Monday, 21 April 2025
ว.วชิรเมธี

‘อ.สุวินัย’ แลกเปลี่ยนกับ ท่าน ว.วชิรเมธี เรื่องความรู้ทางจิต เผย!! การชำระกายภาพ พลังชีวิต และจิตใจให้บริสุทธิ์

(20 ต.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความ โดยได้ระบุว่า …

แลกเปลี่ยนกับ ท่าน ว. วชิรเมธี เรื่องความรู้ทางจิตของอัจฉริยะแห่งจิตกับขอบเขตของจิตใจทั้งหมด (full spectrum of the mind)

ต้องออกตัวก่อนนะว่า บทความนี้ผมตั้งใจแลกเปลี่ยนกับท่าน ว. วชิรเมธีคนเดียวเท่านั้น

ในยุคดาต้านิยม (dataism) นี้ "คนโง่" มีช่องทางส่งเสียงดังในโลกโซเชียลยิ่งกว่า ‘ปราชญ์บัณฑิต’ เสียอีก มิหนำซ้ำอัลกอริทึมยังออกแบบให้พวกคนโง่ทั้งหลายสุมหัวอยู่ใน Echo Chamber หรือ "ห้องสะท้อนเสียงพวกเดียวกันเอง" อยู่ตลอด 24 ชั่วโมง จนไม่สามารถคิดนอกกรอบ หรือมองไปจากมุมมองอื่น ๆ ที่สูงส่งกว่าระดับจิตของตัวเองได้ คนโง่พวกนี้ ไม่วายแว้งกัด ‘เหยื่อโซเชียล’ ทุกรายที่ถูกไอโอหรือเพจอวตารปลุกปั่นผ่านการ ‘ป้อนสาร’ ให้เสพตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อจูงจมูกให้คล้อยตามวาระที่ซ่อนเร้นของพวกมันที่ต้องการมีอำนาจครอบงำความคิดของ ‘ฝูงคนโง่ที่แสนเชื่อง’ ในโซเชียล

นักบวชรูปหนึ่งถึงแม้ยังเป็นแค่ ‘สมมติสงฆ์’ ยังมิได้สำเร็จทางจิต บรรลุมรรคผลกลายเป็นพระ ‘อริยบุคคล’ แต่ประวัติของท่านที่ผ่านมา ก็ถือว่าท่านเป็นพระดี เป็นพระหัวก้าวหน้า เป็นพระนักพัฒนา เป็นพระบัณฑิต ที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่วงการศาสนาและสังคมมากว่า 30 ปี ผ่านงานเขียนของท่านหลายสิบเล่ม รวมทั้งกิจกรรมเพื่อสังคมต่าง ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน

ครั้นพอท่านพลาดพลั้งครั้งหนึ่ง ที่ถูกบอสพอลและสมุนหลอกใช้ เพื่อใช้ชื่อเสียงของท่านมาชุบตัว สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่บริษัท The Icon ของพวกตน ... ท่านก็โดนพวกสื่ออวตาร และพวกอินฟลูตัวแสบปากร้ายใจสกปรก ‘กล่าวร้ายป้ายสี’ ราวกับท่านเป็น ‘พระชั่วที่น่ารังเกียจ’ ครั้นพอท่านรับมือในการ ‘จัดการวิกฤตผิดพลาด’ ซ้ำสอง เพราะท่าน ‘สติหลุด’ ที่ไปเขียนจดหมายเปิดผนึกต่อว่าพิธีกรรายการชื่อดังที่เคยบวชกับท่านมาก่อน โดยใช้ภาษาที่แรง (ต่อมาท่านลบโพสต์ทิ้งไป)

ท่านก็เลยยิ่งถูกสังคมโซเชียลรุมถล่มซ้ำจนชื่อเสียงของท่านมัวหมอง
ตามมาด้วยการที่ลูกศิษย์ผู้อ่อนด้อยของท่านดันไปโพสต์รูปที่ท่านนั่งสมาธิกลางหิมะเพื่อ ‘อวดครูตัวเอง’ แบบโง่ ๆ ... จนท่านถูกเอาไปล้อเลียน ตกเป็นขี้ปากของสังคมโซเชียลอีกครั้ง

แต่ ‘ความจริงที่มีหนึ่งเดียว’ ก็คือ ท่านยังเป็นพระอยู่นะ แม้จะยังเป็นสมมติสงฆ์อยู่ก็ตาม ... ตัวท่านเองยังต้องเรียนรู้โลกธรรม 8 มุ่งมั่นฝึกฝนจิต ยกระดับจิต ปฏิบัติธรรมเจริญสติปัฏฐาน 4 จนกว่าท่านจะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ

ตัวท่านยังอยู่ในกระบวนการ ‘จิตวิวัฒน์’ ท่ามกลางทะเลทุกข์ เช่นเดียวกับ พวกหน้าโง่ (สรรพสัตว์) ที่รุมถล่มท่าน ที่ยังอยู่ในกระบวนการ จิตวิวัฒน์ เหมือนกัน

ข้อเขียนต่อไปนี้ผู้เขียนตั้งใจมอบให้ ภิกษุท่านนั้น ได้อ่านโดยเฉพาะ 
โดยหวังว่าข้อเขียนชิ้นนี้จะทำให้ภิกษุท่านนั้น สามารถแปรวิกฤตให้เป็นโอกาส ทะลวงขีดจำกัดแห่งสมมติสงฆ์ของตัวท่าน เพื่อก้าวข้ามสู่ขอบเขตแห่ง อริยบุคคล ที่อยู่ไม่ไกลจนสามารถเอื้อมไปถึงได้ด้วยอัตภาพในปัจจุบันชาตินี้ นี่เป็นหน้าที่ที่กัลยาณมิตรร่วมวิถีธรรม พึงกระทำให้กันและกันมิใช่หรือ

● ว่าด้วย ‘จิตวิวัฒน์’ ●
จำไว้นะ คนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยของตนเท่านั้น แต่คนเรายังพ่วงเอาประวัติศาสตร์เซเปียนส์ติดตัวไปกับตนเองด้วย
ผู้ที่ไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์ของเอกภพได้ ผู้นั้นจะต้องเป็น คนหาเช้ากินค่ำทางจิต ตลอดไป
จะเป็นเรื่องน่าเศร้าเพียงไหน หากคนเราเป็นได้แค่ คนหาเช้ากินค่ำทางจิต ตลอดไป ต่อให้มีอำนาจหรือความมั่งคั่งทางวัตถุแค่ไหนก็ตาม
เพียงเพราะผู้นั้นไม่รู้จักรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของตัวเองและเพียงเพราะผู้นั้นไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์ของเอกภพ
การบูรณาการตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์ของเอกภพหรือฟ้าดิน จึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คนเรากลายเป็น มนุษย์ที่แท้ (真人)ได้จริง
นี่เป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้คนเราเป็นอะไรที่มากกว่า ลิงเปลือย ที่อุตริริใส่เสื้อผ้าเล่นโทรศัพท์มือถือ 
เพราะไร้ความคิด คิดไม่เป็น ไม่รู้จักตนเอง ยังไม่ตื่นรู้เพราะหาคุณค่าความหมายที่แท้จริงของชีวิตตนเองไม่เจอ

คนเราอาจมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้แค่ไม่กี่สิบปีก็จริง แต่ถ้าคนผู้นั้นสามารถเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ของเอกภพ เข้ากับประวัติศาสตร์แห่งจิตใจของผู้นั้นจนเป็นหนึ่งเดียวได้
คือสามารถฝึกฝนตน บำเพ็ญเพียรทางจิต ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงตัวเองจนเป็นหนึ่งเดียวกับประวัติศาสตร์ของธรรมจิต (Spirit) ที่เป็นมหาสุญญตาได้
นั่นก็หมายความว่า คนผู้นั้นได้มีอายุยั่งยืนเทียมเท่าเอกภพ หรือฟ้าดิน
เขาคือมนุษย์ที่กลายเป็นฟ้าหรือพุทธะหรือพระเจ้า เขาจะเป็นทั้งมนุษย์ที่สมบูรณ์และเป็นพระพุทธะ รวมทั้งเป็นพระผู้เป็นเจ้าในร่างคนโดยสมบูรณ์
นี่แหละคือโลกของพระโพธิสัตว์ และเป็นวิถีของพระโพธิสัตว์อย่างแท้จริง

คนเราเกิดมาทั้งที
ควรเข้าถึงอมตธรรม 
หรือมีจิตที่มีอมตธรรม 
อันเป็นธรรมแห่งความไม่ตาย
หรือเป็นความไม่ตายทางจิตให้จงได้ 
สังขารของคนเรานั้นไม่เที่ยง 
ไม่ว่าเราจะดูแลมันอย่างดีเพียงใด 
มันก็มีอายุการใช้งานของมัน 
การแสวงหาที่ถูกต้องจึงควรเป็น "ความไม่ตายทางจิต"
โดยการทำให้จิตของตนเข้าถึงไกวัลยธรรมอันเป็นอสังขตธรรมแห่ง "ความเป็นเช่นนั้นเอง" อยู่เช่นนั้นตลอดกาลไม่เปลี่ยนแปลง 
ลองไปคิดทบทวนให้ดีเถิดว่า 
ชีวิตนี้เราควรแสวงหาอะไรกันแน่?

การที่ปุถุชนจะปฏิบัติธรรม เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของตน จนหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้นั้น เป็นกระบวนการ ไต่ขึ้น (ascension) ที่เนิ่นช้า ยากลำบากและกินเวลานานมาก 
ด้วยเหตุนี้ "เบื้องบน" จึงต้อง "ลงมา"(descent) ช่วยผู้ปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่าง ๆ
เพื่อเร่งการวิวัฒนาทางจิตของผู้ปฏิบัติธรรมให้เร็วขึ้น 
นี่คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Supramental Descent หรือการลงมาของจิตศักดิ์สิทธิ์ หรือเหล่า อริยบุคคล ในทุกศาสนานั่นเอง

● ว่าด้วยขอบเขตของจิตใจทั้งหมด ●
นอกจากจิตใต้สำนึกและจิตไร้สำนึก ที่คนเราเข้าไม่ถึงในยามตื่นแล้ว
ขอบเขตของจิตใจเชิงโครงสร้างส่วนใหญ่ คนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกจิตก็ยากที่จะเข้าถึงด้วย 
เนื่องจากจิตชั้นสูงเหล่านั้นมันอยู่ในระดับข้ามพ้นตัวตน (transpersonal)
จิตใจของคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกจิตจะถูกจำกัดอยู่แค่ขอบเขตของ physical mind และ mental mind ที่อารมณ์กิเลสเจือปนกับเหตุผลเสมอ .... นี่จึงทำให้คนเราต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ หลุดพ้นไม่ได้
ขอบเขตของจิตใจที่สูงกว่านั้น อยู่เบื้องบนหรือเหนือศีรษะ (เหนือจักระที่ 7) ซึ่งเชื่อมกับพลังงานศักดิ์สิทธิ์ ผ่านการฝึกลมปราณกรรมฐานขั้นสูง หรือ กรรมฐานแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีลำดับชั้นดังนี้
(1) Higher Mind หรือ จิตสูงส่ง
(2) Illumined Mind หรือ จิตกระจ่าง
(3) Intuition หรือ จิตที่ได้ญาณ
(4) Overmind หรือ จิตเหนือโลก
จิตขั้นสูงที่ข้ามพ้นตัวตน 4 ระดับนี้ คือจิตที่อยู่ในเทียร์ที่สองในโครงสร้างของจิต 
โดยที่จิตที่เหนือไปกว่านั้นอีกคือ Super Mind หรืออภิจิต หรือจิตอริยะ หรือจิตนิพพาน ที่อยู่ในเทียร์ที่สามในโครงสร้างของจิต

คนธรรมดาที่คิดจะยกระดับจิตให้สูงขึ้นเพื่อข้ามพ้นตัวตน ต่อให้ปฏิบัติธรรม ก็ไม่ต่างจากมีห่วงเหล็กหนักข้างละหลายสิบกิโลกรัมผูกกับขาแต่ละข้าง แล้วต้องไต่ขึ้นยอดเขาเพื่อบรรลุธรรมในสภาพเช่นนั้นอย่างยากลำบากแสนสาหัส 
เพราะ physical mind กับ mental mind ที่ประกอบเป็นอัตตา หรืออีโก้ (ego) ของปุถุชนผู้นั้น จะคอยเป็นตัวฉุดยั้งตลอด ไม่ให้จิตไปไหน

การเจริญลมปราณกรรมฐานขั้นสูง จึงเปรียบเหมือนการดึงพลังศักดิ์สิทธิ์จากเบื้องบน เข้าสู่ร่างกายของผู้นั้น ผ่านจักระที่ 7 กลางกระหม่อมเพื่อชำระภายในให้บริสุทธิ์ จนกลายเป็น "จิตศักดิ์สิทธิ์" ได้เสียก่อน 
เปรียบเหมือนการไต่ขึ้นยอดเขา โดยปราศจากห่วงเหล็กผูกขา มิหนำซ้ำยังมีวิชาตัวเบา ทำให้ปีนป่ายไต่ขึ้นยอดเขาได้คล่องแคล่ว เร็วกว่าแต่ก่อนด้วย
เพราะฉะนั้นต่อให้เราเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นทางเอกก็จริง 
เราก็ควรผนวก ลมปราณกรรมฐานขั้นสูง หรือ กรรมฐานแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์ (หรือวิชาอานาปานสติลม 7 ฐาน) เข้าไปในการเจริญสมถะและวิปัสสนาของเราด้วย ตามเหตุผลข้างต้น
นี่คือเคล็ดลับและความลับที่ ‘พระป่า’ สายปฏิบัติล้วนทราบดี
แต่พระสายปริยัติ ต่อให้จบเปรียญ 9 จะไม่ทราบเรื่องเหล่านี้เลย รวมทั้งพระนักพัฒนา หรือพระปัญญาชนด้วย

● ว่าด้วยกายภาพ-พลังชีวิต-จิตใจ ● 
เมื่อสำรวจวิจัย 'คน' ในเชิงอัตวิสัย
จะพบว่า ในภาวะปกติที่คนเราลืมตาอยู่นั้น คนเราสามารถเข้าถึงจิตได้เพียงผิวนอกซึ่งเป็นส่วนเล็ก ๆ ของตัวจิตเท่านั้น
แต่สำหรับมุนีที่ฝึกกรรมฐานแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์ 
มุนีผู้นั้นย่อมสามารถเข้าถึงจิตได้ ทั้งในระดับที่เหนือขึ้นไป (above) ในระดับที่ล่างสุด (below) และในระดับภายใน (within) ด้วย 
ซึ่งปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติ จะไม่สามารถเข้าถึงจิตในระดับที่ลึกหรือกว้างขนาดนี้ได้เลย

ในตัวของคนเราเมื่อมองในเชิงจิต จะมีระบบพลังงาน 2 ระบบที่ทำงานควบคู่กัน
ระบบแรก เป็นระบบพลังงานในแนวตั้ง ที่หมุนเป็นเกลียวจากล่างขึ้นบน (ตามทิศทางของจักระ)
ระบบที่สอง เป็นระบบพลังงานที่แผ่ออกไปรอบทิศจากศูนย์กลางของร่างกาย
ระบบแรก พลังงานจะพุ่งทะลุร่างกายออกไปถึงข้างบนเหนือศีรษะแตะถึงขอบเขตที่เรียกว่า superconscient (จิตเหนือสำนึก)
ขณะที่พลังงานที่พุ่งทะลุร่างกายลงมาข้างล่างลำตัวแตะถึงขอบเขตที่เรียกว่า subconscient (จิตใต้สำนึก) และ inconscient (จิตไร้สำนึก)
ขณะที่บริเวณกลางลำตัวเป็นที่ดำรงอยู่ของพลังงานแฝง ที่ควบคุม subliminal (จิตสำนึกแฝง) อีกทีหนึ่ง

วิญญาณ (soul) ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของคนเรา (true being) ตั้งอยู่ที่กลางหทัย (จักระหัวใจ) ส่วนที่ลึกที่สุด (inmost) ของกายทิพย์ (subtle body)
คนทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติทางจิต จะไม่มีทางทราบถึงการดำรงอยู่ของพลังงานที่อยู่ข้างใน (inner) และในสุด (inmost) เหมือนกับที่ไม่สามารถทราบถึงพลังงานที่อยู่เบื้องบน (above) และเบื้องล่าง (below) 
ที่ก่อตัวเป็น "มณฑลแห่งพลัง" ที่ทรงพลังยิ่งของมุนีผู้นั้น
กรรมฐานแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์ จำแนกตำแหน่งในร่างกายโดยโยงกับจิตใจว่า 
- ศีรษะ เป็นตำแหน่งที่จิตรับรู้เรื่องความคิด
- ทรวงอกและบริเวณที่ต่ำลงมา เป็นตำแหน่งที่จิตรู้สึกอารมณ์ ความปรารถนาและแรงกระตุ้นต่าง ๆ
- ตั้งแต่ต้นขาลงมา เป็นตำแหน่งที่จิตไร้สำนึกเคลื่อนไหว

การเคลื่อนไหวของจิตและพลังงานในสามส่วนของร่างกายนี้ สะท้อนถึงการดำรงอยู่จริงของกายภาพ (physical) พลังชีวิต (vital) และจิตใจ (mind) ในตัวตนเชิงอัตวิสัยของคนเรา
ความสามารถในการใช้จิตเข้าไป ดูกาย(ภาพ) ... เข้าไป ดูพลังชีวิต (หรือดูปราณในกาย) และเข้าไป ดูจิตใจ (หรือดูจิต ดูธรรม) 
คือก้าวแรกที่สำคัญยิ่งของการฝึกจิตเพื่อบรรลุธรรม หรือบรรลุโมกษะ
ปัญหาก็คือ ปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติทางจิต จะมีความสามารถในการชำระ-ควบคุมกายภาพของตัวเองต่ำมาก ๆ
ไม่ว่าในเรื่องการควบคุมความคิด การควบคุมอารมณ์ และการควบคุมความทะยานอยาก เนื่องจากปุถุชนคนธรรมดารู้จักตัวเองแค่ผิวเผินเปลือกนอกเท่านั้นเอง
จะเห็นได้ว่าคำสอนข้างต้นของ "อัจฉริยะทางจิต" อย่างท่านอาจารย์ ศรี อรพินโธ (Sri Aurobindo, 1872-1950) น่าจะใกล้เคียงกับคำสอนของปัจเจกพุทธะ ที่พยายามเข้าใจตัวตนที่แท้ของคนเรานั่นเอง 
เหมือนกับการจำแนกกาย-เวทนา-จิต-ธรรม ของพระพุทธองค์ในสติปัฏฐาน 4

กายของคนเรา คือผลพวงของวิวัฒนาการของจิต ในส่วนที่เป็นธาตุวัตถุ (matter) 
เพราะฉะนั้นมันจึงมีแรงเฉื่อยของวัตถุธาตุดำรงอยู่ในกายของคนทุกคน
แรงเฉื่อยในกาย ที่เป็น body consciousness นี้แหละที่เป็นตัวสร้างความคิดแย่ ๆ อารมณ์แย่ ๆ จิตใจแย่ ๆ และนิสัยแย่ ๆ ขึ้นในตัวผู้คนที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติทางจิต
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมผู้นั้นจึงต้องบำเพ็ญลมปราณกรรมฐาน จนกระทั่งกายของเขากลายเป็น "กายศักดิ์สิทธิ์" หรือเป็นกายที่สามารถใช้ประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาจิตและบรรลุธรรม

พลังชีวิตหรือปราณ เป็นอีกส่วนหนึ่งในตัวตนของคนเราที่สำคัญยิ่ง เพราะมันเป็นพลังแห่งการเติบโต สร้างสรรค์ และทำลาย
เพราะฉะนั้นการฝึกลมปราณกรรมฐานเพื่อแปรพลังชีวิตให้เป็นพลังจิตวิญญาณ จึงสำคัญมากถึงมากที่สุด
พลังชีวิต (vital) มีสามส่วนซึ่งแบ่งตามระดับตำแหน่งในส่วนกลางของร่างกาย
- Lower Vital อยู่ตรงบริเวณท้องน้อย เป็นพลังชีวิตที่มีแนวโน้มมุ่งแสวงความสำราญ (The Enjoyer) ในเชิงลบ หรือแสวงกาม
‘อินทรีย์สังวร’ จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมุนีผู้ปฏิบัติ
- Central Vital อยู่ตรงบริเวณช่องท้อง เป็นพลังชีวิตที่สำแดงความกล้าหาญและการกระทำที่มุ่งมั่น แต่ถ้าออกมาในเชิงลบจะกลายเป็นคนบ้าอำนาจ ยึดติดในอำนาจ ในเงินทอง ในชื่อเสียง และในวัตถุ
- Higher Vital อยู่ตรงตำแหน่งทรวงอกถึงลำคอ เป็นพลังชีวิตที่สำแดงอารมณ์ความรู้สึกเชิงบวกอย่างความรัก ความเมตตา ความกรุณา แต่ถ้าออกมาในเชิงลบจะกลายเป็นความโกรธ ความเกลียด ความริษยา ความพยาบาท ความเห็นแก่ตัว

จิตใจ (Mind) เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องสติปัญญา การรับรู้และเรียนรู้ โดยมีตำแหน่งอยู่บนศีรษะ หรือในกระโหลกศีรษะ
จิตใจดำรงอยู่ในความคิด และในไอเดียของอดีต ปัจจุบันและอนาคต
ความเคลื่อนไหวของจิตใจสัมผัสได้ที่บริเวณศีรษะ ทั้งท้ายทอย กลางหน้าผาก และกลางกระหม่อม
ปัญหาจิตใจของปุถุชนคนทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกจิต คือพวกเขาได้รับอิทธิพลในเชิงลบจากกายภาพ และพลังชีวิตจากส่วนที่ต่ำกว่าศีรษะของร่างกายเป็นประจำอยู่แล้ว 
จนทำให้อารมณ์และความอยากต่าง ๆ เข้าไปปนเปกับความคิดและการใช้สติปัญญาอย่างขาดสติ แยกแยะดีชั่วไม่ได้ 
อีกทั้งยังไม่สามารถตัดสินด้วยเหตุผลบริสุทธิ์ (pure reason) ล้วน ๆ ได้ ... ทำให้มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นพวก "คนโง่ถาวร" สูงมาก 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่โลกโซเชียลมีเดีย สามารถ "ล้างสมอง" ผู้คนด้วยข่าวปลอม หรือข่าวที่บิดเบือนความจริง จนเกิดฝูงซอมบี้คลั่ง หรือกลุ่มคนโง่ถาวรที่ถูกจูงจมูกได้โดยง่าย ... ออกมาเป็นจำนวนมาก โดยไม่เลือกอายุ อาชีพ เพศ วัย

ด้วยเหตุนี้ กรรมฐานแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นลมปราณกรรมฐานขั้นสูง หรือเป็นบูรณาโยคะ (integral yoga) จึงเป็นการชำระกายภาพ พลังชีวิต และจิตใจของคนเราให้บริสุทธิ์ (purification) ด้วยการชักนำ พลังจากเบื้องบนที่เป็นที่สถิตของ อภิจิต (supermind) ผ่านลงมาทางจักระที่ 7 กลางกระหม่อม 
ทำการชำระผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณ (spiritual transformation) 
จนกระทั่งมุนีผู้นั้นกลายเป็นเครื่องมือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (The Divine) โดยสมบูรณ์นั่นเอง
กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ (อานาปานสติ 9 จุด) ก็จัดอยู่อยู่ในกรรมฐานแห่งจิตศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยเช่นกัน

‘อดีตสว.วันชัย’ ออกโรงป้อง ‘ท่าน ว.วชิรเมธี’ เชื่อ!! ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับ ‘ดิไอคอน’

(20 ต.ค. 67) นายวันชัย สอนศิริ อดีตสว. โพสต์ข้อความหัวข้อ ‘ท่าน ว. … ธรรมะย่อมชนะอธรรม’ ในเพจ เฟซบุ๊กทนายวันชัย สอนศิริ กรณี ท่าน ว. วชิรเมธี ถูกกล่าวหาเข้าไปสนับสนุนธุรกิจ ดิ ไอคอน กรุ๊ป ระบุว่า …

ใครจะเล่นกับเทวดาตนใดอย่างไรก็ว่ากันไป แต่สำหรับท่าน ว. เท่าที่ผมเห็นวัตรปฏิบัติของท่านตลอดมา เป็นพระนักเทศน์สอนตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขายธรรมะอย่างเดียวเพียวๆ เฉกเช่น หลวงพ่อปัญญา หลวงพ่อพุทธทาส ไม่ใช่พระอมน้ำมนต์พ่นน้ำหมากปลุกเสกเลขยันต์ ถือว่า เป็นพระน้ำดีในยุคสมัย อาจจะผิดพลาดบกพร่องก็เป็นวิสัยของมนุษย์โดยทั่วไป

นายวันชัย ระบุต่อว่า ด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ผมเชื่อว่าท่าน ว. ไม่ได้ผิดอะไร คนที่เป็นพระมาถึงระดับนี้ ถ้ารู้ว่าขบวนการของดิไอคอนเป็นขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงฉ้อโกง หรือเป็นแก๊งทุจริตผิดกฎหมาย ท่านคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่ และคงไม่เข้าไปซ่องเสพกับทุรชน

แต่ที่รับนิมนต์ไปเทศน์ไปบรรยายก็ตามวิสัยของพระโดยทั่วไป ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการต้มตุ๋นของเขาหรอก ไปเทศน์แล้วก็อาจจะอวยบ้าง พาดพิงถึงเขาบ้าง แตะโน่นแตะนี่ถึงบริษัทเขาบ้าง ก็เป็นธรรมดาของ นักเทศน์ นักบรรยาย หาได้มีจิตใจที่ไปสนับสนุนขบวนการของเขา และการถวายเงินเพื่อกิจกรรมของท่าน ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนเศรษฐีคนมีเงินมีทองทั่วไป

“ใครจะล่อ ดิไอคอน ล่อบอส คนไหนก็ว่ากันไป ไม่ได้หมายความว่าคนไปเกี่ยวข้อง จะต้องผิดและเลวทรามต่ำช้าไปทุกคน ทนายความของบอส ก็ออกมาชี้แจงตอบโต้กันโครมๆ เขาต้องผิดด้วยหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ ใครจะกร่าง จะหาเรื่อง จะหิว ก็ดูหน่อยว่า แสงมันมืด หรือบอด หรือจะเอามันส์ตามกระแส เล่นเทวดาไม่พอ ล่อพระสงฆ์องค์เจ้าด้วย จะได้ดังระเบิดระเบ้อ คับบ้านคับเมือง ชี้เป็นชี้ตาย ว่าไอ้โน่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด ยิ่งกว่าศาลเสียอีก โอ้ยใหญ่โตกันเหลือเกิน กัมมุนา วัตตติ โลโก” นายวันชัย ระบุทิ้งท้าย

ส่องความเห็น 2 ทนายดัง จากกรณี ว.วชิรเมธี เทศน์ The iCon

(21 ต.ค. 67) เรื่องราวข่าว The iCon Group ที่โยงไปในหลาย ๆ วงการ รวมถึงวงการสงฆ์จากกรณีที่พระเมธีวชิโรดม หรือ ว.วชิระเมธี พระนักเทศน์นักเขียนชื่อดัง ที่ได้รับเชิญให้ไปบรรยายไปเทศนาที่ The iCon Group นั้น 

ล่าสุดจากกรณีดังกล่าวได้ทำให้เกิดวิวาทะระหว่างทนายที่มีชื่อเสียง 2 คน ได้แก่ ทนายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เจ้าของเพจทนายคลายทุกข์ 

โดยวันที่ 20 ต.ค. 67 ทางทนายวันชัย สอนศิริ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า 

ท่าน ว. ...ธรรมะย่อมชนะอธรรม

ใครจะเล่นกับเทวดาตนใดอย่างไรก็ว่ากันไป... แต่สำหรับท่าน ว. เท่าที่ผมเห็นวัตรปฏิบัติของท่านตลอดมาเป็นพระนักเทศน์สอนตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขายธรรมะอย่างเดียวเพียวๆ เฉกเช่น หลวงพ่อปัญญา หลวงพ่อพุทธทาส ไม่ใช่พระอมน้ำมนต์พ่นน้ำหมากปลุกเสกเลขยันต์ ถือว่าเป็นพระน้ำดีในยุคสมัย อาจจะผิดพลาดบกพร่องก็เป็นวิสัยของมนุษย์โดยทั่วไป ด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายผมเชื่อว่าท่าน ว. ไม่ได้ผิดอะไร คนที่เป็นพระมาถึงระดับนี้ ถ้ารู้ว่าขบวนการของดิไอคอนเป็นขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงฉ้อโกง หรือเป็นแก๊งค์ทุจริตผิดกฎหมาย ท่านคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่ และคงไม่เข้าไปซ่องเสพกับทุรชน แต่ที่รับนิมนต์ไปเทศน์ไปบรรยายก็ตามวิสัยของพระโดยทั่วไป ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการต้มตุ๋นของเขาหรอก ไปเทศน์แล้วก็อาจจะอวยบ้าง พาดพิงถึงเขาบ้าง แตะโน่นแตะนี่ถึงบริษัทเขาบ้าง ก็เป็นธรรมดาของนักเทศน์นักบรรยาย หาได้มีจิตใจที่ไปสนับสนุนขบวนการของเขา และการถวายเงินเพื่อกิจกรรมของท่าน ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนเศรษฐีคนมีเงินมีทองทั่วไป

ใครจะล่อดิไอคอน ล่อบอสคนไหนก็ว่ากันไป ไม่ได้หมายความว่าคนไปเกี่ยวข้อง จะต้องผิดและเลวทรามต่ำช้าไปทุกคน ทนายความของบอสก็ออกมาชี้แจงตอบโต้กันโครมๆ เขาต้องผิดด้วยหรือเปล่า..ก็ไม่ใช่ ใครจะกร่าง จะหาเรื่อง จะหิว...ก็ดูหน่อยว่าแสงมันมืดหรือบอด หรือจะเอามันส์ตามกระแส เล่นเทวดาไม่พอ ล่อพระสงฆ์องค์เจ้าด้วย จะได้ดังระเบิดระเบ้อ คับบ้านคับเมือง ชี้เป็นชี้ตาย ว่าไอ้โน่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด..ยิ่งกว่าศาลเสียอีก โอ้ย..ใหญ่โตกันเหลือเกิน..กัมมุนา วัตตติ โลโก..

ในวันเดียวกันนี้เองทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ได้โพสต์ผ่านเพจทนายคลายทุกข์ ว่า

#ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส

ช่วยให้คะแนนหน่อยครับว่าเป็นพระดีเด่นหรือไม่อย่างไรแต่สำหรับผมไม่เห็นด้วย
และผมไม่ไหว้พระรูปนี้ เป็นเสรีภาพในการที่ผมจะไหว้ใครพระนั้นจะต้องเป็นพระที่ดีจริงๆ

พระที่ชวนลงทุนแล้วบอกว่าพรุ่งนี้รวยมหาศาลให้รีบไปเปิดบิลพระแบบนี้ผมไม่ยกมือไหว้จริงไหมครับพี่น้อง

สงสารชาวบ้านตาดำๆถูกหลอกลวงเงินไปเป็นจำนวนมากให้เปิดบิล

นอกจากนี้ทนายเดชายังได้โพสต์ต่ออีกว่า 

#การกล่าวโทษ ว.วชิรเมธี เป็นสิทธิตามกฎหมาย

หากมีพยานหลักฐานพอสมควรก็ทำได้ตามกฏหมายไม่มีกฎหมายยกเว้นว่าพระทำผิดแล้วไม่ต้องรับโทษ ผู้ติดตามพระ 6 ล้านกว่าคนก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้ามีพยานหลักฐานว่าทำผิด

ลูกศิษย์ใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่มีผลต่อรูปคดีเพราะพนักงานสอบสวนทำงานตามพยานหลักฐาน
ส่วนพี่เดก็กล่าวโทษตามพยานหลักฐานที่ปรากฏผิดหรือถูกศาลจะเป็นคนตัดสิน( การกล่าวโทษไม่ใช่การทำตัวเป็นผู้พิพากษานะเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย)

#ใหญ่กว่านี้ผมก็เคยดำเนินคดีมาแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top