Tuesday, 22 April 2025
ยุบพรรคก้าวไกล

‘แกนนำคณะก้าวหน้า’ เตือน ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ อ้าง!! ยุบ ‘ก้าวไกล’ จะทำให้ไทยพลาดเก้าอี้ใน ‘ยูเอ็น’

(4 ส.ค. 67) นายชำนาญ จันทร์เรือง แกนนำคณะก้าวหน้า-อดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่มีประสบการณ์ผ่านคดียุบพรรคอนาคตใหม่ของศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว วิเคราะห์คำตัดสินของศาลรธน.ในวันที่ 7 ส.ค.นี้โดยมองว่า พรรคก้าวไกลมีโอกาสรอดจากการถูกยุบพรรคจากเหตุผลทั้งบริบทการเมือง-ข้อกฎหมายและเรื่องของเวทีต่างประเทศ โดยเรื่องของเวทีต่างประเทศ ก็เพราะในเดือนหน้านี้ ศาลรธน.ของไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมาคมศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่าแห่งเอเชีย (AACC) ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 17-21 กันยายน 2567 ที่กรุงเทพมหานคร (มีประธานศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่า จากประเทศสมาชิก 18-19 ประเทศ เดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยคาดว่าจะมีมาร่วมงานประมาณเกือบ400 คน) ซึ่งจุดนี้ คืออีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ เหตุใด ศาลรธน.จึงนัดตัดสินคดีสำคัญๆ ในช่วงนี้เพื่อให้เสร็จก่อนการประชุม ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล ก็ไม่รู้ว่าจะแบกหน้าไปคุยกับเขาได้อย่างไร เพราะการที่จะสั่งยุบพรรคการเมือง มันต้องเป็นเรื่องร้ายแรงมากๆ

นายชำนาญ ยังกล่าวอีกด้วยว่า นอกจากนี้ ปัจจุบัน รัฐบาลไทยกำลังรณรงค์อย่างหนัก เพื่อสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ในวาระปี ค.ศ.2025-2027 ซึ่งเท่าที่ทราบถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายหลักของรัฐบาลชุดปัจจุบัน แต่แค่เฉพาะคดี 112 ที่จะพบว่าเกือบทุกคดี จะไม่มีการให้ประกันตัวยกเว้นแค่บางคดี เรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว แล้วยิ่งหากจะมายุบพรรคการเมือง ที่ชนะการเลือกตั้งได้คะแนนเสียงมากที่สุด ถ้าแบบนี้ ก็ปิดประตูตายได้เลย ไม่ต้องไปลุ้นให้เหนื่อย 

แกนนำคณะก้าวหน้า มองว่า ผลการลงมติของ 9 ตุลาการศาลรธน.วันที่ 7 ส.ค.นี้ จะไม่ออกมาแบบเอกฉันท์แบบตอนลงมติตัดสินคดีที่ 3/2567 หรือคดีล้มล้างการปกครองฯ โดยอาจจะออกมา 5 ต่อ 4  หรือ 6 ต่อ 3 ประมาณนี้ ซึ่งแนวทางคำวินิจฉัยของศาลรธน.ที่จะออกมา จะมีแค่สองแนวทางเท่านั้น คือ หนึ่ง “ไม่ยุบพรรคก้าวไกล” ส่วนหากจะออกมาเป็นแบบยกคำร้อง โดยใช้เหตุว่ากระบวนการพิจารณาของกกต.ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย-ระเบียบของกกต. ถ้าออกมาแบบนี้ มันจะไม่ตัดสิทธิที่กกต.จะยื่นคำร้องเข้ามาใหม่อีกครั้งได้ เช่น หากตัดสินยกคำร้องด้วยเหตุว่า กกต.ไม่ได้ทำตามระเบียบขั้นตอนที่ถูกต้อง ก็ยังทำให้กกต.สามารถไปเช็กคำร้องคดีขึ้นมาใหม่ได้ อาจใช้เวลา 1-2 ปี ก็ว่าไป มันไม่ใช่การฟ้องซ้ำ เพราะฟ้องซ้ำคือการมาฟ้องคดีที่ตัดสินคดีไปแล้วแต่เป็นคดีประเภทเดียวกัน คู่ความคนเดียวกัน ข้อหาเดียวกัน มาฟ้องซ้ำอีก แต่ถ้าศาลรธน.ยกคำร้อง ก็หมายถึงทำไม่ถูกขั้นตอน ก็ยังให้ไปทำมาใหม่ได้ อันนี้ไม่ใช่ชี้โพรงให้กระรอก แต่ก็อาจเป็นทางออกของเขา แต่มันก็จะเป็นชนักติดหลังพรรคก้าวไกลได้อยู่ว่า”อย่าดิ้นมาก”เดี๋ยวจะยื่นคำร้องไปศาลรธน.ใหม่ได้อีก ที่ก็ต้องไปตั้งอนุกรรมการไต่สวน-มีการเรียกพยานอะไรไปชี้แจง กว่าจะเสร็จอาจถึงช่วงตอนเลือกตั้งใหญ่รอบหน้า และแนวทางที่สอง ก็คือ ตัดสินยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งหากจะเป็นแบบนี้ ก็แค่อิงคำวินิจฉัยคดีล้มล้างฯ เมื่อ 31 ม.ค.2567 ก็พอ  

แกนนำคณะก้าวหน้า กล่าวอีกว่า อีกเหตุหนึ่งที่ทำให้เชื่อว่า พรรคก้าวไกลจะรอดในคดียุบพรรค ก็เพราะหากก้าวไกลโดนยุบพรรค จะยิ่งแปรเป็นความคับแค้น ความเห็นใจ  อย่างคนที่อยู่กลางๆ เองเขาจะมีความเห็นใจ จนกลายเป็นคะแนนให้มาอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งระดับต่างๆ เริ่มตั้งแต่การเลือกตั้งท้องถิ่น กับการเลือกตั้งนายกฯอบจ.ทั่วประเทศในช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ปีหน้า และตามด้วย เทศบาล -อบต. -กรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา ถ้ายิ่งไปทำแบบนี้ คนก็จะยิ่งเลือกผู้สมัครท้องถิ่นของพรรคใหม่ที่มาแทนพรรคก้าวไกลมากยิ่งขึ้น ดูได้จากที่ก้าวไกลได้ส.ส.และมีสมาชิกพรรคมากกว่าสมัยอนาคตใหม่

นายชำนาญระบุว่า หากศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคก้าวไกล จะทำให้การเมืองไทยเหลือเพียงขั้วเดียว ซึ่งประสบการณ์ในอดีต ก็เห็นอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร เกิดเหตุการณ์อะไร หากการเมืองขั้วที่เหลืออยู่ เห็นหมดเสี้ยนหนาม ถ้าก้าวไกลหายไประยะหนึ่งจะยิ่งลำพองใจ สมัยก่อนก็เคยเห็นกันแล้ว ได้มา 377 เสียง ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง  แต่หากยังคงให้มีพรรคก้าวไกลอยู่ ก็ยังทำให้เกิดการคานกัน-การถ่วงดุลกันได้อยู่ ทำให้จึงเชื่อว่า ฝ่ายผู้มีอำนาจทั้งหลาย ก็คงคิดเก็บพรรคก้าวไกลไว้ก่อน  คือ ศาลรธน.เป็นคดีที่ตัดสินคดีการเมือง การเมืองมันพลิกผันได้ตลอดเวลา ผมเข้าใจเอาเองว่า ตอนนี้มันนิ่งแล้ว ฝ่ายผู้มีอำนาจเขาคิดว่าเขาชนะแล้ว เพราะแกนนำที่เคยเคลื่อนไหวเรื่อง 112 ก็ติดคุกกันเยอะ ส่วนพรรคก้าวไกลก็โดนฟรีซแช่แข็งเรื่อง 112 ทำอะไรไม่ได้ คือเขาคอนโทรลได้หมดทุกอย่างแล้ว เอาเฉพาะตอนนี้ และถ้าไม่ยุบก้าวไกล จะทำให้ก้าวไกล ก็จะมีโซ่ค้ำคออยู่ขยับเรื่อง 112 ไม่ได้

“เชื่อว่าไม่มีเหตุผลใดๆที่จะต้องมีการไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนด้วยการจะไปยุบพรรคก้าวไกล แนวโน้มความเชื่อผม มองว่า ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะยกคำร้อง ก็เช่นอาจจะออกมาไปในแนวทางว่ากกต.ไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนในการไต่สวนคำร้องตั้งแต่แรก  เพราะหากจะไปยกคำร้องว่าก้าวไกลไม่ผิด ทางศาลรธน.ก็มีคำวินิจฉัยที่ 3/2567 ค้ำคอเขาอยู่ ที่สำคัญ หากไม่มีการยุบพรรคก้าวไกล แต่จากผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ในคดีล้มล้างการปกครองฯ ที่ศาลสั่งห้ามพรรคก้าวไกลกระทำการใดๆ เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตรงนี้ก็จะค้ำคอพรรคก้าวไกลไว้ ทำให้พรรคก้าวไกลไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปในเรื่อง 112 แต่หากมีการยุบพรรคก้าวไกล แล้วมีการไปตั้งพรรคการเมืองมาแทนก้าวไกล พรรคการเมืองตั้งใหม่ ก็จะไม่ใช่คู่กรณีหรือคู่ความตามคำวินิจฉัยคดีล้มล้างการปกครองอีกต่อไปแล้วเพราะก้าวไกลโดนยุบพรรคไปแล้ว พรรคการเมืองใหม่ที่ตั้งขึ้นมาแทน ก็จะไม่เกี่ยวอะไรกับก้าวไกลอีกต่อไป คำวินิจฉัยคดีล้มล้างการปกครองฯ ก็ไม่มีผลใดๆ ต่อพรรคการเมืองใหม่ที่ขึ้นมาแทนพรรคก้าวไกล” นายชำนาญ กล่าวทิ้งท้าย

‘ดร.นิว’ ชำแหละ 9 ข้อแถโง่ๆ ที่ฟังไม่ขึ้นของ ‘พรรคก้าวไกล’ ฟาด!! เล่นแง่กฎหมายไปเรื่อย ตีความเข้าข้างตัวเองได้ ในทุกกรณี

(4 ส.ค. 67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความระบุว่า …

ชำแหละ 9 ข้อแถโง่ๆ ที่ฟังไม่ขึ้นของพรรคก้าวไกล

ข้อ 1. ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยยุบพรรคได้อย่างไรในเมื่อมีการบัญญัติไว้ใน พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ผ่านมาก็มีการยุบพรรคที่ทำผิดให้เห็นๆ กันอยู่ แล้วถ้าพรรคก้าวไกลทำผิด ทำไมจะยุบไม่ได้?

ข้อ 2. ถ้าคิดว่าคำร้องของ กกต. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พรรคก้าวไกลก็ต้องดำเนินการเอาผิดกับ กกต. ซึ่งเป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะสามารถนำมาแถให้พรรคก้าวไกลพ้นผิดไปได้

ข้อ 3. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กรและคำวินิจฉัยที่ 3/2567 ก็มีความต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะสืบเนื่องมาจากการที่พรรคก้าวไกลใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ก็แค่นำมาวินิจฉัยต่อไปว่าสมควรยุบหรือไม่ ไม่ใช่ข้อหาที่แตกต่างกันตามที่พรรคก้าวไกลแถแบบโง่ๆ

ข้อ 4. เมื่อบุคคลทำเกินมติพรรคถ้าพรรคไม่ยอมรับก็ต้องจัดการแต่เนิ่นๆ ในทุกกรณี แต่ทว่าพรรคก้าวไกลกลับไม่เคยจัดการใดๆ การอภิปรายบิดเบือนให้ร้ายในสภาก็เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง แม้แต่ถวายพระพรก็ยังไม่มี แถมพรรคก้าวไกลยังออกหน้าประกันตัว สส. ผู้กระทำผิด ม.112 อย่างชัดเจนอีกด้วย

ข้อ 5. พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง ถือหลักป้องปรามในการยุบพรรค พรรคก้าวไกลใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองอย่างชัดเจนก็อาจเข้าข่ายโดนยุบพรรคเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องรอให้พรรคก้าวไกลยุยงปลุกปั่นมวลชนหรือใช้กำลังในการล้มล้างเสียก่อน

ข้อ 6. ยุบหรือไม่ยุบเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ศาลรัฐธรรมนูญเป็นเพียงแค่ผู้วินิจฉัยเท่านั้น ส่วนจะสมควรแก่เหตุหรือไม่ก็เป็นดุลพินิจของศาล หากมองว่าการที่พรรคก้าวไกลสร้างความแตกแยกทางความคิดชี้นำไปสู่บั้นปลายของการล้มล้างซึ่งเต็มไปด้วยความรุนแรงและการสูญเสีย เพียงแต่ยังไม่ได้ปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมเท่านั้น การยุบพรรคก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินเลยกว่าเหตุ เพื่อยับยั้งความรุนแรงก่อนที่อนาธิปไตยจะเกิดขึ้นมาทำลายประชาธิปไตย

ข้อ 7-9. พรรคก้าวไกลเล่นแง่แถกฎหมายไปเรื่อย เพราะถ้าคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่สิทธิในการเพิกถอนสิทธิจริงก็ควรจบตั้งแต่ข้อ 7. ไม่ใช่แถไปจนถึงข้อ 9. ในลักษณะต่อรองเป็นขั้นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพรรคก้าวไกลไม่รู้กฎหมายจริง หากแต่ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเองสุดๆ ในทุกกรณี

ดังนั้น หากดูเพียงผิวเผินด้วยความไม่รู้กฎหมายก็อาจมองว่าพรรคก้าวไกลเก่งฉกาจที่สามารถยกข้อต่อสู้ทางกฎหมายขึ้นมาได้ถึง 9 ข้อ แต่ทว่าความเป็นจริง พรรคก้าวไกลก็แค่ตีความกฎหมายเข้าข้างตัวเองแบบเด็กเอาแต่ใจ ไร้วุฒิภาวะ ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการและความเป็นจริงแต่อย่างใด

ดร.ศุภณัฐ

4 สิงหาคม พ.ศ. 2567

‘สรวงศ์’ เผย ‘เพื่อไทย’ ไม่มีคุยดึง ‘สส.ก้าวไกล’ ร่วมงาน หากถูกยุบพรรค ลั่น!! ไม่ขอก้าวล่วงพรรคอื่น ยัน!! ข้อตกลงเดิมที่เคยพูดคุยกัน ตอนจัดตั้งรัฐบาล

(4 ส.ค. 67) นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้วและเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ออกมาระบุว่ามีความพยายามจากพรรคร่วมรัฐบาลติดต่อดึง สส.พรรค ก.ก.ไปร่วมงานด้วย หากพรรคถูกยุบ ในฐานะพรรคแกนนำตั้งรัฐบาล มองเรื่องนี้อย่างไร ว่า ตนไม่ขอก้าวล่วงพรรคอื่น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน แต่ในส่วนของพรรค พท. ตนในฐานะเลขาธิการพรรคยืนยันว่าไม่มี

เมื่อถามว่า จะมีผลอะไรกับรัฐบาลหรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า ไม่น่ามีอะไร หากพรรคร่วมรัฐบาลมีเสียงเพิ่มขึ้นก็ต้องว่าไปตามข้อตกลงที่เคยพูดคุยกันตอนร่วมตั้งรัฐบาล

เมื่อถามถึง กรณีที่หากพรรค ก.ก.ถูกยุบ อาจจะมีปรับเปลี่ยนเรื่องเก้าอี้ประธานสภา และรองประธานสภา พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องมีการพูดคุยกันใหม่หรือไม่ นายสรวงศ์กล่าวว่า จะต้องมีการพูดคุยกันแน่นอน แต่เบื้องต้นตนไม่อยากให้มีข่าวร้ายในการยุบพรรคใดๆ ทั้งสิ้น

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' ขอทุกฝ่าย 'หยุดชี้นำ-กดดันศาล' ปมยุบก้าวไกล ลั่น!! ต้องเคารพต่อคำพิพากษาของศาล เพื่อให้สังคมเดินหน้าไปได้

(6 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีวันนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ของพรรคก้าวไกล ว่า...

สำหรับกรณีการอ่านคำพิพากษาในคดียุบพรรคก้าวไกลนั้นตนขอเรียกร้องต่อทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง บุคคล และองค์กรต่าง ๆ ให้ทุกฝ่ายหยุดให้ความเห็นในการชี้นำ หรือกดดันต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากในการพิจารณาตัดสินคดีในศาลล้วนเป็นไปตามข้อกฎหมาย ประกอบกับพยานหลักฐาน การใช้ดุลยพินิจของศาลล้วนไม่เกินกว่าขอบเขตกฎหมาย การกดดัน หรือชี้นำศาลนั้น มีแต่จะทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมขึ้น 

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า ไม่ว่าคำพิพากษาจะเป็นเช่นใด ตนขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลในทุกกรณีโดยไม่มีเงื่อนไขเพราะเมื่อมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นคำตัดสินของศาลย่อมชี้ขาด และระงับข้อพิพาทดังกล่าว กรณีการตัดสินยุบพรรคก้าวไกลกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน 

"หากทุกฝ่ายเคารพและปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลแล้ว เชื่อว่าสังคมไทยจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้" นายอัครเดช กล่าว

‘อนุทิน’ ไม่ขอแสดงความคิดเห็น คดี ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ ลั่น!! ไม่ควรก้าวล่วงศาล เชื่อ!! ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

(6 ส.ค. 67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงเดือนสิงหาคม มองเรื่องนี้อย่างไรเพราะมีทั้งคดียุบพรรคก้าวไกลและคดีของนายกฯ ว่า เรื่องที่เกี่ยวกับศาล คำพิพากษา เราต้องไม่ให้ความเห็นอะไรเลย เพราะพูดไปพูดมาเดี๋ยวจะไปก้าวล่วง อันนี้วุ่นเลย ละเมิดอำนาจของศาล มันไม่ได้ 

เมื่อถามว่าในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีความเป็นห่วงที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ได้เชิญทูต 18 ประเทศมาร่วมสังเกตการณ์ จะเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ โดยนายอนุทินร้อง “อู๊ยย อย่าไปถามอย่างนั้น ทูตเชิญท่านมั้ง ไม่ใช่ท่านเชิญทูต”

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่านายพิธาได้เชิญทูตมาจับตาคดียุบพรรค นายอนุทินกล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ์ ถ้ามาได้ เหมือนสมัยก่อนที่มีการเชิญทูต มาที่สถานีตำรวจเพื่อสังเกตการณ์ ตนจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร แต่ก็มีทูตไป  ตนว่าดีเสียอีก จะได้เกิดความมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอน มีความยุติธรรม 

เมื่อถามว่าเรื่องนี้ จะทำให้ถูกมองว่าต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “แหม แค่คนมาจ้องแค่นี้ แล้วบอกว่าแทรกแซง ก็คงไม่ใช่”

ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าเดี๋ยวจะเหมือนสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง นายอนุทินกล่าวว่า “จำไม่ได้ เกิดไม่ทัน”

ส่วนกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาระบุว่าพรรคร่วมรัฐบาลมีความพยายามจะดึง สส.พรรคก้าวไกลไปร่วมพรรค นายอนุทินกล่าวว่า “ก็ไม่ใช่พรรคตน ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทย”

‘นายกฯ’ ลั่น!! ไม่มีใครมีสิทธิไปก้าวก่ายตุลาการ ชี้!! ทุกคนและตนเองก็อยู่ใต้ความยุติธรรมเดียวกัน

(6 ส.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล หารือกับทูต 18 ประเทศ ถึงคดียุบพรรค จนหลายฝ่ายกังวลว่าจะเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่ ว่า ก่อนอื่นต้องบอกว่าตนไม่ทราบว่ามีการคุยกันในเรื่องนี้หรือไม่ เพราะมีการพบกันแต่ไม่ทราบเนื้อหาว่ามีการพูดคุยอะไรกันบ้าง แต่กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ส่วนตัวคิดว่าทั้ง 18 ประเทศ ระบบยุติธรรมและระบบบริหารแยกกันชัดเจน ฝ่ายบริหารไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายกับกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว และกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยก็เป็นกลางและเป็นสากล ได้รับการยอมรับจากทุก ๆ ฝ่ายอยู่แล้ว

“ผมคงพูดแทนท่านอื่นไม่ได้ แต่ส่วนตัวของผมมีความเคารพกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ซึ่งผู้สื่อข่าวทุกคนก็คงทราบ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของผมเอง ผมเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าหากมีประเด็นหรือมีผู้ร้องเรียน ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องแจ้งไปที่ระบบยุติธรรมและคอยการตัดสิน อย่างของผมเองก็ได้แจ้งไปแล้วว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ยื่นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็คอยวันตัดสินคือวันที่ 14 ส.ค. และผมก็ไม่ได้มีการไปพูดคุยอะไรกับใครทั้งสิ้น และประเทศของเราก็เป็นเอกราช แต่ก็ต้องให้เกียรติทางนั้นเขาเหมือนกัน ผมไม่ทราบว่ารายละเอียดการพูดคุยสนทนามีเรื่องอะไรบ้าง” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะเดียวกันก็มีความกังวลเนื้อหาในหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศที่ชี้แจงต่อองค์การสหประชาชาติ (UN) เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมีเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรงเกี่ยวกับคดียุบพรรคก้าวไกล นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องเรียนอย่างนี้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกันในเรื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศก็ต้องมีการชี้แจงไปยัง UN ส่วนของการแปลก็คงต้องขอให้กระทรวงการต่างประเทศมาชี้แจงดีกว่าว่าแปลไปว่าอะไร แต่จุดยืนของเรา เราไม่ก้าวก่ายระบบตุลาการอยู่แล้ว และเราก็จะไม่ยอมให้ใครมาก้าวก่ายระบบตุลาการของเรา และเชื่อว่ากระทรวงการต่างประเทศจะมีการแถลงชี้แจงในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้

เมื่อถามว่าหลายฝ่ายเป็นห่วงสถานการณ์ โดยเฉพาะในวันที่ 7 ส.ค. ที่จะมีการตัดสินคดีของพรรคก้าวไกล ได้มีการพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนตนไม่ได้มีการพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคง และมั่นใจว่าทุกคนตั้งอยู่บนความสงบและยอมรับคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว และความจริงแล้วเราก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

‘อรรถวิชช์’ ชี้!! ‘ก้าวไกล’ แก้ ม.112 โดยย้ายออกจากหมวดความมั่นคงฯ เสมือนเป็นการนิรโทษกรรมคดีทั้งหมด-เปิดช่องให้คนหมิ่นสถาบันได้เสรี

(8 ส.ค. 67) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต สส.กรุงเทพฯ โพสต์วิดีโอที่ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ เจาะข่าวเด็ด MONO 29 เมื่อวันที่ 7 ส.ค.67 ลงในบัญชีติ๊กต็อก @atavit ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคก้าวไกล มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบ ผิดมาตรา 112 ระบุว่า…

“กรณีผมก้าวไกล ผมคิดว่าในขณะนั้นมีคนเตือนหลายท่านแล้วว่าการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 หากจะลดโทษก็ไปแก้ไขเรื่องบทลงโทษ ให้อยู่มาตราไหนก็อยู่มาตรานั้น แต่ลักษณะการแก้ของก้าวไกลเป็นการแก้แบบยกเลิก ย้ายหมวดจากหมวดความมั่นคงแห่งรัฐ ออกมาเป็นหมวดเหมือนหมิ่นประมาททั่วไป…

“ทำให้มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญาก็สิ้นสลายหายไป คนที่ชุมนุมอยู่ก็ชุมนุมต่อ ที่เคยพูดได้ หมิ่นได้ก็หมิ่นได้ต่อ ไม่ผิด มาตรา 112 อีกต่อไปแล้ว ส่วนที่ติดอยู่ในคุกก็ต้องออกมายุติการดําเนินคดี ก็จะเป็นการนิรโทษกรรมคดีทั้งหมดที่ดําเนินอยู่”

นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อว่า หากแก้ปกติจะไม่เป็นอะไร เช่น บทลงโทษ 3-15 ปี ทางก้าวไกลบอกจะแก้ให้เหลือ 1 ปี ก็ถือเป็นสิทธิ์ของพรรคการเมือง หรือหากจะพูดคุยในสภาก็พูดได้ ฉะนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงออกมาเบรกว่า “แก้ได้ในสภานะ แต่เอามาหาเสียงทําแคมเปญไม่ได้” การกระทำของก้าวไกลไม่ใช่การแก้ไข แต่เป็นการยกเลิก แล้วไปกําหนดโทษให้เบาลงในมาตราอื่น

ตั้งแต่เลือกตั้งก้าวไกลได้ 151 สส. และเขาขับสส. 3 คนพ้นพรรคออกไป 2 คนแรกผิดมาตรฐานจริยธรรมของพรรค ส่วนอีกท่านหนึ่งที่ต้องขับออกก็คือ ‘หมออ๋อง’ รองประธานสภา เพราะถ้าไม่ขับออก หมออ๋องเป็นรองประธานสภาไม่ได้ เพราะประธานสภาต้องมาจากพรรครัฐบาลเท่านั้น ก็เหลืออยู่ 148 ถ้าวันนี้ศาลตัดสินว่ายุบก้าวไกล สส. ก็จะหายไปอีก 5 คน จะเหลือ 143 ถ้าเกิดกรรมการบริหารพรรคโดนยุบวันนี้ (7 ส.ค.) ต้องไปดูคําพิพากษาไส้ในอีกว่ามันจะมีผลกระทบระลอก 2 หรือเปล่า เพราะตอนที่ก้าวไกลเขาเสนอยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 ในขณะนั้น มี สส.ปัจจุบันในสภาที่สังกัดพรรคก้าวไกลอีก 30 คน ถ้าหากมีใครไปร้อง ปปช. ต่อเนื่อง และมีการนําสืบต่อ สส. 30 คนของก้าวไกลก็อาจจะต้องถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปอีก ก็จะเหลืออยู่ 113 แต่คงไม่เร็ว ๆ นี้ 

นายอรรถวิชช์ เสริมต่อว่า เป็นบทเรียนสําคัญของการเมืองและก็เป็นบทเรียนสําคัญสำหรับก้าวไกล และผมก็เชื่อว่า สส. ต้องใช้เวลาภายใน 60 วันไปหาพรรคใหม่ ถ้าเขาย้ายทั้งแพ็กไปอยู่พรรคใหม่ โอกาสของพรรคและอนาคตทางการเมืองก็ยังมี และไม่แน่ อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป และจะเป็นการเรียนรู้หนึ่งเรื่องว่า ‘อะไรควร’ หรือ ‘อะไรไม่ควร’

🔎ส่อง 44 อดีต สส.ก้าวไกล อาจหมดอนาคตทางการเมือง 'ตลอดชีวิต' หลัง 'ป.ป.ช.' สั่งไต่สวน 'ผิดจริยธรรม' ร่วมลงชื่อแก้ไข 'ม.112'

ดาบสอง!! เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.67) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และนายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ กรรมการ ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการพิจารณาคดี 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งถือว่ามีโทษสูงถึงขั้นตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตนั้น

นายนิวัติไชย กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า 'มีมูล' จึงมีมติสั่งไต่สวน 44 สส. ส่วนข้อเท็จจริงอยู่ระหว่างไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐาน และจะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าได้ประเมินหรือไม่ว่าระยะเวลาของการพิจารณาคดีจะยาวนานหรือไม่? นายนิวัติไชย กล่าวว่า คิดว่าไม่น่ายาว พอข้อเท็จจริงปรากฏ น่าจะครบ อยู่ที่การวินิจฉัยเรื่องข้อกฎหมายถึงเจตนา

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ยื่นเป็นหลักฐานแนบมาด้วย ถือเป็นเอกสารสำคัญในการประกอบการพิจารณาหรือไม่? นายนิวัติไชย กล่าวว่า ก็อาจจะเป็นข้อเท็จจริงหรือพฤติกรรม แต่ต้องให้คณะกรรมการไต่สวนไปพิจารณา ขอไม่ก้าวล่วง

เมื่อถามถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ไปยื่นหนังสือขอให้ ป.ป.ช. ไม่จำเป็นต้องไต่สวน เนื่องจากมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว? นายนิวัติไชย กล่าวว่า เรื่องการให้ความเป็นธรรมอยู่ที่ข้อกฎหมาย เพราะเรื่องนี้ต้องจบที่ชั้นศาล ซึ่งศาลต้องใช้ดุลยพินิจในการพิจารณา 

ดังนั้น การให้ความเป็นธรรมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงพยานหลักฐาน หากใช้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียว ก็อาจไม่เป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา และวันนี้ยังไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง จึงยังไม่ครบถ้วนตามข้อกฎหมาย

เมื่อ 'ศิลปินแห่งชาติ' ให้กำลังใจ กลุ่มคนเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ ควรเปลี่ยนมาใช้ 'ศิลปินแห่งส้ม' บันทึกลงวิกิพีเดีย น่าจะ 'ยืนยง' กว่า

คนไทย ใครก็ตาม หากได้รับการยกย่องว่าเป็น 'ศิลปินแห่งชาติ' บทเบื้องต้นย่อมต้องรู้ซึ้งใน 'แก่นของชาติ’ ก่อนอย่างอื่น ยังต้องมีมาตรฐานทาง 'สามัญสำนึก' เหนือกว่า 'ศิลปินข้างถนน' เช่นผม หรือใครอีกมากมาย 

นั่นก็เพื่อให้ภาพของการเป็นแบบอย่างในทางดีงามเปล่งแสงเรืองรอง เปรียบคือ 'หลักของความดี' ยืนโดดเด่นอยู่ตรงกันข้ามกับเหล่า 'มนุษย์ใจบาป' ที่คอยเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน ไม่ใช่การไปสนับสนุนอุ้มชู ผลักดัน แสดงออกถึงการเห็นอกเห็นใจเมื่อ 'โจรคิดล้มล้างการปกครอง' ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดจน 'ซ่องโจร' แตกกระเจิง

เป็น 'ศิลปินแห่งชาติ' แต่กลับให้กำลังใจกลุ่มคนที่คิด 'ล้มล้างสถาบันหลักของชาติ' มันถูกหรือ? 

หรือคำว่า 'ชาติ' ที่ผมรู้จักมาตั้งแต่ชั้นประถม อาจจะเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเก่าถ้าวันข้างหน้าผมมีอายุมากขึ้น โด่งดังหรือร่ำรวยมากขึ้น สำนึกความเป็น 'คนแห่งชาติ' ก็จะต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนหมามันเยี่ยวรดเล่นได้ง่าย ๆ กระนั้นหรือ?

ถามเพราะ...สงสัย

บริษัทค่ายเพลงต่างชาติ แม้จะมีคำว่า 'ไทยแลนด์' ต่อท้ายชื่อ จะดูหมิ่นศาล หรือเชียร์พรรคการเมืองที่ย้อนแย้งและกลิ้งกลอก ก็ไม่น่ารังเกียจเท่า 'ศิลปินแห่งชาติไทยแลนด์' ดูแคลนการตัดสินของศาลไทย และเทใจเข้าข้างเหล่ามนุษย์ที่ทำผิดกฎหมาย แถมมีเจตนาร้ายต่อสถาบันหลักของชาติเสียเอง 

ที่จริง ถ้ามองไม่เห็นคุณงามความดีของสถาบัน ถึงขนาดที่ว่ากล้าเอ่ยให้กำลังใจกลุ่มคนที่รวมตัวกันเป็นขบวนการเดินหน้า 'เอาเท้าเหยียบย่ำ' สถาบันมาตลอดหลายปี ก็น่าจะเอาคำยกย่องที่คนในชาติหยิบยื่นให้คืน อย่าให้ใครเรียกขานอีกต่อไปเลยว่าเป็น 'ศิลปินแห่งชาติ'

เปลี่ยนมาใช้ 'ศิลปินแห่งส้ม' บันทึกลงวิกิพีเดียน่าจะ 'ยืนยง' กว่า 

'บก.ฟ้าเดียวกัน' หยัน!! ชนชั้นนำฝ่ายขวา มีปัญญายุบพรรค แต่ไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้ง

(13 ส.ค. 67) นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน บุคคลในกลุ่มที่ใกล้ชิด นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ความน่าตลก ปนสมเพช ของชนชั้นนำฝ่ายขวาก็คือว่าหลังจากยุบพรรคไทยรักไทย ของทักษิณ ชินวัตร ในปี 2550

ผ่านมา 17 ปี ก็มายุบพรรคก้าวไกลศัตรูตัวใหม่ของชนชั้นนำฝ่ายขวา (หลังจากยุบพรรคอนาคตใหม่ไป 4 ปีก่อนหน้านั้น)

แต่ตัวเองก็ไม่มีตัวเลือกที่ดีพอ ก็กลับไปใช้บริการ ทักษิณ ชินวัตร พรรคไทยรักไทยที่ตอนนี้กลายร่างมาเป็นเพื่อไทย

อันนี้สิถึงเรียกว่า ความไร้น้ำยาอย่างแท้จริง

มีปัญญายุบพรรค-รัฐประหาร แต่ไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้ง ความอับจนชนชั้นนำฝ่ายขวา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top