Tuesday, 22 April 2025
วิชัยทองแตง

คุณวิชัย ทองแตง ประธานมูลนิธิหนึ่งน้ำใจ  กล่าวถึง งาน 'กวี คีตา อัมพวาเฟส'

คุณวิชัย ทองแตง ประธานมูลนิธิหนึ่งน้ำใจ กล่าวถึง งาน 'กวี คีตา อัมพวาเฟส' อีเวนต์ใหญ่ที่สะท้อนถึงยุคทองของวรรณคดีไทย
 

คุณวิชัย ทองแตง  ประธานมูลนิธิหนึ่งน้ำใจ  กล่าวต่อ ภาคีเครือข่ายเชียงใหม่ ร่วมใจขจัด PM 2.5 และลดโลกร้อน

คุณวิชัย ทองแตง ประธานมูลนิธิหนึ่งน้ำใจ กล่าวในโครงการ “หยุดเผา เรารับซื้อ”
 

เปิดใจ 'วิชัย ทองแตง' ลั่น!! ขอใช้ทั้งชีวิตจากนี้ตามรอย 'ศาสตร์พระราชา' พร้อมผุด 'หยุดเผา-เรารับซื้อ' แก้โลกเดือด แถมช่วยเกษตรกรมีรายได้ยั่งยืน

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ คุณวิชัย ทองแตง ทนายคนดังสู่มหาเศรษฐีของไทย ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในปัจจุบัน ในหัวข้อ 'บุกตลาดคาร์บอนเครดิต แก้ปัญหาโลกเดือด'

คุณวิชัย กล่าวว่า ในเรื่องสิ่งแวดล้อมจำเป็นต้องกระตุ้นเตือนในทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเดิมครอบครัวของตนเป็นครอบครัวที่ปลูกฝังเรื่องรักษาสิ่งแวดล้อมมายาวนาน โดยหลักง่ายๆ ที่วิชัยใช้สอนลูกหลาน คือ 4R ได้แก่ Rethink, Recycle, Reuse และ Reduce 

- Rethink ต้องคิดใหม่ว่าโลกใบนี้ห้อมล้อมเรา เราต้องอยู่กับโลกใบนี้ให้ได้ 
- Recycle การนำเอาวัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้งานแล้วมา 'แปรรูป' กลับเอามาใช้ใหม่ได้ 
- Reuse ง่ายกว่าเรื่องใดๆ เพียงแค่นำมาใช้ซ้ำอีกครั้งโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการอะไร 
- ส่วน Reduce พยายามใช้ทรัพยากรให้น้อยหรือลดการใช้ เมื่อมาถึงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องโลกร้อนธรรมดาแล้วแต่เป็นโลกเดือด

เมื่อถามว่า อะไรเป็นแรงผลักดันทำให้คุณวิชัยสนใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม? คุณวิชัยตอบว่า "ผมจะไม่เพิกเฉยกับเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้ ปัจจุบันครอบครัวเราได้ตั้งมูลนิธิหนึ่งน้ำใจขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ด้อยโอกาสตามชายแดน โดยปัจจุบันได้สร้างโรงเรียน 19 แห่ง ซึ่งล้วนเดินทางยากลำบากมาก 

"ขณะเดียวกัน ในช่วงตลอดระยะเวลา 19 ปี ที่ทีมงานของเราได้ขึ้นลงไปสำรวจในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่องนั้น ก็ทำให้ได้รับรู้ปัญหาอื่นที่ควบคู่ ผ่านความรู้สึกของชาวบ้านที่พูดถึงมหันตภัยสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ ซึ่งเราก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่พอจังหวัดเชียงใหม่เกิดปัญหามีค่าฝุ่น PM 2.5 ขึ้นอันดับหนึ่งของโลก ผมรับไม่ได้ เลยพูดคุยถึงแนวคิด 'โครงการหยุดเผา เรารับซื้อ' ซึ่งโครงการนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมองเห็นว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ชาวบ้านเผาป่า เราก็เลยคิดว่าทำอย่างไรให้ชาวบ้านหยุดเผา"

คุณวิชัย เผยว่า "วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้ คือ แปลงเป็นเงิน เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นไปในตัว โดยนำสิ่งที่จะเผา เช่น วัสดุทางการเกษตรทั้งต้นทั้งซังมาขายให้กับเรา ด้วยการให้นักธุรกิจในพื้นที่รวบรวมจากชาวบ้านแล้วส่งมาที่โรงงาน จากนั้นทางโรงงานก็จะแปรรูปเป็นชีวมวลอัดเม็ด (Biomass Pallets) ส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น"

คุณวิชัย มองว่า ตรงนี้ถือเป็นการสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยมองไปที่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีตลาดขนาดใหญ่และมีความต้องการสูงในเรื่องนี้ เช่น ประเทศญี่ปุ่นประเทศเดียวก็มีความต้องการ 10 ล้านตันต่อปีแล้ว และต้องการเซ็นสัญญายาวล่วงหน้า 20 ปี 

"หัวใจของธุรกิจนี้คือ ต้องมีวัสดุเหลือใช้มากพอเข้ามาป้อนโรงงาน จึงอยากให้นักธุรกิจในท้องถิ่นได้มีส่วนช่วยในการรวบรวมเศษวัสดุมาให้เรา ส่วนความคืบหน้าของโครงการฯ ตอนนี้เรามีหนึ่งโรงงานที่ อำเภอจอมทอง ส่วนโรงงานที่สองน่าจะเกิดขึ้นที่ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่"

คุณวิชัย เล่าอีกว่า "รู้สึกเสียดายที่โครงการนี้เกิดขึ้นได้ช้า เพราะหลักๆ เราใช้โมเดลที่ไม่ได้พึ่งพางบประมาณของรัฐบาลเลย โดยระดมทุนสร้างโรงงานมูลค่า 300 ล้านบาท รับซื้อแบบไม่จำกัด ซึ่งการรับซื้อก็ช่วยสร้างความยั่งยืนในระดับหนึ่ง แต่เราต้องเติมความยั่งยืนให้กับชาวบ้านอีกว่า เงินของชาวบ้านจะสามารถเพิ่มพูนงอกเงยขึ้นได้อีกอย่างไร...

"อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผมได้คุยกับทาง กฟผ. แล้ว ถ้าเราสามารถสร้างโรงงานพร้อมกันได้ 10 แห่ง ภายในปี พ.ศ. 2568 ปัญหาเรื่อง PM 2.5 ก็น่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งนอกจากทางภาคเหนือแล้ว ตอนนี้เรามีการขยายไปทางภาคใต้ด้วย เช่น การพัฒนาสนามกอล์ฟรูปแบบ Carbon Neutral ที่จังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นสนามกอล์ฟ Carbon Neutral อันดับที่ 2 ของเอเชียรองจากประเทศสิงคโปร์ และทีมงานยังได้ศึกษาต้นปาล์มด้วยว่าสามารถนำมาทำ Pallets ได้ไหมสรุปว่าสามารถทำได้ก็จะขยายความร่วมมือและต่อยอดต่อไป"

เมื่อถามถึงภาพรวมของตลาดคาร์บอนเครดิตในไทย? คุณวิชัยกล่าวว่า "องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีการเดินหน้าเป็นอย่างดี และมีการสร้างแพลตฟอร์มซื้อขายตลาดคาร์บอนเครดิตขึ้นเช่นกัน ผมได้เจอนักธุรกิจสิงคโปร์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากกองทุน 'เทมาเส็ก' หรือกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์ โดยกำลังทำแพลตฟอร์มด้านคาร์บอนเครดิตระดับเอเชีย จึงอยากขอให้ไทยมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งเขาก็ตอบรับและเข้ามาประชุมแล้ว เรียกว่ามีโอกาสสูงที่จะได้ร่วมมือกัน เพราะทางสิงคโปร์เองก็ต้องการคาร์บอนเครดิตอีกมาก ถือเป็นโอกาสของประเทศไทย"

เมื่อถามถึงทิศทางการเติบโตคาร์บอนเครดิตในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป? คุณวิชัยกล่าวว่า "ผมมองเห็นการเติบโต เราสามารถแปลงวิกฤตเป็นโอกาสและสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับเกษตรกรไทยทั่วประเทศได้ วัตถุดิบทางการเกษตรที่เหลือใช้หลายอย่างสามารถแปลงเป็นภาชนะที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมได้ ยกตัวอย่าง บริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อแบรนด์ 'เกรซ' สามารถนำวัสดุทางการเกษตรที่เหลือใช้ เช่น ซังข้าว, ข้าวโพด, อ้อย และอื่นๆ มาแปลงเป็น ถ้วยชาม หลอด รักษ์โลก เราจึงพยายามเชื่อมโยงบริษัทฯ นี้กับพื้นถิ่นที่เรากำลังจะสนับสนุนด้านคาร์บอนเครดิต...

"เมื่อก่อนเราผลิตเพื่อทดแทนพลาสติก แต่ไม่สามารถทดแทนได้หมดเนื่องจากราคาสูง ปัจจุบันสามารถทำราคาได้ใกล้เคียงกับพลาสติกแล้ว ต่างกันแค่ 20-30% และสามารถเคลมคาร์บอนเครดิตได้ สร้างความยั่งยืนได้ เมื่อย่อยสลายสามารถกลายเป็นปุ๋ยได้ และยังฝังเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นไว้ในผลิตภัณฑ์ทำให้กลายเป็นต้นไม้ได้อีก สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ ซึ่งเป็นความคิดของคนไทยที่น่าภาคภูมิใจ...

"ส่วนการขยายไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เกิดจากได้ทราบแนวคิดของโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ซึ่งจะเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยกับมาเลเซีย เลยมีแนวคิดนำคาร์บอนเครดิตลงไปแนะนำในท้องถิ่น ซึ่งถ้า SEC เกิดขึ้นจริง พื้นที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีศักยภาพสูงพอที่จะสามารถลงทุนพัฒนาได้ในอนาคต"

เมื่อถามถึงเรื่อง BCG? คุณวิชัย เผยว่า "เราสนใจมานานแล้ว นักธุรกิจควรเน้นเรื่อง ESG (Environmental, Social, Governance) เป็นหลักโดยเฉพาะกองทุน ESG ต้องเชื่อมโยงกับกองทุนเหล่านี้ให้เร็วที่สุด ซึ่งเราก็พึ่งเริ่มทำ โดยพยายามถ่ายทอดความรู้ในเรื่องนี้ในการบรรยายให้กับธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาดหลักทรัพย์ให้สนใจเรื่องนี้ เพื่อให้ธุรกิจนั้นเป็น ESG ด้วยหลักคิดง่ายๆ 4 ประการ ได้แก่ Net Zeo, Go Green, Lean เหลื่อมล้ำ, ย้ำร่วมมือ เป็นการสร้างคุณค่าใหม่ให้กับประเทศตาม Passion ของผม เกษตรกรต้องไม่จน"

เมื่อถามถึงความคืบหน้าจากโครงการ 'กวี คีตา อัมพวาเฟส' ที่ผ่านมา? คุณวิชัย กล่าวว่า โครงการนี้เกิดจากแรงบันดาลใจเนื่องจากตนเป็นเขยสมุทรสงคราม มีความผูกพันกับแม่น้ำแม่กลอง ชอบธรรมชาติและใส่ใจในสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์สร้างโมเดล Cultural Carbon Neutral Event แห่งแรกของไทยและของโลก ด้วยการจัด Event วัฒนธรรมและสอดแทรกเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้าไปด้วย 

"ผมอยากให้เกิดโมเดลแบบนี้ไปทั่วประเทศ จึงเกิดการต่อยอดโดยหลานทั้งสองของผม อายุ 16 ปีและอายุ 14 ปี ที่มีความคิดอยากทำตาม Passion ของปู่ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม Carbon Neutral ให้ยั่งยืนต่อเนื่องกับอัมพวาจริงๆ ก็เลยมีแนวคิดเปลี่ยนเรือในคลองอัมพวา จากเรือสันดาปใช้พลังงานน้ำมัน เป็นเรือใช้พลังงานไฟฟ้า โดยจะเริ่มจากคลองเฉลิมพระเกียรติ หรือคลองบางจาก ใน Concept Net Zero อัมพวา อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งหลานๆ เกิดความสำนึกต่อการรักษ์โลกใบนี้ก็ถือว่าเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งแล้ว...

"ขณะเดียวกัน ก็มี 'สวนสมดุล' ที่เกิดจากลูกชายคนเล็กของผม ที่ขอไปเป็นเกษตรกรตามรอยศาสตร์พระราชา ทุกตารางนิ้วในสวนเป็น Organic ทั้งหมด ไม่ใช้สารเคมีเลย โดยมุ่งหวังสร้างผลิตภัณฑ์มาตรฐานไทยขึ้นมาซึ่งคุณภาพไม่ได้ด้อยกว่าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เช่น ครีมอาบน้ำ น้ำยาล้างจาน เป็นต้น รวมถึงยังเลี้ยงผึ้งชันโรง และตั้งรัฐวิสาหกิจชุมชนอย่างแท้จริง"

เมื่อพูดถึงศาสตร์พระราชาถูกมาใช้ในการบริหารธุรกิจอย่างไร? คุณวิชัยกล่าวว่า "หลังจากผมประกาศว่าเมื่อผมอายุครบ 70 ปี อยากทำตาม Passion ตัวเอง 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ 1.เกษตร 2.การศึกษา 3.ร้านค้าปลีกโชห่วยที่ได้รับความเดือดร้อน ผมก็ได้เดินสายบรรยายไปทั่วประเทศ แต่ทุกครั้งที่เดินสาย ถ้ามีโอกาสผมจะพูดถึงปรัชญาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีความลึกซึ้งถ้าเรียนรู้และนำไปปรับใช้อย่างแท้จริงแล้ว เราจะไม่ได้เพียงการดำรงชีวิตที่อยู่ได้ แต่เรายังสามารถสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจที่ตัวเองทำ...

"ในหลวงท่านไม่ได้ปฏิเสธเรื่องเทคโนโลยี แต่แนวคิดท่านทำให้คนเริ่มบาลานซ์เทคโนโลยีกับวิถีชีวิตจริง วิถีเกษตรกรรมที่สามารถสร้างผลตอบแทนมาที่ตัวเราได้โดยไม่ต้องต่อต้านเทคโนโลยี แต่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ อย่างเด็กเกษตรที่ผมเคยบรรยายก็ได้ตระหนักถึงปรัชญานี้ ผมจึงมีโครงการมาตรฐานการเกษตรที่ชลบุรีบ้านเกิดผม โดยจะแนะนำเทรนด์เรื่องการบริหารฟาร์มและสร้างหลักสูตรที่เรียกว่า 'เกษตรหัวขบวน' เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมาให้เข้าใจเรื่องการบริหารจัดการฟาร์ม เข้าใจแผนงานการตลาดและความต้องการของตลาดในปัจจุบัน"

เมื่อถามถึงเป้าหมายสำคัญของ คุณวิชัย ที่สอดคล้องไปกับฉายา Godfather of Startup ว่าคืออะไร? คุณวิชัย เผยว่า ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าเด็กไทยเก่งมาก แต่ขาดเวทีในการแสดงความสามารถ ซึ่งตนประกาศว่ากำลังตามหายูนิคอร์นตัวใหม่ วันนี้จึงขอฝากถึงทุกภาคส่วน เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มากขึ้น เพื่อที่จะทำให้ไทยพบช้างเผือกในป่าลึก กล้าคิด กล้าทำ กล้านำเสนอ ซึ่งจะสร้างความภาคภูมิใจให้ประเทศไทยได้ในอนาคต ขณะเดียวกันก็ฝากถึงนักธุรกิจที่อยากประสบความ ก็ต้องยึดหลัก กล้าคิด กล้าทำ กล้ารับผิดชอบ ด้วย

"สิ่งหนึ่งที่เด็กไทยมักจะขาดก็คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในกระบวนการต่างๆ เช่น Collaboration, Connectivity, M&A ในการเริ่มต้นอย่าคิดว่าเก่งคนเดียวต้อง Collaboration ถ้าเก่งบวกเก่ง กลายเป็นซุปเปอร์เก่งเลย เราต้องทำให้สินค้าบริการให้ครบวงจร อย่ามอง Hedge Fund อย่างเดียว อาจไม่ยั่งยืน และต้องมีเป้าหมายยิ่งใหญ่ อย่าทำผ่านๆ ไป เป้าหมายจะไปที่ไหน ต้องเขียน Roadmap อย่างไร ถามว่าคุณวิชัยเคยล้มเหลวไหม คุณวิชัยตอบว่า เยอะมาก จำไว้เลยนะครับว่าไม่มีใครสำเร็จอย่างเดียว และไม่มีใครล้มเหลวอย่างเดียว ความล้มเหลว คือ บทเรียนที่คุ้มค่าให้เราเรียนรู้ได้เสมอ อย่ากลัวความล้มเหลว"

คุณวิชัย ฝากทิ้งท้ายบทสัมภาษณ์นี้อีกด้วยว่า "ประเทศนี้ให้ผมมาเยอะแล้ว ผมต้องสร้างคน สร้างธุรกิจใหม่ๆ พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า เพื่อคืนให้กับสังคม คืนให้กับประเทศชาติจนกว่าชีวิตผมจะหาไม่ ซึ่งเวลาผมไปบรรยายต้องให้ผู้ฟังช่วยปฏิญาณไปกับผมด้วยเสมอ คือ 1.เราจะไม่ใช้เทคโนโลยีเพื่อโกงหรือหลอกลวงผู้อื่น 2.เราจะเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดีมีคุณธรรม 3.เราจะแบ่งปันความรู้และโอกาสให้แก่ผู้ที่ด้อยกว่า เป็นสิ่งที่ผมอยากปลูกฝังระบบคุณธรรมให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไป"

‘วิชัย ทองแตง’ ชื่นชม!! ผลงานวิจัย ‘ทวารวดีมีชีวิตที่นครปฐม’ ฐานรากทางวัฒนธรรมกับการแปลงคุณค่าสู่มูลค่าของชุมชน

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 67 คุณวิชัย ทองแตง ประธานมูลนิธิ หนึ่งน้ำใจ One Love Foundation ให้เกียรติกล่าวแสดงความยินดี ในโอกาสร่วมพิธีเปิดงาน ‘ทวารวดีมีชีวิตที่นครปฐม’ จากฐานรากทางวัฒนธรรมกับการแปลงคุณค่าสู่มูลค่าของชุมชน ซึ่งมีท่านสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมเป็นประธาน และ ดร. วิรัตน์ ปิ่นแก้ว อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ให้การต้อนรับ

คุณวิชัย ทองแตง ประธาน มูลนิธิหนึ่งน้ำใจ One Love Foundation กล่าวว่า ขอชื่นชม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และจังหวัดนครปฐม ที่ได้ผลิตผลงานน่าสนใจมากมาย อันเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดนครปฐม จังหวัดใกล้เคียง และประเทศไทยอย่างมาก ผลงานต่าง ๆ เหล่านี้สามารถต่อยอดสู่เวทีระดับนานาชาติ เป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยอย่างยิ่งครับ

ภายในงาน ‘ทวารวดีนครปฐม : สร้างคุณค่า สร้างมูลค่า สร้างจิตสำนึกรักท้องถิ่น’ เป็นการแสดงผลงานวิจัย ภายใต้ทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในกรอบการวิจัย ‘การจัดการทุนทางวัฒนธรรมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนและสำนึกท้องถิ่น’ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกและเครือข่ายความร่วมมือในการอนุรักษ์ พัฒนา และสร้างสรรค์คุณค่าความสำคัญของอารยธรรมทวารวดีในจังหวัดนครปฐม ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการจากทุนวัฒนธรรมทวารวดีให้กับผู้ประกอบการ ผู้สืบทอด ผู้สร้างสรรค์ ทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน และสร้างจิตสำนึกรักท้องถิ่น

โดยมีพื้นที่ในการศึกษา ได้แก่ ชุมชนดอนยายหอม ชุมชนธรรมศาลา ชุมชนพระประโทณเจดีย์ ชุมชนพระปฐมเจดีย์ ชุมชนวัดพระงาม และชุมชนไร่เกาะต้นสำโรง มีกระบวนศึกษาที่สำคัญ คือ กระบวนการสร้างเครือข่าย การสร้างกระบวนการรับรู้ การตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของอารยธรรมทวารวดี วัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่ศึกษา ทั้งนี้เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และพัฒนาสู่ซอฟต์เพาเวอร์ (Soft Power) ของจังหวัดนครปฐม

ทั้งนี้ ติดตามรับชมบรรยากาศ คุณวิชัย ทองแตง ประธาน มูลนิธิหนึ่งน้ำใจ One Love Foundation ร่วมพิธีเปิดงาน ‘ทวารวดีมีชีวิตที่นครปฐม’ จากฐานรากทางวัฒนธรรมกับการแปลงคุณค่าสู่มูลค่าของชุมชน ได้ในรายการเกษตรช่อง 5 พัฒนาชุมชน ได้เร็ว ๆ นี้ ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 15.55 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ช่อง 5) ติดต่อประสานงานรายการได้ที่ รศ. ดร. จุรีย์รัตน์ ลีสมิทธิ์ (อจ. แมว) ผู้อำนวยการ ศูนย์ ‘หนึ่งใจ…ช่วยเหลือเกษตรกร’ มูลนิธิมิราเคิล ออฟไลฟ์

เปิดใจ 'มาเฟียสายขาว' ที่ Startup รุ่นใหม่ต้องรู้ หากหวังชนะใจ 'วิชัย ทองแตง' 'โปร่งใส-ทุ่มเท' พร้อมพาเฮเข้าตลาดใน 3 ปี แง้ม!! 'เฮลท์เทค' โอกาสรุ่งสูง

เชื่อได้ว่าหลาย ๆ คนที่กำลังทำบริษัทสตาร์ตอัปอยู่ คงอยากจะรู้ว่าคุณวิชัย ทองแตง เศรษฐีพอร์ตหุ้นระดับหมื่นล้าน ผู้ได้ฉายา 'มาเฟียสายขาว' แห่งวงการสตาร์ตอัปท่านนี้ จะอยากสนับสนุนใครบ้าง โดยช่วงหนึ่งที่คุณวิชัย เคยแชร์ไว้ในงาน Beartai Best Buy ผ่านหัวข้อ The Money For Startup ระบุว่า…

“จริง ๆ คนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เริ่มถอยห่างจากการเป็นพนักงานกินเงินเดือนมาเป็นเจ้าของธุรกิจ อยากจะทดสอบและใช้ความรู้ความสามารถของตัวเอง เดินอยู่บนเส้นทางที่ตัวเองเป็นผู้กําหนด ซึ่งผมก็มองเห็นว่าศักยภาพของคนรุ่นใหม่ และคิดว่าเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย จึงได้ตัดสินใจเข้าไปช่วยส่งเสริม ผลักดัน ให้คำแนะนำ และในบางบริษัทก็เข้าไปร่วมลงทุนด้วย”

คุณวิชัยได้กล่าวถึงเป้าหมาย ขอบเขต และอนาคตของสตาร์ตอัปในมุมมองของตัวเองว่า “คำว่า ‘สตาร์ตอัป’ ในความหมายของผม ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ IT เท่านั้น แต่รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ด้วย แต่ที่ให้น้ำหนักกับธุรกิจ IT มากนั้น บอกตรง ๆ เลยว่าเวลาเราดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ ‘ตัวคูณ’ เยอะ และเป้าหมายการลงทุนของผม ในทุก ๆ การลงทุน จะมองไปยังเป้าหมายสุดท้ายคือเรื่องการเข้าตลาดทุนอยู่เสมอ”

“ผมเชื่อมั่นว่าสตาร์ตอัปสาย ‘เฮลท์เทค’ หรือธุรกิจสายสุขภาพในประเทศไทย สามารถเติบโตและก้าวเป็นผู้นำในระดับนานาชาติได้ ฉะนั้นผมจึงเปิดกว้างสำหรับสตาร์ตอัปที่มีแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบของการทำธุรกิจทางด้านสุขภาพ เพราะผมเชื่อว่าอย่างไรแล้วก็ไม่มีวันตกเทรนด์ สามารถเติบโตได้  และหากทำสำเร็จก็จะยั่งยืน เป็นจุดแข็งของประเทศได้เลย”

คุณวิชัยยังได้เผยถึงขั้นตอนการเข้าพบ เพื่อนำเสนอไอเดียธุรกิจ และเกณฑ์การตัดสินใจไว้ว่า “การเข้ามาพูดคุยกับผม เรียนตามตรงว่าจะยุ่งยากสักหน่อย ขั้นตอนแรกก็ต้องผ่านผู้ช่วยของผมก่อน 2 ท่าน หากผู้ช่วยเห็นว่าเหมาะสมและดูมีโอกาสเป็นไปได้ในอนาคต ก็จะพาเข้ามาพรีเซ็นต์กับผม”

“ส่วนเรื่องเกณฑ์การตัดสินใจก็คือ ‘ความถูกใจ’ ผมจะมองถึงเรื่องความคิดใหม่ ๆ ที่ผ่านการทุ่มเทมามากพอสมควร เพราะคนที่จะเข้ามาทำสตาร์ตอัปได้นั้น หากขาดความอดทน ทุ่มเทอย่างแท้จริง ก็ยากที่จะทำได้ ไม่ว่ากับธุรกิจใด ๆ ก็ตาม” คุณวิชัยกล่าว

นอกจากนี้ คุณวิชัยยังได้กล่าวถึงการพาธุรกิจสตาร์ตอัปที่ผ่านเกณฑ์เข้าตลาดทุน แม้ว่าเจ้าของธุรกิจนั้น ๆ ไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการเข้าตลาดทุนว่า “ก่อนอื่นคือต้องปรับจูนความเข้าใจ ให้เห็นตรงกันก่อน ว่าการจะเดินเข้าสู่ตลาดทุนได้ ต้องมีการปรับตัวเอง เพราะมีกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างชัดเจน แต่หัวใจหลักใหญ่ก็คือ ‘ต้องโปร่งใส’ ไม่ว่าจะทําธุรกิจอะไรก็ตาม ต้องคํานึงถึงความโปร่งใส ไม่เอาเปรียบ…

“อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เวลาผมจะลงทุนในธุรกิจใดก็ตาม สิ่งที่มองเป็นหลักสำคัญคือหากเอาเข้าตลาดทุน ต้องมองไปที่อนาคตว่าสามารถไปต่อได้หรือไม่? ธุรกิจนั้นมีอุปสรรคหรือมีข้อขัดข้องอะไรบ้าง หรือมีคู่แข่งมากเกินไปหรือไม่? ซึ่งตอนนี้ผมกําลังพยายามที่มอบความรู้เหล่านี้ให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มทำสตาร์ตอัปอยู่…”

สุดท้าย คุณวิชัยได้ทิ้งท้ายเกี่ยวกับระยะเวลาพาบริษัทสตาร์ตอัปเข้าตลาดหลักทรัพย์ไว้ว่า “กว่าจะเข้าตลาดทุนได้นั้น ใช้เวลาปกติประมาณ 3 ปี แต่ก็มีโอกาสเร็วกว่านั้นหากว่ามีจังหวะที่เหมาะสม ธุรกิจนั้น ๆ แมตช์กับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้ โดยมีทิศทางที่สอดคล้องกัน และสามารถไปด้วยกันได้ เพื่อให้ธุรกิจนั้น ๆ แข็งแรงและเติบโตได้ตามความฝันของคนรุ่นใหม่”

หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กของท่าน ‘ทนายวิชัย ทองแตง’ เห็นว่ามีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์จึงนำมาแบ่งปันเป็นข้อคิด สอดรับกับกระแสความร้อนแรงของทนายโซเชียล! ซึ่งกระทบภาพลักษณ์ทนายความอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

(7 พ.ย. 67) นายประกิจ เพชรรัตน์ อดีตประธานสภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 67 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า วันนี้ผมมีเวลาหยิบหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กของท่านทนายวิชัย ทองแตง “เคล็ดลับความสำเร็จของทนายมือทอง” ซึ่งได้อ่านมา 2-3 รอบแล้ว เห็นว่ามีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์จึงนำมาแบ่งปันเป็นข้อคิดให้กับผู้สนใจในบางตอน สอดรับกับกระแสความร้อนแรงของทนายโซเชี่ยล! ซึ่งสร้างความสั่นคลอนและเป็นหลุมดำกระทบภาพลักษณ์และวิกฤตศรัทธาของประชาชน สังคม ต่อองค์กรสภาทนายความอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนครับ!!

สำหรับ “เคล็ดลับความสำเร็จของทนายมือทอง” มาจากหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กชื่อ จากทนายความมือทอง สู่เซียนหุ้นหมื่นล้าน  ‘ลงทุนสไตล์ วิชัย ทองแตง’ ไขรหัสลับสู่ความสำเร็จ The Last Masterpieces ที่ถ่ายทอดความลับ การลงทุนหมื่นล้าน! ของ ‘คุณวิชัย ทองแตง’ เจ้าของฉายานักเทคโอเวอร์หมื่นล้าน นักลงทุนหุ้น เทิร์นอราวด์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยติดอับดับมหาเศรษฐีหุ้นอันดับ 5 ของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันได้หันมาให้ความสำคัญกับการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ตอัปให้เติบโต จนได้ฉายาใหม่ว่า ‘godfather of startup’ หรือแปลเล่น ๆ ว่า ‘พ่อทูนหัว’ ของวงการสตาร์ตอัปนั่นเอง

‘วิชัย ทองแตง’ บรรยายพิเศษ ผลักดัน!! นวัตกรรมงานวิจัย เน้น!! ต่อยอดเศรษฐกิจให้เกษตรกร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

เมื่อวานนี้ (24 ม.ค. 68) คุณวิชัย ทองแตง  The Godfather Of  Startup ร่วมบรรยายพิเศษกับ สวก. ในกิจกรรม ‘ปั้นงานวิจัย ให้โตไวเชิงพาณิชย์’ 

โดยมี ดร.วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร พร้อมด้วย นางสาวศิริกร วิวรวงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร คณะอนุกรรมการการพัฒนาธุรกิจและการลงทุน และคณะผู้บริหารจาก ARDA เข้าร่วมกิจกรรมฯ ณ ห้องประชุม 904 อาคารวิทยบริการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน

กิจกรรมนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง ARDA กับ บริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TV Direct เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ ARDA ที่ต้องการการส่งเสริม การเชื่อมโยง และการเข้าถึงคู่ค้าที่สำคัญทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการขยายตลาดที่มีผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายและสามารถเชื่อมโยงได้ทุกมิติของการตลาด โดยได้รับโอกาสเติบโตทางธุรกิจ ไปกับ TV Direct 

กิจกรรมในงานประกอบด้วย ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ‘ปั้นงานวิจัย ให้โตไวเชิงพาณิชย์’ โดยได้รับเกียรติจาก คุณวิชัย ทองแตง ประธานมูลนิธิหนึ่งน้ำใจ และการบรรยายพิเศษ เรื่อง ‘LOCAL TO GLOBAL’ จากหิ้งสู่ห้าง โดย คุณวรสิทธิ์ ลีลาบูรณพงศ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ทีวีดี โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ ได้มีการแลกเปลี่ยน ‘แนวคิดทางธุรกิจ ประสบการณ์ตรงจากกูรูเชิงลึกการตลาด’ และ ‘การนำเสนอผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการ ARDA กับ TV Direct’ จำนวน 28 บริษัท อาทิ เครื่องดื่มข้าวสินเหล็ก ตรา วีไลท์ นมเม็ดมะม่วงหิมพานต์เผา ตรา แคซเซียส ผลิตภัณฑ์สำหรับลดการหลุดร่วงของเส้นผม ตรา หยดสังข์ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปูนา ตรา crabhouse ระบบฟาร์มปลูกผักปลอดภัยด้วยระบบ LED ของบริษัท ซีวิค อะโกรเทค จำกัด เป็นต้น

การจัดกิจกรรมนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ ARDA ในการร่วมผลักดันนวัตกรรมงานวิจัยจาก ARDA สู่การต่อยอดใช้ประโยชน์เพื่อสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม เสริมรายได้ให้แก่เกษตรกรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ นับเป็นหนึ่งในแนวทางการขับเคลื่อนภาคการเกษตรให้กับประเทศไทยเกิดเป็นผลกระทบที่ดีให้กับกลไกตลอดห่วงโซ่ของการวิจัยได้อย่างเป็นรูปธรรม

โปรดเกล้าฯ ‘วิชัย ทองแตง’ นักธุรกิจมากประสบการณ์ นั่งนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง ‘วิชัย ทองแตง’ ให้ดำรงตำแหน่ง นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

เมื่อวันที่ (25 มี.ค. 68) ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก โดยข้อความระบุว่า

ตามที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีคำสั่ง ที่ ๓๙/๒๕๕๕๙ เรื่อง การจัดระเบียบ
และแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๙ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการโดยคำแนะนำของคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้มีคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการที่ สกอ. ๑๔๕๒/๒๕๕๙ เรื่อง ให้ผู้ดำรงตำแหน่งพันจากตำแหน่งหน้าที่และแต่งตั้งบุคคลให้ปฏิบัติหน้าที่ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ลงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ และ ที่ สกอ. ๑๓๑/๒๕๖๐

เรื่อง แต่งตั้งบุคคลในคณะบุคคลปฏิบัติหน้าที่แทนสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก(เพิ่มเติม) ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๐ โดยให้ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภารสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันที่มีคำสั่งนี้ใช้บังคับพ้นจากตำแหน่งหน้าที่และแต่งตั้งคณะบุคคลปฏิบัติหน้าที่แทนสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก นั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ (๑) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่ประชุมคณะกรรมการปฏิบัติหน้าที่แทนสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๓ ได้มีมติเห็นชอบให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายวิชัย ทองแตง ดำรงตำแหน่ง นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก แต่โดยที่ได้มีกรณีร้องเรียนเกี่ยวกับการแต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัยดังกล่าว ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้พิจารณาข้อร้องเรียนแล้วเห็นว่า การดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องแล้ว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจึงขอให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งตั้งต่อไป

บัดนี้ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งบุคคลดังกล่าว ให้ดำรงตำแหน่ง
นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๘

ประกาศ ณ วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๘

‘วิชัย ทองแตง’ เชื่อมั่นคนไทยรับมือสงครามการค้าได้ ยก ‘ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง’ ของในหลวง ร.9 คือหนทางพ้นวิกฤต

เมื่อวันที่ (16 เม.ย. 68) นายวิชัย ทองแตง นักธุรกิจและนักลงทุนชื่อดัง ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการขึ้นภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมการเตรียมรับมือ TRUMP WAR ว่า…  
ผมติดตามข่าวสารการเมืองในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่ Donald Trump สามารถช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี มาครองได้เป็นครั้งที่ 2 คนทั่วไปเรียกปรากฏการณ์ครั้งนี้ว่า เป็น Trump 2.0 

ทว่า ปรากฎการณ์ครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่วโลก เมื่อ Trump ได้ประกาศ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ให้ขึ้นภาษีศุลกากร (Tariff) จนช็อคไปทั้งโลก ครอบคลุม 185 ประเทศทั่วโลกจาก 193 ประเทศ กล่าวขานกันว่ากลายเป็น TRADE WAR ที่เข้มข้นรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ทำให้ตลาดหุ้น รวมทั้งตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกร่วงอย่างหนัก ทุกประเทศต้องปรับตัวและปรับกลยุทธเพื่อความอยู่รอด ที่กระทบุรุนแรงที่สุดน่าจะเป็น ประเทศจีน ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ แม้ Trump จะมีประกาศเลื่อนเวลาออกไป 90 วัน นับแต่วันที่ 8 เมษายน 2568 สะท้อนให้เกิดการปรับตัวขึ้นของตลาดฯ แต่ก็ยังไม่สามารถคลายกังวลได้ว่า สถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คำถามที่ดังที่สุดที่ทั่วโลกกังวลคือ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หรือไม่ และสภาวะเช่นนี้จะดำรงอยู่ยาวนานขนาดไหน "บางคนคิดเลยเถิดไปถึงว่า สงครามการค้านี้จะก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ 

ในฐานะที่เคยเป็นนักธุรกิจ ที่คร่ำหวอดในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้มายาวนานปัจจุบันแม้จะล้างมือไปแล้วเมื่อตอนอายุครบ 70 ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงประเทศชาติอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน ผมจึงได้สั่งให้ทีมงานติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และต้องยอมรับว่าวิกฤติครั้งนี้มันน่าห่วงจริง ๆไม่น่าเชื่อว่าคนชื่อ Trump เพียงคนเดียว จะสามารถสร้างความปั่นป่วนโกลาหลให้เกิดขึ้นกับโลกทั้งใบได้เพียงคำกล่าวไม่กี่ประโยค 

คนไทยพร้อมรับมือมั้ยครับ ? ส่วนตัวผมยังเชื่อว่า คนไทยยังขาดความพร้อมหลายด้านโลกการเงินมันซับซ้อนครับ ยิ่งเราเป็นประเทศเล็ก อำนาจต่อรองมีไม่มาก ความสามามารถในการแข่งขัน(Competitiveness) ของเรายังไม่แกร่งพอ ต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกอยู่ไม่ใช่น้อย ในท่ามกลางโลกแห่งเทคโนโลยี ที่ AI กำลังมา Disrupt เกือบทุกสิ่งอย่างบนโลกใบนี้ เมื่อมาประจวบเหมาะกับ TRUMP WAR จะยิ่งทำให้เราป้องกันตัวได้ยากขึ้นในการวางแผนเผชิญวิกฤติ 

ทุกท่านอย่าเพิ่งสิ้นหวังนะครับ ประเทศไทยยังมีจุดแข็งบางอย่างที่ทำให้เราหลุดพ้นวังวนที่เชี่ยวกรากเหล่านั้นได้ ขอเพียงมี "สติ" 

ยังพอจำกันได้มั๊ยครับ ในช่วงวิกฤติการเงินในเอเชีย เมื่อปี พ.ศ.2540 ประเทศไทยได้น้อมนำเอา "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาใช้ในการแก้ปัญหา ทำให้เราผ่านวิกฤตินั้นมาได้ อันที่จริงพระองค์ท่านตรัสไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2517 แล้วครับ ปรัชญานี้ยังคงดำรงอยู่ เป็นแก่นแกนอยู่กลางใจพสกนิกรชาวไทยทุกคน ลองไปหาอ่านกันดูอีกครั้งนะครับ เป็นหลักปรัชญาที่ทำให้พวกเราเข้าใจการดำเนินชีวิตแบบทางสายกลางโดยตั้งอยู่บนหลักสำคัญสามประการ คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้นกันกันที่ดีความสนใจของผม ทำให้ผมยอมรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์ "มูลนิธิครอบครัวพอเพียง" เพื่อสนับสนุนส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้เข้าใจปรัชญานี้ และประพฤติปฏิบัติตนตามครรลองอย่างเหมาะสม จนท่านดร.จงรักษ์ วัชรินทร์รักษ์ อดีตอธิการบดี แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ผู้ล่วงลับ) ได้ให้เกียรติเรียนเชิญเป็นผู้บรรยายวิชา "ศาสตร์แห่งแผ่นดิน" ในช่วงปฐมนิทศนักศึกษา 

ผมและครอบครัวยึดถือ และนำเอาหลักปฏิบัติของปรัชญานี้ มาใช้อย่างต่อเนื่องและยาวนานแล้วครับ อยากให้รัฐบาลน้อมนำมาสื่อสาร ถ่ายทอดอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง จะเป็นการดีมากอย่างน้อยฉุดรั้งและตักเตือนให้คนไทยมีสติ มีความหวัง ไม่ตื่นตระหนก หวาดกลัวต่อสงครามอารยะแบบไร้อารยะ ที่มนุษย์บางประเภทกำลังเบ่งพองซึ่งอำนาจของตน

พี่น้องครับ ลูกหลานครับ การประกาศ TRUMP WAR ครั้งนี้ ได้ให้บทเรียนสำคัญแก่เราอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสนามรบ หรือ สนามการค้า ทุกอย่างล้วนมาจากเป้าหมายเรื่อง เงินและผลประโยชน์ ถามว่า ประเทศไทย และปวงชนชาวไทย ปรารถนาเช่นเดียวกันนี้หรือเปล่า อย่าลืมว่าเรามี"ภูมิคุ้มกัน" ที่พ่อหลวงทรงสังสอนเป็นแนวปฏิบัติที่ส่งผลต่อความผาสุกและยังยืน เชื่อหรือไม่ครับ ลูกชายคนเล็กของผมเรียนจบด้านธุรกิจากมหาวิทยาลัย ABAC แต่เขาเลือกทางเดินชีวิตของเขาเอง ด้วยการมาขออนุญาตคุณพ่อ คุณแม่ว่า เขาขอเป็นเกษตรกร... เน้นด้วยว่า บนแนวทาง "ศาสตร์พระราชา" คุณแม่เขาบอกว่า เราต้องยอมเขาเลยนะพ่อ เชื่อได้ว่าเขาจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เพราะเขาจะอยู่กับธรรมชาติและความพอเพียง โดยเหตุนี้ "สวนสมดุล" จึงก่อกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.พ.ศ. 2562 เขาทุ่มเทใส่ใจต่อแปลงวนเกษตร ที่ปลอดจากสารเคมีทั้งปวง พร้อมเปิดร้านกาแฟ ออแกนิก เล็ก ๆ อยู่อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ริมแม่น้ำแม่กลอง โดยขอย้ายสำมะโนครัวจากการเป็นคนคนกรุงเทพ ไปเป็นคนแม่กลอง และเปิดวิสาหกิจชุมชนเล็ก ๆ ร่วมกับชาวบ้านที่นั่น 

วันนี้เขาค้นพบว่า "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" คือ ปรัชญาที่ดีที่สุดที่จะช่วยจรรโลง และผดุงสังคมไทยให้ปลอดภัย และเป็นสุข ไม่ว่าวิกฤตจะเกิดขึ้นสักกี่ครั้งก็ตาม 

ฝากทุกท่านให้ศึกษาและทำความเข้าใจให้ถ่องแท้นะครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top