมธานี 

“ฐานรากของการดูแลดูผู้สูงวัย คือระบบการแพทย์ปฐมภูมิ (Primary Care) กับบริการที่มีอยู่ในชุมชน (Community Care) สิ่งที่รัฐควรลงทุนมากๆ ในเวลานี้คือการผลิตนักจัดการสังคมสูงวัยในชุมชน เพราะที่ผ่านมารัฐผลิตแต่นักปฏิบัติงานสายวิชาชีพ แต่นักปฏิบัติการด้านสังคมสูงวัยมีความเฉพาะทาง และมีปัญหาที่ซับซ้อน จึงจำเป็นต้องยกระดับบุคลากรวิชาชีพให้เป็นนักจัดการสังคมสูงวัย นอกจากนี้ผู้ดูแลครอบครัว (Family Caregiver) หรือคนในครอบครัวที่ต้องมาดูแลผู้สูงวัยที่อาจจะต้องเสียสละตัวเองมาทำหน้าที่นี้ รัฐควรมีสวัสดิการให้ หรือแก้ไขกฎหมายให้ Family Caregiver มีสิทธิ์ลางานเพื่อมาทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นการหนุนเสริมกำลังใจให้กับเดอะแบกของครอบครัว” ผศ. ดร.ณัฏฐพัชร กล่าว

รศ. ดร.ไพลวรรณ สัทธานนท์ คณบดีคณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า กลุ่มปัญหาสุขภาพที่สำคัญในประชากรผู้สูงอายุที่ส่งผลกระทบให้ผู้สูงวัยไม่สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตนเอง และต้องพึ่งพาคนอื่น คือปัญหาเรื่องการพลัดตกหกล้ม ปัญหาสุขภาพกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และที่กำลังมาแรงในระยะหลังๆ คือโรคอ้วนลงพุงที่จะนำไปสู่โรคอื่นๆต่อไป นอกจากนี้ยังมีโรคที่เกี่ยวกับข้อเสื่อม สมองเสื่อม และโรคทางทันตกรรม

รศ. ดร.ไพลวรรณ กล่าวต่อไปว่า คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความพร้อมทั้งองค์ความรู้ เครื่องมือที่ทันสมัย และบุคลากรที่จะเข้าไปหนุนเสริมการแก้ไขปัญหาสุขภาพของคนไทยในมิติต่างๆ เพราะมีหลักสูตร และสาขาทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพที่หลากหลาย มีศูนย์บริการสุขภาพซึ่งให้บริการประชาชน ที่ได้รับการรับรองจากองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) เป็นอาทิ ความพร้อมต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้คณะสหเวชศาสตร์ สามารถออกไปให้บริการด้านสุขภาพในชุมชนต่าง ๆ 

อีกทั้ง ในระยะหลังมานี้ ทางคณะฯ เริ่มมีการขยายไปบริการไปยังหน่วยงาน อปท. เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ปทุมธานี และปริมณฑล รวมไปถึงเขตสุขภาพที่ 4 ในบางจังหวัด ซึ่งกรณีของปทุมธานี ได้ครอบคลุมการดูแลไปยังหลาย อปท. โดยได้รับการตอบรับจากชุมชนเป็นอย่างดี เพราะมีบริการที่แตกต่างไปจากหน่วยบริการอื่นๆ กล่าวคือ เมื่อศูนย์บริการลงไปตรวจประเมินสุขภาพแล้ว ยังได้มีการวิเคราะห์และรายงานผลสุขภาพเป็นรายบุคคล ที่จะนำไปสู่การปรับพฤติกรรมของผู้ป่วยและติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังสรุปให้เห็นภาพสุขภาพของชุมชน เพื่อจะนำไปสู่การออกแบบกลไกการดูแลสุขภาวะแบบองค์รวมให้กับท้องถิ่น

มากไปกว่านั้น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังมีความพร้อมอีกหลายด้านที่จะให้บริการสุขภาพแก่ผู้สูงอายุในหลายมิติ หนึ่งในนั้นคือสถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมีการจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุ เพื่ออบรมและให้ความรู้การดูแลผู้สูงวัย ซึ่งปัจจุบันนี้มีการอบรมเข้าสู่รุ่น ที่ 14 แล้ว นอกจากนี้ยังมีศูนย์ธรรมศาสตร์ ธรรมรักษ์ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ เพื่อให้การดูแลผู้สูงอายุระยะสุดท้าย และให้บริการดูแลผู้ป่วยติดเตียง การบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยระยะกลาง และการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง (Palliative care) อย่างครบวงจร

“ทิศทางของคณะสหเวชศาสตร์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะเข้าไปสนับสนุน ส่งเสริมการดูแลระบบสุขภาพผู้สูงวัย ให้กับท้องถิ่นต่างๆ ที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั้งการให้แนวทางการวางแผนการจัดการบริการสุขภาพ รวมไปถึงการสนับสนุนบุคลากรสายวิชาชีพ ที่ รพ.สต. กำลังขาดแคลน ผ่านการให้โควตาแก่นักเรียนที่อยู่ในท้องถิ่น เพื่อนำความรู้กลับไปทำงานให้กับพื้นที่ของตนเอง นอกจากนี้คือการพัฒนาศักยภาพของชุมชนในมิติต่าง ๆ เช่น การพัฒนาผู้ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง พัฒนาทักษะแรงงานที่อยู่ในวัยเกษียณ รวมถึงการเตรียมความพร้อมประชาชนก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ” รศ. ดร.ไพลวรรณ กล่าว

ผศ. ดร.บรรยงค์ รุ่งเรืองด้วยบุญ หัวหน้าศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการ ด้านการออกแบบและพัฒนาต้นแบบทางวิศวกรรมอย่างสร้างสรรค์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า แม้หลายท้องถิ่น จะมีศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้สูงอายุอยู่ในชุมชน แต่ก็ถือว่าความสำเร็จในการฟื้นฟูยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร นั่นเป็นเพราะความขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ และขาดนวัตกรรมที่เหมาะสมสำหรับชุมชน ไม่ตอบโจทย์ในแง่ประสิทธิภาพและการใช้งาน

ทั้งนี้ โจทย์การออกแบบและพัฒนานวัตกรรมฟื้นฟูสำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วย จะต้องสามารถลดภาระบุคลากรทางการแพทย์ได้ โดยมีระบบเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ต (IOT) สำหรับการประเมินผลทางไกล สิ่งที่สำคัญ คือ สามารถใช้งานและดูแลรักษาง่าย รวมไปถึงมีราคานวัตกรรมที่ไม่แพงมากนัก ทำให้ศักยภาพระดับชุมชนและครัวเรือนเข้าถึงได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คือ เงื่อนไขที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใช้เป็นฐานคิดในการออกแบบนวัตกรรมให้กับผู้ป่วยและผู้สูงวัย

“ธรรมศาสตร์ มีการพัฒนานวัตกรรมเป็นซีรีส์ ครบวงจรการฟื้นฟู ตั้งแต่การฝึกยืนและฝึกเดิน โดยเริ่มตั้งแต่ ‘รถเข็นปรับยืน’ เพื่อฝึกให้ร่างกายมีความแข็งแรง สามารถลุกขึ้นยืนเองได้ โดยต่อมามีการพัฒนามาเป็นระบบไฟฟ้า ซึ่งอุปกรณ์ชิ้นนี้ มีผู้ป่วยคนหนึ่งยอมสั่งซื้อมาจากต่างประเทศ ในราคาที่สูงถึง 2 – 3 แสนบาท แต่เมื่อมองลองใช้ของเรา เขาบอกว่าดีกว่าที่สั่งซื้อเข้ามาเอง จึงนำของเราไปใช้แทน ถัดจากนั้น จะเป็นการฝึกเดินบนเครื่องที่ชื่อว่า ‘I – Walk’ แล้วไปฝึกเดินบนพื้นด้วยเครื่องมือ ‘Space Walker’ และล่าสุดได้ออกนวัตกรรมการพัฒนากำลังแขน ที่ชื่อว่า ‘Arm Booster’ นวัตกรรมที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ได้ผ่านมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ ซึ่งนำไปสู่การใช้งานจริงในระดับชุมชนผ่านศูนย์สุขภาพต่างๆ และเผยแพร่ในเชิงพาณิชย์แล้ว ซึ่งเป็นความพยายามที่ใช้เวลาพัฒนามากว่า 10 ปี กว่าที่จะได้รับการยอมรับเช่นนี้” ผศ. ดร.บรรยงค์ กล่าว

ด้าน รศ. ดร.ม.ล.พินิตพันธุ์ บริพัตร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า บทบาทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการสนับสนุนทางด้านวิชาการ เพื่อขับเคลื่อนเรื่องสังคมผู้สูงวัย คือการเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ในการเชื่อมโยงทั้งแหล่งทุนภายในและภายนอก ให้กับนักวิจัย ซึ่งจุดเด่นของงานวิชาการในการผลักดันและพัฒนาเรื่องสังคมสูงวัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่างานวิจัยจะมีความเป็นสหศาสตร์เป็นอย่างมาก 

ทั้งนี้ เพราะมหาวิทยาลัยฯ มีการออกแบบการสนับสนุนผ่านศูนย์วิจัยที่มีอยู่ทั้งหมดประมาณ 80 ศูนย์ และศูนย์แห่งความเป็นเลิศ 20 ศูนย์ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มีศูนย์ที่ดูแลประเด็นเกี่ยวกับสูงวัยเป็นการเฉพาะซึ่งครอบคลุมหลากหลายคณะ โดยมีนักวิจัยซึ่งสามารถผลิตงานวิชาการและนวัตกรรมที่ได้รับรางวัลมากมาย 

“ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนงานวิจัยด้านสังคมสูงวัย ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การบริหารงานของ ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดี สิ่งหนึ่งที่พยายามจะผลักดันให้สำเร็จให้ได้ คือการทำให้งานวิจัยเป็นประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง หนึ่งในนั้นคือการทำงานร่วมกับ อปท. และ กทม. ซึ่งได้หารือกันไว้ว่าจะมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อผลักดันโครงการส่งเสริมสุขภาวะ โครงการหลักสูตรฝึกอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ และโครงการออกแบบนวัตกรรมเพื่อสังคมผู้สูงอายุ ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันที่จะได้ทำงานร่วมกับ อบจ.ปทุมธานี ต่อไปในอนาคตด้วย” รศ. ดร.ม.ล.พินิตพันธุ์ กล่าว

อนึ่ง โครงการ TU Care & Ageing Society ‘ธรรมศาสตร์’ เพื่อนร่วมทางสังคมสูงวัย เป็นโครงการภายใต้การดูแลของ รศ. ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษ ที่จะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มในการบูรณาการทรัพยากรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แบบข้ามศาสตร์ ข้ามคณะ-สาขา ตามค่านิยม ONE TU เพื่อจัดบริการวิชาการและบริการสังคม ตลอดจนการสื่อสารสังคม โดยในปี 2568 ซึ่งเป็นเฟสแรกของการดำเนินโครงการ ธรรมศาสตร์จะทำงานร่วมกับ จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

‘อธิการบดี’ ยืนยัน มธ. มีของเยอะ งานวิจัยและนวัตกรรมเพียบ อปท. ไหนต้องการให้ซัปพอร์ต-สนใจอยากนำไปต่อยอดรับมือสังคมสูงวัย

‘ธรรมศาสตร์’ ประกาศความพร้อมดูแลคนไทยในสังคมสูงวัย ด้วยการบูรณาการทรัพยากรจากหลากหลายคณะเป็น ONE TU เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนทางด้านบริการวิชาการ-บริการสังคม ‘อธิการบดี’ ยืนยัน มธ. มีของเยอะ งานวิจัยและนวัตกรรมเพียบ อปท. ไหนต้องการให้ซัปพอร์ต-สนใจอยากนำไปต่อยอด ให้ประสานเข้ามาพูดคุยกันผ่าน 4 ศูนย์ 'ท่าพระจันทร์-รังสิต-พัทยา-ลำปาง'

ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประกาศความพร้อมในการเป็นกลไกสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จัดบริการดูแลประชาชน โดยเฉพาะในสถานการณ์สังคมสูงวัย โดยเบื้องต้นหาก อปท. ใดต้องการการสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้ งานวิจัยและนวัตกรรมต่าง ๆ ตลอดจนหลักสูตรการพัฒนาบุคลากรสุขภาพ สามารถเข้ามาพูดคุยหรือเข้ามาทำความร่วมมือกับ มธ. ได้ ผ่านทั้ง 4 ศูนย์ ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ณ ท่าพระจันทร์ พื้นที่ จ.ปทุมธานี ณ ศูนย์รังสิต พื้นที่ จ.ชลบุรี ณ ศูนย์พัทยา และพื้นที่ จ.ลำปาง ณ ศูนย์ลำปาง

ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ กล่าวว่า บทบาทสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุในปัจจุบันจะอยู่ที่ชุมชนและหน่วยบริการระดับปฐมภูมิเป็นหลัก ซึ่งเป็นแน่นอนว่ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ผู้ดูแลสุขภาพ (Caregiver) อปท. ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น กทม. องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่รับการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) มาบริหารจัดการ ตลอดจนองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาล หากท้องถิ่นใดหรือหน่วยบริการใดต้องการการสนับสนุนทางวิชาการ งานวิจัยและนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร ฯลฯ มธ.ยินดีสนับสนุน

“ผมอยากจะเรียนว่าธรรมศาสตร์มีของเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาเรามีการจัดบริการวิชาการ การจัดบริการสังคม การดูแลชุมชนผ่านโครงการต่างๆ ซึ่งหากของของเราตรงกับความต้องการของแต่ละพื้นที่ก็อยากให้ท่านลองประสานเข้ามา” อธิการบดี มธ. กล่าว

ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน มธ. มีงานวิจัยจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุ ทั้งในระดับบุคลากร ระดับสังคม และระดับนโยบาย ซึ่งการจะแปลงงานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงนั้น 1. ผู้ประกอบการจะต้องเห็นประโยชน์และมีการติดต่อขอนำไปใช้ประโยชน์ ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นการทำเป็นครั้งๆ และจบไป 2. การนำงานวิจัยที่มีประโยชน์ต่อสาธารณะไปพัฒนาต่อ โดยกรณีนี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลที่เป็นผู้ที่มีทรัพยากรมากกว่า และกำหนดนโยบายในการสนับสนุนได้ 3. การที่ อปท. เห็นความสำคัญและต้องการนำงานวิจัยหรือนวัตกรรมไปใช้ดูแลประชาชนในพื้นที่ โดยในส่วนนี้เชื่อว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก และอยู่ในวิสัยที่จะทำงานร่วมกันได้ทันที

“เรามีงานวิจัยและนวัตกรรม ทาง อปท. มีพันธกิจในการดูแลประชาชน ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือต้องสร้างกลไกเชื่อมโยงระหว่างท้องถิ่นกับสถาบันการศึกษาให้เกิดขึ้นจริง เพื่อให้องค์ความรู้หรืองานวิจัยและนวัตกรรมที่มีอยู่ถูกนำไปใช้ได้จริง และเป็นประโยชน์ต่อคนในพื้นที่จริงๆ” ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ กล่าว

ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ กล่าวอีกว่า ความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับ อปท. ทำได้ในหลายรูปแบบ ตัวอย่างหนึ่งคือเมื่อช่วงเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ธรรมศาสตร์จัดงานแสดงนวัตกรรมการป้องกันพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ เราก็ได้หารือกับ กทม.ว่า เรามีงานวิจัยและนวัตกรรมประมาณนี้ ถ้า กทม.สนใจเราพร้อมพัฒนาต่อให้ กทม.ก็สนใจและได้จัดสรรงบประมาณมา สุดท้ายงานนี้ก็ถูกนำไปใช้ในโรงพยาบาลผู้สูงอายุ กทม. เหล่านี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของความร่วมมือที่เกิดขึ้นได้ทันที 

ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับสังคมสูงวัยในอีก 10-15 ปีข้างหน้า ที่สัดส่วนประชากรสูงวัยในประเทศไทยจะเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องคิดกันอย่างจริงจัง ซึ่งไม่ใช่แค่รัฐบาลปัจจุบัน แต่ต้องแผนระยะยาวในการขับเคลื่อน ที่ผ่านมาเรามีการพูดกันถึงประเด็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี  คำถามคือในยุทธศาสตร์เรามีพูดเรื่องพวกนี้มากเพียงใด ถ้ายังไม่พูดก็ควรต้องพูดและต้องทำตามที่เขียนเอาไว้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top