Wednesday, 23 April 2025
สตม

สตม. จับเฒ่ามะกันอ้างเป็น Life Coach ขายคอร์สบำบัดโรคซึมเศร้าด้วยเห็ดขี้ควาย

กก.1 บก.สส.สตม. จับกุมนายดาเรียส (สงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี สัญชาติอเมริกัน พร้อมเห็ดขี้ควายแห้ง ของกลาง น้ำหนักชั่งพร้อมถุงบรรจุรวม 1,360 กรัม โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (เห็ดขี้ควาย) โดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บ้านพักภายในซอยลาดพร้าว 108 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจาก กก.1 บก.สส.สตม. ได้เข้าไปสืบหาผู้โพสต์ขายยาเสพติดในสื่อสังคมออนไลน์ พบว่านายดาเรียสได้โพสต์ขายคอร์สบำบัดโรคซึมเศร้าด้วยเห็ดขี้ควาย โดยอ้างว่าเป็น Life Coach ที่มีปริญญาโทด้านจิตวิทยา มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี จึงได้ทำการสืบหาที่อยู่ของนายดาเรียสจนทราบว่าพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งภายในซอยลาดพร้าว 108 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ จากนั้นได้ให้สายลับติดต่อเพื่อซื้อคอร์สบำบัด โดยได้นัดให้ไปจ่ายเงิน จำนวน 2,000 บาท/คอร์ส ที่บ้านหลังดังกล่าว หลังจากสายลับได้จ่ายเงินซื้อคอร์สบำบัดให้กับนายดาเรียสแล้ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้อาศัยอำนาจตามกฎหมายเข้าตรวจสอบ โดยนายดาเรียสไม่สามารถแสดงใบอนุญาตทำงานได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ตรวจค้นภายในบ้านพบเห็ดขี้ควายแห้งบรรจุถุงอยู่ภายในช่องแช่แข็งของตู้เย็นที่ชั้นล่างของบ้าน จำนวนรวม 13 ถุง น้ำหนักชั่งพร้อมถุงบรรจุรวม 1,360 กรัม และพบเงินล่อซื้อที่ได้ลงบันทึกประจำวันไว้

อยู่ในสมุดโน้ตบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ในห้องนอนของนายดาเรียสชั้นสอง จากการสอบถามนายดาเรียสให้การว่า ตนทราบว่าเห็ดขี้ควาย หรือ magic mushroom มีสารสกัดสำคัญในการต้านอาการซึมเศร้าได้ และไม่ทราบว่าในประเทศไทย เห็ดขี้ควายยังคงเป็นยาเสพติดให้โทษจึงได้เปิดคอร์สบำบัดผู้ที่มีอาการโรคซึมเศร้าด้วยเห็ดขี้ควาย ในราคาคอร์สละ 2,000 บาท โดยวิธีการสูบและผสมในช็อกโกแลตให้รับประทานแล้วจะเปิดเสียงเพลงกล่อมให้เคลิบเคลิ้มและผ่อนคลาย โดยได้เปิดรับบำบัดมาเป็นเวลาประมาณเดือนเศษมีลูกค้ายังไม่กี่ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับชุดจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม.รวบ 3 เครือข่ายแก๊ง East Coast อยู่เกินกำหนดอนุญาต พบประวัติก่อคดีแทงเพื่อนร่วมชาติปางตาย

กก.4 บก.สส.สตม. จับกุม นายโมฮัมเหม็ด (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี สัญชาติมัลดีฟส์, นายอาชแซม (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สัญชาติมัลดีฟส์ และนายอับดุลลา อายุ 19 ปี สัญชาติมัลดีฟส์ โดยกล่าวหาว่าเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม คอนโดมิเนียมย่าน ถ.รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 

พฤติการณ์การจับกุม จากการสืบสวนของ กก.4 บก.สส.สตม. พบว่ามีคนต่างด้าวสัญชาติมัลดีฟส์ จำนวน 3 ราย  ได้เข้าพักอาศัยอยู่ที่ คอนโดมิเนียมย่าน ถ.รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ มีพฤติการณ์ต้องสงสัย จึงได้วางกำลังซุ่มสังเกตการณ์กระทั่งเวลาต่อมาพบชาวต่างชาติมีลักษณะท่าทางมีพิรุธเดินอยู่บริเวณคอนโดดังกล่าว จึงแสดงตนขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง จากการสอบถามทราบชื่อว่านายโมฮัมเหม็ดแต่ไม่สามารถนำหนังสือเดินทางมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้โดยแจ้งแก่เจ้าหน้าที่ว่าหนังสือเดินทางของตนนั้นอยู่ภายในห้องพักและได้นำเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมขึ้นไปยังห้องพักพบนายอาชแซม และนายอับดุลลา ลักษณะท่าทางมีพิรุธ อยู่ภายในห้องพักดังกล่าว จึงตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่า คนต่างด้าวทั้ง 3 ราย การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลงแล้ว จึงได้จับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าทั้งสามรายมีประวัติกระทำความผิดในประเทศมัลดีฟส์ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยสิ่งแหลมคมและข่มขู่ผู้อื่นด้วยสิ่งแหลมคม โดยร่วมกันใช้อาวุธแทงผู้เสียหายบริเวณศีรษะ ใบหน้า และร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและอยู่ในกลุ่มเครือข่าย East Coast Gang อาชญากรรมท้องถิ่นของ มัลดิฟส์ ซึ่งเป็นกลุ่ม ที่ใช้ความรุนแรง และเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายยาเสพติด และเป็นบุคคลที่องค์การตำรวจสากลได้ออกประกาศสีแดง (INTERPOL RED NOTICE)  

สตม. ทลายโกดังจีน ปลอมเครื่องสำอางแบรนด์ดังและเครื่องสำอางเถื่อน มูลค่ากว่า 4 ล้านบาท 

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามา แฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด   

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ท.ชูฉัตร ธารีฉัตร ผทค.พิเศษ ตร.รรท.รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1, พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ปริญญา กลิ่นเกษร รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1, พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ปกฉัตร ชัยสุกวัฒน์. ผกก.ตม.จว.สมุทรสาคร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

ตม.จว.สมุทรสาคร ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.3, สภ.เมืองสมุทรสาคร, เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร, สำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรสาคร และฝ่ายปกครองอำเภอเมืองสมุทรสาครจับกุม นางยู (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี สัญชาติจีน โดยกล่าวหาว่าเป็นคนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้, รับคนต่างด้าว ที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน, มีไว้เพื่อขายซึ่งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง และช่วยซ่อนเร้น รับไว้ โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242 ตามมาตรา 246 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 และจับกุมนายหวัง (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี, นายซู (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี, นายเหลียง (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี และนายกวน (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี สัญชาติจีน โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม โกดังตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ท่าทราย อ.เมืองสมุทรสาคร จว.สมุทรสาคร

ก่อนการจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่าที่โกดังแห่งหนึ่ง ต.ท่าทราย อ.เมือง จว.สมุทรสาคร มีคนต่างด้าวสัญชาติจีน ลักลอบทำงานขายสินค้าประเภทเครื่องสำอางที่ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและเข้าทำการตรวจสอบพบคนต่างด้าวสัญชาติจีน จำนวน 5 คน กำลังนั่งทำงาน แพ็คของ ยกของ เรียงสินค้า อยู่ภายในโกดัง โดยมี นางยู (สงวนนามสกุล) สัญชาติจีน แสดงตัวเป็นผู้ดูแลโกดัง และพบว่าโกดังดังกล่าวเป็นสถานที่จัดเก็บและกระจายสินค้า ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีเลขที่จดแจ้ง และไม่แสดงฉลากภาษาไทย จึงได้ตรวจยึดและอายัดของกลางรวม 8 รายการ จำนวน 6,000 ชิ้น มูลค่า 3,739,300 บาท โดยเป็นเครื่องสำอางต้องสงสัยว่าเป็นเครื่องสำอางปลอมและเป็นเครื่องสำอางไม่มีเลขที่ใบรับจดแจ้งและเครื่องสำอางไม่แสดงฉลากภาษาไทย จำนวน 8 รายการ ดังนี้

1.เครื่องสำอาง Cetaphil Cleanser 400  ชิ้น
2.เครื่องสำอาง Cetaphil Moisture 550  ชิ้น
3.เครื่องสำอาง CeraVe Lotion 3,000  ชิ้น
4.เครื่องสำอาง CeraVe Cleanser 1,000  ชิ้น
5.เครื่องสำอาง CeraVe Serum 300  ชิ้น
6.เครื่องสำอาง Biore UV 400  ชิ้น
7.เครื่องสำอาง Rtopr cream 200  ชิ้น
8.เครื่องสำอาง Dermatrix Ultra Gel 150  ชิ้น

จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่าโกดังเก็บสินค้าดังกล่าว มีการบริหารจัดการในลักษณะ 'เก็บ แพ็ค ส่ง' หรือ Fulfillment โดยพนักงานแจ้งว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นโกดังกระจายสินค้า โดยกลุ่มนายทุนชาวจีนดังกล่าว จะเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อใช้โฆษณาสินค้าเป็นจำนวนมากเพื่อกระจายการโฆษณาจากนั้นจะส่งออเดอร์ – ที่อยู่การจัดส่งผ่านระบบโปรแกรมบริหารคลังสินค้าแล้วให้พนักงานทำการแพ็คบรรจุ และส่งให้กับลูกค้าชาวไทย โดยมียอดการส่งสินค้ากว่า 1,000 ชิ้น/วัน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้จับกุมคนต่างด้าวทั้ง 5 ราย ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว

สตม.รวบ 2 หนุ่มรับเหมาสุดแสบ เปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างบังหน้าลักลอบเป็นนายหน้าจัดหาแรงงานแถมพร้อมเอกสารทำงานปลอมให้เบ็ดเสร็จ

กก.สส.บก.ตม.1 จับกุม
1. นายเก่ง (นามสมมติ) อายุ 45 ปี สัญชาติไทย โดยกล่าวหาว่าปลอมเอกสารราชการและโดยรู้อยู่แล้วว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้รอดพ้นจากการจับกุม
2. นายออฟ (นามสมมติ) อายุ 44 ปี สัญชาติไทย โดยกล่าวหาว่าโดยรู้อยู่แล้วว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้รอดพ้นจากการจับกุม
3. นายนาย (นามสมมติ) อายุ 22 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 5 คน โดยกล่าวหาว่าใช้เอกสารราชการปลอมและเป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. นายเนียง (นามสมมติ) อายุ 36 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 3 คน โดยกล่าวหาว่าเป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
5. นายอ่อง (นามสมมติ) อายุ 29 ปี สัญชาติเมียนมา โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด

นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมบริษัทตั้งอยู่ในซอยกาญจนาภิเษก 8 แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพฯ    

กก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้สืบทราบว่ามีการลักลอบนำคนต่างด้าวผิดกฎหมายมาพักไว้ที่บริษัทแห่งหนึ่งย่านบางแค กรุงเทพฯ เพื่อรอให้มีนายจ้างที่ต้องการใช้แรงงานติดต่อว่าจ้างงานและเมื่อได้งานจะมีการทำเอกสารทะเบียนใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 ปลอมให้แล้วจึงให้รถมารับเพื่อไปทำงานกับนายจ้างที่ได้ติดต่อไว้ 

โดยได้รับค่านายหน้าตอบแทนจึงได้เดินทางไปสืบสวนหาข่าวบริเวณบริษัทดังกล่าว พบรถกระบะตู้ทึบมีคนลักษณะคล้ายคนต่างด้าวโดยสารอยู่ในกระบะตู้ทึบและรถคันดังกล่าวกำลังขับออกจากบริษัท จึงได้แสดงตัวเพื่อขอตรวจสอบเอกสารคนต่างด้าวที่โดยสารอยู่ในกระบะตู้ทึบ เบื้องต้นได้นำเอกสารทะเบียนใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่เพื่อทำการตรวจสอบแต่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบโดยการสแกนคิวอาร์โค้ดที่อยู่ตรงบริเวณมุมขวาล่างของเอกสารที่ผู้ถูกจับมาแสดงพบความผิดปกติ กล่าวคือ ปกติเมื่อทำการสแกนคิวอาร์โค้ดดังกล่าวจะปรากฏข้อมูลของผู้ขออนุญาตทำงานแต่ของผู้ถูกจับกลับเป็น me-qr./com 

ซึ่งไม่ใช่เว็ปไซต์ของทางราชการ จึงได้ทำการตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่จัดหางานเบื้องต้นพบว่าข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลไม่ตรงกัน เชื่อได้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ทำปลอมขึ้นและจากการสอบถามคนขับรถได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าได้รับคนต่างด้าวมาจากบริษัทดังกล่าวและยังมีคนต่างด้าวอีกจำนวนหนึ่งพักอยู่ด้านบนบริษัท จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ เมื่อเดินทางไปถึงพบนาย เก่ง (นามสมมติ) และนาย ออฟ (นามสมมติ) อยู่ในที่เกิดเหตุ 

จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองและแจ้งวัตถุประสงค์เพื่อทำการตรวจสอบภายในบริษัทดังกล่าว ผลการตรวจสอบพบคนต่างด้าว 4 ราย หลบซ่อนตัวอยู่ภายในอาคารบริษัทดังกล่าว ซึ่งคนต่างด้าว 3 ราย ไม่สามารถแสดงเอกสารใด ๆ ได้ ส่วนอีก 1 ราย แสดงหนังสือเดินทางประเทศเมียนมา เมื่อตรวจสอบพบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2566 โดยไม่ปรากฏว่าได้ขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรอีกแต่อย่างใด 

จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิให้ทราบ ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ทำการตรวจสอบบริเวณภายในที่ทำการสำนักงานพบเอกสารทะเบียนใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2566 อยู่บริเวณโต๊ะทำงานของนายเก่ง จำนวน 58 ชุด และเมื่อทำการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าข้อมูลอัตลักษณ์ไม่ตรงกับข้อมูลในเอกสารจึงได้ทำการตรวจยึดเอกสารดังกล่าว และเมื่อตรวจสอบคอมพิวเตอร์ในสำนักงาน พบว่ามีไฟล์เอกสารเกี่ยวการทำงานของต่างด้าวอยู่ในเครื่องมีการใช้โปรแกรมแก้ไขข้อมูลอัตลักษณ์ให้กับคนต่างด้าวที่ประสงค์จะมีเอกสารดังกล่าวไว้ใช้เพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ และมีการส่งข้อมูลไฟล์เอกสารที่ได้ทำการแก้ไขแล้วให้กับลูกค้าทางแอปพลิเคชันไลน์ จึงได้ทำการตรวจยึดหลักฐานและเอกสารประกอบการจับกุมทั้งหมดไว้ดำเนินคดี

สตม. รวบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตาน้ำข้าว หนีคดีข้ามชาติ ก่อความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท กบดานพัทยา OVER STAY 

กก.สส.บก.ตม.3 ได้รับแจ้งข้อมูลว่ามีคนต่างด้าวสัญชาติสวีเดน ซึ่งกระทำผิดฐานฉ้อโกง ในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มูลค่าความเสียหายคิดเป็นเงินไทย กว่า 50,000,000 บาท ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ออกสืบสวนหาข่าว โดยขณะที่ชุดจับกุมได้ไปตรวจสอบที่บริเวณหน้าอาคารชุดในพื้นที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี ได้พบคนต่างด้าวลักษณะมีพิรุธอยู่บริเวณหน้าอาคารชุด จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง 

จากการตรวจสอบพบ MR.JOHN (นามสมมุติ) อายุ 24 ปี สัญชาติสวีเดน การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด (OVER STAY) จากนั้นได้ไปตรวจสอบที่ห้องพักของ MR.JOHN พบ MR.VLADIS (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี สัญชาติสวีเดน เมื่อตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด (OVER STAY) เช่นเดียวกัน จึงได้จับกุมในข้อหา เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมาย

อนึ่ง จากการประสานงานตรวจสอบกับทางการสวีเดน รับแจ้งว่า ทั้ง MR.JOHN และ MR.VLADIS มีประวัติกระทำความผิดอาญาในประเทศสวีเดน ในความผิดฐานฉ้อโกง ในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มูลค่าความเสียหาย กว่า 50,000,000 บาท

สตม. รวบอดีตทหารรับจ้างรัสเซียส่งข้อความขู่ฆ่าคู่อริ ยึดแม็กกาซีนและเครื่องกระสุนปืนหลายขนาดนับร้อยนัด

กก.สส.บก.ตม.1 จับกุม MR. MILO (นามสมมติ) อายุ 25 ปี สัญชาติรัสเซีย พร้อมด้วยของกลาง ซองกระสุนปืนพกขนาด .380 จำนวน 1 ซอง พร้อมกระสุนบรรจุ จำนวน 2 นัด, กระสุนปืนขนาด .380 ยี่ห้อบุลเล็ท มาสเตอร์ จำนวน 50 นัด, กระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 42 นัด, กระสุนปืนขนาด .45 มม. จำนวน 16 นัด โดยกล่าวหาว่า มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม คอนโดมิเนียมในพื้นที่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจาก กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับแจ้งจากประชาชนผู้ไม่ประสงค์ออกนามว่าถูกชายชาวรัสเซียซึ่งพักอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมในพื้นที่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ใช้ภาพอาวุธปืนและส่งข้อความข่มขู่ว่าจะยิง ทีละคนจนกว่าเขาจะตาย และจะสาดเลือดหมูใส่ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสืบสวนจับกุม จากการสืบสวนพบว่าชายชาวรัสเซียคนดังกล่าวคือ MR. MILO (นามสมมติ) พักอาศัยอยู่ที่ห้อง 128 กก.สส.บก.ตม.1 จึงได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญาเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบ MR.MILO และพบของกลาง ซุกซ่อนอยู่ภายในกล่องสีเทาข้างตู้เสื้อผ้า โดย MR.MILO ให้การว่าอดีตเคยเป็นทหารรับจ้างของประเทศรัสเซีย ซองกระสุนและเครื่องกระสุนของกลางทั้งหมดไม่ใช่ของตนเอง เป็นของเพื่อนคนไทยจำชื่อไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงแจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว  

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ผบช.สตม. ขึ้นเหนือบินตรวจสนามบินเชียงใหม่ พร้อมรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยเที่ยวเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ ยึดหลัก สะดวก สมดุล สากล สร้างความประทับใจ

(23 ธ.ค.67) เวลา 10.30 น.  พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สอท. ช่วยราชการ รอง ผบช.สตม. พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง  บริเวณช่องตรวจทั้งระบบ เพื่อดูสภาพปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีผู้โดยสารหนาแน่นมากๆ เน้นการอำนวยความสะดวกควบคู่กับการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลเข้ามาในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2568 คาดว่าจะเริ่มเดินทางกันในสัปดาห์นี้

พล.ต.ท.ภาณุมาศ กล่าวว่า เชียงใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักในภาคเหนือ ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากคนไทยและต่างชาติ ที่รัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญ อีกทั้งมีนโยบายที่ต้องการกระตุ้น โดยเน้นไปที่การท่องเที่ยว ทำให้มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญ จากสถิติย้อนหลัง ปี66 พบว่ามีผู้โดยสารเดินทางมาใช้บริการประมาณ 2 ล้านคนเศษ ปีนี้67 พบว่ามีผู้มาใช้บริการแล้วถึง 2.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 25%  โดยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศช่วง High season คือ ต.ค.-มี.ค. เฉลี่ยต่อวันสูงสุด 5,000 คน เดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวสัญชาติที่เดินทางเข้ามามากสูงสุด 5 อันดับแรกคือ 1.เกาหลีใต้ 21,896 ราย 2.จีน 21,843 ราย 3.ไต้หวัน 8,561 ราย 4.มาเลเซีย 6,563 ราย และ5.ฮ่องกง 4,844 ราย ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะใช้วิธีการลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นลง เพื่อช่วยระบายความหนาแน่นของผู้โดยสาร สร้างความสะดวกรวดเร็วให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในช่วงเทศกาลสำคัญนี้ 

นาย นิตินัย สาสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายบำรุงรักษา สายปฏิบัติการและบำรุงรักษาท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางเข้ามากถึง 5,000 คน ต่อวัน ซึ่งทางการท่าอากาศยานเชียงใหม่ได้เตรียมความพร้อมการรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้โดยสารขาเข้าไม่กังวล เนื่องจากจะทราบไฟลท์บินล่วงหน้า สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ผบช.สตม.กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ สตม.เตรียมความพร้อมรองรับ โดยการระดมเจ้าหน้าที่จากหลายๆ ส่วนมาช่วย รวมถึงอุปกรณ์เครื่องมือ ยานพาหนะ เพื่อให้เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน แต่อย่างไรก็ดี ยังคงเข้มงวดในเรื่องของการคัดกรองกลุ่มคนต้องห้าม โดยเฉพาะประเทศหรือสัญชาติเป้าหมาย ไม่ให้แฝงตัวเข้ามารวมกลุ่มแก๊งก่ออาชญากรรมในประเทศได้  พร้อมทั้งมีการจัดกำลังเพื่อเฝ้าระวังเหตุและสืบสวนหาข่าว ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าออกในช่วงเวลาดังกล่าว

สตม. เร่งตรวจสอบคนไทย 2 ราย บนเครื่องบิน “เซจู แอร์” หลังประสบอุบัติเหตุที่เกาหลีใต้

จากกรณี เครื่องบิน เซจู แอร์ ที่บินออกจากไทยเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.67 เวลา 01.30 ตามเวลาประเทศไทย ประสบอุบัติเหตุขณะลงจอดที่เกาหลีใต้ ผู้โดยสาร 175 ราย เผยเสียชีวิตแล้ว 28 ราย ขณะนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง 

ล่าสุด วันนี้ (29 ธ.ค.67) เวลา 10.30 น. พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3 โฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ได้สั่งการให้เร่งตรวจสอบ และประสานงานอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเกาหลีใต้ ทราบว่า สาเหตุที่เกิดจากระบบในการลงจอดขัดข้อง เป็นเหตุให้เครื่องบินกระแทกกับรันเวย์ แล้วลื่นไถลไปประสบอุบัติเหตุ แล้วเกิดระเบิดที่ตัวเครื่องขึ้น เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตแล้ว 28 คน

โฆษก สตม. กล่าวว่า เครื่องบิน เซจู แอร์ ลำนี้ บรรทุกผู้โดยสารทั้งหมด 175 คน เป็นชาวเกาหลีใต้ 173 คน โดยมีคนไทย จำนวน 2 คน และยังมีลูกเรืออีก 6 คน รวมเป็น 181 คน เบื้องต้นกำลังเร่งตรวจสอบว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 28 คนเป็นใครบ้าง ทั้งนี้ ผบช.สตม.ได้สั่งการให้เร่งประสานข้อมูล โดยหากทราบข้อมูลแล้วจะรีบรายงานให้ทราบในทันที 

ตม.จว.กาญจนบุรี ไล่สกัดจับรถขนคนต่างด้าว แหกด่านตรวจลักลอบขนต่างด้าว 11 ราย 

ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช./ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด   

วันที่ 11 มี.ค.68 เวลา 12.20 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กรณ์ สมคะเณย์ ผกก.ตม.จว.กาญจนบุรี, พ.ต.ท.ตฤณธวัช  ปัญญาธร รอง ผกก.ตม.จว.กาญจนบุรี  สั่งการให้จุดตรวจสังขละบุรีบูรณาการร่วมกับ สภ.สังขละบุรี, เจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.ลาดหญ้า จว.กาญจนบุรี , กก.สส.ภ.จว.กาญจนบุรี, เจ้าหน้าที่ ตชด.136, เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.สังขละบุรี ร่วมกันจับกุม นายวีรพงษ์ อายุ 23 ปี (ผู้ถูกจับที่ 1) ข้อหา “ช่วยเหลือหรือซ่อนเร้นด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” และจับกุมคนต่างด้าว 9 ราย (ชาย 3 หญิง 6) พร้อมผู้ติดตาม 2 ราย ผู้ถูกจับที่ 2-9 ข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามา และอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย” 

ในชั้นจับกุม ผู้ถูกจับที่ 1 ให้การว่ารับคนต่างด้าวที่ไทรโยคใหญ่เพื่อไปส่งในพื้นที่ ต.หนองบัว อ.เมือง จว.กาญจนบุรี โดยได้รับค่าจ้าง 500 บาท ต่อ คตด.1 คน ผู้ถูกจับที่ 2-9 ให้การว่านั่งรถมาจากเจดีย์สามองค์ มาลงเรือ แล้วมาขึ้นรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (กระบะ) MG ทะเบียน กทม.  จุดหมายไปยัง กทม. โดยยังไม่ได้ตกลงเรื่องเงินกับผู้ติดต่อ และจะจ่ายเงินให้เมื่อถึง ต.หนองบัว โดยจะจ่ายเป็นเงินสด เมื่อเห็นด่านตรวจจึงได้ขับฝ่าด่าน  เลยไปประมาณ 12 กม. กระทั่งถูกสกัดจับ สถานที่จับกุมบริเวณจุดตรวจถาวรไทรโยค ม.4 ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จว.กาญจนบุรี พร้อมทำบันทึกจับกุม นำตัวส่ง พงส.สภ.ไทรโยค เพื่อดำเนินคดีต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top