Tuesday, 22 April 2025
ศาล

ศาลยกฟ้องกรณีผู้ประกอบการรีสอร์ทม่อนแจ่มฟ้องอดีต ผอ.สจป1เชียงใหม่

จากกรณีนายทุนผู้ประกอบการม่อนแจ่มฟ้อง ผอ.กมล นวลใย อดีต ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 กรณีกล่าวหาว่าไม่ปฏิบัติตาม มติ ครม. 11 พ.ค. 2542 และมติครม. 30 มิ.ย. 2540 ในการดำเนินคดีระงับยับยั้งมิให้นายทุน หรือผู้ประกอบการนำที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเป็นพื้นที่ต้นน้ำชั้น 1Aนำไปทำรีสอร์ท บนพื้นที่ป่าที่มีความลาดชันสูง โดยเปิดกิจการในรูปบริษัทซึ่งบางรายเช่น บริษัทม่อนวิวงาม จำกัด มีอาคารรีสอร์ทนับร้อยหลัง บางรายมีการบุกรุกพื้นที่เกินกว่าที่ถือครองทำกินที่มีการรังวัดไวเแล้วตามมติครม.30 มิย.41 

โดยคดีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 ได้ยกฟ้องไปแล้ว แต่ผู้ประกอบการทั้ง 22 ราย ยังไม่สะใจที่จะเล่นงานกล่าวหา จนท.ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในการระงับยับยั้งการบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธารเพื่อสร้างรีสอร์ท ...อย่างไรก็ตามคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิจารแล้วเห็นว่าจำเลย (นายกมล นวลใย อดีตผอ.สจป.1 (ชม.)) ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตาม ระเบียบกฎหมาย โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาและฟ้องดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ จึงมิใช่เป็นการจับกุมโจทก์ทั้งยี่สอบสองเพื่อดำเนินคดีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นคนละกรณีกันกับการจะพิสูจน์สิทธิ์ของโจทก์ทั้งยี่สิบสองว่าเป็นผู้มีสิทธิอยู่อาศัยในที่ดินและทำประโยชน์ในที่ดินตามที่กฎหมายให้ความคุ้มครองได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การกระทำของจำเลยเป็นการดำเนินการในฐานะเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานตามที่กฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ในการดูแลและรักษาทรัพยากรป่าไม้และป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นการกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งยี่สิบสองว่าเป็นผู้กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ โจทก์ทั้ง 22 ราบก็ย่อมมีสิทธิให้การปฏิเสธต่อสู้คดีโดยนำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ของตนในชั้นพิจารณาคดีของศาลได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติไว้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ทั้งยี่สิบสองฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมานั้น จึงต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งยี่สิบสองฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน อนึ่งมีผู้ตั้งข้อสังเกตุว่าคดีนี้เจ้าหน้าที่ดำเนินการในรูปคณะทำงานแต่โจทย์ฟ้องจำเลยในนามส่วนตัว เสมือนหนึ่งกลั่นแกล้ง บั่นทอนขวัญกำลังใจ จนท.เป็นการเฉพาะราย และฟ้องให้ดูเป็นตัวอย่างเพื่อมิให้จนท.คนอื่น ๆ หาญกล้าในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่  ด้วยกลัวจะโดนฟ้องเฉกเช่นกรณีนี้

เรื่องนี้นายกมล นวลใย ได้กล่าวว่าการดำเนินการระงับยับยั้งการบุกรุกพื้นที่ป่าม่อนแจ่ม จนท.ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามตัวบทกฎหมายทุกประการ ไม่เคยมีเจตนาแอบแฝงใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งมีรายละเอียดตามคำพิพากษาศาลไว้ครบถ้วนแล้ว..  ความจริงย่อมเป็นความจริงเสมอครับ...ขอให้จนท.สจป.1 (ชม.) กรมป่าไม้ ดำเนินการตรวจสอบการครอบครองพื้นที่เพื่อสร้างรีสอร์ทบนพื้นที่ต้นน้ำตามอำนาจหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาต่อไปครับ
 

‘ธนกร’ ติง ‘ชัยธวัช’ ก้าวล่วงอำนาจศาล กังวลได้แต่อย่าใช้อารมณ์ หลังพาดพิงปัจจัยการเมือง เอี่ยวคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล

(5 มิ.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า กรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สื่อถึงคำร้องยุบพรรคก้าวไกล หลังเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ.เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีการพูดพาดพิงว่ามีปัจจัยทางการเมืองเกือบทั้งหมด มาเกี่ยวข้องกับคำวินิจฉัยของศาลที่จะออกมา มองว่าการแสดงความเห็นของนายชัยธวัชในลักษณะนี้ ถือเป็นการกล่าวหาและก้าวล่วงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ท่าน ล้วนมีการพิจารณาวินิจฉัยแต่ละคดี ตามหลักข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งคดีนี้จากที่มองพฤติกรรมก็เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน และสื่อมวลชนอยู่แล้วว่าพรรคก้าวไกลเป็นอย่างไร ตนมั่นใจ ว่าคำวินิจฉัยในแต่ละคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมาตามนั้น เป็นไปตามข้อเท็จจริงและตามหลักกฎหมาย ไม่สามารถ ปล่อยให้นักการเมืองเข้ามาแทรกแซงเพื่อกลั่นแกล้งพรรคใดพรรคหนึ่งได้ หากไม่มีมูลความผิด

“เข้าใจว่านายชัยธวัช มีความกังวล จนพาลโทษคนอื่นไปทั่ว การกล่าวหาว่าปัจจัยการเมืองแทรกแซงคำวินิจฉัยนั้น ถือว่าเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาลหรือไม่และเป็นคำกล่าวหาที่รุนแรง ขอให้นายชัยธวัชยอมรับ หากสุดท้ายคำวินิจฉัยจะออกมาเป็นคุณ หรือ เป็นโทษก็ตาม ไม่ควรใช้อารมณ์ ความกังวล หรือความกลัวจะถูกยุบพรรคเป็นครั้งที่ 2 มากล่าวหาแบบมีอคติ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง” นายธนกร ติง

‘ดร.อานนท์’ เผย ‘รุ้ง’ ไปศาลยอมรับสารภาพผิด ‘ม.112’ คาด!! มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง แต่กฎหมายเอื้อมไปไม่ถึง

เมื่อวานนี้ (5 ก.ค.67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า 

ได้ข่าวว่าน้องรุ้งไปศาลวันนี้ แล้วยอมรับสารภาพว่ากระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 สำหรับคดีวันนี้ทั้งหมด

อันอาจจะแปลความได้ว่า น้องรุ้งได้พิจารณาจากรูปคดีแล้ว คิดว่าสารภาพไปเลยให้ความร่วมมือยังจะได้ลดโทษบรรเทาโทษจากศาล

ขอให้น้องรุ้งได้รับความเมตตาจากศาลด้วยครับ ผมทราบว่าน้องรุ้งเองถูกผลักดันจากผู้ใหญ่ที่บงการเบื้องหลังน้อง แต่กฎหมายเอาตัวผู้บงการมิได้ คนบงการต่างหากที่ควรได้รับโทษเต็มๆ แต่กฎหมายเอื้อมไปไม่ถึงครับ

แม้กระทั่งวันที่มาดีเบตกับผม น้องรุ้งก็มิได้เต็มใจจะมา และมิได้เตรียมตัวมาเลย นักวิชาการ นักการเมือง สีส้ม ล้มเจ้า ไม่มีใครยอมมาดีเบตกับอานนท์ แล้วบังคับส่งน้องรุ้งมา พร้อมกับเอกสารเป็นปึกที่น้องยังไม่ได้อ่านให้รู้เรื่องเลย แต่ก็ต้องมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากมาดีเบตกับอานนท์เลย น้องรุ้งยังบอกอีกว่าวันนี้หากเป็นรุ่นเด็ก ก็ควรจะเป็นเพนกวิ้น ไม่ควรจะเป็นหนู แต่เพนกวิ้น หอบหืดหนักต้องไปพ่นยาที่โรงพยาบาลแล้วมาไม่ได้หนูเลยต้องมาแทน

นี่คือตัวตนและชะตากรรมของน้องรุ้ง

ขอให้ทุกคน ให้ความเมตตาน้องรุ้ง ปนัสยา ด้วยนะครับ ผมกราบขอร้องครับ

ปล. น้องรุ้งไม่ได้หนีคดีนะครับ ขอยกย่องในข้อนี้ไว้ก่อนนะครับ

นอกจากนี้ ดร.อานนท์ ก็ยังได้กล่าวเสริมอีกด้วยว่า...

น้อง ๆ กลุ่มคณะราษฎร 2563 กลุ่มทะลุวัง กลุ่มทะลุแก๊ส กลุ่มทะลุฟ้า กลุ่มอื่นๆ ที่เคยกระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทุกคนครับ อยากให้น้องทำเพื่อตัวเองโดยที่ 

หนึ่ง ให้ความร่วมมือกับศาลในการพิจารณาคดี อย่าแสดงพฤติกรรมไม่ร่วมมือกับศาลท่านตามคำยุยงของทะแนะทั้งหลายจะไม่ส่งผลดีต่อตัวน้องครับ

สอง ถ้ารูปคดีไม่มีทางต่อสู้ ยอมรับสารภาพผิดกับศาลท่านไปเถิดครับ จะได้รับความเมตตา โทษจะบรรเทาเบาบางลงไปมากกว่าครึ่ง

สาม อย่าหนีคดี คนเราทำสิ่งใดไว้ก็ต้องรับผลการกระทำนั้นอย่างกล้าหาญ

สี่ กลับใจ ถ้ารู้ว่าตนหลงผิดไป หรือรู้ว่าตนเองถูกหลอกใช้ แสดงพฤติกรรมที่ควรจะแสดงให้ถูกต้อง จะกราบขอพระราชทานอภัยโทษในที่สาธารณะก็ควรทำครับ 

ห้า ถ้ารู้ว่าตนเองถูกหลอกใช้ ถูกบังคับ ถูกละเมิด จะออกมาแฉเอง หรือจะให้สื่อช่วยแฉก็ทำได้ทั้งนั้น 

หก ถ้าคดีพิพากษาไปจนถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ประพฤติตนดีในเวลาที่รับโทษ แล้วให้ทำเรื่องถวายฎีกาขอรับพระราชทานพระเมตตาในการอภัยโทษ ซึ่งเป็นพระราชอำนาจ

ผมมั่นใจว่า หลังจากคดีสิ้นสุดแล้ว การถวายฎีกาขอรับพระราชทานอภัยโทษ ขอรับพระราชทานพระเมตตา จะต้องถึงพระเนตรพระกรรณอย่างแน่นอน สำหรับคดีมาตรา 112 ที่น้อง ๆ ได้หลงผิดและพลาดไปแล้ว

‘ศาลสูงเกาหลี’ ตัดสินให้ ‘คู่รักLGBTQ’ ได้รับสิทธิด้านสุขภาพ เท่าเทียมคู่รักอื่น  ชี้!! มีคุณค่าในความเป็นมนุษย์ ควรได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียม มีเสรีภาพในส่วนตัว

(21 ก.ค.67) ศาลสูงเกาหลีใต้ตัดสินว่า ให้คู่รักเพศเดียวกันมีสิทธิ ได้รับสวัสดิการจากประกันสุขภาพของรัฐ ซึ่งถือเป็นชัยชนะของสิทธิของกลุ่ม LGBTQ

คดีนี้ฟ้องโดย โซ ซองอุก และคิม ยองมิน คู่รักเกย์ที่อยู่กินกันโดยไม่จดทะเบียน ซึ่งการแต่งงานเพศเดียวกันในปี 2019 ถือว่าไม่ถูกกฎหมาย ทั้งคู่ได้ฟ้องสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (NHIS) เนื่องจากสำนักงานฯ ได้ระงับสิทธิประโยชน์คู่ครองของเขา หลังจากพบว่าทั้งคู่เป็นคู่รักเกย์

คำตัดสินในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ศาลชั้นสูงของโซลตัดสินให้คู่รักคู่นี้ชนะคดี โดยกำหนดให้ NHIS คืนสิทธิประโยชน์คุ้มครองให้กับคู่รักที่อยู่กินกันโดยไม่จดทะเบียนได้การอุทธรณ์คำตัดสิน ส่งผลให้คดีดังกล่าวต้องส่งเรื่องไปยังศาลฎีกา

ประธานศาลฎีกา โจ ฮีเด กล่าวว่า การปฏิเสธสิทธิประโยชน์ดังกล่าวแก่คู่รักเพศเดียวกันเพียงเพราะเรื่องเพศ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ละเมิดศักดิ์ศรีและคุณค่าของมนุษย์ สิทธิในการแสวงหาความสุข เสรีภาพในการมีความเป็นส่วนตัว และสิทธิที่จะได้รับความเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย และการละเมิดดังกล่าวถือเป็นเรื่องร้ายแรง

‘ฌอน บูรณะหิรัญ’ เฮ!! ศาลนนทบุรี พิพากษา ‘ไม่มีความผิด’ เผย!! อดทนรอมา 4 ปี กรณีโดนกล่าวหาว่า อมเงินช่วยไฟป่า

เมื่อวานนี้ (26 ก.ค.67) ‘ฌอน บูรณะหิรัญ’ พิธีกรและนักสร้างแรงบันดาลใจ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับกรณีที่ถูกฟ้องร้องว่า ฉ้อโกงประชาชน ปมเงินบริจาคช่วยเหลือไฟป่าที่เชียงใหม่ โดยได้ระบุว่า ...

วันนี้ที่ผมอดทนรอคอยมาตลอด4ปี ศาลนนทบุรีพิพากษายกฟ้อง 

จากความเป็นจริง คือ ผมได้นำเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับมาจากการบริจาคของทุกท่านไปช่วยเรื่องไฟป่าแล้วอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

ด้วยความเคารพต่อศาล 4 ปีที่ผ่านมาท้าทายมากๆสำหรับผม และ ครอบครัว

ขอบคุณทุกกำลังใจ ครอบครัว เพื่อน แฟน ๆ ที่ไม่แม้แต่สงสัยในตัวผม ทุกคนเชื่อมั่นในตัวผม อยู่เคียงข้างผมมาตลอด 
ขอบคุณทนาย และ ที่ปรึกษาทุกท่านที่เมตตาเอ็นดูผม 

ที่สุดคือคำพิพากษาของศาลว่า ผมไม่มีความผิด

ตื่นเต้นและรอคอยที่จะได้แชร์เรื่องราวให้ทุกคนฟังนะครับ

I’ve been fighting a silent battle for the last 4 years… today the court dismissed all charges and ruled “not guilty”. 

All the allegations and rumors have been proven wrong. The truth is, I did help with forest fire prevention in northern Thailand and I did help hospitals during covid 19. 

The last 4 years have been tough but as the saying goes “tough times don’t last, tough people do.” I can’t wait to tell you guys all about it.

'ดร.อธิป' โชว์สถิติศักยภาพ ‘เชื้อเอเชีย’ ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่า ‘มะกันชน’ อิงผลลัพธ์ 'อเมริกันเชื้อสายเอเชีย' ฉลาดกว่า-รายได้ดีกว่า จนถูกแบน

(11 ส.ค. 67) ‘ดร.อธิป อัศวานันท์’ ผู้บริหารของบริษัท ทรูคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) รองประธานกิจการไอซีทีหอการไทย นักเขียนชื่อดัง และอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับ 'การเลือกปฏิบัติเชิงลบ หรือมาตรการลดโอกาส กีดกัน ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย' โดยได้ระบุว่า ...

สําหรับผู้ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกา ย่อมตระหนักดี ว่าประเทศนี้ไม่ได้ประกอบอยู่ด้วยเพียงแค่ชาวผิวขาวและชาวผิวดําเท่านั้น แต่ก็มีประชากรเชื้อสายเอเชียอยู่ถึง 6% ของประชากรทั้งหมด และสําหรับผู้ที่เคยศึกษาอยู่ในสหรัฐอเมริกาย่อมต้องรู้ดีว่า 'ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย' มักจะมีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมระดับสติปัญญาที่สูง และรายได้ที่ดีเยี่ยมเมื่อเปรียบเทียบกับชาวอเมริกันกลุ่มอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงชาวผิวขาวด้วย

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เคยเติบโตในสหรัฐอเมริกา และได้เคยแข่งขันอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวอเมริกัน จึงไม่เคยคิดเลยว่าชาวเอเชียนั้นจะด้อยกว่าชาวตะวันตก เนื่องจากในแง่ของการศึกษา ระดับสติปัญญา และรายได้ชาวเอเชียนั้น มีความโดดเด่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้น การที่ประเทศตะวันตก มีความก้าวหน้าเหนือชาติตะวันออกในปัจจุบัน จึงดูเหมือนเป็นเพียงเรื่องราวของจังหวะและโอกาสทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่ใช่เรื่องของความสามารถโดยธรรมชาติแต่อย่างใด 

ทั้งนี้ ดร.อธิป ได้เผยต่อว่า แต่ถึงกระนั้น ด้วยความสามารถอันโดดเด่นของชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ก็กลายมาเป็นอุปสรรคต่อตัวพวกเขาเอง ในแง่ของการถูกกีดกันในการสมัครเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนําของสหรัฐอเมริกาด้วยเหมือนกัน

โดย มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา จะมีนโยบายหนึ่งที่เรียกว่า ‘Affirmative Action’ ซึ่งอาจแปลได้ว่า การเลือกปฏิบัติเชิงบวก หรือมาตรการส่งเสริมโอกาส โดยนโยบายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ที่ด้อยโอกาสทางสังคม ซึ่งในบริบทนี้หมายถึงชาวอเมริกันผิวดํา, ชาวอินเดียนแดงและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ให้สามารถเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนําได้ง่ายกว่าคนผิวขาว

อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียกลับต้องเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า ‘Reverse Affirmative Action’ ซึ่งแปลได้ว่า การเลือกปฏิบัติเชิงลบ หรือมาตรการลดโอกาส ส่งผลกลุ่มที่กล่าวไปก่อนหน้ามีโอกาสน้อยลงในการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนําเมื่อเทียบกับชาวผิวขาว เนื่องจากมองว่าพวกเขาเหล่านี้ มีผลการเรียนที่ดีกว่ามีระดับสติปัญญาที่สูงกว่าและมาจากครอบครัวที่มีรายได้สูงกว่าเมื่อเทียบกับชาวอเมริกันกลุ่มอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงคนผิวขาวด้วย

ตัวอย่าง...ลองจินตนาการถึงเด็กชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียคนหนึ่งที่ชื่อ ‘จอห์น’ เขาเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมได้เกรดเฉลี่ย 4.0 เป็นประธานชมรมคณิตศาสตร์ และก็ยังอุทิศตนเป็นอาสาสมัครในชุมชนทุกสุดสัปดาห์ ใครๆ ต่างก็คาดหวังว่าเขาจะได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในฝันอย่างแน่นอน 

แต่เมื่อผลการคัดเลือกประกาศออกมา ‘จอห์น’ กลับถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยที่เขาใฝ่ฝัน ในขณะที่เพื่อนของเขา ซึ่งเป็นชาวผิวขาวและชาวผิวดําที่มีคุณสมบัติด้อยกว่าจอห์นในทุกด้านกลับได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้น

นี่คือความรู้สึก 'ชอกช้ำ' ที่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่เติบโตในสหรัฐอเมริกาจะต้องเผชิญ!!

ทว่า เพื่อให้เข้าใจในสถานการณ์ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ดร.อธิป จึงเผยต่อว่า หากพิจารณาข้อมูลเชิงสถิติที่เกี่ยวข้องจากรายงานของศูนย์สถิติการศึกษาแห่งชาติของสหรัฐในปี 2019 จะพบว่า...

นักเรียนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียมีคะแนนสอบ SAT ซึ่งเป็นคะแนนสอบที่สําคัญในการวัดผลก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,223 คะแนน ขณะที่นักเรียนผิวขาวได้อยู่ที่ 1,114 ส่วนนักเรียนผิวดำได้อยู่ที่ 933 คะแนน 

>> ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างคะแนนสอบของนักเรียนเชื้อสายเอเชียกับกลุ่มอื่นๆ ในสหรัฐฯ 

นอกจากนี้ข้อมูลจากศูนย์วิจัยพิว หรือ Pew Research Center ได้แสดงให้เห็นว่า 54% ของชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่มีอายุ 25 ปี มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งสูงกว่าหากเปรียบเทียบกับชาวอเมริกันผิวขาวซึ่งอยู่ที่ 33%และ 19% กับชาวอเมริกันผิวดํา 

>> ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญในระดับการศึกษาระหว่างกลุ่มเชื้อสายต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา

ในด้านของรายได้ครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียมีรายได้มัธยฐานที่สูงที่สุดในบรรดากลุ่มเชื้อชาติต่างๆ ในสหรัฐฯ โดยอยู่ที่ประมาณ 85,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 61,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี และของชาวผิวขาวที่ 70,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี 

>> ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญของรายได้ระหว่างกลุ่มเชื้อสายต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา

ในแง่ของระดับสติปัญญาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียมีค่าเฉลี่ยของไอคิวที่ 108 ในขณะที่ชาวผิวขาวมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 103 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้กลับนํามาซึ่งความท้าทายที่ไม่คาดคิด แต่กลายเป็นปรากฏการณ์น่าคิด หลังนโยบายการเพิ่มความหลากหลายในสถาบันการศึกษา ส่งผลในด้านตรงกันข้ามกับชนกลุ่มน้อยบางกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 'ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย' ซึ่งในกรณีนี้นักเรียนเชื้อสายเอเชียจำเป็นต้องมีคุณสมบัติที่สูงกว่าผู้สมัครจากกลุ่มอื่นๆ อย่างมีนัยสําคัญ เพื่อให้ได้รับการพิจารณาเข้าศึกษาในสถาบันชั้นนํา 

โดยผลกระทบของการเลือกปฏิบัติเชิงลบ หรือมาตรการลดโอกาสต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย มีหลายประการดังนี้...

1. อัตราการรับเข้าศึกษาที่ต่ำลง มหาวิทยาลัยชั้นนําหลายแห่งมีอัตราการรับนักศึกษาเชื้อสายเอเชียต่ำกว่าสัดส่วนของผู้สมัครอื่นอย่างมีนัยสําคัญ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ กรณีการฟ้องร้องมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ในปี 2018 ด้วยข้อกล่าวหาว่ามีการเลือกปฏิบัติต่อผู้สมัครเชื้อสายเอเชีย โดยมีการอ้างว่าหากพิจารณาจากคุณสมบัติทางวิชาการอย่างเดียว สัดส่วนของนักศึกษาเชื้อสายเอเชียที่ถูกรับเข้าไปก็ควรจะสูงกว่านี้เป็นอย่างมาก ขณะที่อีกเคสมาจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในปี 2009 พบว่านักเรียนเชื้อสายเอเชียจําเป็นที่ต้องมีคะแนน S ไอทีสูงกว่านักเรียนผิวขาวถึง 140 คะแนนและสูงกว่านักเรียนผิวดําถึง 450 คะแนน ถึงจะมีโอกาสได้รับการตอบรับ แน่นอนว่า แม้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะไม่ใช่ปัจจุบัน แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมในกระบวนการรับสมัครที่ชัดเจน

2. มาตรฐานที่สูงขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม โดยนักเรียนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียจะต้องมีคะแนนสอบและผลการเรียนที่สูงกว่าอย่างมีนัยสําคัญเพื่อที่จะได้รับการพิจารณาอย่างเท่าเทียมกับผู้สมัครในกลุ่มอื่นๆ แล้ว พวกเขายังอาจต้องมีกิจกรรมนอกหลักสูตรที่โดดเด่นมากขึ้น หรือมีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ เพื่อที่จะทําให้ใบสมัครของพวกเขามีความน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก

ตัวอย่างเช่น นักเรียนชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย อาจจะต้องเป็นนักกีฬาที่มีทักษะระดับสูง หรือมีความสามารถทางดนตรีหรือศิลปะที่โดดเด่น หรือมีผลงานที่สะท้อนประสบการณ์ หรือมีการทํางานด้านอาสาสมัครที่น่าประทับใจนอกเหนือจากมีการมีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้มีโอกาสได้รับการพิจารณาเทียบเท่ากับผู้สมัครจากกลุ่มอื่นที่แม้จะมีผลการเรียนต่ำกว่า

อย่างไรก็ตาม มีมุมมองที่น่าสนใจว่า หากปราศจากนโยบายการเลือกปฏิบัติเชิงลบหรือมาตรการลดโอกาสต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเหล่านี้ มหาวิทยาลัยชั้นนําบางแห่ง ก็อาจจะมีแนวโน้มที่จะมีนักศึกษาเชื้อสายเอเชียเป็นส่วนใหญ่และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างของมหาลัยชั้นนําต่อไปนี้ ที่มีสัดส่วนของนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่อยู่ในระดับสูงอย่างมีนัยสําคัญ...

- มหาวิทยาลัย Caltech มีสัดส่วนของนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอยู่ที่ 40 ถึง 45% 
- มหาวิทยาลัย UC Berkeley มีสัดส่วนของนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอยู่ที่ 35 ถึง 40% 
- มหาวิทยาลัย UCLA มีสัดส่วนของนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอยู่ที่ 30 ถึง 35% 
- มหาวิทยาลัย MIT มีสัดส่วนของนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอยู่ที่ 15 ถึง 30% 
- และมหาวิทยาลัย Standford มีสัดส่วนของนักศึกษาชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอยู่ที่ 20 ถึง 25% 

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็มีคนดังในสังคมไม่เห็นด้วยอยู่มาก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ 'อีลอน มัสก์' ผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการเทคโนโลยี โดยเขาได้แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ การเลือกปฏิบัติเชิงลบ หรือมาตรการลดโอกาสหลายครั้งผ่านทวิตเตอร์ (X) บ่อยครั้ง

"เชื้อชาติและชาติพันธุ์ไม่ควรมีส่วนในการถูกนำมากำหนดในการรับเข้าเรียนหรือการจ้างงาน เราควรพิจารณาจากความสามารถเท่านั้น"

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 29 มิถุนายน 2023 ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ได้มีคําตัดสินที่สําคัญเกี่ยวข้องกับการใช้เชื้อชาติเป็นปัจจัยในการรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ จําเป็นต้องปรับเปลี่ยนนโยบายในการรับนักศึกษาให้สอดคล้องกับคําตัดสินนี้ คำตัดสินที่ไม่ควรกดขี่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคําตัดสินของศาลสูงสุดเพิ่งมีขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ดังนั้นผลกระทบต่อนักเรียนเชื้อสายเอเชียในมหาวิทยาลัยชั้นนํา จึงยังปรากฏอยู่บ้างในขณะนี้

ท้ายที่สุด สิ่งที่ควรตระหนักและพิจารณาอย่างถ่องแท้ก็คือ เราไม่ควรจะสรุปหรือเชื่อว่าชาวเอเชียนั้น ด้อยกว่าชาวตะวันตกแต่อย่างใด เนื่องจากหลักฐานเชิงประจักษ์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนจาก 'ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย' เหล่านี้ ว่า พวกเขามีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมมีระดับสติปัญญาที่สูงและมีรายได้ที่ดีมาก เมื่อเปรียบเทียบกับชาวอเมริกันเชื้อสายอื่น ๆ ซึ่งรวมไปถึงชาวผิวขาวด้วย 

มันยอดเยี่ยมจนกระทั่งนําไปสู่การเลือกปฏิบัติเชิงลบหรือมาตรการลดโอกาสต่อคนเชื้อสายเอเชีย ซึ่งได้ดําเนินอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ จนกระทั่งได้มาสิ้นสุดด้วยคําตัดสินของศาลสูงสุดเมื่อปีที่ผ่านมา

ตำรวจจีน ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยคดีอาญา บนเครื่องบินเช่าเหมาลำ มุ่งหน้าสู่จีน ฟันโทษ!! 'จำคุกตลอดชีวิต' 4 คนสำคัญ คดีฉ้อโกง โทรคมนาคมข้ามพรมแดน

(24 ก.พ. 68) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ศาลประชาชนสูงสุดของจีนรายงานการตัดสินจำคุกตลอดชีวิต 4 บุคคลสำคัญในคดีฉ้อโกงทางโทรคมนาคมข้ามพรมแดน โดยบุคคลทั้งสี่ได้เดินทางออกนอกจีนเพื่อจัดตั้งองค์กรฉ้อโกงทางโทรคมนาคม ซึ่งบุคคลหนึ่งที่มีแซ่อวี๋เป็นผู้จัดหาคนจำนวนมากออกจากจีนมาก่ออาชญากรรมดังกล่าว

คดีความอีกคดีหนึ่งเกี่ยวข้องกับจำเลยแซ่หยาง ผู้เคยถูกตัดสินโทษฐานพัวพันกับการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมมาก่อน ได้ถูกลงโทษสถานหนักฐานกระทำความผิดซ้ำ ส่วนจำเลยอีกสองรายในคดีความอีกคดีหนึ่งถูกลงโทษสถานหนักแม้เป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดและรับสารภาพความผิดแล้ว เนื่องจากมีความผิดฐานชักจูงผู้เยาว์เข้าร่วมการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม

ทั้งนี้ ศาลจีนยังสั่งให้กลุ่มผู้กระทำความผิดคืนเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกง และรับรองว่าเหยื่อจะได้รับเงินที่ยึดคืนมาอย่างทันท่วงที


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top