Sunday, 8 June 2025
ย้ายประเทศ

'อดีตทูตฯ' เห็นใจ!! ชะตากรรมเด็กไทย 'ย้ายประเทศ' ไปออสเตรเลีย แนะ!! ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมาเมืองไทย "เพราะบ้านเรายังอบอุ่นกว่า"

เมื่อวานนี้ (11 ก.ย.67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เท่าที่ทราบ ตอนนี้พวกที่เคยทำเพจแนะนำให้ย้ายประเทศไปออสเตรเลีย เริ่มทยอยกันกลับกันมาบ้างแล้ว เพราะทนค่าครองชีพที่สูงบรรลัยที่นั่นไม่ไหว เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ยังไม่พอใช้จ่ายแต่ละเดือน เงินเหลือเก็บแทบไม่มี

มีเพื่อนเล่าให้ฟังว่ามีเด็กไทยไปประสบเคราะห์กรรมเจ็บป่วย เป็นโรคซึมเศร้า มีอาการทางจิตหลายราย

บางรายก็เอาชีวิตไปทิ้งที่ออสเตรเลีย เจ็บป่วยตายแบบว้าเหว่โดดเดี่ยว น่าเวทนา ชุมชนไทยก็ระดมเงินช่วยกันเท่าที่จะช่วยได้

ยิ่งช่วงหลังเจอมาตรการของรัฐบาลออสเตรเลียที่พยายามลดจำนวนคนเอเชีย ไม่ต่อวีซ่าให้ หรือขั้นตอนการต่อวีซ่า Strict สุด ๆ

ยังไง ๆ ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ อย่างน้อยกลับมาตายรังที่บ้านเรายังอบอุ่นกว่านะ

‘ไมค์ ระยอง’โพสต์เศร้า!! เหตุผลที่ต้องย้ายประเทศ ระบุ!! เกิดจากความจำเป็น ความหวังในการแสวงหาชีวิตใหม่

(15 ก.ย. 67) ‘ไมค์ ระยอง’ ภาณุพงศ์ มะณีวงศ์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุ เหตุผลที่ต้องย้ายประเทศ ใจความว่า …

สวัสดีมวลชนที่เคารพรักทุกท่านครับ
วันนี้ผมขอใช้พื้นที่นี้เล่าเรื่องราวของการตัดสินใจครั้งที่ยากที่สุดในชีวิต นั่นคือการจากบ้าน จากครอบครัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก ‘แม่’ ผู้เป็นที่รัก เพราะการตัดสินใจย้ายประเทศในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความปรารถนาที่จะทิ้งสิ่งใด แต่เกิดจากความจำเป็น และความหวังในการแสวงหาชีวิตใหม่ที่ปลอดภัยและมีเสรีภาพที่มากขึ้นกว่าเดิม

การตัดสินใจออกจากประเทศ ผมพยายามคิดอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบที่สุด ทบทวนอยู่หลายต่อหลายครั้ง ว่าจะกระทบกับใครมากน้อยเพียงใด แต่เมื่อความคิดนั้นตกตะกอน จึงรู้ว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ไม่ได้มาจากตัวผม แต่ต้นเหตุสำคัญที่แท้จริงเกิดจากกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม ได้กระทำย่ำยีกับพวกเราจนหลายคนต้องสูญเสียอิสรภาพและเลวร้ายที่สุดคือการจากลา

ผมเชื่อว่าทุกคนย่อมเข้าใจดีว่าการจากลาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การที่ผมต้องออกจากประเทศไทย ไม่ใช่เพราะความอ่อนแอ แต่เป็นเพราะสถานการณ์ความไม่ยุติธรรมที่ผมได้รับ ความไม่ปลอดภัย การถูกจำกัดเสรีภาพ และการที่ผมไม่สามารถแสดงออกในสิ่งที่เชื่อมั่นได้ ทำให้ต้องตัดสินใจเลือกหนทางใหม่

ซึ่งการจากกับแม่นั้นเจ็บปวดที่สุด แม่ผู้เป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายที่ผมมีในชีวิต แต่สถานการณ์ที่บีบบังคับทำให้เราสองคนต้องแยกจากกัน และการที่ต้องจากกันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีคำพูดใดจะอธิบายได้ คงมีเพียงคราบน้ำตาบนใบหน้า และความรู้สึกที่จุกอยู่ภายในใจของผม
แต่ในความเศร้าและความเจ็บปวด ผมยังมีความหวังเสมอว่าวันหนึ่ง ผมจะสามารถกลับไปดูแลแม่ได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต หรืออย่างน้อยที่สุด ผมจะสร้างอนาคตที่ดีขึ้น เพื่อคลายความกังวลของคนเป็นแม่ ให้เขาได้สบายใจที่เห็นอนาคตของลูกเป็นไปได้ด้วยดี

และผมยังหวังอีกว่า ผมจะเป็นกระบอกเสียงเพื่อนักต่อสู้ทุกคนให้อารยะประเทศได้รับรู้ถึงการกดขี่ การจำกัดสิทธิเสรีภาพผู้เห็นต่างทางการเมืองในประเทศไทย และเรียกร้องอิสรภาพให้กับคนที่ถูกดำเนินคดีจากความเห็นต่าง และเพื่อนผู้ต้องขังคดีทางการเมืองทุกคน ในฐานะพลเมืองโลก

ด้วยความเคารพและขอบคุณจากใจ

'เพนกวิน' โพสต์เฟซบุ๊กครั้งแรกหลังได้รับสถานะผู้ลี้ภัย เผยได้รับทุนเรียนต่อ ป.โท-เอก มหาวิทยาลัยระดับโลก

(2 ต.ค. 67) หลังจากเงียบหายไปตั้งแต่ 14 พ.ค. 67 เพนกวิน หนึ่งในแกนนำการชุมนุมเมื่อปี 2562 ได้แจ้งข่าวบนเฟซบุ๊กเป็นครั้งแรกใน 'สถานะผู้ลี้ภัย' ว่า 

สวัสดีครับ เพื่อนพ้องและพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกคน

วันนี้ผมมีข่าวดีมาแจ้งให้พี่น้องทุกคนได้ทราบว่าผมได้รับทุนการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอกแบบเต็มจำนวนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งในประเทศโลกเสรี การได้ศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงระดับโลกนั้นถือเป็นโอกาสสำคัญยิ่งของชีวิตผม แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การใช้กฎหมายปิดกั้นเสรีภาพและปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผมจึงจำเป็นต้องเดินทางไปศึกษาต่อโดยไม่ได้ร่ำลาและแจ้งให้พี่น้องได้ทราบกันล่วงหน้า ตัวผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

นับจากวันนี้ไป ผมเชื่อว่าคงจะมีหลายคนซึ่งอาจยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามทางการเมืองกับผมออกมาเย้ยหยันว่าผมเป็นนักโทษหนีคดี เหมือนกับที่เคยเย้ยหยันคนอื่น ๆ มาก่อน ขอใช้โอกาสนี้เรียนไปถึงกลุ่มคนเหล่านั้นว่าการดำเนินคดีความทั้งหลายกว่า 30 คดีที่ผมตกเป็นจำเลยหรือผู้ถูกกล่าวหานั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับการยอมรับในสังคมนานาชาติว่าเป็นการดำเนินคดีความทางการเมือง ไม่ใช่การดำเนินคดีทางอาญา อีกทั้งกฎหมายที่ใช้กล่าวหาและดำเนินคดีผม โดยเฉพาะกฎหมายมาตรา 112 นั้น เป็นกฎหมายป่าเถื่อน ล้าหลัง และปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมนานาชาติ ผมจึงมิได้เป็นอาชญากรในสายตาสังคมอารยประเทศทั้งหลาย ในทางตรงกันข้าม บุคคลและระบอบที่ใช้กฎหมายป่าเถื่อนล้าหลังดำเนินคดีผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อปราบปรามทางการเมืองต่างหากที่จะถูกถือว่าเป็นอาชญากร

สำหรับเพื่อนพ้องและพี่น้องทุกคนที่ได้ร่วมฝัน ร่วมต่อสู้ และร่วมเป็นกำลังใจกับผมในตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นและการสนับสนุนที่ทุกท่านมีให้ผมตลอดมาไม่ขาด หลังปี 2565 เป็นต้นมา เงื่อนไขทางกฎหมายได้จำกัดเสรีภาพทางการแสดงออกของผมเป็นอย่างมาก ผมขอให้คำมั่นว่าไม่ว่าตัวผมจะอยู่ ๆ แห่งหนตำบลใดหรือในสถานการณ์ใด ผมก็ยังคงเป็นผมคนเดิมที่ทุกท่านรู้จัก หัวใจของผมยังคงอยู่กับสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และประชาธิปไตยของประชาชนไทย รวมถึงความก้าวหน้าของประเทศชาติเราเหมือนที่เป็นตลอดมา

ในโอกาสนี้ ผมขอส่งใจให้กับมิตรสหายเพื่อนร่วมอุดมการณ์และพี่น้องประชาชนที่ต้องเผชิญหน้ากับการละเมิดสิทธิและปิดกั้นเสรีภาพโดยใช้กฎหมายที่ไร้ความเป็นธรรมเป็นข้ออ้าง โดยเฉพาะทนายอานนท์ นำภาและนักโทษทางการเมืองที่ถูกคุมกว่า 40 คน ผมขอเรียกร้องให้รัฐไทยยุติการดำเนินคดีทางการเมืองและปลดปล่อยนักโทษทางการเมืองทั้งหมด เพื่อลดความตึงเครียดในสังคมและฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาประชาคมนานาชาติ ผมเชื่อว่าผู้คนในอารยประเทศนั้น หากได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผู้เห็นต่างทางการเมืองในประเทศไทยก็จะเรียกร้องเหมือนกันกับผมเช่นกัน

ท้ายที่สุดนี้ ผมเชื่อว่าหากพวกเราคนไทยยังไม่หยุดใฝ่ฝันถึงเสรีภาพ เสรีภาพและความเป็นธรรมที่แท้จริงก็จะมาถึงพี่น้องคนไทยทุกคนในเร็ววัน

ขอฝากรัก ศรัทธา และความนับถือมาถึงเพื่อนพ้องและพี่น้องทุกคนจนกว่าวันที่เราจะได้พบกันอีก

พริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน)

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าก่อนหน้านี้นายภาณุพงศ์ มะณีวงศ์ หรือ ไมค์ ระยอง ได้เป็นผู้ลี้ภัยไปแล้ว 

‘ไมค์ ระยอง’ แจงสถานะในประเทศใหม่ รับสถานะ ‘ผู้พำนักถาวร’ บนแผ่นดินอื่น

(15 ต.ค. 67) นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ภาณุพงศ์ มะณีวงศ์ ที่รู้จักกันในนาม ‘ไมค์ ระยอง’ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงวิถีชีวิตในประเทศใหม่ว่า 

หลายคนสอบถามและแสดงความห่วงใยเกี่ยวกับการปรับตัวของผมในประเทศใหม่ ผมต้องขอขอบคุณทุกคนที่ส่งความห่วงใยมาให้ และขอใช้โอกาสนี้ในการอัปเดทชีวิตในตอนนี้ครับ

ก่อนอื่นผมต้องบอกทุกคนก่อนว่าผมไม่ได้มาในสถานะผู้ลี้ภัย ผมได้ย้ายมาประเทศใหม่โดยการยื่น Profile ผลงานที่ผมได้ทำมาตั้งแต่ปี 2557 ภายใต้ชื่อกลุ่ม YoungLeaders Thailand เพื่อให้รัฐบาลที่นี่พิจารณา ผมต้องขอขอบคุณรัฐบาลเป็นอย่างสูงที่ให้การรับรองและมอบสถานะผู้พำนักถาวร (Permanent Residency) แก่ผม 

ผมรู้สึกเป็นเกียรติและซาบซึ้งใจที่ผลงานและความทุ่มเทในด้านเด็ก เยาวชน สิ่งแวดล้อม และสังคมสงเคราะห์ที่ผมได้ทำมาเกือบ 10 ปีในประเทศไทยได้รับการยอมรับจากรัฐบาลประเทศใหม่นี้ครับ 

ส่วนการใช้ชีวิตในประเทศใหม่ ผมมีความสุขและปรับตัวได้ดีมาก ผมมีงานทำและได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่าประเทศไทยหลายเท่า มีเงินเหลือสำหรับใช้จ่ายเพียงพอในการดำรงชีวิตที่นี่ และสามารถส่งกลับไปดูแลแม่และครอบครัวได้อีกด้วย(เพราะผมเป็นเสาหลักของบ้าน) 

อีกทั้งประเทศนี้ยังมีระบบสาธารณสุขที่รักษาฟรีและการคมนาคมที่สะดวกสบายและมีประสิทธิภาพ ผมหวังว่าในอนาคต หากมีโอกาส ผมจะสามารถเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศนี้ต่อไปครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top