Sunday, 8 June 2025
มุสลิม

‘รศ.ดร.วินัย’ ชี้!! ‘การฉลองปีใหม่’ แท้จริงถือกำเนิดขึ้นก่อนจะมีศาสนาคริสต์ จึงไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ‘ชาวมุสลิม’ สามารถร่วมฉลองได้

(27 ธ.ค. 66) รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการ ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ความเป็นมาของการเฉลิมฉลอง ‘วันปีใหม่’ ในวันที่ 1 มกราคม’ ระบุว่า…

มีคำถามจากพวกเราถึงผมเป็นครั้งคราว เร็วๆ นี้ มีคำถามมาว่า การเฉลิมฉลองวันปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม ตามปฏิทินสากล เป็นประเพณีหรือพิธีกรรมในศาสนาคริสต์ใช่หรือไม่ หากใช่ การที่คนในศาสนาอื่นเข้าไปร่วมเฉลิมฉลอง จะผิดหลักการในศาสนาของตนเองหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ‘มุสลิม’ ก่อนจะตอบ เราควรเข้าใจก่อนว่าการนับวันเวลาเป็นสิ่งสมมุติ เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ โดยเป็นเช่นนั้นมาแต่โบราณแล้ว

การกำหนดวันปีใหม่สากลให้เป็นไปตามปฏิทินสุริยคติคือ ‘วันที่ 1 มกราคมของทุกปี’ เรื่องนี้เริ่มโดยชาวโรมันมานานนับพันปีแล้ว โดยก่อนหน้านั้น ชนโบราณ ทั้งบาบิโลน จีน อินเดีย กำหนดวันปีใหม่ตามปฏิทินสุริยคติมาก่อนชาวโรมันเสียด้วยซ้ำ โดยกำหนดไว้ว่า ‘วันขึ้นปีใหม่’ คือ วันเริ่มต้นการเพาะปลูก ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จนถึงพฤษภาคม ชาวจีนกำหนดวันตรุษจีนไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ ชาวอินเดียกำหนดวันสงกรานต์ในเดือนเมษายน ส่วนชาวบาบิโลนเฉลิมฉลองวันเริ่มเพาะปลูกในเดือนมีนาคม

กระทั่งถึงปีที่ 46 ก่อนคริสตกาล ‘จักรพรรดิจูเลียส ซีซาร์’ แห่งจักรวรรดิโรมัน เห็นว่าช่วงฤดูหนาวคือ เดือนธันวาคมถึงมกราคม อากาศหนาวเหน็บ บรรยากาศหดหู่ ผู้คนซึมเศร้า ว้าเหว่ จึงย้ายวันปีใหม่จากช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่สดใสไปเป็นฤดูหนาว เพื่อให้ผู้คนในจักรวรรดิได้รื่นเริงกันบ้าง การกำหนดวันปีใหม่ให้เป็นวันที่ 1 มกราคมจึงเริ่มต้นในปีนั้น วันปีใหม่จึงเกิดขึ้นก่อนการมาของคริสต์ศาสนา การเฉลิมฉลองวันปีใหม่ในบางชุมชนอาจมีพิธีกรรมทางศาสนาเข้ามาปนบ้าง แต่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์อย่างแน่นอน

ชนคริสต์ในจักรวรรดิโรมันกว่าจะยอมรับให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันปีใหม่ก็ล่วงเลยมาถึง ค.ศ. 313 แล้ว เหตุที่ก่อนหน้านั้นไม่ยอมรับก็เนื่องจากเห็นว่า การฉลองปีใหม่เป็นกิจกรรมของคนนอกศาสนา ต่อเมื่อเข้าใจได้ว่า วันเวลาคือความเป็นสากลไม่เกี่ยวข้องกับศาสนานั่นแหละจึงยอมรับ นอกจากนี้ ชาวคริสต์ในแต่ละนิกายยังเริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันปีใหม่ไม่ตรงกัน ที่น่าสังเกตคือ ไม่มีชนกลุ่มใดยึดถือว่าวันปีใหม่เป็นวันสำคัญทางศาสนา การเฉลิมฉลองจะเป็นไปในลักษณะใด เอาศาสนามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ให้ขึ้นกับแต่ละสังคมเป็นสำคัญ

ในประเทศมุสลิมปัจจุบัน การนับถอยหลัง หรือ ‘เคาท์ดาวน์’ ตอนเที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม มีให้เห็นอยู่บ้าง เช่น ที่อาคารทวินทาวเวอร์ในกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย หรืออาคารเบิร์จคาลิฟาของดูไบ ยูเออี และในอีกหลายประเทศมุสลิม นั่นเป็นเพราะวันปีใหม่ไม่ใช่การเฉลิมฉลองทางศาสนา

ส่วนประเด็นที่มีมุสลิมบางคนเข้าใจว่าวันที่ 1 มกราคม เกี่ยวข้องกับการสูญเสีย ‘กรานาดา’ หรือ ‘ฆัรนาเฎาะฮฺ’ ของจักรวรรดิมุสลิมให้แก่จักรวรรดิคริสต์ในสเปน เหตุการณ์นั้นเกิดในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ.1492 ไม่เกี่ยวข้องกับวันปีใหม่ ที่อธิบายมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่า จะแนะนำให้มุสลิมฉลองวันปีใหม่ สังคมมุสลิมมีวันเฉลิมฉลองอยู่แล้ว คือ ‘วันอิดิลอัฎฮาและอิดิลฟิตริ’ การเฉลิมฉลองกันสุดเหวี่ยงเลียนแบบคนอื่นในวันอื่นคงไม่เหมาะ ส่วนใครจะฉลองคงไม่มีใครตำหนิ

ตุรกีโวยบริษัทรองเท้า Adidas ใช้หนังหมูทำรองเท้าผ้าใบรุ่นดังไม่แจ้งลูกค้า

(17 ก.พ. 68) ตุรกีได้สั่งปรับ Adidas บริษัทอุปกรณ์กีฬายักษ์ใหญ่จากเยอรมนีเป็นเงินกว่า 15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 5 แสนบ้าน เนื่องจากไม่แจ้งให้ลูกค้าทราบว่าโมเดลรองเท้าผ้าใบรุ่น "Samba OG" ที่เป็นหนึ่งในรุ่นยอดนิยมของบริษัทมีการใช้หนังหมู

หน่วยงานกำกับดูแลการโฆษณาของตุรกีได้วิจารณ์ Adidas ที่อธิบายรองเท้า "Samba OG" ซึ่งได้รับความนิยมจากเหล่าคนดังอย่าง Kendall Jenner และ Bella Hadid ว่าทำจาก "หนังแท้" โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นหนังหมู

ในคำตัดสิน ระบุว่า การใช้วัสดุที่ "ขัดต่อความรู้สึกทางศาสนาของคนส่วนใหญ่ในสังคมต้องได้รับการระบุอย่างชัดเจน" ในการโฆษณาและคำอธิบายผลิตภัณฑ์ เป็นเหตุให้หน่วยงานดังกล่าวได้ออกปรับบริษัทเป็นเงิน 550,059 ลีราตุรกี (ประมาณ 15,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

ทางด้าน Adidas ออกมายอมรับว่าขณะนี้ได้ทำการ ปรับปรุงข้อมูลสเปคของสินค้าในเว็บไซต์โดยไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับเงิน

"หลังจากได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับคำอธิบายผลิตภัณฑ์ในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของเราที่ตุรกี เราได้อัปเดตข้อมูลวัสดุของผลิตภัณฑ์ตามนั้น" บริษัทกล่าวในแถลงการณ์สั้นๆ

ในปี 2020 สำนักงานประธานาธิบดีด้านศาสนาของตุรกีได้ตัดสินว่า "การผลิตรองเท้าหรือเสื้อผ้าที่ทำจากหนังหมูหรือขนหมูนั้นไม่อนุญาต"

"เกือบทุกท่านที่เป็นนักวิชาการมุสลิมยอมรับว่า หนังหมูไม่สามารถทำให้บริสุทธิ์ได้ด้วยการฟอกหรือกระบวนการอื่นๆ" คำตัดสินระบุ

‘รถถัง’ น็อก ‘ทาเครุ’ ดับฝันเจ้าถิ่น ประกาศแบ่งโบนัสช่วยชาวมุสลิมที่ยากไร้

(24 มี.ค. 68) รถถัง จิตรเมืองนนท์ นักชกชาวไทย วัย 27 ปี สร้างผลงานยอดเยี่ยมในศึก ONE 172 ที่ไซตามะ ซูเปอร์ อารีนา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568 โดยสามารถเอาชนะน็อก ทาเครุ เซกาวา นักชกเจ้าถิ่น วัย 33 ปี ในกติกาคิกบ็อกซิ่ง รุ่นฟลายเวต ซูเปอร์ไฟต์

การชกเริ่มขึ้นเพียงไม่นาน รถถังได้ปล่อยหมัดซ้ายเข้าเต็มหน้าของทาเครุ ส่งผลให้นักชกญี่ปุ่นล้มลงไปนั่ง กรรมการจึงยุติการชกทันที ทำให้รถถังชนะน็อกในเวลาเพียง 1 นาที 14 วินาทีของยกแรก

ชัยชนะครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความประทับใจให้กับแฟนมวยชาวไทยและญี่ปุ่น แต่ยังทำให้รถถังได้รับโบนัสพิเศษจาก ชาตรี ศิษย์ยอดธง ประธาน ONE Championship เป็นจำนวนเงิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.7 ล้านบาท)

โดยเงินโบนัสส่วนหนึ่ง ‘รถถัง’ ประกาศจะมอบให้กับพี่ชาวมุสลิมที่ยากไร้ “ต้องขอบคุณพี่ชาตรี (ศิษย์ยอดธง) มาก เขาไม่ใช่แค่บอส เขาคือพี่ชายของผม ส่วนเงินโบนัสที่ได้ในครั้งนี้ แบ่งสัดส่วนแล้ว ผมจะเอาส่วนหนึ่งมอบให้พี่น้องชาวมุสลิมที่ยากไร้ แล้วก็ขาดแคลนครับผม”

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ‘บอสชาตรี’ ชาตรี ศิษย์ยอดธง ซีอีโอ วัน แชมเปียนชิพ เตรียมให้รถถังขึ้นชกกับ โจนาธาน แฮกเกอร์ตี นักชกชาวอังกฤษ ซึ่งคาดกันว่าจะชกกันที่รุ่นแบนตัมเวต เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่แฮกเกอร์ตีจะทำน้ำหนักลงมาเล่นในรุ่นฟลายเวต

‘รัฐบาลมาเลเซีย’ ไม่เคยเห็นด้วยกับ ‘BRN’ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คำนึงถึง!! พี่น้องมุสลิมเป็นหลัก แม้คอมมิวนิสต์ จะขยายตัว

(4 พ.ค. 68) บางช่วงประวัติศาสตร์ ในห้วงที่ มาลายูมาเลยเซีย รบ กับ มาลายูอินโดนีเซีย ช่วงอิทธิพลของคอมมิวนิสต์กำลังขยายตัว

ระหว่างที่มาเลเซียกับอินโดนีเซียทำสงครามแย่งผนวกดินแดนกันอยู่ พรรคพาสซึ่งเป็นฝ่ายค้านในขณะนั้นได้ปภิปรายในสภาของมาเลย์ ว่า 
สี่จังหวัดภาคใต้ของไทยซึ่งเป็นมุสลิมเหมือนกัน มีความคล้ายคลึงกับคนมลายูมากกว่าคนไทยพุทธ 
ทำไมรัฐบาลจึงไม่คิดจะรวมเข้ามาเสียด้วย

อีกทั้งยังโจมตี ว่า ท่านตนกูมี แม่เป็นคนไทย ต้องเป็นมุสลิมเทียมแน่ๆ ช่วงนั้นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่พรรคให้การสนับสนุนไว้ในปัตตานีได้ก่อหวอดเรื่องเดียวกันขึ้น 

พรรคพาสก็ได้มีการยื่นกระทู้เข้าสู่สภาในเดือนสิงหาคม ๒๕๐๔ เรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียผนวกรัฐปาตานี ซึ่งครอบคลุมสี่จังหวัดชายแดนของไทย ไปรวมกับกับดินแดนของคนมลายูเสียเลย 

นายกรัฐมนตรี ตนกู อับดุล เราะห์มานนั้นท่านลุกขึ้นยืนแถลงตอบฝ่ายค้านในสภาว่า 
"ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของไทย คนไทยย่อมจะไม่ยอมให้ดินแดนของตนตกไปเป็นของชาติอื่น ถ้าหากปฏิบัติไปตามคำเรียกร้องเช่นนั้นแล้ว ก็เป็นที่น่าวิตกว่าจะต้องเกิดสงครามระหว่างไทยกับมาเลเซียขึ้นอย่างแน่นอน และถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ประชาชนทั้งสองชาติจะต้องกลายเป็นศัตรูกันต่อไปชั่วกาลนาน "

แล้วอะไรจะเกิดขึ้นนอกจากชัยชนะของพวกคอมมิวนิสต์

คำตอบคำยืนยันของ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในขณะนั้น ซึ่งท่านเป็นมุสลิมมลายู 100% และเป็นมุสลิมสายกลาง ก็ตอบชัดเจนและยืนยันชัดเจนว่า 3 จังหวัดชายแดนใต้นั้นเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยมาเลเซียไม่ควรเข้ามาก้าวก่าย

ส่วนศึกภายในของมาเลเซียระหว่างพรรคการเมืองนั้นผมเองมองว่า พรคบาส ก็ไม่ได้จริงใจอะไรต่อพี่น้องมุสลิม 3 จังหวัดหรอก แต่เป็นเกมการเมืองที่ต้องการดิสเครดิตรัฐบาลโดยเอาความเป็นมุสลิมมลายูมาดราม่าเท่านั้น

เพราะไม่เช่นนั้นช่วงที่ชาวโรฮิงญาอพยพลี้ภัยไปพึ่งมาเลเซีย มาเลเซียถ้าคำนึงถึงความเป็นพี่น้องมุสลิมจริง

ก็คงต้อนรับและดูแลชาวโรฮิงญาไปแล้วแต่อันนี้เห็นหลักฐานกับตามาเลเซีย กลับไม่ให้เรือของโรฮิงญาเข้าฝั่งลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลแล้วก็เสียชีวิตไปจำนวนมากเช่นกัน

อันนี้ไม่ได้จะตำหนิประเทศมาเลเซียหรืออะไรทั้งสิ้นเพียงแค่ให้เห็นว่าอย่าดึงประเทศมาเลเซียมาเกี่ยวข้องส่วนการเมืองภายในของเขาก็เป็นเรื่องปกติในการดิสเครดิตรัฐบาลในแต่ละช่วงโดยการอ้างเรื่องความจังหวัดมาเกี่ยวข้องบ้าง

แต่ปัจจุบันคนที่เป็นเเบ็กค? ให้กับขบวนการโจรใต้นั้นเป็นฝั่งยุโรปที่พึ่งมาตาสว่างว่าในพื้นที่ 3 จังหวัดนั้นมีแร่ธรรมชาติจำนวนมากเช่นกันซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของพวกมหาอำนาจ 
และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในโซนเอเชียในการ คานอำนาจกับประเทศจีน 

KazanForum เมื่อรัสเซียหันหน้าเข้าสู่ ‘โลกมุสลิม’ เพื่อปักหมุดภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ ในโลกยุคหลายขั้ว

(18 พ.ค. 68) ในขณะที่โลกยังคงหมุนวนท่ามกลางความปั่นป่วนของอำนาจและการแย่งชิงผลประโยชน์ รัสเซียเดินหน้าด้วยความเด็ดขาดและไม่ลังเลที่จะ “หันหน้า” เข้าหาโลกมุสลิม — กลุ่มประเทศที่มีพลานุภาพมหาศาลทางเศรษฐกิจ มีวัฒนธรรมและอุดมการณ์ KazanForum จึงไม่ใช่แค่เวทีเจรจาธรรมดาแต่มันคือการประกาศศักดาอันดุเดือดของรัสเซียในการปักหมุดภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ของโลกยุคหลายขั้ว นี่คือการท้าทายอำนาจเก่าที่มองข้ามหรือพยายามกดขี่โลกมุสลิมมาเนิ่นนาน รัสเซียไม่ใช่แค่ผู้เล่นรายหนึ่งในเวทีการเมืองระหว่างประเทศแต่คือ “เสาหลัก” ที่โลกมุสลิมจะจับมือเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และอุดมการณ์ใหม่ที่ไม่ยอมจำนนต่อระบบโลกเดิม ดังนั้น KazanForum คือสนามรบทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เต็มไปด้วยพลังความมั่นคงและพันธมิตรที่ไม่อาจมองข้าม เมื่อโลกถูกบังคับให้ต้องเลือกระหว่างอำนาจที่สั่นคลอนและอนาคตที่ไม่แน่นอน KazanForum คือคำตอบของพันธมิตรใหม่ที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้ที่จะปั้นโลกให้เป็นเวทีของความหลากหลาย ศรัทธาและอิทธิพลที่รัสเซียและโลกมุสลิมพร้อมยืนหยัดเคียงข้างกันอย่างไม่หวั่นไหว

จากดอนบาสถึงคาซาน

เมื่อรัสเซียเผชิญแรงกดดันจากมาตรการคว่ำบาตรระลอกแล้วระลอกเล่า การประชุมทางเลือกนอกโลกตะวันตกจึงกลายเป็นเวทีสำคัญในยุทธศาสตร์ต่างประเทศของเครมลินและหนึ่งในนั้นคือ Russia–Islamic World: KazanForum ซึ่งจัดขึ้นที่สาธารณรัฐตาตาร์สถาน ดินแดนที่มีทั้งอัตลักษณ์มุสลิมและเชื้อชาติเตอร์กผสมผสานอยู่ในโครงสร้างของรัฐรัสเซียอย่างแนบแน่น KazanForum ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2025 ดึงดูดผู้แทนจากกว่า 80 ประเทศมุสลิมโดยเฉพาะกลุ่ม OIC ทั้งในตะวันออกกลาง เอเชียกลาง แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้การรวมตัวกันในระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กในโลกที่แตกขั้วอย่างเข้มข้นขึ้นทุกวัน โดย KazanForum มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2025  ณ เมืองคาซาน สาธารณรัฐตาตาร์สถาน ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย มีตัวแทนจากกว่า 87 ประเทศ รวมถึงประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และ 87 ภูมิภาคของรัสเซียเข้าร่วมงาน หัวข้อและกิจกรรมเด่นประกอบไปด้วย 
1) การประชุมเชิงธุรกิจและเศรษฐกิจ มีการจัดการประชุมกว่า 150 เซสชัน ครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ เช่น การเงินอิสลาม การลงทุน เทคโนโลยี การศึกษาและการท่องเที่ยว รวมถึงมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกว่า 120 ฉบับระหว่างภาครัฐและเอกชน 2) การประชุมกลุ่มวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ "รัสเซีย–โลกอิสลาม" เป็นเวทีสำคัญที่มีผู้แทนระดับสูงจากประเทศต่าง ๆ เช่น เติร์กเมนิสถาน แอลจีเรีย บังกลาเทศ โมร็อกโกและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้าร่วม 3) การประชุมด้านการเงินอิสลาม (AAOIFI Conference) จัดขึ้นครั้งแรกในรัสเซีย โดยเน้นการปรับใช้การเงินอิสลามภายใต้กฎหมายรัสเซีย 4) นิทรรศการ Halal Expo แสดงผลิตภัณฑ์ฮาลาล
หลากหลายประเภท เช่น อาหาร เครื่องแต่งกาย การเงินและการท่องเที่ยว halaltimes.com 5) การประชุมระดับรัฐมนตรีรวมถึงการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมของประเทศสมาชิก OIC และการประชุมเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุน การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมระดับสูงหลายท่าน เช่น นายกุร์บันกูลี เบอร์ดีมูฮาเมโดว์อดีตประธานาธิบดีเติร์กเมนิสถาน นายอันวาร์ อิบราฮิมนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ฯพณฯ อาลี อับดุลลาห์ ธานี จัสซิม อัล ธานี มาชิกราชวงศ์กาตาร์ รวมถึงรัฐมนตรีจากปากีสถาน ลิเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

แม้ภาพลักษณ์ของ KazanForum จะถูกห่อหุ้มด้วยวาทกรรมเศรษฐกิจ การลงทุนและความร่วมมือวัฒนธรรมแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังคือบทสนทนาเรื่อง "ความมั่นคงทางเลือก" ที่ไร้เงาของ NATO หรือ EU หลายประเทศมุสลิมมองรัสเซียในฐานะ “รัฐที่เข้มแข็ง” ที่กล้าท้าทายอำนาจอเมริกาและพร้อมจะจัดระเบียบความมั่นคงร่วมในรูปแบบใหม่ที่ไม่พึ่งพาโลกตะวันตก เช่น การร่วมมือด้านข่าวกรอง การพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศหรือแม้แต่การสนับสนุนการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคที่เปราะบางอย่างซาเฮลหรือคอเคซัส  สิ่งนี้สะท้อนว่า KazanForum ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่สร้างเครือข่ายเศรษฐกิจแต่มันเริ่มกลายเป็น “แหล่งรวมแนวร่วมของความมั่นคงเชิงภูมิวัฒนธรรม” ที่ตั้งอยู่บนฐานของอัตลักษณ์อิสลามและการต่อต้านภาวะอาณานิคมใหม่ 

หากมอสโกคือจุดศูนย์กลางของอำนาจรัฐ คาซานก็คือ “เวทีทดลอง” สำหรับยุทธศาสตร์ทางวัฒนธรรมที่รัสเซียต้องการเสนอออกสู่โลกการเลือกจัด KazanForum ในตาตาร์สถานไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะดินแดนนี้เปรียบได้กับ "สะพาน" ระหว่างจักรวรรดิรัสเซียดั้งเดิมกับโลกมุสลิมที่แผ่ขยายจากเอเชียกลางสู่ตะวันออกกลาง การใช้ความเป็นมุสลิมของชาวตาตาร์ในการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ทำให้รัสเซียสามารถ "แสดงบทบาท" ของรัฐพหุวัฒนธรรมได้อย่างแนบเนียน ภูมิรัฐศาสตร์แบบใหม่ของรัสเซียจึงไม่ได้พึ่งแต่กองทัพหรือพลังงานอีกต่อไปแต่ยังพยายามสร้าง "Soft Eurasianism" ผ่านความเชื่อมโยงทางศาสนา ประวัติศาสตร์ และการต่อต้านอำนาจเดิมของโลกตะวันตก

นอกจากวาทกรรมทางความมั่นคงและอัตลักษณ์ KazanForum ยังเป็นเวทีที่รัสเซียพยายามเสนอภาพตนเองในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่ไว้ใจได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศมุสลิมที่ต้องการความหลากหลายในการค้าระหว่างประเทศจากระบบการเงินอิสลาม (Islamic Finance) ไปจนถึงเครือข่ายการค้าฮาลาล รัสเซียเร่งเจาะตลาดใหม่เพื่อชดเชยการสูญเสียการค้ากับยุโรป ในฟอรั่มปีนี้มีการลงนาม MOU หลายฉบับทั้งการส่งออกอาหารฮาลาล การร่วมทุนโลจิสติกส์และการเชื่อมโยงท่าเรือทะเลสาบแคสเปียนเข้าสู่เส้นทางซัพพลายเชนใหม่ กล่าวได้ว่า KazanForum กำลังทำหน้าที่คล้ายกับ Belt and Road Forum ของจีนในเวอร์ชันมุสลิม—ต่างกันแค่แทนที่จะมี “มังกร” เป็นผู้ชี้ทางที่นี่มี “หมีขาว” สวมชุดมุสลิมเป็นผู้เปิดเกม 

โลกมุสลิมตอบรับ KazanForum ในแง่บวกอย่างชัดเจนโดยมองว่าเวทีนี้เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างพันธมิตรกับรัสเซียในหลากหลายมิติโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการเมืองซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ นอกเหนือจากการพึ่งพาตะวันตก เช่น การร่วมมือในด้านการเงินอิสลาม ฮาลาล เทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานหลายประเทศมุสลิมมองว่ารัสเซียเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในเวทีโลกหลายขั้ว ที่สามารถเป็นทางเลือกแทนตะวันตกที่มักมีความขัดแย้งกับโลกมุสลิม นอกจากนี้ KazanForum ยังถูกมองว่าเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ประเทศมุสลิมนำเสนอวัฒนธรรมและศักยภาพของตนเองในระดับสากลภายใต้กรอบความร่วมมือที่มีความเคารพซึ่งกันและกัน

เยกอร์ อาเลเยฟ (Yegor Aleyev) นักวิเคราะห์ชื่อดังของสำนักข่าว TASS ของรัสเซียชี้ชัดว่า KazanForum เป็นการแสดงพลังของรัสเซียในการเป็นศูนย์กลางความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับโลกมุสลิมซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมถึงความมั่นคงและการเมืองระดับภูมิภาคและระดับโลก อาเลเยฟเน้นว่า "รัสเซียกำลังสร้าง ‘เวทีใหม่’ ที่โลกมุสลิมสามารถแสดงบทบาทและศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่ภายใต้การสนับสนุนและความร่วมมือที่เท่าเทียมและเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งแตกต่างจากความสัมพันธ์แบบเก่าที่มีเงื่อนไขหรือการครอบงำจากมหาอำนาจตะวันตก" อาเลเยฟมองว่าเวทีนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้รัสเซียและโลกมุสลิมสามารถรับมือกับความท้าทายร่วมกัน เช่น การกดดันทางการเมืองจากโลกตะวันตก การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรวมถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์และการก่อการร้าย เขายังชี้ว่าความสัมพันธ์นี้จะไม่ใช่แค่ในระยะสั้นแต่มีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่พันธมิตรยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืนและทรงพลังที่สุดในศตวรรษนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของโลกที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุค “โลกหลายขั้ว” ที่มีอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์กระจายตัวมากขึ้น 

ในขณะที่อเล็กเซย์ วาซิลิเยฟ (Alexei Vasiliev) นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางของรัสเซียเน้นย้ำถึงบทบาทของรัสเซียในการสร้างความร่วมมือกับโลกอิสลามโดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์โลก เขาเห็นว่า Kazan Forum เป็นเวทีสำคัญที่รัสเซียใช้ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศมุสลิมและเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การสร้างโลกหลายขั้วที่รัสเซียผลักดัน

อันเดรย์ โคโรตาเยฟ (Andrey Korotayev) นักมานุษยวิทยาและนักสังคมวิทยาชาวรัสเซียผู้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับโลกอิสลามในบริบทของความมั่นคงและวัฒนธรรม เขาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้าใจโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมของประเทศมุสลิมในการสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืน และ KazanForum เป็นเวทีที่ช่วยส่งเสริมความเข้าใจและความร่วมมือดังกล่าว

รุสลาน เคอร์บานอฟ (Ruslan Kurbanov) นักวิชาการและนักกิจกรรมทางสังคมจากดาเกสถาน
เน้นย้ำถึงบทบาทของรัสเซียในการสนับสนุนและส่งเสริมชุมชนมุสลิมภายในประเทศและการใช้ KazanForum เป็นเวทีในการแสดงออกถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมของรัสเซีย รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศมุสลิมอื่น ๆ

ตามทฤษฎี Clash of Civilizations ของ ซามูเอล ฮันติงตัน (Samuel P. Huntington) โลกถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มอารยธรรมที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ศาสนา และค่านิยม ซึ่งมักนำไปสู่ความขัดแย้งและการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ในบริบทนี้ KazanForum จึงไม่ได้เป็นเพียงงานประชุมเศรษฐกิจหรือวัฒนธรรมทั่วไปแต่เป็นเวทีที่รัสเซียกำลังสร้าง “สะพาน” เชื่อมโยงระหว่างโลกอิสลามกับอารยธรรมตะวันตก-รัสเซีย ผ่านการแสดงออกถึงอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ในรูปแบบใหม่ ได้แก่ 1) ภูมิรัฐศาสตร์หลายขั้วโดยรัสเซียใช้ KazanForum เป็นเครื่องมือผลักดันยุทธศาสตร์หลายขั้วที่ท้าทายอิทธิพลของสหรัฐและตะวันตกในโลกมุสลิม 2) การสร้างอัตลักษณ์ร่วม KazanForum เสริมสร้างภาพลักษณ์ของ “โลกอิสลาม” ที่มีความเป็นเอกภาพและมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในรัสเซีย ซึ่งอาจเป็นการตอบโต้แนวคิดของตะวันตกที่มองโลกมุสลิมเป็น “อื่น” หรือศัตรู 3) การแข่งขันทางวัฒนธรรมและความมั่นคง โดยการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจและความมั่นคงผ่าน KazanForum คือการต่อสู้ในสมรภูมิทางวัฒนธรรม ที่ไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อความชอบธรรมและการกำหนดอนาคตของอารยธรรม

สรุป KazanForum มิใช่เพียงงานประชุมหากคือการเคลื่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์ที่แหลมคมและแยบยล รัสเซียกำลังสลักหมุดใหม่บนแผนที่โลก ไม่ใช่ด้วยกำลังทหารแต่ด้วยการสร้างพันธมิตรในนามของศรัทธา เศรษฐกิจและอารยธรรม ท่ามกลางระเบียบโลกเก่าที่เปราะบางและกำลังล่มสลายต่อหน้าต่อตารัสเซียและโลกมุสลิมกำลังรวมตัวกันอย่างเงียบเชียบแต่ทรงพลังเพื่อวางรากฐานใหม่ของอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากตะวันตกอีกต่อไป เวทีสัมมนาอย่าง KazanForum กลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ในยุคที่ “คำพูดสามารถโค่นกองทัพ” และ “การสร้างภาพจำสามารถล้มอารยธรรม” รัสเซียไม่เพียงปรับยุทธศาสตร์แต่กำลังสร้างสนามใหม่ที่คู่แข่งไม่ถนัดและไม่อาจคุมเกมได้ โลกมุสลิมตอบรับด้วยความกระตือรือร้นเพราะนี่คือพื้นที่ที่ให้เกียรติให้โอกาสและให้อนาคต ในท้ายที่สุด คำถามที่โลกต้องเผชิญไม่ใช่ว่า "รัสเซียกับโลกมุสลิมจะทำอะไรต่อไป?" แต่คือ "จะมีใครกล้าต้านทานพันธมิตรแห่งศรัทธา อำนาจ และภูมิปัญญาใหม่นี้ได้หรือไม่?"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top