Sunday, 8 June 2025
สส

‘ดร.เสรี’ เรียกร้องยกเลิกงบค่าอาหารของ ‘สส.-สว.’  แนะให้จ่ายเงินกินกันเอง จะช่วยชาติประหยัดได้เยอะ

(9 ก.ย. 66) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

เลิกงบอาหารสำหรับ สส. และ สว.เถอะ มีเงินเดือนขนาดนี้ และค่าโน่นค่านี่อีกมากมาย ให้หากินเองเถอะ

พื้นที่ในสภาฯ มากพอที่จะทำเป็นศูนย์อาหาร ให้เข้ามาหากินกันเองนะ

ที่จัดให้ในตอนนี้ใช้งบประมาณสูงเกินไป เสียดายเงินที่ต้องจ่าย

แล้วก็มาประชุมกันไม่ครบ สภาฯ ล่มก็กลับบ้าน ไม่ได้กิน แต่ก็ต้องจ่าย

เลิกงบนี้เถอะนะ แล้วให้จ่ายเงินกินกันเอง จะประหยัดช่วยชาติได้เยอะ

อยากเห็น สส.สักคนที่เสนอเรื่องนี้ในสภาฯ จะมีไหมนะ?

น่าเศร้า!! 22 เสียง โหวตไม่ขับ สส. คุกคามทางเพศออกจากพรรค สะท้อน!! ระดับ ‘จริยธรรม-คุณธรรม’ สส. อันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

สิ่งที่น่าเศร้าใจยิ่งกว่าการมี สส. คุกคามทางเพศเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ก็คือมี สส. มากถึง 22 คน ที่โหวตให้ สส. ที่คุกคามทางเพศไม่ต้องถูกขับออกจากพรรค สะท้อนให้เห็นมาตรฐานทาง 'จริยธรรม' และ 'คุณธรรม' ของ สส. พรรคดังกล่าวที่สุดแสนจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน 

คนที่จะอาสามาเป็น สส. หรือ 'สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร' ถ้าอยากให้สังคมประเทศนั้น ๆ เจริญแบบยั่งยืน จำเป็นมากที่ต้องเป็นผู้มีศีลธรรม จริยธรรม มีความชอบธรรมในหัวใจ ต้องมีแนวในการดำรงชีวิตที่ไม่เอนเอียง หวั่นไหว หรือด่างพร้อยไปในทางเสียหาย เรียกว่าต้องมีมาตรฐานที่สูงกว่าคนธรรมดาสามัญแบบเรา 

นั่นเพราะประชาชนช่วยกันเลือกให้เข้ามา 'เป็นปากเป็นเสียง' แทนเขา ซ้ำยังกินเงินเดือนที่มาจาก 'เงินภาษีของประชาชน' ทั้งยังได้รับสิทธิพิเศษ และโอกาสทางสังคมอื่น ๆ อีกมากมาย 

ฉะนั้นถ้า สส. ผู้ทรงเกียรติ กลายมาเป็น 'โจรบ้ากาม' เสียเอง แล้วประชาชนจะมี สส. ไว้ทำไม?

การคุกคามทางเพศ หรือ Sexual Harassment แม้จะแบ่งออกเป็นหลายระดับ เริ่มจากเบาไปหาหนัก และการรับโทษก็มีระดับที่ต่างกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น 'ตัวแทนของประชาชน' จะทำได้ 

หน้าที่ของพวกท่านจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องคงไว้ซึ่งกฎกติกา เพื่อเกียรติยศ เพื่อศักดิ์ศรี เพื่อความน่าเชื่อถือ ซึ่งล้วนถือสิ่งที่ สส. ทุกคนที่เข้ามารับหน้าที่พึงตระหนักไว้ว่า ตนเองคือ ผู้สร้างสิ่งที่ดีงามให้กับผู้คน ไม่ใช่ผู้ทำร้าย ทำลาย ทั้งร่างกาย จิตใจ หรือชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งให้ต้องตายทั้งเป็น 

อย่างไรก็ตาม แค่ได้เห็น สส. คุกคามทางเพศเกิดขึ้นในสังคมไทย ก็ถือว่าหนักหนา จนประชาชนผู้อ่อนต่อโลกย่อมรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยแล้ว สิ่งที่แย่ และน่าสะเทือนใจยิ่งกว่าก็คือมีเพื่อน สส. ในพรรคการเมืองเดียวกันมากถึง 22 คน โหวตให้ไม่ต้องขับ สส. คนดังกล่าวออกจากพรรค 

จุดนี้เปลือยให้เห็นถึงรสนิยมการใช้ชีวิต และวิธีคิดที่เป็นอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์เป็นอย่างมาก 

แทนที่จะหันมาดูแลปกป้องเหยื่อ กลับไปโหวตสนับสนุนคนผิด นี่น่ะหรือที่มักประกาศบอกต่อชาวโลกว่าเป็นพรรคการเมืองที่มาจากแนวคิดของคนรุ่นใหม่ เข้ามาเพื่อจะมาเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เลวร้ายไปสู่สิ่งที่ดี ๆ

หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าล้มล้างสถาบัน หลอกใช้เด็ก ๆ ให้ไปติดคุกในคดี 112 แทน กลิ้งกลอก ย้อนแย้ง ตลบตะแลง ไม่จริงใจ สู้เพื่อความเท่าเทียมอันจอมปลอม ยังไม่พอ มาวันนี้ยังสนับสนุนให้ 'สส. หื่น' ได้เชิดชูเป็น สส. ของพรรคต่อไป

ขอฝาก สส. คนที่ได้ไปต่อว่า หลังจากวันนี้ถ้าอาการ 'หื่นสาว' ยังไม่หมดหายไปจากจิตใต้สำนึก แนะนำให้ไปขอผู้หญิงของ สส. 22 คนที่โหวตให้คุณรอดมาเป็น 'เหยื่ออารมณ์' 

ลองถามเขาดูว่ามีเมีย มีน้องสาว หรือลูกสาว ที่พอจะให้คุณ 'คุกคามทางเพศ' แก้เหงาได้ไหม เชื่อว่าน่าจะมีส่งมาให้คุณแก้ขัดในห้วงเวลาก่อนที่ชื่อเสียงของคุณจะตายสนิทไปจากสังคมไทย 

อ้อ!! อย่าลืมโค้งคำนับเขากลับถี่ ๆ ด้วยล่ะ รับรองว่าเขาจะไม่ว่าอะไร เพราะการที่เขาแสดงออกถึงการโหวตสนับสนุนคุณ มันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเขาชอบในสิ่งที่คุณทำไม่ดีกับเหยื่อคนอื่น...

คงคิดไม่ต่างกัน!!

จับตาพรุ่งนี้ 'ไอซ์-รักชนก' ขึ้นศาลคดี ม.112  หากศาลตัดสินจำคุก ส่งเรือนจำ หลุดจาก สส.ทันที

(12 ธ.ค. 66) โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ‘ไอลอว์’ (iLaw) โพสต์ข้อความใน X (ทวิตเตอร์) ‘iLawFX @iLawFX’ ว่าพรุ่งนี้ เวลา 9.00 น. ศาลอาญานัด ‘ไอซ์-รักชนก ศรีนอก’ ฟังคำพิพากษาในคดี #ม112 เธอถูกดำเนินคดีจากการทวีตและรีทวีตข้อความของผู้อื่นรวม 2 ข้อความ คดีนี้หากศาลตัดสินว่า มีความผิดและสั่งลงโทษจำคุก โดยไม่ให้ประกันตัวหรือให้เข้าเรือนจำเพื่อรอคำสั่งประกันตัว เธอจะหลุดออกจากตำแหน่ง สส.ทันที

ไอลอว์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ไอซ์-รักชนก ปัจจุบัน เป็นสส.สังกัดพรรคก้าวไกล เขตบางบอน-หนองแขม กรุงเทพมหานคร เธอเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนหน้านี้ในปี 2557 ไอซ์เคยแสดงความคิดเห็นสนับสนุนการรัฐประหารบนโลกออนไลน์ เพราะคิดว่าการรัฐประหารจะทำให้การชุมนุมและความวุ่นวายยุติลง แต่เมื่อมีโอกาสถกเถียงกับเพื่อนในประเด็นการเมืองจึงเริ่มเปลี่ยนความคิด ปี 2564 ไอซ์-รักชนกเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นจากการตั้งคำถามตรงไปตรงมาบนแอพพลิเคชั่นคลับเฮาส์จนได้รับฉายาตัวแสบแห่งคลับเฮาส์ เธอเป็นสมาชิกกลุ่มพลังคลับเฮ้าส์เพื่อประชาธิปไตย เคลื่อนไหวรณรงค์ เช่น การจัดฟรีคอนเสิร์ตเพื่อระดมทุนเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทางการเมือง นอกจากพื้นที่ออนไลน์ เธอยังไปร่วมการชุมนุมทางการเมือง และแสดงความคิดเห็นในพื้นที่ชุมนุมและโลกออนไลน์เรื่อยมา

วันที่ 10 สิงหาคม 2564 ‘มณีรัตน์ เลาวเลิศ’ ประชาชนทั่วไปแจ้งความร้องทุกข์ให้ดําเนินคดีกับผู้ใช้แอคเคาท์ทวิตเตอร์ชื่อ ‘ไอซ์’ หรือ @nanaicez กรณีพบแอคเคาท์ทวิตเตอร์ดังกล่าวทวีตและรีทวีตข้อความและรูปภาพจํานวน 2 โพสต์ ได้แก่ ทวีตที่เกี่ยวข้องการผูกขาดวัคซีนโควิด 19 และแคมเปญ #28กรกฎาร่วมใจใส่ชุดดํา โพสต์นี้มีภาพประกอบซึ่งภายในภาพเป็นลักษณะคนถือป้ายข้อความว่า “ทรราช (คํานาม) TYRANT ; ผู้ปกครองบ้านเมืองที่ใช้อํานาจสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง”

อีกข้อความหนึ่งเป็นการรีทวีตจากทวิตเตอร์ที่ชื่อว่า ‘นิรนาม’ โพสต์ไว้ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2563 เป็นภาพป้ายข้อความที่หน้าทำเนียบรัฐบาลว่า เราจะไม่เป็นไท และเขียนข้อความประกอบว่า “เราจะไม่เป็นไทจนกว่ากษัตริย์จะถูกแขวนคอด้วยลำไส้ของขุนนางคนสุดท้าย” ที่เป็นคำกล่าวของ ‘เดอนีส์ ดิเดโรต์’ นักปรัชญาฝรั่งเศส และมีแฮชแท็กประกอบ จากนั้นมีบุคคลอื่นรีทวีตของนิรนามประกอบข้อความอีกหนึ่งครั้ง และแอคเคาท์ที่เป็นเหตุในคดีนี้จึงรีทวีตข้อความของทั้งสองแอคเคาท์ดังกล่าว

จากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่น่าเชื่อว่า ผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ดังกล่าวคือ ‘ไอซ์’ พนักงานสอบสวน บก.ปอท.จึงออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2564 ในชั้นสอบสวนเธอให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา หลังเสร็จกระบวนการไม่ได้มีการยื่นคำร้องขอฝากขัง ต่อมาวันที่ 23 มีนาคม 2565 อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องคดีต่อศาลอาญา ศาลสั่งปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นพิจารณาด้วยหลักทรัพย์ 100,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ และกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยกระทำการหรือเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ ในลักษณะทำนองเดียวกับการกระทำที่ถูกกล่าวหา และให้มารายงานตัวต่อศาลทุก 30 วัน จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ในชั้นศาลไอซ์ให้การปฏิเสธ เธอสู้คดีว่า มีคนส่งรูปไปในกลุ่มไลน์ โดยในภาพที่ส่งนั้นไม่ใช่ข้อความที่ตนโพสต์แต่มีชื่อแอคเคาท์ของตนติดอยู่ จากนั้นก็มีผู้นำภาพข้อความดังกล่าวไปแจ้งความ ซึ่งก็ได้พิสูจน์ไปว่าไม่ใช่คนทวีต โดยส่วนตัวไอซ์มองคดีที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่า หลักฐานอ่อนมาก มีเพียงภาพใบเดียว ไปหาหลักฐานโพสต์ต้นทางก็ไม่เจอ ระหว่างการพิจารณาทนายจำเลยยื่นคำร้อง เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ) มาตรา 14 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 34 หรือไม่ ต่อมาวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่คำวินิจฉัยเห็นว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) (2) และ (3) ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา26 และมาตรา 34 วรรคหนึ่ง

หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ศาลอาญานัดไอซ์ฟังคำพิพากษาในวันที่ 13 ธันวาคม 2566 เวลา 9.00 น. ที่ห้องพิจารณา 807

คดีนี้หากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง หรือให้ลงโทษแต่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างการสู้คดีชั้นอุทธรณ์ในวันเดียวกันกับที่มีคำพิพากษา ก็จะยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้เพราะยังไม่ถือว่าเข้าลักษณะต้องห้าม แต่หากศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก และในวันที่ศาลมีคำพิพากษาศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว หรือสั่งให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาคำสั่ง ซึ่งส่งผลให้จำเลยต้องถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ ก็จะถือว่าเข้าลักษณะต้องห้ามเป็นบุคคลที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกและถูกคุมขังตามหมายศาลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (6) เป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่ง สส. ทันที

หาก ส.ส. พ้นตำแหน่งด้วยเหตุนี้ ในกรณีที่เป็น สส. แบบแบ่งเขต รัฐธรรมนูญมาตรา 105 (1) กำหนดให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่างลง (เลือกตั้งซ่อม) ยกเว้นอายุสภาเหลืออยู่ไม่ถึง 180 วัน โดยให้จัดการเลือกตั้งซ่อมภายใน 45 วัน นับจากวันที่สมาชิกสิ้นสมาชิกภาพ (นำมาตรา 102 มาบังคับโดยอนุโลม) สำหรับตัวของอดีต สส. หากพ้นจากตำแหน่งในลักษณะที่คดียังไม่ถึงที่สุดและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวก็ยังถือว่าไม่เข้าลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง และกลับมาลงสมัครใหม่ได้อีก

สส.มอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ 24 หน่วยงานจัดการพื้นที่สีเขียวสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง กักเก็บคาร์บอนได้กว่า 12,000 ตันต่อปี

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) จัดพิธีมอบโล่รางวัล ยกย่องเชิดชูเกียรติ 24 หน่วยงาน ที่มีส่วนร่วมในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ดูแลรักษา และบริหารจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ สร้างแรงจูงใจและขยายผล สร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง ขับเคลื่อนสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2567) นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยหลายพื้นที่ประสบกับปัญหาภัยแล้งหรือน้ำท่วมรุนแรงและบ่อยขึ้น หรือในพื้นที่ติดชายฝั่งประสบปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งเพราะน้ำทะเลสูงขึ้น ซึ่งประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี ค.ศ. 2065 โดยต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ร่วมลงมือปฏิบัติในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการเพิ่มศักยภาพในการดูดกลับหรือกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ 

โดยประเทศไทยได้มีเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ได้ ร้อยละ 55 ภายในปี พ.ศ. 2580 ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งการเพิ่มพื้นที่สีเขียวจะช่วยเก็บกักก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีสัดส่วนกว่าร้อยละ 80 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้การดำเนินการพัฒนาและส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองและชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2566 ได้ขับเคลื่อน

กิจกรรมการบริหารจัดการและเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่ยั่งยืน ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการ สถานศึกษา ภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ เพื่อผลักดันให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว พร้อมทั้งดูแลรักษาและบริหารจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการส่งเสริมให้เครือข่ายเกิดการจัดการพื้นที่สีเขียว และมีการตรวจประเมินมอบคำรับรอง เพื่อให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ โดยเกณฑ์ประเมินที่ครอบคลุมประเด็น ด้านสัดส่วนพื้นที่สีเขียว องค์ประกอบพืชพรรณ บทบาทหน้าที่พื้นที่สีเขียว การบริหารจัดการ การมีส่วนร่วม ตลอดจนข้อมูลพื้นที่สีเขียวและนวัตกรรม ซึ่งผลจากการดำเนินงานมีหน่วยงานผ่านเกณฑ์ประเมิน จำนวน 24 แห่ง 

แบ่งเป็น ระดับดีเยี่ยม 19 แห่ง ระดับดีมาก 2 แห่ง ระดับดี 3 แห่ง รวมพื้นที่ กว่า 700 ไร่  สามารถกักเก็บคาร์บอนได้กว่า 12,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี  ดังนั้น เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติให้กับหน่วยงานดังกล่าว จึงได้จัด “พิธีมอบโล่รางวัลการจัดการพื้นที่สีเขียว” ให้แก่หน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน รวมถึงมีการเสวนา ในหัวข้อ “พื้นที่สีเขียว ไม่ใช่ควรมี แต่ต้องมี” โดยผู้แทนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดพิษณุโลก ผู้อำนวยการโรงเรียนสบปราบพิทยาคม จังหวัดลำปาง ผู้แทนจากกองบริหารกองทุนสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนจากบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 

ซึ่งมีผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจ เข้าร่วมจำนวน 200 คน สำหรับพิธีมอบโล่รางวัลในวันนี้ นอกจากจะเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติเครือข่ายต่างๆ ที่ร่วมกันพัฒนาพื้นที่สีเขียว เพื่อเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีและรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว และยังได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการดำเนินงานด้านพื้นที่สีเขียว พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจ ตลอดจนขยายผลไปสู่หน่วยงานอื่นๆ นำไปปรับใช้กับพื้นที่ของตนเอง รวมถึงเกิดเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งและยั่งยืน นำไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ต่อไปได้

เมื่อหนึ่งในผลิตผลของ ‘พรรคส้ม’ ล้มสถาบัน!! คือการเป็น สส. หื่นกาม กระทั่งข่มขืนหญิงสาวชาวต่างชาติ

(12 ก.พ. 68) ถ้าเป็นประเทศที่เจริญแล้วจริง ๆ หรือคุณภาพของนักการเมืองอยู่ในมาตรฐานที่สูงมากพอ หากถูกจับได้ว่ามีส่วนพัวพันในเรื่องละเมิดจริยธรรม คุณธรรม ทำให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของตนเอง รวมถึงพรรคการเมืองที่สังกัด นักการเมืองผู้นั้นจะต้องขอยุติบทบาท ลาออกจากการทำหน้าที่ทันที ไม่ต้องรอให้ใครมากดดัน หรือขับไล่

แต่เรื่องดี ๆ แบบนี้คงยากจะหาได้จาก ‘นักการเมืองขี้หมา’ ของประเทศไทยเรา 

ด้วยมาตรฐานของนักการเมืองไทย เน้นไปที่ ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’ มีมาตรฐานที่ค่อนข้างต่ำ สมัยยี่สิบปีก่อนก็ไม่ได้มีมาตรฐานสูง แต่สมัยนี้กลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน นับได้ไม่เกิน ‘นิ้วมือรวมนิ้วตีน’ ที่จะเรียกว่าเป็น ‘สส. คุณภาพ’ เข้ามาทำงานเพื่อรับใช้ประชาชนอย่างซื่อสัตย์สุจริต มีอุดมการณ์ มีความรับผิดชอบอันแรงกล้าต่อสังคมส่วนรวม 

ส่วนใหญ่เป็นได้เพียง สส. ผู้หิวกระหายอำนาจ รวมหัวกันโกงบ้านกินเมือง ทำให้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไทยมีแต่ความต่ำทราม เลวร้าย ดูเป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ เพราะอุดมไปด้วยกลุ่มคนที่มี DNA ในทางปลิ้นปล้อนเข้ามาอยู่รวมกันในสภาอันทรงเกียรติ 

ที่ชัดสุดคือ สส.จากพรรคการเมืองที่มีเป้าหมายล้มล้างการปกครอง อ้างตนเป็น ‘กลุ่มคนรุ่นใหม่’ ที่หมายจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ แต่พฤติกรรมแต่ละดอกที่ประชาชนจับได้ไล่ทันช่างเป็นสิ่งที่น่าอเนจอนาถใจ ตั้งแต่การแอบอ้างผลงานของคนอื่นเป็นผลงานของตัวเอง สร้างเรื่องโกหกรายวันให้ตนเองดูดี หนีการเกณฑ์ทหาร และพัวพันคดี 112 อีกไม่น้อย ยังมีคดีละเมิดทางเพศ ข่มขืนสาวชาวต่างชาติ ทำให้ภาพลักษณ์ของนักการเมืองไทยหมดคุณค่าลงสิ้น 

สส. หื่นกาม มีพฤติกรรมชั่ว ทำผิดในเรื่องซ้ำ ๆ รายหนึ่ง เป็นผลผลิตที่น่าภาคภูมิใจของพรรคการเมืองที่เข้ามาเพื่อล้มล้างสถาบัน จึงยากที่จะเห็นนักการเมืองในพรรคนี้ก่นด่าให้เราได้ยิน ต่างพากันเงียบกริบ หันไปสายลมแสงแดดแทน 

คำกล่าวที่ว่า สส. โง่และชั่วในระดับใด ก็ให้ดูพรรคการเมืองที่สร้างจนมีตัวตน รวมถึงกลุ่มคนที่กาเลือกเข้ามา เพราะจะมีคุณสมบัติที่ไม่ต่างกัน

ดวงเมืองคอน กับ ปรากฏการณ์ข่าวน่าละอาย  สส.ทำร้ายประชาชน!! กระทืบนักธุรกิจ

(3 มิ.ย. 68) ปรากฏการณ์ข่าวใหญ่ในเมืองนครศรีฯ “สส.คนดังเมืองนครศรีฯกร่าง กระทืบนักธุรกิจ” นั้นคือหัวข่าวเบื้องต้น

ต่อมานักข่าวในพื้นที่ และสื่อสังคมออนไลน์สืบค้นพบว่า คนก่อเหตุน่าจะเป็น “แทน-ชัยชนะ เดชเดโช” และคณะ ส.อบจ. อันเป็นการก่อเหตุในงานอุปสมบทลูกชายนายกฯอบต.ควนพัง อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีฯ

ปฐมเหตุเกิดจากการนั่งร่วมโต๊ะอาหารระหว่างทีมของ สส.แทน กับเสี่ยเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้าง และมีการพูดคุยกันถึงศึกเลือกตั้งนายกฯอบต.ควนพัง ในการเลือกตั้งปลายปี 2568 

แน่นอนว่า การเมืองต้องมีการแข่งขัน และกำลังมีการฟอร์มทีมใหม่ เพื่อลงแข่งกับนายกฯปัจจุบัน ที่สนิทชิดเชื้อกับ สส.แทน จึงมีการเอื้อนเอ่ยเชิงขอร้องไม่ให้มีการส่งทีมลงแข่ง แต่คู่สนทนาที่กำลังฟอร์มทีมสู้ปฏิเสธข้อเรียกร้อง

สุราเม…ออกอาการ เมื่อการพูดคุยไม่รู้เรื่อง ฝ่ามือ 1 ฉาด จึงพุ่งตรงเข้าหน้าของคู่สนทนา และลุกลามถึงขั้นลากไปกระทืบหลังเวทีตามข่าว

กรณีที่เกิดขึ้น ไม่มีใครกล้าพูดกล้าวิจารณ์ พยานในงานบวชก็พากันเงียบกริบ แต่เกิดมวยคู่เอกปรากฏขึ้น “เชาว์ มีขวด” อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่า เป็นคู่กรณี และคนรู้จัก รวมทั้งอาจจะเป็นคู่แข่งทางการเมืองในอนาคตก็ออกโรงขย่ม สส.แทนทันที ทั้งเรื่องจริยธรรม คุณธรรม คดีอาญายอมความไม่ได้ รับอาสาเป็นทนายความให้เหยื่อ เรียกร้องให้โอนคดีให้กองปราบปรามทำแทนตำรวจในพื้นที่ 

แม้คู่กรณีของ สส.แทนจะถอนแจ้งความในวันเดียวกันกับวันแจ้งความ โดยให้เหตุผลว่าเข้าใจผิด แน่นอนว่า ต้องเกิดจากเหตุไม่ปกติแน่นอน เพราะก่อนหน้านั้น มีข่าวสับสนว่า แจ้งความแล้วยังถูกข่มขู่ให้ถอนแจ้งความ ระดับผู้การฯบอกว่า ไม่มีการแจ้งความ แต่หลักฐานหลุดมาจนได้ “ใบแจ้งความ ใบถอนแจ้งความ” ส่วน สส.แทน ปฏิเสธไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่

ผมสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองคอน เกิดเหตุร้าย เหตุให้ละอาย เหตุภัยพิบัติขึ้นบ่อยครั้ง จึงไปสืบค้นข้อมูลที่น่าสนใจ ขออนุญาตนำมาเสนอต่อจากข่าวนี้
ใครทำอะไรผิด หรือฝ่าฝืนจารีต ถึงทำให้เมืองนครศรีฯตกต่ำ ไม่เจริญก้าวหน้า

คำถามที่ว่าทำไมเมืองนครศรีธรรมราช “ถึงตกต่ำ” หรือ “ไม่เจริญก้าวหน้า” นั้นเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อน และอาจมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง โครงสร้างสังคม รวมถึงความเชื่อทางจิตวิญญาณ เช่นเรื่อง “ดวงเมือง” ที่คุณพูดถึง ซึ่งคนในพื้นที่บางกลุ่มก็มีความเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง

ต่อไปนี้คือ สาเหตุที่คนทั่วไปหรือกลุ่มนักวิชาการ–นักไสยศาสตร์บางส่วน มองว่าอาจเกี่ยวข้องกับความถดถอยของเมืองนครศรีธรรมราช

 1. ความเชื่อเรื่อง “ลบหลู่ดวงเมือง”
มีความเชื่อในหมู่ชาวนครบางส่วนว่า:
• มีการเปลี่ยนแปลง/เคลื่อนย้าย/ปรับปรุงบริเวณศาลหลักเมือง หรือพระบรมธาตุเจดีย์ โดยไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกฤกษ์
• มีบุคคลบางกลุ่มในอดีต “ไม่เคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์” หรือทำพิธีกรรมผิดขั้นตอน
เช่น ความเชื่อว่าถ้ามีผู้ปกครองที่ “ไม่ถูกโฉลกกับดวงเมือง” เมืองจะเจอภัยพิบัติ เศรษฐกิจตกต่ำ หรือการเมืองวุ่นวาย

 2. การเมืองภายในจังหวัดที่แตกแยก
• เมืองนครศรีธรรมราชมีประวัติความขัดแย้งทางการเมืองในท้องถิ่นยาวนาน
• การแข่งขันระหว่างกลุ่มการเมือง/นักธุรกิจ/ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น อาจทำให้การพัฒนาเมืองล่าช้า หรือไม่ยั่งยืน

 3. โครงสร้างพื้นฐานไม่ทันยุค
แม้เมืองนครฯ จะมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ในบางมุมเมืองยังมี:
• ระบบคมนาคมที่ไม่เชื่อมโยงกับศูนย์กลางเศรษฐกิจใหญ่
• ระบบบริการสาธารณะที่ไม่ทันสมัยเท่าเมืองอื่น ๆ ในภาคใต้ เช่น ภูเก็ตหรือสุราษฎร์ฯ

 4. การเปลี่ยนผ่านด้านวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ
• หลังยุคบูมของ “จตุคามรามเทพ” (ราวปี 2549–2550) เมืองมีความหวังใหม่ด้านเศรษฐกิจและจิตวิญญาณ
• แต่เมื่อความเชื่อเหล่านั้นถูกมองว่า “กลายเป็นเชิงพาณิชย์” ความศักดิ์สิทธิ์ก็เสื่อมลงในสายตาของบางคน
• บางกลุ่มจึงมองว่าดวงเมือง “อ่อนแรง” เพราะความศรัทธาเสื่อม

 5. ปัญหาเชิงระบบ
• การกระจายอำนาจไม่เพียงพอ: งบประมาณพัฒนาท้องถิ่นมีจำกัด
• การศึกษาหรือนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ตอบโจทย์ท้องถิ่น

สรุป:
ไม่มีใคร “ทำผิดคนเดียว” ที่จะทำให้เมืองนครศรีธรรมราชตกต่ำหรือไม่ก้าวหน้า
แต่ปัจจัยร่วมกันทั้ง คนในเมือง, การบริหารท้องถิ่น, โครงสร้างอำนาจ และ ความเชื่อ/ศรัทธา ล้วนมีบทบาท
เมื่อศึกษาค้นคว้าลึกลงไปจะพบว่า….

ดวงเมืองนครศรีธรรมราชมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์และผู้สถาปนาเมืองนครศรีธรรมราช พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานทางการเมือง ศาสนา และวัฒนธรรมของเมือง

การสถาปนาเมืองและดวงเมือง
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสถาปนาเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 1830 หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยล่มสลาย โดยมีการกำหนดดวงเมืองในวันพฤหัสบดี แรม 12 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ จุลศักราช 649 ซึ่งตรงกับวันสถาปนาเมือง การกำหนดดวงเมืองนี้เป็นการวางรากฐานทางจิตวิญญาณและการปกครองของเมือง

การส่งเสริมพระพุทธศาสนา
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงเป็นผู้ส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างมาก โดยทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และทรงจัดระเบียบการปกครองแบบธรรมราชา ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการปกครองและหลักธรรมทางศาสนา 

ความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับดวงเมือง
ดวงเมืองนครศรีธรรมราชยังถูกผูกโยงกับความเชื่อทางศาสนาและไสยศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์จตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นเทพที่ชาวนครศรีธรรมราชเคารพนับถือ การสร้างเสาหลักเมืองและการกำหนดดวงเมืองจึงเป็นการผสมผสานระหว่างการปกครองและความเชื่อทางศาสนา

สรุป
ดวงเมืองนครศรีธรรมราชถูกผูกโยงอย่างแน่นแฟ้นกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ผ่านการสถาปนาเมือง การกำหนดดวงเมือง และการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นรากฐานทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของเมืองที่ยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน 
จริงๆมีข้อมูลมากเกี่ยวกับดวงเมืองนครศรีธรรมราช กับปรากฏการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการวางรากฐานทางจิตวิญญาณ ความเชื่อ ศาสนา กับการเมืองการปกครอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top