Tuesday, 22 April 2025
รัฐบาลประยุทธ์

โฆษกรัฐบาล เผย นโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โดนใจประชาชน ชี้ผลสำรวจสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุ โครงการคนละครึ่ง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการลดค่าไฟฟ้า โครงการเราชนะ โครงการ ม.33 เรารักกัน เกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด 

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) ที่ได้ดำเนินการสำรวจความต้องการของประชาชน พ.ศ. 2566 (ของขวัญปีใหม่ที่ต้องการจากรัฐบาล) ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2545 ที่ให้สำนักงานสถิติแห่งชาติจัดเก็ฐข้อมูลและสถิติตัวเลข รวมทั้งสำรวจและสอบถามประชาชนเกี่ยวกับนโยบายหลัก ๆ ของรัฐบาล โดยเป็นการสัมภาษณ์สมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 6,970 ราย ระหว่างวันที่ 17-31 ตุลาคม 2565 นั้น พบว่า ในประเด็นมาตรการ/โครงการที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในชุมชน/หมู่บ้านมากที่สุด ผลสำรวจระบุ ได้แก่ (1) โครงการคนละครึ่ง (ร้อยละ 75.8) (2) โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ร้อยละ 69.9) (3) มาตรการลดค่าไฟฟ้า (ร้อยละ 59.2) (4) โครงการเราชนะ (ร้อยละ 25.1) และ (5) โครงการ ม.33 เรารักกัน (ร้อยละ 14.8) 

นายอนุชาฯ กล่าวว่า ส่วนความพึงพอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาลที่ผ่านมา พบว่าประชาชนมีความพึงพอใจในระดับมาก-มากที่สุด ร้อยละ 42.1 (แบ่งเป็น พึงพอใจมากที่สุด ร้อยละ 7.7 และพึงพอใจมาก ร้อยละ 34.4) และพึงพอใจระดับปานกลางอยู่ที่ ร้อยละ 41 ขณะที่พึงพอใจในระดับน้อย-น้อยที่สุด อยู่ที่ร้อยละ 14.7 และไม่พึงพอใจ ร้อยละ 2.2 ทั้งนี้ พบว่าประชาชนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี มีความพึงพอใจในระดับมาก-มากที่สุดในสัดส่วนที่สูงกว่าผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี เช่นเดียวกับกลุ่มอาชีพเกษตรกรและกลุ่มอาชีพอื่น ๆ ได้แก่ พ่อบ้าน แม่บ้าน ผู้เกษียณอายุ นักเรียน นักศึกษา และผู้ว่างงาน มีความเชื่อมั่นในระดับมาก-มากที่สุดในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มอาชีพอื่น 

ไทยคงอันดับ 1 อาเซียนประเทศพัฒนายั่งยืน 4 ปีซ้อน ตอกย้ำ ‘รัฐบาลประยุทธ์’ บริหารประเทศมาถูกทาง

‘ทิพานัน’ เผยไทยคงอันดับ 1 อาเซียนประเทศพัฒนายั่งยืน 4 ปีซ้อน ย้ำชัดรัฐบาล ‘พล.อ.ประยุทธ์’ บริหารประเทศมาถูกทาง โชว์สหประชาชาติกำหนดหลักใช้ทุกภารกิจในไทยว่า “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เป็นแก่นสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG)

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืน  Sustainable Development Report 2022 ประเมินจากดัชนีเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ 17 ข้อ ไทยได้คะแนนรวมทั้งหมด 74.13 จาก 100 ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประสิทธิภาพเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นอันดับที่ 44 ของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ในอาเซียนถึง 4 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2562 โดยที่ดัชนีการประเมินไม่ได้มีเพียงแต่มิติเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 เป้าหมายของสหประชาชาติครอบคลุมมิติการพัฒนามนุษย์ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สันติภาพและความยุติธรรม และความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการพัฒนาของประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีทั้ง 6 ด้านของไทยที่มุ่งพัฒนาประเทศให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สะท้อนวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เป็นไปอย่างยั่งยืนสมดุลครบทุกด้าน จนทำให้สหประชาชาติกำหนดหลักการที่ใช้ในทุกภารกิจของสหประชาชาติในประเทศไทยด้วยวลีสั้นๆ ว่า “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เป็นแก่นสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG)

รัฐบาล เผย ถ.โคกกลอย-ท้ายเหมือง จ.พังงา คืบหน้า 81% เล็งเปิดใช้ ก.พ.นี้ ช่วยบูมท่องเที่ยวพังงา -จังหวัดใกล้เคียง

ชาวใต้เตรียมเฮ! รัฐบาล สร้างถนนผังเมืองรวม ‘โคกกลอย-ท้ายเหมือง จ.พังงา’ คืบหน้า 81% เร็วกว่ากำหนด คาด ก.พ.นี้ใช้งานได้ ช่วยบูมท่องเที่ยวพังงาและจังหวัดใกล้เคียง รองรับการขยายเมือง เพิ่มขีดความสามารถแข่งขันเศรษฐกิจทุกมิติ

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายถนน เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด กระจายความเจริญรองรับการขยายตัวของเมือง ส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าและการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทยตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2561-2580) โดยมีการก่อสร้างและปรับปรุงถนนทางหลวงชนบทให้มีปลอดภัยและเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า  ล่าสุดโครงการก่อสร้างถนนสาย ข9, ค3 ผังเมืองรวมชุมชนโคกกลอย – ท้ายเหมือง จังหวัดพังงา รวมระยะทาง 4.229 กิโลเมตร มีความคืบหน้าไปแล้วร้อยละ 81 ซึ่งเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานในชั้นรองพื้นทาง งานผิวทาง และงานเบ็ดเตล็ด โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งจังหวัดพังงามีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นจุดเช็กอิน เช่น อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จุดชมวิวเสม็ดนางชี เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ หาดนางทอง(หาดทรายดำ) ทะเลหมอกเขาไข่นุ้ย สะพานไม้โคกกลอย (สะพานไม้หาดเขาปิหลาย) ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีแนวโน้มการขยายตัวของเมืองอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้โครงการก่อสร้างถนนสาย ข9, ค3 ผังเมืองรวมชุมชนโคกกลอย – ท้ายเหมือง จังหวัดพังงาเป็นแนวถนนก่อสร้างใหม่ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้

‘รัฐบาล’ ชูผลสำเร็จวางระบบคมนาคมเชื่อมอาเซียน-จีน ชี้ เป็นก้าวสำคัญพัฒนาเศรษฐกิจเติบโต

‘ทิพานัน’ ชูผลสำเร็จ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ วางระบบคมนาคมเชื่อมไทย-อาเซียน-จีน ชวนคนไทยโดยสารและขนส่งสินค้าเส้น ‘หนองคาย-เวียงจันทน์-ท่านาแล้ง’ ชี้เป็นก้าวสำคัญพัฒนาเศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด เน้นลงมือทำมากกว่าสร้างวาทกรรมการเมือง

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เชื่อมโยงโครงข่ายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยและภูมิภาค โดยได้ผลักดันการเชื่อมต่อการเดินทางจากภูมิภาคอาเซียนไปถึงประเทศจีนผ่านผ่านโครงการต่าง ๆ ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์มีความยินดีที่หนึ่งในโครงการซึ่งจะช่วยเสริมการเดินทางสัญจร การขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวในภูมิภาคเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาค คือ รถไฟเส้นทางหนองคาย-เวียงจันทน์-ท่านาแล้ง แล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว เพื่อความสะดวกรวดเร็วและประหยัด โดยมีราคาค่าตั๋วโดยสารเพียง คนละ 20 บาทเท่านั้น ถือเป็นอีกหนึ่งข่าวดีของคนไทย

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายท่านาแล้ง-เวียงจันทน์ เป็นขบวนรถรวมรถไฟโดยสารและรถไฟขนส่งสินค้า มีระยะทาง 7.5 กิโลเมตร ทางรถไฟสายนี้เป็นรถไฟที่เชื่อมต่อจากทางรถไฟช่วงหนองคาย - ท่านาแล้ง ก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ 100% ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ขณะนี้เปิดให้บริการทุกวัน ๆ ละ 4 รอบวิ่งตามเวลาดังนี้ 

1. หนองคาย 07:30 น. ถึง ท่านาแล้ง 7:45 น.
2. ท่านาแล้ง 10:00 น. ถึง หนองคาย 10:45 น.
3. หนองคาย 14:45 น. ถึง ท่านาแล้ง 15:00 น.
4. ท่านาแล้ง 17:30 น. ถึงหนองคาย 17:45 น.

บิ๊กตู่ เร่งผลักดัน โครงการศูนย์ธุรกิจ อีอีซี ตั้งเป้า 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่อัจฉริยะของโลกในปี 2580

'บิ๊กตู่' ดัน โครงการศูนย์ธุรกิจ อีอีซี ตั้งเป้า 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่อัจฉริยะของโลกในปี 2580 คาดเปิดให้เอกชน 'ลงทุน-พัฒนาพื้นที่' ในปี 67 

(16 ม.ค. 66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญและผลักดันเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) อย่างต่อเนื่อง โดยได้เร่งรัดติดตามโครงการศูนย์ธุรกิจอีอีซี และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะอย่างใกล้ชิด ซึ่งโครงการนี้มีพื้นที่โครงการ 14,619 ไร่ ตั้งอยู่ที่ ต.ห้วยใหญ่ จ.ชลบุรี มีการจัดวางโซนพื้นที่พัฒนาเมือง ได้แก่...

- ศูนย์สำนักงานภูมิภาค และศูนย์ราชการอีอีซี 
- ศูนย์กลางการเงิน อีอีซี 
- ศูนย์การแพทย์แม่นยำ และการแพทย์อนาคต 
- ศูนย์การศึกษา วิจัยและพัฒนา นานาชาติ
- ศูนย์ธุรกิจอนาคต ที่พักอาศัยสำหรับคนทุกกลุ่ม รวมถึงการเดินทางภายในพื้นที่ จะมีการวางโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมด้วยการไม่ใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก เช่น รถไฟเชื่อมโยง รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้ารางเบาในเขตพื้นที่เมืองชั้นใน รถเมล์ไฟฟ้า และเรือโดยสารภายในพื้นที่โครงการ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2565 เห็นชอบและรับทราบความคืบหน้าโครงการที่อยู่ในเขต สปก. ตามที่ได้จัดทำแผนแม่บทแล้วเสร็จกำหนดระยะเวลาพัฒนาโครงการ 20 ปี แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่...ระยะแรก 5,700 ไร่ระยะที่สอง 4,000 ไร่ และระยะสุดท้าย 4,919 ไร่ 

ทั้งนี้ สกพอ.และ ส.ป.ก. ได้ดำเนินการจ่ายค่าชดเชยให้เกษตรกรผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. ในระยะแรกแล้วทั้งสิ้น 2,483 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเตรียมที่ดินในเฟสแรกให้พร้อมได้ใน 5 ปีข้างหน้า โดยภายในไตรมาสแรกของปี 2566 นี้ จะเริ่มดำเนินการสรรหาและคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญในการสร้างเมืองอัจฉริยะระดับโลก ที่มีประสบการณ์พัฒนาสมาร์ตซิตี้ให้สำเร็จทั้งในเกาหลี ซาอุดีอาระเบีย และญี่ปุ่น เพื่อออกแบบผังและจัดโซนของโครงการ รวมทั้งวิเคราะห์ธุรกิจที่เหมาะสมที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่

‘ทิพานัน’ เผยรถไฟฟ้าสายสีชมพู คืบหน้าเกือบ 100% ชู ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานผลงานเด่น ‘รัฐบาลประยุทธ์’

‘ทิพานัน’ เผยข่าวดีชาวกทม. โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ‘แคราย-มีนบุรี’ คืบหน้าเกือบ 100% แล้ว  เตรียมเปิดใช้งานปีนี้ ชูการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นผลงานโดดเด่น ของ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ พาประเทศไทยเติบโตแบบก้าวกระโดดและยั่งยืน

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงของการบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานสร้างเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนและพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 เห็นชอบให้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินงานรถไฟฟ้าสายสีชมพูในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐจะเป็นผู้ลงทุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธา ค่างานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า และค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ รวมทั้งบริหารเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการ วงเงินลงทุน 53,490.00ล้านบาท 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี ถือเป็นรถไฟฟ้าสายสำคัญ โดยเป็นโครงการหนึ่งในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (Mass Rapid Transit Master Plan in Bangkok Metropolitan Region: M-MAP) เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ด้านเหนือของกรุงเทพมหานคร ระยะทาง 34.5 กิโลเมตร เป็นระบบขนส่งมวลชนสายรองประเภทรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Straddle Monorail) มีลักษณะเป็นโครงสร้างยกระดับตลอดแนวเส้นทาง มีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างเขตมีนบุรีและจังหวัดนนทบุรี มีทั้งหมด 30 สถานี ประกอบด้วย

1. สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี 
2. สถานีแคราย 
3. สถานีสนามบินน้ำ 
4. สถานีสามัคคี 
5. สถานีกรมชลประทาน 
6. สถานีแยกปากเกร็ด
7. สถานีเลี่ยงเมืองปากเกร็ด 
8. สถานีแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 
9. สถานีเมืองทองธานี 
10. สถานีศรีรัช 
11. สถานีแจ้งวัฒนะ 14 
12. สถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 
13. สถานีทีโอที 
14. สถานีหลักสี่ 
15. สถานีราชภัฏพระนคร 
16. สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ 
17. สถานีรามอินทรา 3 
18. สถานีลาดปลาเค้า 
19. สถานีรามอินทรา กม.4 
20. สถานีมัยลาภ 
21. สถานีวัชรพล 
22. สถานีรามอินทรา กม.6 
23. สถานีคู้บอน 
24. สถานีรามอินทรา 83 
25. สถานีปัญญาอินทรา 
26. สถานีนพรัตน์ 
27. สถานีบางชัน 
28. สถานีเศรษฐบุตรบำเพ็ญ 
29. สถานีตลาดมีนบุรี 
และ 30. สถานีมีนบุรี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top