Tuesday, 22 April 2025
วุฒิสภา

วุฒิสภา-สสส.-ภาคีเครือข่าย เดินหน้ารณรงค์-ผนึกกำลังตร. สร้างความปลอดภัยทางม้าลาย หลังพบคดีอุบัติเหตุคนเดินเท้าเฉลี่ย 2,500 รายต่อปี

จับมือตำรวจไทย สร้างมาตรการควบคุม-บังคับใช้กฎหมาย ด้านไรเดอร์-ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ ร่วมขับเคลื่อนขับขี่ปลอดภัยลดอุบัติเหตุ

เมื่อวันที่ (21 กรกฎาคม 2565) ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภากาชาดไทย สำนักงานเขตปทุมวัน และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม หยุดสูญเสีย หยุดรถ ให้คนข้ามทางม้าลาย #ความดีที่คุณทำได้ ครั้งที่ 6 “ก้าวเดินอย่างปลอดภัยบนทางม้าลาย ตำรวจจราจรไทยร่วมดูแล” พร้อมมอบสื่อให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อนำไปใช้ในการรณรงค์สื่อสารสร้างความเข้าใจกับประชาชนและบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยบนทางม้าลาย

ด้วยการลดความเร็วเขตชุมชนและชะลอก่อนถึงทางแยกทางข้าม
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา กล่าวว่า “รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงให้เหลือไม่เกิน 12 คนต่อประชากรแสนคน ภายในปี 2570 โดยใช้แนวคิดเน้นการจัดการเชิงระบบวิถีแห่งความปลอดภัย (Safe System Approach) โดยระบบที่ปลอดภัยจะช่วยป้องกัน และลดความสูญเสีย ซึ่งกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา กิจกรรม หยุดสูญเสีย หยุดรถ ให้คนข้ามทางม้าลาย ขับเคลื่อนทำงานรณรงค์ปลูกจิตสำนึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างวินัยจราจร วันนี้เรายังเดินหน้ารณรงค์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจให้คนข้ามทางม้าลาย 

การจัดกิจกรรมครั้งนี้ ได้ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญยิ่งที่มีหน้าที่กำกับดูแล บังคับใช้กฎหมาย จึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้เกิดความปลอดภัย 3 ด้าน คือ

1. การบริหารจัดการ การบังคับใช้กฎหมายและการกำกับติดตาม โดยเฉพาะการบังคับใช้และมีมาตรการดูแล ณ ทางแยก-ทางข้าม โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่ยังมีทั้งการจอดรถทับทางม้าลาย-ไม่หยุดให้คนข้าม 
2. มาตรการและมาตรฐานความปลอดภัย เช่น มาตรฐานสัญลักษณ์จราจรทางถนน และการกำหนด Speed Zone จำกัดความเร็วในเขตชุมชน 
3. การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เช่น นำเทคโนโลยีเสริมการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ฝ่าฝืน การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบกและกรุงเทพมหานคร วางแนวทางควบคุม/บังคับใช้กฎหมาย และสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้านความปลอดภัย

‘ดร.เสรี’ กังวล ‘นักการเมืองเศรษฐี’ ใช้เงินยึดวุฒิสภา ห่วง!! ‘นักการเมืองธรรมดา’ จะเอาอะไรไปต่อกรด้วย

(19 มี.ค. 67) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊ก ว่าวิธีเลือก สว. อันสลับซับซ้อนอย่างที่เห็น ถ้าดูดี ๆ ถ้าใช้เงิน 250 ล้าน สามารถยึดวุฒิสภาได้เลยนะ

เพื่ออำนาจ เพื่อผลประโยชน์ที่ต้องการ ท่านคิดว่าจะมีคนใช้เศษเงินของเขา 250 ล้านยึดวุฒิสภาไหมคะ

สว. มีบทบาทในการผ่านกฎหมาย การคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและข้าราชการ

เมืองไทยมีเศรษฐีที่มาทำงานการเมือง โดยที่เงิน 250 ล้านเป็นเศษเงินของเขาอยู่หลายคน

แล้วนักการเมืองที่ไม่มีเงินมากพอที่จะต่อกรกับนักการเมืองที่เป็นเศรษฐี จะเอาอะไรมาชนะพวกเขาในสังคมที่นักการเมืองบางคนคิดว่ามีเงินดีกว่ามีจริยธรรม

คิดแล้ว มันน่าเป็นห่วงจริงๆนะคะ

หรือเราทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากทำใจ

“เงินตกใส่ทราย ทรายทรุด เงินตกใส่มนุษย์ มนุษย์ไม่มีจริยธรรม” เรื่องนี้ท่าจะจริงนะคะ

'วุฒิสภา' โหวตไม่เห็นชอบ 'วิษณุ วรัญญู'  ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด

(1 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ตำรงตำแหน่งประธานศาลปครองสูงสุด พิจารณาเสร็จแล้ว คือนายวิษณุ วรัญญู อดีตรองประธานศาลปกครองสูงสุด โดยเป็นการประชุมลับและลงคะแนนลับ

จากนั้นนายพรเพชร ประกาศผลการลงคะแนนว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบนายวิษณุ ด้วยคะแนน 45 คะแนน ไม่ให้ความเห็นชอบ 158 คะแนน ไม่ออกเสียง 6 คะแนน

ดังนั้นจากผลการออกเสียงลงคะแนนปรากฏว่า นายวิษณุ ไม่ได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงข้างมากจากที่ประชุมวุฒิสภา จึงถือว่านายวิษณุไม่ได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด

'รัดเกล้า' เผย!! รัฐบาลมุ่งยกระดับอาชีวไทย-พัฒนาทั้งครูและเด็ก เชื่อ!! เป็นทักษะสำคัญในโลกยุคใหม่ที่ตลาดแรงงานโลกต้องการ

(4 พ.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา เสนอรายงานการพิจารณาศึกษาเรื่อง อาชีวศึกษา: คุณภาพ มาตรฐาน และแรงจูงใจ โดยมีข้อเสนอแนะทั้งในด้านคุณภาพและมาตรฐาน และด้านแรงจูงใจผู้เรียนอาชีวศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพของอาชีวศึกษาให้มีความทันสมัยและทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน และสร้างแรงจูงใจให้มีผู้สนใจเข้าเรียนสายอาชีวศึกษาเพิ่มมากขึ้น

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรรมาธิการฯ มีข้อเสนอแนะให้พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา อาทิ พัฒนาสมรรถนะที่ขาดหายไป ด้วยการ Up-Skill, Re-Skill หรือ New-Skill เพื่อให้ครูมีสมรรถนะในการสอน พัฒนาหลักสูตรให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับกลุ่มอาชีพใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และให้ความสำคัญกับการฝึกปฏิบัติวิชาชีพจริงในสถานประกอบการที่ตรงกับสาขาอาชีพของผู้เรียน

ส่วนข้อเสนอแนะด้านแรงจูงใจผู้เรียนอาชีวศึกษา เช่น การสร้างค่านิยมต่อการเรียนอาชีวศึกษาว่าการเรียนทางด้านอาชีวศึกษาจะทำให้ผู้เรียนมีงานทำทันทีเมื่อสำเร็จการศึกษาในแต่ละระดับ การพัฒนากระบวนการแนะแนว นำเสนอความสำเร็จของผู้เรียนอาชีวศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพให้แพร่หลายผ่านสื่อช่องทางต่าง ๆ และสร้างระบบการเรียนร่วมกับการทำงานและมีรายได้ระหว่างเรียน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง ซึ่งผู้เรียนจะได้มีประสบการณ์จริงและทักษะในการประกอบอาชีพระหว่างที่เรียนด้วย

“การยกระดับระบบอาชีวศึกษาไทย โดยเฉพาะการเสริมทักษะขั้นสูงและเฉพาะทาง ถือเป็นหนึ่งนโยบายที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และสร้างแรงงานทักษะให้ตรงกับความต้องการในตลาดแรงงานโลก ซึ่งหากข้อเสนอแนะดังกล่าวจะเป็นแนวทางให้นักศึกษาและแรงงานอาชีวะไทยได้รับการสนับสนุนเพิ่มทักษะความรู้ ก็จะทำให้กลายเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยอีกทางหนึ่งด้วย” รองโฆษกฯ กล่าว

'สมชาย' เต็งประมุขสภาสูง-กู้เกียรติเพื่อไทย คู่ขนาน 'ระบอบทักษิณ-เศรษฐา' ได้ไปต่อ

จะบอกว่าไม่เซอร์ไพรส์ ก็คงไม่ได้ สำหรับกรณีที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 สามีของ 'เจ๊แดง' เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของทักษิณ ชินวัตร ลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา ที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

จริง ๆ แล้ว สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นคนนครศรีธรรมราช จะไปสมัครที่นั่น ซึ่งเป็นบ้านเกิด หรือลงในกทม. ที่ทำงานรับราชการยาวนานจนได้เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม และได้เป็นนายกฯ ไร้ทำเนียบ 50 กว่าวัน เพราะพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบชุมนุมขับไล่ รัฐบาลสมัคร เลยเถิดมาถึงรัฐบาลสมชาย...ก็ย่อมได้

แต่การเลือกลงเชียงใหม่ที่ชีวิตปักหลักยาวนานรอบนี้ หากสมชายได้รับเลือกก็จะเป็นการกอบกู้เกียรติภูมิให้กับพรรคเพื่อไทยทางอ้อม เพราะเลือกตั้ง สส. ปี 2566 ก็ดังที่รู้ ๆ กันว่า จาก 10 ที่นั่ง พรรคก้าวไกลกวาดไป 7 เพื่อไทยได้แค่ 2 พลังประชารัฐได้ 1 เสียฟอร์มพรรคเสื้อแดงเป็นอย่างมาก...

ไม่แต่เท่านั้น ไม่ต้องอินไซด์อะไรกันมาก การลงสมัครของสมชายรอบนี้ชัดเจนว่า หากเขาได้เป็น 1 ใน 200 สว. โอกาสที่จะได้เป็นประธานวุฒิสภาก็มีสูงกว่าใครเพื่อน...

อนึ่ง ชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาฯ แล้วเป็นนายกฯ สองรอบ แล้วมาเป็นประธานสภาสั่งลาฯ ได้อีก แล้วทำไมอดีตนายกฯ อย่างสมชาย จะทำไม่ได้!!

สว. มีวาระ 5 ปี แม้ไม่มีอำนาจโหวตนายกฯ แล้ว แต่อำนาจอื่น ๆ ยังมีอีกมากมาย โดยเฉพาะการเลือกกรรมการองค์กรอิสระ การกลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบถ่วงดุล-เสริมดุลรัฐบาล

กรณีถ้าสมชายได้รับเลือกเป็นประมุขวุฒิสภา ก็จะเป็นอีกเสาค้ำอำนาจให้กับระบอบทักษิณที่กำลังฟื้นคืนชีพ ยึดฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสภาล่าง, สภาสูง, คุมฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ที่ตัวจริงเสียงจริงของอำนาจคือ บ้านจันทร์ส่องหล้า...

ตอนนี้เหลือเพียงโจทย์ข้อใหญ่คือ ทำอย่างไรให้ ลูกสาวคนโปรดที่มีทั้งดีเอ็นเอพ่อและแม่อย่าง 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร โตได้ทัน มารับไม้ตำแหน่งนายกฯ จาก 'อานิด' เศรษฐา ทวีสิน ได้ทันในสมัยหน้า...

คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต...ก่อนที่จะไปลุ้นกันว่าสมชายและอุ๊งอิ๊งจะไปถึงเป้าวางหรือไม่...เฉพาะหน้ารอดูจุดเปลี่ยน 23 พ.ค. กรณี 40 สว. ปฏิบัติการสอยพิชิต ชื่นบาน ว่าจะลากเอาเศรษฐาตกเก้าอี้ไปด้วยหรือไม่...

บรรดาเกจิอาจารย์ฟันธงกันเป็นเสียงเดียวว่า  23 พ.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณาแน่ แต่เศรษฐายังไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่...แล้วจากนั้นอีกประมาณเดือนครึ่งไปรอฟังคำตอบ ใครรอดใครร่วง...

ประมวลข่าวประเมินสถานการณ์...ราคาต่อรองพิชิต โอกาสรอด 10 ไม่รอด 90 ส่วนนายกฯ รอด 51 ไม่รอด 49...

จาก 23 พ.ค. ไปโฟกัสกันวันที่ 29 พ.ค. ทักษิณ ชินวัตร ต้องไปฟังคำสั่งฟ้อง-ไม่ฟ้องคดีมาตรา 112 จากอัยการสูงสุด...ตอนนี้ราคาต่อรอง 60 ไม่ฟ้อง 40 ฟ้อง...

ดูตัวเลขพยากรณ์จาก 2 กรณีแล้วหลายคนอาจขัดอกขัดใจ เพราะถ้าเป็นไปตามนี้แปลว่าระบอบทักษิณยังไปต่อและมีแนวโน้มฮึกเหิมต่อไป...ทราบแล้วเปลี่ยน!!

วุฒิสภามีมติ 130 ต่อ 4 ไฟเขียว 'สมรสเท่าเทียม' มีผล 120 วันหลังประกาศราชกิจจานุเบกษา

(18 มิ.ย.67) การประชุมวุฒิสภาสมัยวิสามัญ มีวาระสำคัญ นั่นคือ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... หรือ ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว
.
ผลปรากฏว่า มติที่ประชุม 130ต่อ 4เสียง ให้ความ “เห็นชอบ” เพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมาย โดยมีผู้งดออกเสียง18เสียง โดยกฎหมายฉบับดังกล่าว จะมีผลใช้บังคับหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 120 วัน หรือประมาณช่วงปลายปีนี้ ทำให้ประเทศไทยจะถือเป็น ‘ประเทศแรก’ ในอาเซียนที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม และเป็นประเทศที่สามของเอเชีย ต่อจากไต้หวัน และเนปาล 

สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม จะถูกส่งไปยัง คณะรัฐมนตรี(ครม.) จากนั้นนายกฯ จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยความเห็นของสมาชิก อาทิ สว.คำนูณ สิทธิสมาน ในฐานะโฆษกคณะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะเป็นมิติใหม่ของสังคมไทย โดยเป็นกฎหมายที่มีความเป็นมาที่ต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 10 ปีจากกลุ่มบุคคลที่เราอาจไม่ได้สัมผัสกับเขาโดยตรง 

“ที่ผ่านมามีความพยายามจากสื่อมวลชนที่จะมาถามถึงความเห็นของวุฒิสภาว่ามีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไร ตนได้ตอบไปว่า ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน

“ขณะเดียวกันร่างกฎหมายที่เสนอเข้าสภา มีร่างหนึ่งที่เสนอจากภาคประชาชนโดยตรง ขณะที่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีเสียงคัดค้านแม้แต่เสียงเดียว ทั้งนี้แม้กระบวนการตามกฎหมายจะระบุให้วุฒิสภาแปรญัตติได้อย่างกว้างขวาง แต่ที่ผ่านมาวุฒิสภาก็ให้เกียรติในประเด็นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเป็นสำคัญ

“ในวาระแรกวุฒิสภา ก็ได้รับหลักการร่างที่ผ่านความเห็นจากสภาผู้แทนราษฎร ฉะนั้นการจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งทำให้หลักการของสภาผู้แทนราษฎรมีหลักการที่ถูกแก้ไขก็อาจจะกระทบกระเทือนกฎหมายทั้งฉบับ และอาจมีผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายในอนาคตหลังจากนี้ต่อไปวินาทีนี้เป็นวินาทีประวัติศาสตร์ว่าเขาจะบันทึกการทำงานของเราไว้อย่างไร การลงมติครั้งนี้แม้จะเป็นการลงมติกฎหมายฉบับหนึ่งแต่จะถือเป็นการลงมติในวินาทีประวัติศาสตร์จึงขอให้สมาชิกทุกท่านใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ”

สำหรับประเด็นสำคัญในกฎหมายฉบับดังกล่าว ระบุให้ ‘บุคคลสองคน’ (ทุกเพศ) สมรสกันได้ รวมทั้งได้รับสิทธิ อาทิ...

>> สิทธิรับรองการหมั้น/สมรสทุกเพศ เมื่ออายุ 18 ปี

การหมั้น จะทำได้ต่อเมื่อบุคคลทั้งสองฝ่ายมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์แล้ว และการหมั้นจะสมบูรณ์ได้ เมื่อฝ่ายผู้หมั้นได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่ผู้รับหมั้น เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับผู้รับหมั้นนั้น

อนึ่งเมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้รับหมั้น

สำหรับ สินสอด เป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายผู้หมั้นให้แก่ บิดา มารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองฝ่ายผู้รับหมั้น แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่ผู้รับหมั้นยอมสมรส

ส่วนกรณี การสมรส จะกระทำได้ต่อเมื่อบุคคลทั้งสองฝ่ายมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์แล้วเช่นเดียวกัน เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก แต่ในกรณีมีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้

เว้นแต่การสมรสกับบุคคลวิกลจริต คนที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ หรือบุคคลสองคนซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมาก็ดี และบุคคลที่ทำการสมรสขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่

>> คู่สมรสจัดการทรัพย์สินสมรสร่วมกัน
สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่คู่สมรสได้ทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นคู่สมรสกันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นคู่สมรสกันอยู่หรือภายในกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นคู่สมรสกันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอก ผู้ทำการโดยสุจริต โดยทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส นอกจากที่ได้แยกไว้เป็นสินส่วนตัว ย่อมเป็นสินสมรส

สินสมรส ใดที่มีเอกสารเป็นสำคัญ คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมกันในเอกสารนั้นก็ได้

>> คู่สมรสต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
(2) ก่อตั้งหรือกระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี
(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัวเพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา
(6) ประนีประนอมยอมความ
(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
(8) นำทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง

ทั้งนี้คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสที่เกินกว่าส่วนของตนให้แก่บุคคลใดได้

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสิทธิในการ ‘หย่า’ เมื่อได้จดทะเบียนสมรสแล้ว การหย่าโดยความยินยอมจะสมบูรณ์ได้ เมื่อคู่สมรสได้จดทะเบียนหย่า โดยเหตุฟ้องหย่า 10 กรณีอีกด้วย

สภาผู้แทนราษฎร มีมติท่วมท้นผ่านร่างกฎหมายประชามติ ส่งต่อให้วุฒิสภา โดยยึดหลักเพิ่มความคล่องตัว การมีส่วนร่วมของประชาชน และความเป็นธรรม คณะกรรมาธิการสว.พร้อมพิจารณา

เมื่อวันที่ (21 ส.ค. 67) การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …โดยผลการพิจารณามีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯดังกล่าวและมีมติเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯในวาระที่ 3 ด้วยคะแนนเสียง 409 เสียง จากทั้งหมด 410 เสียง โดยขั้นตอนต่อไปจะส่งร่างพระราชบัญญัติฯสู่การพิจารณาของวุฒิสภา

ร่างพระราชบัญญัติฯที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร มีการแก้สาระสำคัญใน 3 ประเด็นหลัก คือประการแรก เพิ่มความคล่องตัวในการทำประชามติ โดยเปิดให้สามารถจัดการออกเสียงประชามติในวันเดียวกันกับการเลือกตั้งทั่วไปอื่นได้ และใช้เขตลงคะแนนนั้น ๆ ในการดำเนินการได้

เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยกำหนดให้การออกเสียงกระทำได้ด้วยวิธีที่หลากหลาย ทั้งการใช้บัตรออกเสียงแบบปกติ การออกเสียงทางไปรษณีย์ การออกเสียงโดยเครื่องลงคะแนน การออกเสียงทางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือออกเสียงโดยวิธีอื่น

พร้อมกับมีการกำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องเปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมทั้งจากผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการออกเสียงนั้น

และสุดท้ายดเป็นการเพิ่มความเป็นธรรม โดยปรับเกณฑ์การได้ข้อยุติในการออกเสียง จากรูปแบบ “เสียงข้างมาก 2 ชั้น” ให้เป็น “เสียงข้างมากธรรมดา”ตามร่างของพรรคเพื่อไทย หรือ ตัดเงื่อนไขเกณฑ์ขั้นต่ำของผู้ออกมาใช้สิทธิ์ และคงไว้เพียงว่า“เสียงเห็นชอบ” ต้องเป็นเสียงที่มากที่สุดของผู้มาลงคะแนนเท่านั้น

นับว่าร่างพระราชบัญญัติฯดังกล่าว เป็นความเห็นร่วมกันของพรรคการเมืองทุกพรรคผ่านกลไกสภา เพื่อนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา กลุ่มสื่อมวลชนจากสงขลา ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ กล่าวว่า ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.ดังกล่าว โดยทางคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาพร้อมที่จะพิจารณาร่างดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยในทิศทางเดียวกัน เพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว ถือเป็นความสำเร็จในขั้นต้น เพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านกลไกการออกเสียงประชามติ ให้มีกติกาที่เป็นสากล และสอดคล้องกับบริบทในสังคมไทยมากขึ้นต่อไปในอนาคต

สภาฯ เดือด!! 'สว.สรชาติ' ชำแหละนโยบายรัฐบาลฯ

ที่ประชุมรัฐสภาฯ นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดหนองบัวลำภู ได้อภิปรายคณะรัฐมนตรีที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตาม ม. 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ

​​​​​​

ในฐานะสมาชิกรัฐสภา วันนี้รู้สึกดีใจที่ทางฝ่ายรัฐบาลยังพอมีเหลือนั่งฟังอยู่บ้าง ความเป็นจริงวันนี้ เพื่อนสมาชิกพูดคุยกันมาเยอะแล้ว 

แต่วันนี้จะขออนุญาตเอาสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ในนโยบายของท่านในหน้า 7 และหน้า 12 มาพูดคุยกับท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากจะให้เห็นภาพว่าการกำหนดนโยบายรัฐบาลนั้นมีใน 3 ส่วน ตั้งแต่การก่อร่างนโยบาย การกำหนดนโยบาย และการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ  

นโยบายเรือธงของท่านประธาน ฝากไปยังรัฐบาลมีประเด็นสำคัญ 3 ส่วนหลักๆ ที่สุด อยากจะพูดถึงสามนโยบายหลักๆ เพื่อที่จะให้เห็นภาพนั่นคือ นโยบายแรก Digital Wallet ซึ่งซ่อนในหน้าที่ 7 ได้การกระจายอำนาจในหน้าที่ 12 ส่วนมากทั้งหมดเป็นเรื่องของการคลัง เพราะคงไม่พูดเรื่องการคลัง คงไม่ใช่เพราะทั้งหมดนี้คือการคลังเข้ามาเกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายของรัฐบาลที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมเห็นการกำหนดก่อร่างนโยบาย Digital Wallet เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่จะรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งฯ นำเสนอว่าอยากจะทำ หลายๆท่านสงสัยว่านโยบายเหล่านี้ผ่านนโยบายรัฐบาลแล้วมาหาเสียงได้อย่างไร สุดท้ายก็ผ่าน กกต. รับรองให้ก็ดีใจด้วยที่สิ่งเหล่านี้ใด้เกิดขึ้น นั่นคือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นมาถึง ณ วันนี้ได้เกิดขึ้น 

ส่วนนโยบายเรือธงที่สอง เป็นนโยบายทางด้านเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งบอกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจได้มากมายมหาศาลทุกอย่างลงมาที่เรื่องเศรษฐกิจทั้งหมด รวมไปถึงนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ที่เกิดขึ้น แต่นโยบายนี้ซ่อนเร้นเอาไว้ ตอนรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ผมไม่ได้เห็นว่ารัฐบาลกล้าที่จะเอามาพูดคุยถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยประชาชนไม่ได้รับทราบมาก่อน แต่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นมา ถามว่าเกิดขึ้นมา ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่สมัย ปี 2546 หรือปี 2547 

พี่น้องชาวหนองบัวลำภู เตรียมพื้นที่รองรับเอาไว้แล้วที่บนภูเขา ที่หนองบัวลำภู สร้างถนนลาดยางขึ้นไปรองรับเพราะมุ่งหวังตั้งใจว่าเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ของเมืองไทย นั้นคงจะไม่แตกต่างจากมาเลเซีย อยู่ที่เก็นติ้งลักษณะอย่างนั้น เช่นเดียวกันวันนี้ผมเห็นกลับมาอีกครั้งหนึ่งในนโยบายเรือธงที่อยากจะทำหน้าที่ ที่ดีที่สุด 

และอีกนโยบายหนึ่งซึ่งไปซ่อนหน้า 12 ก็คือการกระจายอำนาจ การกระจายอำนาจเป็นแนวนโยบายแห่งรัฐแล้วท่านประธานไม่ใช่เป็นนโยบายที่ท่านบอกว่าท่านจะมาทำหน้าที่ตรงนี้ นโยบายแห่งรัฐตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ 40 แล้วมาเป็นกฎหมายเมื่อปี 2542 นั่นก็คือการกำหนดแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจ      

วันนี้ท่านมีหน้าที่อยู่ในส่วนของการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ท่านจะเสริมต่อนโยบายกระจายอำนาจอย่างไรต่างหาก ซึ่งผมเองก็ต้องขออนุญาตพูดถึงเรื่องคลังท้องถิ่น ในวันนี้ 3 ส่วน เพื่อจะได้เห็นภาพว่าการกำหนดนโยบายของท่านเป็นมาอย่างไรทั้ง 3 ส่วนนี้และจะนำไปแก้ปัญหาอย่างไรที่จะเกิดขึ้น 

นโยบายแรกนโยบาย Digital Wallet ในขณะที่รณรงค์กันนั่นพรรคการเมืองอื่นๆ เสนอแนวทางบัตรประชารัฐ ท่านก็นำเสนอตามมา แต่ก็ได้ผล เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ท่านนำเสนอขึ้นมา ไม่เป็นไรเพราะเป็นสิ่งที่ท่านคิดเอาไว้ก่อนแล้วท่านก็มากำหนดเป็นนโยบาย แต่ในการก่อร่างนโยบายนั้น ได้กลับไปมองดูพื้นฐานของสภาพัฒน์ฯ ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือกระทรวงการคลัง หรือไม่ ว่าเป็นขบวนการในการก่อร่างก่อนที่จะกลับมาเป็นการกำหนดนโยบาย

ขบวนการก่อร่างไม่ได้เห็นด้วยตั้งแต่เริ่มต้น หลายคนสงสัยมาตลอดสุดท้ายท่านบอกว่าจะแจกเงินให้กับกลุ่มเปราะบางก่อนและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ท่านบอกตรงตรงก็ได้ว่าต้องการเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสิ่งนี้มีอยู่แล้ว 14 ล้านคน คือ สิ่งที่ถูกต้องเพราะเชื่อว่าการจดทะเบียนบัตรประชารัฐในรอบสุดท้ายเป็นการกลั่นกรองที่ดีที่สุดของประชาชนกลุ่มเปราะบางและคนที่มีรายได้เพียงพอที่อยากจะเป็น   

ส่วนการที่ท่านจะเพิ่มสวัสดิการแห่งรัฐขึ้นมากับกลุ่มอื่นท่านก็สามารถกำหนดรายได้เนื่องจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมี 14 ล้านคน เพราะเราจำกัดที่ว่ามีปริมาณที่ดินเท่าไหร่ มีรายได้เท่าไหร่ ได้ 14 ล้านคน ส่วนท่านจะขยายกรอบขึ้นมามากขึ้นท่านสามารถเพิ่มรายได้ ได้แต่ไม่เห็นด้วยกับการที่ท่านต้องไปแจกทุกท่านแล้วทุกท่านก็ไม่อยากจะเห็นเรื่องพวกนี้ที่จะเกิดขึ้น

สุดท้ายเป็นนโยบายคลังท้องถิ่นที่อยากจะเสนอ วันนี้ ท่านมีหน้าที่ทำต่อจากกฎหมายแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจซึ่งเป็นแนวนโยบายแห่งรัฐ มีรัฐธรรมนูญมีในกฎหมายแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจอยู่แล้ว ท่านเมื่อไหร่จะออกกฎหมายคลังท้องถิ่นเพื่อจะแก้เงินท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้น 

เมื่อท่านมีโครงการขนาดใหญ่อย่างสนามบินสุวรรณภูมิ วันนี้รอบรอบสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งตอนนั้นท่านคิดว่าจะเป็นรัฐสุวรรณภูมิเกิดขึ้น ซึ่งร่างกฎหมายขึ้นมาไม่ผ่าน เงินเหล่านี้ไปตกที่รอบสุวรรณภูมิไม่รู้จะเอาไปทำปั้นวัวปั้นควายหรือสายไฟเทวดาต่างๆ เพียงพอเกินกว่าเหตุแต่ท่านมีกฎหมายว่าด้วยคลังท้องถิ่นเกิดขึ้น

โดยเฉพาะเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เกิดขึ้น 4-5 แห่งรอบๆ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ต้องทำหน้าที่ให้ท้องถิ่นรับเงินส่วนนั้น เพราะรัฐไปลงทุนให้ ออกกฏหมายเพื่อเก็บภาษีรอบๆ ท้องถิ่น แต่ไม่ส่งรัฐบาลกลาง แต่ส่งให้กับคลังท้องถิ่นกลาง เพราะคลังท้องถิ่นกลางทำหน้าที่กระจายเงินเหล่านี้ไปให้กับท้องถิ่นที่อยู่ห่างไกลซึ่งท้องถิ่นเหล่านี้ เขาไม่มีโอกาสใช้เงิน จากการที่รัฐบาลลงทุน เขาต้องได้รับเงินจากส่วนนี้เข้าไปทำ อมก๋อย หนองบัวลำภู สุวรรณคูหา ซึ่งท่านประธานทำหน้าที่เป็นนายอำเภอมาก่อน จึงรู้ว่าเขาไม่สามารถเก็บภาษีบำรุงท้องถิ่นได้อยู่แล้ว เพราะต้องอาศัยเงินจากคลังกลางท้องถิ่น 

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมอยากจะเสนอให้ท่านประธาน ไปยังรัฐบาลให้รีบออกกฎหมายคลังท้องถิ่นเพื่อกระจายเงินเหล่านี้รองรับเมกะโปรเจกต์ ของรัฐบาลเพื่อให้กับคนที่อยู่รอบรอบนอกได้มีโอกาสได้เงินไปพัฒนาไม่ใช่มีเงินเฉพาะการไปจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่ทั้งหมด แต่เงินไปสู่การพัฒนาไม่มีเลย นั่นคือสิ่งที่ผมนายสรชาติ สุวรรณพรหม สมาชิกวุฒิสภาในฐานะสมาชิกรัฐสภา ฝากถึงรัฐบาลชุดนี้...

วุฒิสภา ร่วมรับชมการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจำปี 2567

เมื่อวานนี้ (14 พ.ย.67) เวลา 19.00 นาฬิกา ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พร้อมด้วย นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง และสมาชิกวุฒิสภา ร่วมรับชมการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจำปี 2567 เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน 'พระจักราวตาร' โดยมีนางปัณณิตา สท้านไตรภพ รองเลขาธิการวุฒิสภา รักษาราชการแทนเลขาธิการวุฒิสภา และผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เข้าร่วม โอกาสนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ร่วมรับชมการแสดงดังกล่าว 

โดยหลังจากจบการแสดง ประธาน สภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา ให้เกียรติมอบช่อดอกไม้ แก่ผู้กำกับการแสดง ผู้ประพันธ์บท ครูผู้ฝึกซ้อมการแสดง นักดนตรี นักพากย์ และนักแสดงในชุดการแสดงดังกล่าวด้วย

โขนรามเกียรติ์ ตอน 'พระจักราวตาร' เป็นตอนที่แสดงกฤษฎาภินิหารของพระจักราหรือพระนารายณ์ ที่อวตารลงมาเป็นพระราม โอรสของท้าวทศรถ กษัตริย์แห่งกรุงอโยธยา เพื่อปราบฝ่ายอธรรม เปรียบประดุจพระราชวงศ์จักรีที่ผดุงความสุขความสงบให้กับพสกนิกรชาวไทยตลอดมา มีกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 7 พฤศจิกายน - 8 ธันวาคม 2567 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้นด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ที่ทรงส่งเสริมและสนับสนุนการแสดงโขน เพื่อสืบทอด ธำรงนาฏศิลป์อันทรงคุณค่าของชาติให้คงอยู่คู่สังคมไทย

ประธานวุฒิสภาต้อนรับคณะผู้เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาครูต้นแบบประชาธิปไตยวุฒิสภา ในโอกาสเยี่ยมชมวุฒิสภา

เมื่อวานนี้ (13 ธ.ค.67) เวลา 10.00 นาฬิกา ณ สถาปัตยกรรมเครื่องยอด อาคารรัฐสภา ชั้น 11 นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้เกียรตินำคณะผู้เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาครูต้นแบบประชาธิปไตยวุฒิสภา เยี่ยมชมวุฒิสภา ภายหลังเป็นประธานในพิธีปิดและมอบเกียรติบัตรแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ณ ห้องสัมมนา B1-1 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา โดยประธานวุฒิสภากรุณานำคณะเข้าชมสถาปัตยกรรมเครื่องยอด อาคารรัฐสภาและโถงพิธี ในการนี้ นางปัณณิตา สท้านไตรภพ นายสาธิต วงศ์อนันต์นนท์ ที่ปรึกษาด้านระบบงานนิติบัญญัติ และนายอธิภัทร พุกเศรษฐี ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์ ร่วมให้การต้อนรับด้วย

จากนั้น นายพีระพจน์ รัตนมาลี รองเลขาธิการวุฒิสภา ให้การต้อนรับคณะฯ ที่เข้าเยี่ยมชมห้องประชุมวุฒิสภา ณ ห้องฟังการประชุมสำหรับประชาชน ชั้น 4 โดยมีนายสาธิต  วงศ์อนันต์นนท์ ที่ปรึกษาด้านระบบงานนิติบัญญัติ ร่วมให้การต้อนรับ และคณะฯได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้องค์กรต้นแบบสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา โดยลำดับ

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ เวลา 09.00 นาฬิกา คณะฯ ได้เข้าสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 7 พร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์รัฐสภา ชั้น MB1


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top