Monday, 9 June 2025
ราคาน้ำมัน

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 6 - 10 ก.พ. 66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ พร้อมแนวโน้ม 13 - 17 ก.พ.66

ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent และ NYMEX WTI เฉลี่ยสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น จากความกังวลว่าอุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มตึงตัว หลังนาย Alexander Novak รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย เผยแผนลดการผลิตน้ำมันดิบในเดือน มี.ค. 66 ลง 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 5% ของปริมาณการผลิตของรัสเซีย เพื่อตอบโต้ชาติตะวันตกที่ออกมาตรการตั้งเพดานราคาน้ำมัน (Price Cap) จากรัสเซียซึ่งขนส่งทางทะเล ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. 65 พร้อมทั้งกล่าวย้ำว่าจะไม่จำหน่ายน้ำมันให้แก่ชาติที่เข้าร่วมมาตรการ Price Cap น้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจากรัสเซียทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้ รัสเซียผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ก.พ. 66 อยู่ที่ 10.93 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ผลิตคอนเดนเสทประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน)

ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยธนาคาร Australia and New Zealand Banking Group Ltd. (ANZ) ของออสเตรเลียชี้ว่าอุปสงค์น้ำมันของจีนที่ฟื้นตัว หลังยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ที่ดำเนินการอย่างเข้มงวดมานานกว่า 3 ปี จะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาน้ำมันโลกในปีนี้ ทั้งนี้ ANZ คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันของจีนในปี 66 จะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า หรือประมาณ 50% ของอุปสงค์โลกซึ่งจะเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า ขณะที่เลขาธิการ OPEC นาย Haitham al-Ghais คาดว่าอุปสงค์น้ำมันโลกในปี 66 จะอยู่ที่ 102 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 และจะเติบโตสู่ 110 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในปี 68

สัปดาห์นี้คาดว่าราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 83 - 88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยนาย Haitham al-Ghais คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent จะแตะระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในปี 66 ขณะที่นาย Afshin Javan ผู้แทนอิหร่านประจำ OPEC คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในช่วงครึ่งหลังของปี 66

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 13 - 17 ก.พ.66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ พร้อมแนวโน้ม 20 - 24 ก.พ.66

ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent และ NYMEX WTI เฉลี่ยสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น จากอุปสงค์น้ำมันโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว โดย IEA รายงานอุปสงค์น้ำมันโลกในปี 65 เพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 99.96 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ปรับเพิ่มจากประมาณการณ์ครั้งก่อน 0.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน) และคาดการณ์ในปี 66 เพิ่มขึ้น 1.96 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 101.92 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ปรับเพิ่มจากครั้งก่อน 0.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน) จากอุปสงค์ของจีนฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดยคาดว่าปี 66 อุปสงค์จีนจะเพิ่มขึ้น 0.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า (เกือบครึ่งของอัตราการเติบโตของอุปสงค์โลก) มาอยู่ที่ 15.91 ล้านบาร์เรลต่อวัน และชี้ว่าการเปิดประเทศของจีนจะกระตุ้นการบิน ผลักดันให้อุปสงค์ Jet/Kerosene ของโลกในปี 66 เพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 7.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็น 90% ของอุปสงค์ในปี 62 ก่อนเกิด COVID-19

อย่างไรก็ตาม ตลาดกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve: Fed) หลังตัวเลขทางเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีขึ้น อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ (Consumer Price Index: CPI) ซึ่งบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อ ในเดือน ม.ค. 65 อยู่ที่ 6.4% ต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี ขณะที่ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) สัปดาห์สิ้นสุด 11 ก.พ.  66 ลดลง 1,000 ราย จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 194,000 ราย ซึ่งจะทำให้ Fed อาจเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง ล่าสุด ผลสำรวจจาก Reuters คาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับปัจจุบัน สู่ระดับ 4.75 – 5.0% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ในเดือน มี.ค. 66 ขณะที่ Bank of America (BoA) คาดการณ์ว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งละ 0.25% ในเดือน มี.ค. 66 และเดือน มิ.ย. 66 สู่ระดับ 5.25-5.50% ซึ่งจะกดดันเศรษฐกิจและราคาน้ำมัน โดยทางเทคนิค สัปดาห์นี้คาดว่าราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 82 - 87 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

‘รสนา‘ ยัน ข้อเสนอลดราคาน้ำมันของ ‘มิ่งขวัญ‘ ทำได้จริง เห็นด้วย ปรับโครงสร้างน้ำมันให้เหลือแค่ เบนซิน-ดีเซล

(23 ก.พ. 66) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านพลังงาน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ‘รสนา โตสิตระกูล‘ หัวข้อ ‘ข้อเสนอลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาท และลดดีเซลลง 6 บาทของมิ่งขวัญ เป็นไปได้หรือไม่ หรือแค่หาเสียง ?!?‘ โดยเนื้อหาระบุว่า...

ข้อเสนอการปรับราคาน้ำมันของ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ สร้างความแตกตื่นให้กับวงการพลังงาน ทั้งกลุ่มทุนพลังงาน และนักการเมืองฟากฝั่งรัฐบาล ที่ได้รับการอุ้มชูโดยกลุ่มทุนพลังงาน ต้องคัดค้านกันอย่างแข็งขันเป็นแน่

ต้องถือว่า คุณมิ่งขวัญ กล้าเสนอและถ้าจะทำให้ได้จริง ต้องมีการปรับนโยบายแบบ 360 องศากันเลย อยู่ที่ลุงป้อมผู้นำพรรค พปชร. จะกล้าออกมาประกาศเป็นเจตจำนงทางการเมืองอย่างจริงจังหรือไม่ หรือเป็นแค่นโยบายหาเสียงแบบตีหัวเข้าบ้านเหมือนพรรคอื่นในอดีตที่เคยประกาศจะยกเลิกกองทุนน้ำมัน แต่พอได้รับเลือกตั้ง ก็ยอมลดราคาเป็นโปรโมชันให้ 3-4 เดือน แล้วก็กลับมาใช้บริการกองทุนน้ำมันเหมือนเดิม

ดิฉันลองดูราคาที่คุณมิ่งขวัญเสนอ ถ้าจะทำจริง ดิฉันว่าสามารถทำได้ แต่ต้องจัดการหลายอย่าง เช่น หนี้สินในกองทุนน้ำมัน และการแก้ปัญหาเกษตรกรเรื่องน้ำมันชีวภาพ รวมทั้งภาษีน้ำมันที่รัฐบาลเสพติดเพราะได้มาง่าย ๆ เหมือนเปิดก๊อกน้ำ ที่สำคัญจะกล้าดึงอ้อยจากปากช้างกลุ่มผูกขาดพลังงานที่เป็นรัฐซ้อนรัฐตัวจริง ได้หรือไม่

ดิฉันขอคิดตามข้อเสนอคุณมิ่งขวัญโดยละปัญหาต่าง ๆ ไว้ให้พรรคที่ประกาศนโยบายนี้ ถ้าได้เป็นรัฐบาลต้องไปจัดการแก้ไขเพื่อขจัดอุปสรรคต่อนโยบายปรับโครงสร้างพลังงานเอาเอง

ที่ประกาศลดราคาเบนซิน 95 ลง 18.07 บาท/ลิตร จากราคา 44.06 บาท/ลิตร (ข้อมูลราคาวันที่ 17 ก.พ. 2566) เหลือราคาขายปลีกที่ 25.99 บาท/ลิตร และลดราคาดีเซลที่ราคา 34.44 บาท/ลิตรลง 6.37 บาท/ลิตร เหลือราคาหน้าปั๊มที่ 28.07 บาท/ลิตรนั้น

โครงสร้างราคาน้ำมันที่เป็นธรรม (ใช้ราคา 17/2/66) ส่วนที่จะปรับลดลง สามารถทำได้ดังนี้

1.) เนื้อน้ำมันเบนซิน 95 ราคาหน้าโรงกลั่น 22.28 บาท/ลิตร (ซึ่งเป็นราคาสมมติว่านำเข้าจากสิงคโปร์ซึ่งมีต้นทุนที่ไม่ได้จ่ายจริงคือค่าขนส่ง ค่าประกันภัย ค่าสูญเสียระหว่างทาง) ถ้าเปลี่ยนมาใช้ราคาหน้าโรงกลั่นเป็นราคาเดียวกับที่เอกชน 'ส่งออก' จะลดราคาลงได้ประมาณ 2 บาท/ลิตร

2.) ค่าการตลาดที่เหมาะสมสำหรับเบนซินลิตรละ 2 บาท (วันที่ 17/2/66 ค่าการตลาด 3.11 บาท/ลิตร) จะลดลงได้ 1.11 บาท/ลิตร

3.) ยกเลิก 2 กองทุน คือ กองทุนน้ำมันและกองทุนอนุรักษ์พลังงาน ลดได้ 6.55 บาท/ลิตร (กล่าวสำหรับกองทุนน้ำมันเป็นกองทุนที่มีไว้เพื่อใช้หนี้เอกชนซึ่งส่วนใหญ่ใช้จ่ายหนี้ให้กับเอทานอลที่ผสมในเบนซินและไบโอดีเซลที่ผสมในดีเซล และเอากองทุนไปชดเชยน้ำมันผสมให้หลอกตาว่าถูกลง แต่เป็นการล้วงเงินผู้ใช้น้ำมันไปชดเชย ทำให้เป็นหนี้กองทุนน้ำมันไม่สิ้นสุด โดยราคาเอทานอล 29.16 บาท/ลิตร น้ำมันเบนซิน 95 ราคา 22.28 บาท/ลิตร ไบโอดีเซลราคา 32.06 บาท/ลิตร ดีเซลธรรมดาราคา 21.99 บาท/ลิตร ดังนั้นยิ่งผสมมากยิ่งแพง ยิ่งต้องการเงินมาชดเชยมาก)

4.) ลดภาษีสรรพสามิต, ภาษีเทศบาล, ภาษีแวต จาก 10.02 บาท/ลิตร เหลือ 1.61 บาท/ลิตร จะลดราคาลงได้ 8.41 บาท/ลิตร

ดังนั้น ถ้าปรับลดราคาตามนี้จะลดราคาเบนซินลงได้ 2+1.11+6.55+8.41 = 18.07 บาท/ลิตร ส่วนดีเซล ราคาปลีกอยู่ที่ 34.44 บาท/ลิตร จะลดราคาลง 6.37 บาท/ลิตร เหลือราคาปลีกที่ 28.07 บาท/ลิตร สามารถปรับลด ดังนี้

1.) ราคาเนื้อน้ำมันดีเซล 24.23 บาท/ลิตร มีส่วนผสมไบโอดีเซล 7% อยู่ 2.24 บาท/ลิตร ถ้าตัดไบโอดีเซลลดได้ 2.24 บาท/ลิตร และถ้าใช้หน้าโรงกลั่นเป็นราคาเดียวกับ “ส่งออก” ลดได้อีกประมาณ 2 บาท/ลิตร

2.) ลดค่าการตลาดลงจาก 1.90 บาท/ลิตร เหลือ 1.50 บาท/ลิตร ลดได้ 50 สต./ลิตร

3.) ยกเลิก2กองทุนลดได้ 4.57 บาท/ลิตร

4.) ภาษีที่รัฐบาลเก็บ 3.71 บาท/ลิตร ไม่ต้องลดเลย

ถ้าปรับลดราคาดีเซลลงตามตัวเลขข้างต้น จะสามารถลดราคาได้ 2.24+2+.40+4.57 = 9.21 บาท/ลิตร ซึ่งมากกว่าตัวเลขคุณมิ่งขวัญ ที่ต้องการลด 6.37 บาท/ลิตร โดยไม่ต้องปรับลดภาษีของรัฐบาลด้วย

ถ้าต้องการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมจริง ๆ ต้องยกเลิกกองทุนน้ำมัน ซึ่งหนี้ทั้งหมดมาจากการนำน้ำมันชีวภาพทั้งเอทานอล และไบโอดีเซลมาเติมในเบนซินและดีเซลโดยการอ้างเหตุผลลวงเรื่องช่วยเกษตรกร ซึ่งผู้ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่คือกลุ่มทุนพลังงาน

กรณีช่วยเกษตรกรไม่มีหลักฐานว่าเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจริง แต่คนใช้น้ำมันต้องแบกรับน้ำมันผสมราคาแพงเกินจริงโดยไม่มีทางเลือก กองทุนน้ำมันทำให้โครงสร้างราคาบิดเบือน ทำให้ผู้ค้าน้ำมันสามารถถ่างราคาน้ำมันผสมได้ตามใจชอบ ราคาน้ำมันจึงไม่ได้เป็นไปตามกลไกตลาดเสรี ตามที่รัฐบาลและผู้ค้าน้ำมันมักยกเมฆกล่าวอ้างให้ประชาชนและสื่อมวลชนหลงเชื่อ ในขณะที่ผู้ใช้น้ำมันทั้งประเทศเขารับภาระราคาพลังงานขนาดนี้ไม่ไหวกันแล้ว เพราะกระทบค่าครองชีพ ราคาสินค้าและค่าบริการต่าง ๆ

ดิฉันเห็นด้วยกับการปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน ให้ราคาน้ำมันเหลือเพียง 2 ชนิด คือ เบนซิน และดีเซลเท่านั้น โดยตัดน้ำมันชีวภาพออกไป ตราบเท่าที่ราคาน้ำมันชีวภาพยังมีราคาแพงกว่าน้ำมันพื้นฐาน และรัฐบาลควรใช้ความสามารถในการขยายตลาดการเกษตร ในการช่วยเหลือเกษตรกร ไม่ใช่บีบให้คนต้องใช้น้ำมันผสมที่มีราคาถูกแบบเทียม ๆ เพื่ออุ้มกลุ่มทุนมากกว่าเกษตรกร เพราะดึงเงินจากกองทุนน้ำมันซึ่งมาจากกระเป๋าประชาชนมาชดเชยไม่รู้จบ

ข้อเสนอของคุณมิ่งขวัญสามารถทำได้ แม้มีเรื่องต้องจัดการอยู่มากตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรค คือ พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณกล้าเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่

‘พิชัย’ ท้า ‘มิ่งขวัญ’ ลดราคาน้ำมันตอนนี้เลย ตอก!! อย่าโม้หวังคะแนนเสียง แต่สุดท้ายทำไม่ได้

(24 ก.พ.66) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน และรองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่ได้มีความพยายามใช้ราคาพลังงานมาหาเสียง ประกาศลดราคาโดยปราศจากความรู้ เป็นแค่การขายฝันเพื่อหาเสียงเท่านั้น ล่าสุดมีการเสนอว่าจะลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 6 บาท ลดราคาน้ำมันเบนซินลงลิตรละ 18 บาท ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงอยากให้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ได้ออกมาชี้แจงรายละเอียด อย่าเพียงพูดเหมือนแค่หาเสียง แต่ไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้ เหมือนที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หาเสียงหลายนโยบายแต่ไม่ได้ทำเลยมาตลอด เช่น ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400-425 บาท ปริญญาตรีเดือนละ 20,000 บาท ราคาพืชผลเกษตร ข้าว ยางพารา อ้อยที่ไม่ได้ทำเลย

นายพิชัย กล่าวต่อว่า หากนายมิ่งขวัญทำได้จริง อยากให้นายมิ่งขวัญ ได้สำนึกว่าปัจจุบันพรรคพปชร.เป็นพรรคใหญ่ที่สุดที่ร่วมรัฐบาล ทำได้จริงต้องทำทันที ไม่ต้องหาเสียง ควรให้พรรคพปชร.อยากให้นายมิ่งขวัญไปศึกษารายละเอียดให้ดี ไม่ใช่ดูแค่โครงสร้างราคาแล้วเอาตัวเลขในแต่ละช่องมาคำนวณบวกลบและพูดมั่ว ต้องตอบให้ได้ว่าหนี้กองทุนน้ำมันจำนวนกว่าแสนล้านบาท ที่รัฐบาลและพรรคพปชร.ก่อหนี้นี้ขึ้นมา จะชำระหนี้นี้อย่างไร ยังมีอีกหลายคำถาม ถ้านายมิ่งขวัญมั่นใจว่าคิดครบทุกประเด็น ก็ออกมาชี้แจงให้ประชาชนทราบและทำทันทีเลยโดยไม่ต้องรอ เพราะจะได้คะแนนเสียงทันที ซึ่งตนเชื่อว่าทำไม่ได้อย่างแน่นอน

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 20 - 24 ก.พ.66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ พร้อมแนวโน้ม 27 ก.พ. - 3 มี.ค.66

ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลง จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve: Fed) มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรุนแรงขึ้น ซึ่งจะกดดันเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมัน โดยตลาดคาดว่าในปี 66 Fed อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบัน สู่ระดับ 5.25-5.50% มากกว่าที่เคยคาดการณ์ 0.25% ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ น้ำมัน โดยดัชนีดอลลาร์ (DXY Index) ซึ่งเทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลักของโลก วันที่ 24 ก.พ. 66 ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 0.61 จุด จากวันก่อนหน้า อยู่ที่ 105.21 จุด สูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ กดดันราคาน้ำมัน

อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันโลกจะได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์น้ำมันของจีนที่กำลังฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการเดินทางทางอากาศ โดยสำนักวิเคราะห์ Wood Mackenzie, FGE, Energy Aspects และ S&P Global Commodity Insight คาดการณ์ว่าจีนจะนำเข้าน้ำมันดิบในปี 66 เพิ่มขึ้น 0.5 – 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 11.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ตลาดกังวลว่าอุปทานน้ำมันจากรัสเซียจะตึงตัว หากรัสเซียลดการผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทมากกว่า 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน มี.ค. 66 ตามที่เคยประกาศไว้ เพื่อตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรและตั้งเพดานราคาน้ำมัน (Price Cap) ของชาติตะวันตก โดย Reuters รายงานรัสเซียมีแผนลดการส่งออกน้ำมันดิบจากท่าเรือ Primorsk และ Ust-Luga ในทะเลบอลติก และท่า Novorossiysk ในทะเลดำ 25% ในเดือน มี.ค.-เม.ย. 66

สัปดาห์นี้ ทางเทคนิคคาดว่าราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 80 – 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

>> ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ

‘ชาติพัฒนากล้า’ ชู นโยบาย ‘ลดค่าการกลั่น หั่นค่า FT’ พร้อมทุบโครงสร้างราคา ‘น้ำมัน - ไฟฟ้า’ ต้องถูกกว่านี้

(28 ก.พ.66) ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ร่วมเวทีเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย ในหัวข้อ ‘พรรคการเมืองตอบประชาชน อนาคตพลังงานไทย’ โดยย้ำถึงหลักการเสรีนิยมประชาธิปไตย ต้องทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส รื้อโครงสร้างที่ผูกขาด ให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งเรื่องพลังงานเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่โคตรผูกขาด

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า น้ำมันและค่าไฟฟ้าแพง เพราะถูกยัดเยียดต้นทุนจากราคาสมมุติ ประชาชนต้องจ่ายแพงเกินจริง ส่วนกำไรมหาศาลตกอยู่กับกลุ่มทุนผูกขาด อย่างเรื่องน้ำมัน แข่งขันแค่เฉพาะแถมน้ำหรือไม่แถมน้ำ แต่ไม่เคยแข่งกันด้วยราคา เพราะกำหนดราคาต้นทุนสมมุติร่วมกัน ความน่าเกลียดที่สุดคือ รัฐบาลที่ยอมจำนนต่อระบบนี้ 

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ปีที่แล้วสงครามรัสเซีย-ยูเครน ค่าการกลั่นสมมุติที่คิดจากส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดิบกับราคาน้ำมันสำเร็จรูป มีส่วนต่างห่างกันมาก ค่าการกลั่นสูงผิดปกติ โรงกลั่นก็กำไรมหาศาลทั่วโลก หลายประเทศใช้วิธีเก็บภาษีลาภลอยกับบริษัทกลั่นน้ำมัน เพื่อไปชดเชยค่าแก๊ส ค่าน้ำมัน ที่มันแพงขึ้น แต่รัฐบาลไทยกลับนิ่งเฉย รัฐมนตรีคนปัจจุบัน เคยบอกว่า จะรับบริจาคจากโรงกลั่นน้ำมัน ทั้งที่สามารถทำได้ชัดเจนกว่าด้วยการใช้มติ ครม.ออกพระราชกำหนด เก็บภาษีลาภลอยจากโรงกลั่นที่เป็นบริษัทมหาชน รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นคณะกรรมการการควบคุมราคาสินค้า และยังเป็นคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานด้วย

“ผมและนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เคยเตือนและนำเสนอแนวทางการแก้ไขลดค่าการกลั่น เก็บภาษีลาภลอยไปตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ซึ่งเป็นแนวทางที่ต่างประเทศก็ใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบนี้ เราเสนอวิธีการแก้ไขตั้งแต่กองทุนน้ำมันยังติดลบไม่ถึงแสนล้าน แต่รัฐบาลไม่ดำเนินการ จนถึงวันนี้กระทรวงการคลังต้องไปค้ำประกันเงินกู้กองทุนน้ำมัน เป็นหนี้แสนล้าน ประชาชนต้องช่วยผ่อนทุกครั้งที่เติมน้ำมันยาว 7 ปี” ดร.อรรถวิชช์ กล่าว

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 6 - 10 มี.ค. 66 จับตาปัจจัย ‘บวก - ลบ’ ชี้ แนวโน้ม 13 - 17 มี.ค. 66

ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent และ NYMEX WTI ยังสามารถยืนเหนือระดับ 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และ 75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ แม้เกิดสถานการณ์วิกฤตการเงินในสหรัฐฯ จากปัญหา Silicon Valley Bank (SVB) ประกาศล้มละลายหลังประสบปัญหาสภาพคล่อง และธนาคาร Signature Bank ถูกสั่งปิดกิจการตามคำสั่งของหน่วยงานด้านการกำกับกิจการประจำรัฐนิวยอร์ก เพื่อป้องกันวิกฤตการธนาคารลุกลาม ล่าสุด ประธานาธิบดี Joe Biden แถลงการณ์ยืนยันให้ผู้ฝากเงินที่ธนาคาร SVB และ Signature Bank สามารถถอนเงินได้ในวันจันทร์ที่ 13 มี.ค. 66 หลังจากที่กระทรวงการคลังประกาศคุ้มครองเงินฝาก นับเป็นการล่มสลายของสถาบันการเงินใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกเมื่อปี 2008

ด้านตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ดีกว่าที่คาดการณ์ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ในเดือน ก.พ. 66 เพิ่มขึ้น 311,000 ราย จากเดือนก่อนหน้า (นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 205,000 ราย) อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) เพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 3.6% ตลาดจับตามองมติการประชุมนโยบายทางการเงิน (FOMC) ครั้งต่อไปในวันที่ 21-22 มี.ค. 66 โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ามีโอกาส 42.5% ที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% และมีโอกาส 57.5% ที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ล่าสุด Goldman Sachs คาดว่าสถานการณ์ความปั่นป่วนในขณะนี้ อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมนโยบายการเงิน (FOMC) วันที่ 21-22 มี.ค. นี้ นับว่าพลิกผันเป็นอย่างมากจากที่เดิมตลาดคาดการณ์ว่าจะขึ้น 0.25% และระยะหลังคาดว่าจะขึ้นแรงถึง 0.5%

ทางเทคนิคสัปดาห์นี้คาดการณ์แนวโน้มราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 80-85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากที่ก่อนหน้านี้ทดสอบระดับแนวรับจิตวิทยาสำคัญที่ 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทำให้สามารถ Rebound ปรับตัวเพิ่มขึ้น เพื่อทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 84, 85, และ 87 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ กอปรกับ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลักของโลกปิดตลาดวันที่ 10 มี.ค. 66 ลดลง 0.73 จุด อยู่ที่ 104.58 จุด ลดลงต่อเนื่องวันที่สอง

>> ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ
•หน่วยงานศุลกากรของจีน (General Administration of Customs) รายงานปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบ ในช่วง ม.ค.-ก.พ. 66 ลดลง 1.3% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 10.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน

‘ซาอุฯ’ ขู่ระงับขายน้ำมัน หากถูกกำหนดราคาเหมือนรัสเซีย ชี้ นโยบายชาติตะวันตกซ้ำเติมความผันผวนแก่ตลาดน้ำมันโลก

(17 มี.ค. 66) เจ้าชายอับดุลลาซิซ บิน ซัลมาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแห่งซาอุดีอาระเบีย เตือนบรรดาชาติตะวันตก ต่อการกำหนดเพดานราคาน้ำมันดิบของเมืองริยาด ระบุ ความพยายามใด ๆ ดังกล่าว จะต้องเจอกับการระงับขายและลดกำลังผลิต

พระองค์ทรงตรัสอีกว่า บรรดาชาติผู้ผลิตน้ำมันรายหลักอื่น ๆ มีความเป็นไปได้ว่าจะดำเนินการแบบเดียวกัน “ถ้ามีการกำหนดเพดานราคาน้ำมันส่งออกของซาอุดีอาระเบีย เราจะไม่ขายน้ำมันแก่ประเทศไหน ๆ ที่กำหนดเพดานราคาอุปทานของเรา และเราจะลดกำลังผลิตน้ำมัน และผมจะไม่ประหลาดใจเลยหากว่าชาติอื่น ๆ จะทำตามแบบเดียวกัน” เจ้าชายอับดุลลาซิซ บิน ซัลมาน ตรัสเมื่อช่วงต้นสัปดาห์

รัฐมนตรีพลังงานซาอุดีอาระเบีย ตรัสต่อว่า หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่นโยบายเพดานราคาน้ำมัน ได้ซ้ำเติมความไม่มั่นคงและความผันผวนแก่ตลาด และจะส่งผลกระทบทางลบต่ออุตสาหกรรมน้ำมันทั้งมวลทั่วโลก

พระองค์เปรียบเทียบมาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมัน กับร่างกฎหมายของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า ‘NOPEC’ โดยเน้นย้ำว่า มีความเป็นไปได้ ว่ามาตรการทั้งสองอาจส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมันไม่ต่างกัน

ทั้งนี้ ‘NOPEC’ (กฎหมายไม่มีเครือข่ายผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน) จะถอดกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน หรือ ‘โอเปก’ ออกจากการได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดของสหรัฐฯ เปิดทางให้โอเปก และบรรดาบริษัทน้ำมันแห่งชาติทั้งหลายสามารถถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ภายใต้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดของสหรัฐฯ สำหรับความพยายามขัดขวางการแข่งขันที่จำกัดอุปทานน้ำมันโลก และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบตามมา

ในเดือนธันวาคม ‘อียู’ และบรรดาสมาชิกกลุ่มจี 7 รวมถึงพันธมิตรได้ร่วมกันกำหนดมาตรการแบนการส่งออกน้ำมันทางทะเลของรัสเซีย เช่นเดียวกับกำหนดเพดานราคาน้ำมันของรัสเซียไว้ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ ยังมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันรัสเซียเกือบทั้งหมด เช่นเดียวกับบังคับใช้มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันดีเซลและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่น ๆ เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 13 - 17 มี.ค.66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ พร้อมแนวโน้ม 20 - 24 มี.ค.66

ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลง โดยราคาน้ำมัน ICE Brent และ NYMEX เฉลี่ยรายสัปดาห์ลดลงสู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่ ธ.ค. 64 ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Dubai ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 สัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนต่อสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะเผชิญความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) โดยตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์มีโอกาส 75% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve: Fed) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% สู่ระดับ 4.75 - 5.0% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ในวันที่ 21 - 22 มี.ค. 66 ขณะที่มีโอกาส 25% ที่ Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม หลังสัปดาห์ก่อน ธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) และ Signature Bank ปิดกิจการจากปัญหาสภาพคล่อง

ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank: ECB) ยังคงเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อชะลอเงินเฟ้อ โดยวันที่ 16 มี.ค 66 ECB มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำรองของธนาคารพาณิชย์ (Deposit Facility Rate) อยู่ที่ 3.0%, อัตราดอกเบี้ยนโยบายสำหรับการปล่อยสภาพคล่องให้ระบบธนาคารพาณิชย์ (Main Refinancing Operations Rate) อยู่ที่ 3.5% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ให้ธนาคารกู้ยืม (Marginal Lending Facility Rate) อยู่ที่ 3.75% สูงสุดตั้งแต่ปี 51 ทั้งนี้ ประธานธนาคารกลางออสเตรีย (Reserve Bank of Australia: RBA) นาย Robert Holzman คาดว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Deposit Facility Rate สู่ระดับ 4.0% ภายในปี 66 แม้ตลาดกังวลต่อความไม่แน่นอนของภาคธนาคารยุโรป ล่าสุด ธนาคารแห่งชาติสวิตเซอร์แลนด์ (Swiss National Bank) อนุมัติเงินกู้ให้ธนาคาร Credit Suisse มูลค่า 5 หมื่นล้านฟรังก์สวิส (5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ภายใต้แผนปรับโครงสร้างหนี้และเพิ่มสภาพคล่องในระยะสั้น

สัปดาห์นี้ ทางเทคนิคคาดว่าราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 70 - 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยแนวรับสำคัญคือ 70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งต้องจับตาการประชุม FOMC และสถานการณ์วิกฤตธนาคาร ซึ่งหากสถานการณ์คลี่คลาย ราคา ICE Brent มีโอกาสทดสอบแนวต้านที่ 70 - 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ

>> ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก

-Goldman Sachs ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของจีนในปี 66 อยู่ที่ 6.0% จากปีก่อนหน้า จากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 5.5% จากปีก่อนหน้า จากจีนเปิดประเทศและกิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 20 - 24 มี.ค.66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ พร้อมแนวโน้ม 27 - 31 มี.ค.66

ราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าในสัปดาห์ที่ผ่านมาเฉลี่ยลดลงต่อเนื่องสัปดาห์ที่ 3 จากความกังวลผลกระทบปัญหาสถาบันการเงินในยุโรปจะลุกลามต่อ ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน โดยวันที่ 24 มี.ค. 66 ราคาหุ้น Deutsche Bank (DB) ปิดตลาดลดลง 8.5 % มาอยู่ที่ 8.54 ยูโร ต่ำสุดในรอบ 5 เดือน หลัง Credit Default Swap (CDS) ระยะเวลา 5 ปี ซึ่งเป็นอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 142 จุด มาอยู่ที่ 173 จุด สูงสุดในรอบ 4 ปี โดย Deutsche Bank เป็นธนาคารใหญ่อันดับที่ 22 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของธนาคารสัญชาติของเยอรมนี มูลค่าสินทรัพย์ 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาหุ้นของธนาคารอื่นๆ ในยุโรปลดลงด้วยเช่นกัน อาทิ Commerzbank ของเยอรมนี ลดลง 5.5%, UBS ของสวิตเซอร์แลนด์ ลดลง 3.5%

ในขณะเดียวกัน รมว. กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ นาง Jennifer Granholm แถลงว่าในปีนี้สหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องเร่งเติมน้ำมันดิบเข้าคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) แม้ขณะนี้ ราคา NYMEX WTI ปิดตลาดต่ำกว่า 70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยกล่าวว่า จะพิจารณาเข้าซื้อน้ำมันดิบเติมเข้าคลังสำรอง หากราคาน้ำมันดิบลดลงเข้าสู่ช่วง 67-72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

จับตาการประชุม Joint Ministerial Monitoring Committee (JMMC) ของกลุ่ม OPEC และพันธมิตร (OPEC+) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 เม.ย. 66 โดยตลาดคาดว่า OPEC+ จะคงนโยบายการผลิตน้ำมันดิบด้วยการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงสิ้นปี 2566 แม้ว่าจะเกิดวิกฤตธนาคารในช่วงที่ผ่านมา โดยทางเทคนิคราคา ICE Brent ในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวระหว่าง 74-78 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

>> ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ

-ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 4.75-5.0% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) วันที่ 21-22 มี.ค. 66 ตามที่ตลาดคาดการณ์ และอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ภายในปี 66      

-Goldman Sachs ปรับลดประมาณการราคาน้ำมันดิบ ICE Brent ในไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่ 95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่าราคา ICE Brent จะเฉลี่ยอยู่ที่ 97 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ภายในไตรมาส 2/67 จากอุปสงค์จากจีนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังเปิดประเทศ โดยคาดว่าอุปสงค์ของจีนในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 15.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิม 0.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน) และในปี 2567 จะเพิ่มขึ้น 0.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 16.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top