Monday, 9 June 2025
ศาลอาญา

'หมอเหรียญฯ' เล่าเหตุการณ์สู้คดีช่วงถูกร้านบะหมี่ 3 นิ้ว ฟ้องหมิ่น ลั่น!! หลังศาลยกฟ้อง ก็ถึงเวลาที่โจทก์ต้องกลายเป็นจำเลย

(12 มี.ค. 67) พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เหรียญทอง แน่นหนา' ระบุว่า… 

เมื่อต้น ธ.ค.66 ปีที่แล้ว ผมเป็นจำเลยในคดีอาญาที่โจทก์เป็นเจ้าของร้านบะหมี่ ฟ้องศาลอาญาโดยมีทีมทนายความที่ดูคล้าย ๆ ทีมทนายความสิทธิมนุษยชนนี่แหละครับมาช่วยโจทก์ทำ

ทีมทนายนี่ดูเหมือนจะฉลาดเอามากๆ เลยนะครับ ซักถาม ซักค้านแต่ละคำถามจนผมตกอกตกใจว่า ทำไมถึงถามผมอย่างนี้ คำถามอย่างกับโจทย์คณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษา 1 + 1 เท่ากับเท่าไหร่ อย่างไรอย่างนั้นเลยแหละครับ

ทนายความแต่งกายดูเนี้ยบเป๊ะ แต่ก็ดูเป็น 'เสี่ยว' ดีนะครับ (เสี่ยว เป็นภาษาอีสาน แปลว่า เพื่อน นะครับอย่าเข้าใจผิดว่าผมดูถูก) ท่าทางก็ดูห้าวหาญ เสียงดัง ดุดัน ดูน่าตกใจสำหรับคนไม่เคยดูตัวตลกนั่นแหละครับ

จะเอาผมเข้าคุกทั้งที แถมจะให้ผมเสียเงินล้านให้โจทก์เจ้าของร้านบะหมี่ ดันทะลึ่งไปเอาประมวลกฎหมายอาญาทหารสำหรับศาลทหาร มาสู้คดีบนศาลอาญา มันคนละศาลกันนะจ๊ะ 

ไอ้ผมมันก็เป็นอดีตผู้อำนวยการกองกำลังพลซึ่งต้องใช้กฎหมายทหารอยู่เป็นประจำ ก็เลยถามทนายโจทก์ว่าความหมายของคำว่า 'ราชศัตรู' ที่ทนายโจทก์นำมาซักผมนั้นเป็นกฎหมายปี พ.ศ.ไหน ทนายโจทก์ก็ตอบไม่ได้ครับ 

ผมก็เลยเรียนให้ศาลทราบว่าเป็นกฎหมายโบราณมากในสมัยรัตนโกสินทร์ศก ร.ศ.131 หรือ พ.ศ.2456 หรือกฎหมายเมื่อ 110 ปีที่แล้วใช้บังคับทหารเมื่อขึ้นศาลทหาร

ถึงแม้ผมจะเป็นแค่ตาแป๊ะหลักสี่ แต่ก็เป็นทหารเก่าและเป็นทหารแท้ ดังนั้นเสียงดังดุดันของคุณทนาย ผมจึงรู้สึกตลก เป็นที่ประทับใจ จึงเอามาพูดสนุกสนานให้มิตรรักแฟนคลับทราบทั่วกันว่าผมเป็นจำเลยไปขึ้นศาลอาญาแต่ดันไปเจอทนายโจทก์เล่นตลกหน้าบัลลังศาล จนเมื่อปลายเดือน ก.พ.67 ที่ผ่านมา ศาลอาญายกฟ้องโจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของร้านบะหมี่แพ้ แถมถูกศาลยึดเงินค่าธรรมเนียมศาลไปหลายหมื่นบาทอีกต่างหาก

หลังจากนี้โจทก์จะต้องกลายเป็นจำเลยจากการเบิกความเท็จต่อหน้าศาลแล้วนะจ๊ะ หากเป็นไปได้อย่าลืมเอาทนายชุดเดิมมาสู้คดีกันอีกนะจ๊ะ ดูฉลาดแถมอีโก้สูงอีกต่างหาก ชอบครับ

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
จำเลยผู้ชนะ

‘ฮาร์ท สุทธิพงศ์’ ถูกอัยการยื่นฟ้อง ม.112 หลังโพสต์หมิ่นเบื้องสูง ศาลประทับรับฟ้อง!! ให้ประกันตัว 2 แสน - ห้ามออกนอกประเทศ

เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.67) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 ได้นำตัว นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล หรือฮาร์ท อดีตพิธีกรและนักร้องชื่อดัง มายื่นฟ้องต่อศาลในความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

จากกรณี นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล หรือฮาร์ท อดีตพิธีกรและนักร้องชื่อดัง ได้แชร์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับสถาบันฯ เกี่ยวกับเรื่องโรคโควิด ช่วง พ.ศ.2564 ทำให้ในเวลาต่อมา นายอภิวัฒน์ ขันทอง ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เข้าแจ้งความกับพนักงาน สถานีตำรวจนครบาล (สน.) นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

โดยศาลรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ483/2567 โดยจำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวพร้อมหลักทรัพย์ 2 แสนบาท ศาลพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศยกเว้นได้รับอนุญาต

‘ศาลอาญา’ ยกฟ้อง ‘เบนซ์ เดม่อน’  คดีจัดให้เล่นพนัน-ฟอกเงิน เว็บ ‘มาเก๊า 888’

(11 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีเว็บพนันออนไลน์ มาเก๊า 888 หมายเลข ดำอ.1140/2566 ที่พนักงานอัยการสำนักงานพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอดิศักดิ์ นวลละออง, น.ส.พชรพร แซ่ตั๊น, น.ส.นันทวรรณ โรจน์สุวรรณชัย, น.ส.หัทยา ลองศิริคง, น.ส.แววเทียน ไทยสงคราม, นายวรุตม์ กาญจนปภากูล, นายธนิตพงศ์ สุรีโชติภิรมย์, นายณัฐพงศ์ ระชินลา และนายชัยวัฒน์ ขจรบุญถาวร หรือ เบนซ์ เดม่อน นักธุรกิจชื่อดัง พี่ชายคนโตพี่น้องตระกูล บ. ที่ 9 เป็นจำเลยที่ 1-9 

ในความผิดฐาน ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และสมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน

กรณีพวกจำเลยร่วมกันเปิดเว็บไซต์การพนันชื่อหวยสดพลัส (www.huaysodplus.com) และเว็บไซต์อื่น อาทิ เว็บไซต์พนัน มาเก๊า 888 ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ สู้คดี

โดยศาลพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-7 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่น จำคุกจำเลยที่ 3, 6 คนละ 3 เดือน ฐานร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 

จำคุกจำเลยที่ 3, 6 คนละ 3 เดือน ฐานร่วมกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และฐานร่วมกันเป็นผู้เล่น เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษให้ลงโทษฐานร่วมกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว 

จำคุกจำเลยที่ 3, 6 คนละ 3 เดือน ฐานสมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และฐานร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษให้ลงโทษฐานร่วมกันฟอกเงินบทเดียว จำคุกจำเลยที่ 6 กระทงละ 1 ปี รวม 103 กระทง

จำคุกจำเลยที่ 1  กระทงละ 1 ปี รวม 4 กระทง จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี จำคุกจำเลยที่ 4 กระทงละ 1 ปี รวม 8 กระทง จำคุกจำเลยที่ 5 กระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง จำคุกจำเลยที่ 7  กระทงละ 1 ปี รวม 5 กระทง 

ฐานสนับสนุนร่วมกันช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่น จำคุกจำเลยที่ 1, 2, 4, 5, 7 คนละ 2 เดือน ฐานสนับสนุนร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จำคุกจำเลยที่ 1, 2, 4, 5, 7 คนละ 2 เดือน ฐานสนับสนุนร่วมกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และฐานร่วมกันเป็นผู้เล่น 

เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1,2,4,5,7 คนละ 2 เดือน จำเลยที่ 1-5 และที่ 7 ยังมีความผิดฐานสนับสนุนการสมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงิน

และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และฐานสนับสนุนการร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวของจำเลยที่ 1-5 และที่ 7 อีกคนละ 1 กระทง จำคุกคนละ 8 เดือน จำเลยที่ 6 ให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 1-5 และที่ 7 ให้การรับสารภาพบางข้อหาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่น คงจำคุกที่ 3 และที่ 6 คนละ 1 เดือน 15 วัน ฐานร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์

คงจำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 6 คนละ 1 เดือน 15 วัน ฐานร่วมกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และฐานร่วมกันเป็นผู้เล่นซึ่งลงโทษให้ลงโทษฐานร่วมกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ คงจำคุกจำเลยที่ 3 และที่ 6 คนละ 1 เดือน 15 วัน ฐานร่วมกัน ฟอกเงินคงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 6 กระทงละ 6 เดือน รวม 103 กระทง 

คงจำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 6 เดือน รวม 4 กระทง คงจำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 6 เดือน รวม 3 กระทง คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 6 เดือน คงจำคุกจำเลยที่ 4 กระทงละ 6 เดือน รวม 8 กระทง คงจำคุกจำเลยที่ 5 กระทงละ 6 เดือน รวม 3 กระทง คงจำคุกจำเลยที่ 7 กระทงละ 6 เดือน รวม 5กระทง

รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 38 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 32 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 18 เดือน 15 วัน รวมจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 62 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 5 มีกำหนด 32 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 6 มีกำหนด 622 เดือน 15 วัน รวมจำคุกจำเลยที่ 7 มีกำหนด 44 เดือน 

สำหรับจำเลยที่ 6 เป็นกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษอย่างสูงเกิน 3 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี จึงให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 6 มีกำหนด 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) ริบของกลาง ยกฟ้องจำเลยที่ 8 และจำเลยที่ 9

‘ศาลฯ’ สั่งจำคุก 2 ปี 6 เดือน 'สีกาตอง'  ข้อหากรรโชกทรัพย์ ‘อดีตพระกาโตะ’

(17 ก.ค.67) ที่ห้องพิจารณาคดี 711 ศาลอาญาถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีกรรโชกทรัพย์ หมายเลขดำอ 3450/2566 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.วีรินทร์ชิตา หรือ อดีตสีกาตอง และนายสาธิต พี่ชายอดีตสีกาตอง เป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดจำเลยทั้งสองสรุปความว่า เมื่อระหว่างวันที่ 5 เม.ย. - 21 เม.ย. 2565 จำเลยที่ 1 ได้บังอาจขืนใจนายพงศกร จันทร์แก้ว หรือ อดีตพระกาโตะ พระนักเทศน์ชื่อดังในขณะนั้น ซึ่งเป็น ผู้เสียหาย โดยพูดขู่เข็ญบังคับให้ผู้เสียหายมอบเงินสด จำนวน 180,600 บาทให้จำเลยที่ 1 มิฉะนั้นจะเปิดเผยคลิปสนทนาเชิงชู้สาว และภาพถ่ายข้อความเชิงสนทนาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองให้สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปทราบ ซึ่งจะทำให้ผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นกำลังบวชเป็นพระภิกษุ เป็นพระนักเทศน์ชื่อดัง มีประชาชนให้ความเคารพนับถือ จะทำให้ต้องถูกปลด หรือสึกจากการเป็นพระภิกษุสงฆ์ และเสื่อมเสียชื่อเสียงผู้เสียหาย จึงยอมให้เงินแก่จำเลยที่1หลายครั้งหลายหนรวม 180,600 บาท

คำฟ้องระบุอีกว่า นอกจากนี้จำเลยทั้งสองได้พูดขู่เข็ญกับผู้เสียหายอีกว่า จำเลยที่ 2 เป็นพี่ชายจำเลยที่ 1 รู้เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ และเชิงชู้สาวระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่ 1 หากผู้เสียหายยินยอมจ่ายเงินจำนวน 3 แสนบาท จำเลยที่ 2 จะให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นน้องสาวยุติเรื่องราวที่เกิดขึ้น จะให้น้องสาวเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ ไม่ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนอีกทำให้ผู้เสียหายกลัวจะได้รับความเสียหาย ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อตัวเองและครอบครัว จึงได้ยอมมอบเงินจำนวน 3 แสนบาทแก่จำเลยที่ 1 ไป

เหตุเกิดที่ต.กะเปียด อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช / ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เกี่ยวพันกัน โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์ และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 3 แสนบาทแก่ผู้เสียหายด้วย

จำเลยทั้งสองได้รับการประกันตัว โดยเบื้องต้นให้การปฏิเสธ แต่ภายหลังให้การรับสารภาพต่อศาลโดยผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 3 หมื่นบาท โดยให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงิน 2 หมื่นบาท จำเลยที่ 2 ชดใช้เงิน 1 หมื่นบาท โดยผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยทั้งสองอีก

ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะ และพินิจ ประวัติการศึกษา สภาพครอบครัวฯ ของจำเลยทั้งสอง แล้วรายงานให้ศาลทราบเพื่อใช้พิจารณาประกอบคำพิพากษา

วันนี้ น.ส.วีรินทร์ชิตา หรือตอง และ นายสาธิต เดินทางมาศาลตามกำหนดนัด

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม

พิพากษาลงโทษในข้อหา กรรโชกทรัพย์ สั่งจำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่น บาท ข้อหารีดเอาทรัพย์ ลงโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 4 หมื่น บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลลงโทษข้อหาข่มขืนใจ สั่งจำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท

จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน ปรับ 3 หมื่นบาท ส่วนจำเลยที่ 2 คงจำคุก 1 ปี ปรับ 1 หมื่นบาท

พิเคราะห์ การสืบเสาะพฤติกรรมของจำเลย พบว่า ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน พฤติกรรมไม่ร้ายแรง และได้ทำการเยียวยาโจทย์ เป็นที่พอใจและโจทย์ไม่ติดใจ เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุก ให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้งในเวลา 1 ปี ให้ทำกิจกรรมบริการสังคม สาธารณประโยชน์ 24 ชั่วโมง และเข้าร่วมกิจกรรมแก้ไขฟื้นฟู ตามที่เจ้าพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร ส่วนคำขออื่นให้ยก

จากนั้นนางสาววีรินทร์ชิตา ได้ลงมาให้สัมภาษณ์กับสื่อ บอกว่า ที่ผ่านมาได้มีการไกล่เกลี่ยกันไปแล้วบางส่วน มีการจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้ไปกับโจทก์ร่วมแล้ว และก็ได้พูดคุยกัน ปรับความเข้าใจต่อกันทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาจะเป็นการพูดคุยกันผ่านบุคคลอื่นไม่ได้พูดคุยกันจริง ๆ แต่พอได้พูดคุยกันใหม่ก็เข้าใจต่อกันดี ทั้งฝั่งโจทก์ร่วมก็ไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว และได้ถอนฟ้องในมาตรา 309 วรรค1 ‘ข่มขืนใจโดยทำให้กลัว’ ไปแล้ว ซึ่งถือว่าวันนี้ทุกอย่างจบลงด้วยดี ทางศาลก็ได้ตัดสินไปแล้ว

และเมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยอย่างอื่นนอกเหนือทางคดีหรือไม่ ทางนางสาววีรินทร์ชิตา ก็บอกว่าไม่ได้พูดคุยกันอีกเลยหลังจากปรับความเข้าใจกันและตอนนี้ต่างคนต่างไปใช้ชีวิตใหม่กันแล้ว อยากให้ที่ผ่านมาเป็นบทเรียนของกันและกัน และเธอสัญญาว่าจะไม่กระทำความผิดใด ๆ อีก พร้อมขอบคุณศาลที่ให้ความเมตตา และทนายความ ครอบครัวรวมถึงทุกคนที่ให้กำลังใจ จากนี้เธอขอไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ต่างประเทศ

‘ผู้สร้าง 2475’ ลั่น!! ต้องรับผิดชอบต่อคำพูด หลังศาลรับฟ้อง ‘ประชาไท’ หมิ่นประมาท

(19 เม.ย. 68) เพจ iLaw รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 ศาลอาญามีคำสั่งรับฟ้องคดีที่บริษัท นาคราพิวัฒน์ จำกัด ผู้ผลิตแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution’ เป็นโจทย์ ยื่นฟ้องเว็บไซต์ประชาไทและผู้แชร์ข่าว รวม 6 ราย ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1)

คดีดังกล่าวเกิดขึ้นจากโพสต์ของเพจประชาไท เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2567 ซึ่งระบุว่า “ผ่านไป 1 วัน ยอดวิวแอนิเมชัน ‘2475 Dawn of Revolution’ ทะลุ 3 แสน ขณะที่เช็คผ่าน ACT AI พบเจ้าของแอนิเมชันรับโครงการทำสื่อแบบวิธีเฉพาะเจาะจง 11 สัญญา ระหว่าง 2563 ถึง 2565” โดยมีภาพประกอบสรุปประเด็นเดียวกัน

โจทย์เห็นว่าข้อความดังกล่าวอาจชี้นำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าแอนิเมชันเรื่องนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐในการผลิตโดยตรง ซึ่งไม่เป็นความจริง และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของผู้ผลิต

ภายหลัง iLaw เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับคำสั่งรับฟ้อง นาย วิวัธน์ จิโรจน์กุล เจ้าของบริษัท นาคราพิวัฒน์ จำกัด และเป็นหนึ่งในผู้เขียนบทของแอนิเมชัน ได้โพสต์ข้อความชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า

> “ก็ถ้าคนอ่านข่าวเข้าใจผิดเป็นจำนวนมาก แสดงว่าต้นทางข่าวทำให้เข้าใจผิดไงครับ… ควรถามประชาไทดูนะครับ ว่าตอนไต่สวนมูลฟ้อง พยานให้เหตุผลอะไร ทนายไปพูดแบบไหน ศาลจึงตัดสินใจรับฟ้อง คือมันมีมูลเหตุให้ ‘ศาลรับฟ้อง’ ไง... ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องของหลักฐานที่จะนำสืบกันต่อไปครับ”

เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า ประชาไทเคยนำเสนอเนื้อหาในประเด็นนี้แล้วเมื่อปลายเดือนมีนาคม หลังศาลมีคำสั่งรับฟ้อง และล่าสุดทาง iLaw ได้นำเสนอซ้ำในลักษณะที่ใกล้เคียงเดิม

ในช่วงท้ายของโพสต์ นายวิวัธน์ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก โดยระบุข้อความเต็มว่า

> **“เสรีภาพในการแสดงออกไม่ใช่ใบอนุญาตให้ทำร้ายใครโดยไม่ต้องรับผิดชอบ
การอ้างเสรีภาพเพื่อปกป้องการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย ไม่ว่าจะด้วยข้อมูลบิดเบือน คำพูดชี้นำ หรือการเผยแพร่โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของสิทธิขั้นพื้นฐานนี้

เสรีภาพนั้นมีคุณค่า เพราะอยู่ภายใต้กรอบของความรับผิดชอบ ไม่ใช่เพราะใครอยากพูดอะไรก็พูดได้โดยไม่ต้องใส่ใจผลกระทบต่อผู้อื่น

ถึงเวลาแล้วที่สังคมควรแยกให้ออกระหว่าง ‘เสรีภาพ’ กับ ‘การละเมิด’ เพราะถ้าเราใช้สิทธิเพื่อกดทับสิทธิของคนอื่น สังคมที่ควรเปิดกว้าง ก็จะกลายเป็นพื้นที่แห่งความอยุติธรรมที่ถูกอ้างด้วยชื่อของประชาธิปไตย”**

ศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐานในคดีนี้อีกครั้งในวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top