Tuesday, 22 April 2025
ภูมิธรรมเวชยชัย

'ภูมิธรรม' ขยายผล 'เศรษฐา' จับมือมาเลฯ ดันเป้า 1 ล้านล้านบาท ภายในปี 70 พร้อมเชื่อมโยงชายแดนใต้ด้วย Twins City

ภูมิธรรม เดินหน้าผลักดันให้มาเลเซียอำนวยความสะดวกและเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย ตลอดจนยกระดับความเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนใต้ให้เป็นรูปธรรม หนุนการค้าสองฝ่ายขยายตัว พร้อมขยายความร่วมมือฮาลาล ดันแฟรนไชส์ไทยไปยังมาเลเซียมากขึ้น

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า ไทย -มาเลเซีย (Thailand  -Malaysia Joint Trade Committee :JTC) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ว่า ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์อันดีในทุกระดับโดยเฉพาะผู้นำประเทศโดยท่านนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม กับนายกรัฐมนตรีประเทศไทย เศรษฐา ทวีสิน ได้มีการพบปะหารือเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจกันอย่างบ่อยครั้ง โดยมีการปรึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจการค้าอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการมาเยือนมาเลเซียของผมในครั้งนี้ ผมได้มาสานต่อให้กับท่านผู้นำทั้งสองประเทศ ซึ่งจะมีผลที่สามารถนำไปกำหนดทิศทางอย่างเป็นรูปธรรม 

“การมาครั้งแรกหลังจากที่ได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศมาเลเซียเป็นเพื่อบ้านใกล้ชิดและเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ในอาเซียนของไทย โดยการประชุมในครั้งนี้ ทั้ง 2 ประเทศ จะเดินหน้าทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมการค้าให้บรรลุเป้าหมาย 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 1 ล้านล้านบาทภายในปี 2570 ตามที่นายกรัฐมนตรีสองฝ่ายตั้งเป้าหมายไว้ โดยจะอำนวยความสะดวกในการเปิดตลาดสินค้าเกษตรของทั้งสองฝ่ายให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งไทยได้ขอให้มาเลเซียเร่งอนุญาตนำเข้าเนื้อโค เนื้อสุกร และนกเขาชวาเสียง รวมทั้งตรวจรับรองผู้ผลิตสินค้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยในการส่งออกไปยังมาเลเซีย”

นายภูมิธรรมเสริมว่า ทั้งสองฝ่ายจะเดินหน้าเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนและเพิ่มตัวเลขการค้าชายแดน โดยเร่งรัดให้คณะทำงานด้านการค้าชายแดน และการค้าการลงทุนที่นายกรัฐมนตรีสองฝ่ายได้จัดตั้งขึ้นทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งมาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะทำงานครั้งแรกปลายเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อเป็นกลไกส่งเสริมและแก้ไขปัญหาการค้าและการลงทุนชายแดน และไทยได้เสนอการเชื่อมโยงเศรษฐกิจท้องถิ่นระหว่าง 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย กับ 5 รัฐตอนเหนือของมาเลเซียในรูปแบบเมืองคู่แฝดทางการค้า ระหว่างจังหวัดนราธิวาส-รัฐกลันตัน สงขลา-รัฐเคดาห์ สตูล-รัฐเปอลิส ยะลา-รัฐเปรัก และปัตตานี-รัฐตรังกานู ตลอดจนได้ผลักดันให้เร่งหาข้อสรุปในการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามพรมแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย เพื่อให้ลงนามได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อความคืบหน้าการก่อสร้างถนนเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่และด่านบูกิตกายูฮิตัมฝั่งมาเลเซียที่กำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งจะทำให้การขนส่งสินค้าและการเดินทางของนักท่องเที่ยวข้ามพรมแดนสะดวกมากยิ่งขึ้น

นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือใหม่ๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมผู้ประกอบการด้านฮาลาล และธุรกิจแฟรนไชส์ที่ไทยมีศักยภาพไปยังมาเลเซีย รวมถึงความร่วมมือด้านดิจิทัลและดาต้าเซนเตอร์ที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการค้า ดึงดูดการลงทุน และเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล 

โดยในช่วงท้าย นายภูมิธรรม ได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนฝ่ายมาเลเซียเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดสงขลา รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการค้าของไทยในปี 2567 ที่จะจัดขึ้นในประเทศมาเลเซีย เช่น งาน Thailand Week 2024 และงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทยด้วย

ในนามรัฐบาลไทยขอขอบคุณอีกครั้งที่ได้ร่วมกันผลักดันการประชุมในวันนี้ให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพในส่วนของฝ่ายไทยของจะนำผลประชุมในครั้งนี้ไปกราบเรียนนายกรัฐมนตรีให้ทราบถึงการผลักดันเศรษฐกิจร่วมของทั้งสองประเทศในครั้งนี้เพื่อผมจะรอต้อนรับคณะรัฐตรีและผู้บริหารของมาเลเซียในการประชุม JTC ครั้งที่ 4 ที่ไทย

ทั้งนี้ มาเลเซียเป็นประเทศเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในอาเซียน และอันดับที่ 4 ของไทยในโลก และเป็นคู่ค้าชายแดนอันดับ 1 ของไทย ในปี 2566 การค้ารวมไทย-มาเลเซีย มีมูลค่า 25,118.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (-7.14%) สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 10,787.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (-0.54%) โดยเป็นการส่งออก 5,046.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 5,740.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

‘ภูมิธรรม’ ยินดี นายกสมาคมหยูนหนานคนใหม่  พร้อมเดินหน้า ‘พัฒนาเศรษฐกิจ-การค้า-วัฒนธรรม’

(14 ก.ค.67) ที่สมาคมหยูนหนาน (แห่งประเทศไทย) อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เป็นประธานในพิธีรับมอบตำแหน่งนายกสมาคมหยูนหนาน (แห่งประเทศไทย) โดยมี นายหาน จื้อ เฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย นายวิชัย แซ่ลิ้ว นายกสมาคมหยูนหนาน (แห่งประเทศไทย) นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน นายชิม ชินวิริยกุล นายกสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย ร่วมด้วย

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับ นายวิชัย แซ่ลิ้ว ที่ได้รับตำแหน่งนายกสมาคมหยูนหนาน (แห่งประเทศไทย) ตนรู้สึกรักและผูกพันกับประเทศจีน บรรพบุรุษ ของตนก็มาจากจีน เป็นความผูกพันทางสายเลือด ซึ่งสมาคมหยูนหนาน (แห่งประเทศไทย) เป็นศูนย์รวมชาวหยูนหนานที่อยู่ในประเทศไทย ได้สร้างเครือข่ายทางธุรกิจเชื่อมต่อการค้า สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-จีน ในหลายมิติ ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

ความสัมพันธ์อยู่ที่ความสมดุล จะสามารถสิ่งต่างๆร่วมกันได้เป็นอย่างดี วันนี้ลูกหลานชาวจีนที่อยู่ในเมืองไทยมีมาก ทั้งนิสัยใจคอและความรู้สึกที่มีต่อกันเป็นพื้นฐานที่ยิ่งใหญ่ในการจับมือร่วมกัน และทำให้กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นกลุ่มประเทศที่มีความยิ่งใหญ่ ก่อนหน้านี้ท่านนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน)ได้พบกับท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่ปักกิ่ง หลังจากนั้นได้สร้างความสัมพันธ์กับแต่ละมณฑลของจีน และตนได้หารือกับท่านนายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง สร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าร่วมกัน และตนในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ไปในหลายมณฑล และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีในการแก้ไขปัญหาต่างๆ

ซึ่งไทยเคารพหลักกติกาและเป็นมิตรกับทุกประเทศ ไม่ให้สิ่งต่างๆมาทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และกับจีนความสัมพันธ์ที่เป็นพี่น้อง ไทยยินดีที่ต้อนรับทุกท่าน ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ใกล้ชิดกันเปรียบเสมือนสายใยที่เชื่อมโยงสองประเทศเข้าด้วยกัน ผ่านมิตรภาพความร่วมมือ และการเคารพซึ่งกันและกัน

สำหรับมณฑลหยูนหนาน มีพรมแดนติดกับเมียนมาร์ เวียดนาม และลาว เป็นมณฑลของจีนที่อยู่ใกล้กับประเทศไทยมากที่สุด มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น มีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใกล้เคียงกัน และมีความโดดเด่นด้านการค้าชายแดนซึ่งมีความสำคัญในการส่งออกสินค้าไทยไปจีนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะสินค้าเกษตรของไทย

ที่ผ่านมาตนได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนมณฑลหยูนหนานอยู่หลายครั้ง เมื่อเดือนเมษายน ตนมีโอกาสได้หารือกับนายหวัง หยู่โป (H.E.Mr.Wang Yubo) รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลหยูนนาน ผู้ว่าการมณฑลหยูนนาน และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำรัฐบาลมณฑลหยูนนาน ณ เมืองสิบสองปันนา เพื่อกระชับความสัมพันธ์การค้าระหว่างกันในระดับมณฑลให้รวดเร็วและเข้าถึงปัญหาได้อย่างเต็มที่

รัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะขยายความร่วมมือทางการค้ากับมณฑลหยูนหนานผ่าน เส้นที่ 1 หนองคายต่อรถไฟเวียงจันทน์ สู่มณฑลหยูนนาน และเส้นที่ 2 จังหวัดเชียงราย (เชียงของ-บ่อเต็น-โม่ฮาน) ผ่านถนน R3A สู่ด่านบ่อเต็นเข้าด่านโม่ฮาน และเจรจาเพื่อเปิดเส้นทางเดินเรือผ่านท่าเรือเชียงแสนไปยังท่าเรือกวนเหล่ย ซึ่งจะเป็นเส้นทางการค้าใหม่ ที่ยังไม่คึกคักเท่าที่ควร อยากเปิดเส้นทางนี้ให้ดียิ่งขึ้น เพราะสามารถเชื่อมโยงการค้าจากเชียงรายสู่คุนหมิงได้โดยตรง ซึ่งฝ่ายรัฐบาลจีนให้ความร่วมมือและรับปากจะกำกับดูแลให้สะดวกทั้ง 3 เส้นทาง ซึ่งก่อนหน้านี้มีปัญหาสินค้าไทยและผลไม้ติดอยู่ที่ด่าน รัฐบาลจีนช่วยอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี และจะมีการพัฒนาช่องทางเพิ่มขึ้นให้การค้าสะดวกขึ้นในอนาคต

สำหรับสมาคมหยูนหนาน (แห่งประเทศไทย) ก่อตั้งมาแล้ว 58 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2509 ปัจจุบันมีสมาชิกเป็นคนไทยเชื้อสายจีนหยูนหนาน กระจายอยู่ทั่วประเทศ จำนวนกว่า 350,000 คน ประกอบอาชีพธุรกิจ โรงงานอุตสาหกรรม การเกษตรและเชื่อมโยงกับสมาพันธ์ชาวไทยเชื้อสายจีน สมาคมการค้าอุตสาหกรรมและการเกษตรไทยหยูนหนาน เพื่อส่งออกตลาดประเทศจีน โดยสมาคมให้ความสำคัญกับความร่วมมือภาครัฐร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การค้าและวัฒนธรรม

‘รมว.พาณิชย์’ รับ!! แพลตฟอร์ม ‘TEMU’ สะเทือน SME ชี้ ไม่นิ่งนอนใจ ลุยถก 8 หน่วยงาน วางมาตรการรับมือ

(13 ส.ค. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยผ่านเฟชบุ๊กวันที่ 13 สิงหาคม 2567 ว่า การเข้ามาของ TEMU ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลก ในประเทศไทยถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจและสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงการอีคอมเมิร์ซอย่างมาก

ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เนื่องจาก TEMU เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูง

ซึ่งผมคิดว่าเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการ SME

นี่คือ แนวโน้มและทิศทางการค้าของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงซึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจ รู้ทัน และ ปรับตัว ในยุคที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการค้าใหม่โดยเฉพาะ E-commerce ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) การปรับตัวเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นความตระหนักที่ธุรกิจขนาดเล็กต้องให้ความสำคัญเพื่อความอยู่รอดและการเติบโตในตลาดที่แข่งขันสูงขึ้น

ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีบทบาทหลักในการกำกับดูแลและส่งเสริมการค้าออนไลน์ให้มีความเป็นธรรมและยั่งยืนในภาพรวมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มใด ๆ ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ไม่ได้นิ่งนอนใจ เราได้จัดประชุมร่วมกับตัวแทนจาก กระทรวงการคลัง, กระทรวงดิจิทัลฯ, กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงสาธารณสุข, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI), สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.), สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)

เพื่อหารือและพิจารณาถึงผลกระทบของผู้บริโภค และผู้ประกอบการ จาก E-Commerce ทุก platform ที่ส่งเข้ามานั้นว่าได้มาตรฐานตามข้อกำหนดทางกฎหมายของประเทศไทยหรือไม่ อาทิ มาตรฐาน มอก. มาตรฐานของ อย. เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ไม่มีคุณภาพหรือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

รวมทั้งยังพิจารณาถึง การจัดเก็บภาษีอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขัน โดยการกำหนดนโยบายการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมสำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติ เพื่อให้บริษัทเหล่านี้เสียภาษีอย่างถูกต้องและไม่เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ

นอกจากนี้ สิ่งที่จะต้องดำเนินการควบคู่กัน คือการส่งเสริมและสนับสนุน SME ทั้งการพัฒนาศักยภาพ การสนับสนุนการเข้าถึงตลาดใหม่โดยสร้างช่องทางการตลาดใหม่ ซึ่งขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ในการบุกตลาดใหญ่อย่างประเทศจีน เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SME

อาทิ การจัดมหกรรม Live – Commerce ในช่วงเดือนกันยายน โดยให้ Influencer จากต่างประเทศ เข้ามาคัดเลือกสินค้าไทย นำไปจัด Live เพื่อขายสินค้าจากประเทศไทยไปยังผู้บริโภคในประเทศจีน

ซึ่งขณะนี้ได้มีการสำรวจสินค้าไทยซึ่งเป็นที่ต้องการของคนจีนจำนวนกว่า 500 รายการสินค้า เพื่อทำการซื้อขายดึงเม็ดเงินจากการส่งออกสินค้าเข้าสู่ประเทศ ซึ่ง เป้าหมายครั้งนี้ อยู่ที่ประมาณมากกว่า1,500 ล้านบาท

การค้าของโลกในปัจจุบันกำลังปรับเปลี่ยน ผมคิดว่าเมื่อเราต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องอยู่ในคลื่นของการเปลี่ยนแปลง จำเป็นต้องมีมาตรการคุ้มครองตนเอง ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการให้อยู่ในสถานะที่มีความสามารถแข่งขันได้ หลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้แต่มุ่งแสวงหาความร่วมมือ อันน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการค้าในโลกปัจจุบัน

การเข้ามาของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติต่าง ๆ ในประเทศไทยนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการเพื่อช่วยปกป้องดูแลภาคธุรกิจไทย และพิจารณา ให้ครอบคลุมเพื่อรับมือกับผลกระทบและส่งเสริมโอกาสที่เกิดขึ้น เพื่อการสร้างความสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภค การสนับสนุน SME และการส่งเสริมการค้าเสรีและนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยให้การเข้ามาของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะยาว

“ขอให้มั่นใจรัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ จะเร่งประสานทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเร่งด่วนที่สุด”

รอง นรม./รมว.กห. ตรวจเยี่ยม ทบ. ชื่นชมการพัฒนาขีดความสามารถทางทหารที่มีความต่อเนื่องและเป็นระบบ

รอง นรม./รมว.กห. ตรวจเยี่ยม ทบ. ชื่นชมการพัฒนาขีดความสามารถทางทหารที่มีความต่อเนื่องและเป็นระบบ ขอบคุณที่สนับสนุนนโยบายรัฐบาล การช่วยเหลือประชาชน เน้นย้ำดูแลสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อย เดินหน้าการเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจ ควบคู่การลดจำนวนกำลังพลใช้เทคโนโลยีเข้ามาทดแทน

พลตรีธนาธิป สวางแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เมื่อวันที่ 24 ต.ค.67 เวลา 13.30 น. ณ กองบัญชาการกองทัพบก นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะฯ ได้ตรวจเยี่ยมกองบัญชาการกองทัพบกอย่างเป็นทางการหลังรับตำแหน่ง รมว.กห. 

ซึ่งการตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบภารกิจ การดำเนินงานที่สำคัญพร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติงานของกองทัพบก โดยมี พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชาและผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงให้การต้อนรับ ณ ประตูทางเข้า บก.ทบ. พร้อมเรียนเชิญขึ้นรถยนต์เกียรติยศ เพื่อกระทำพิธีตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ และขึ้นแท่นรับการเคารพ 

จากนั้น ผบ.ทบ. ได้นำคณะฯ ชมนิทรรศการแสดงผลงานที่สำคัญของกองทัพบก อาทิ บทบาทและภารกิจของศูนย์ประสานงานโครงการจิตอาสาพระราชทานกองทัพบก การช่วยเหลือประชาชนและการบรรเทาภัยพิบัติ การรับสมัครทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการด้วยระบบออนไลน์และการเตรียมการรับทหารใหม่ผลัดที่ 2/67 เป็นต้น หลังจากนั้นเข้าห้องประชุมเพื่อรับฟังการบรรยายสรุปภารกิจของกองทัพบก ณ ห้อง 241 อาคาร 2

ในโอกาสนี้ รอง นรม./รมว.กห. ได้กล่าวว่ารู้สึกเป็นเกียรติและขอขอบคุณ ทบ. ที่ให้การต้อนรับในวันนี้ หลังจากได้รับฟังการบรรยายสรุปจากทุกส่วนทำให้ผมมีความมั่นใจว่า ทบ. จะยังคงเป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงในการขับเคลื่อนและสนับสนุนรัฐบาลในด้านต่าง ๆ อย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นความเร่งด่วนสำคัญลำดับแรก ที่ต้องดำเนินการในทุกโอกาส 

ขอชื่นชม ทบ. ในการพัฒนาขีดความสามารถทางทหารที่มีความต่อเนื่องและเป็นระบบ การปรับปรุงโครงสร้างให้ทันสมัย สอดคล้องกับบริบทสังคมในปัจจุบัน ตลอดจนการสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหายาเสพติด การป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการที่ได้ริเริ่มการคัดเลือกทหารกองประจำการแบบสมัครใจ โดยขอให้พัฒนาไปสู่การสมัครใจแบบเต็มรูปแบบในอนาคต ควบคู่การลดจำนวนกำลังพล  และนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาทดแทนอย่างสมดุล แต่ต้องมีจำนวนที่เพียงพอต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศในยามเกิดเหตุการณ์วิกฤต

ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถรองรับภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ อาทิ ภัยคอลเซ็นเตอร์ ภัยยาเสพติด และคงความพร้อมในการป้องกันประเทศ นอกจากนี้ได้เน้นย้ำในการดูแลสิทธิกำลังพลทหารชั้นผู้น้อยในด้านต่างๆ โดยขอให้มีการศึกษาถึงความเหมาะสมและรายละเอียดให้ชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม 

พร้อมกันนี้ ได้กล่าวขอบคุณ ทบ. ในการพัฒนาประเทศและการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อม ความเสียสละ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยเฉพาะในกรณีอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือที่ผ่านมา ที่มีการดำเนินการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหลักประกันได้ว่า ทบ. จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง

หลังเสร็จสิ้นการประชุม รอง นรม./รมว.กห. ได้ลงนามในสมุดตรวจเยี่ยม และพบปะสื่อมวลชน และอำลาแถวกองทหารเกียรติยศ ซึ่งหลังจากนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รอง นรม./รมว.กห. จะมีภารกิจตรวจเยี่ยมเหล่าทัพอย่างต่อเนื่อง โดยในวันพรุ่งนี้จะเดินทางไปตรวจเยี่ยม ทร. และทอ. ตามลำดับ ทั้งนี้ เพื่อรับทราบถึงภารกิจการดำเนินงานที่สำคัญของเหล่าทัพ พร้อมมอบนโยบายของ กห. ให้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานเพื่อการทำงานอย่างประสานสอดคล้อง มุ่งส่งเสริมความมั่นคงชาติ และสร้างความเชื่อมั่นในการเป็นกองทัพของประชาชนอย่างแท้จริง

ภูมิธรรม บินเยี่ยมทหารเกาะกูด ยืนยันเกาะกูดเป็นของไทย ส่วน MOU44 ต้องเจรจา 2 ส่วน เขตแดนและพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล

เวลา 10.30 น. เมื่อวันที่ (9 พ.ย.67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พลเรือเอกไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ และคณะ เดินทางด้วยอากาศยานกองทัพเรือจากสนามบินดอนเมือง มายังหน่วยปฎิบัติการเกาะกูด ตรวจเยี่ยมพื้นที่ ทักทาย ให้กำลังใจทหารเรือที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมมอบสิ่งของบำรุงขวัญ 

เมื่อเดินทางถึง พลเรือโท อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินและผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด นายไพรัช สร้อยแสง นายอำเภอเกาะกูด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ 

จากนั้น นายภูมิธรรม สักการะ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสร็จแล้ว กล่าวกับทหารหน่วยปฎิบัติการเกาะกูด ว่า การเดินทางมาตรวจเยี่ยมในวันนี้ ต้องการรับทราบปัญหาและชีวิตความเป็นอยู่ของกำลังทหารตามแนวชายแดน และมีหน้าที่พิทักษ์รักษาอธิปไตรของประเทศ วันนี้อยากจะมารับรู้สถานการณ์ในพื้นที่ เป็นอย่างไร เนื่องจาก ประชาชนในกรุงเทพมหานคร และบางส่วนของประเทศไทย มีความรู้สึกไม่มั่นใจและกังวลใจว่าอำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด ไม่ใช่ของไทย และวันนี้ที่เดินทางมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเกาะกูด เป็นของประเทศไทยมาตั้งแต่สนธิสัญญาฝรั่งเศษ และกล่าวให้กำลังใจกำลังพลให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง มีความสุข

หลังจากกล่าวเสร็จแล้ว นายภูมิธรรม พร้อมคณะ ไปร่วมประชุมรับฟังบรรยายสรุปและสถานการณ์ปัจจุบัน โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนรับฟังด้วย แต่อนุญาตสื่อมวลชนเก็บภาพบรรยากาศในการประชุมเท่านั้น โดยการประชุมใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนที่นายภูมิธรรม จะออกมาจากห้องประชุม มอบสิ่งของให้กำลังพล และให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

โดย นายภูมิธรรม กล่าวว่า การเดินทางมาครั้งนี้ มาในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เนื่องจากเกาะกูด เป็นอธิปไตยของประเทศไทย เป็นพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ ทั้งบนบกและในทะเล และมายืนยันว่าเกาะกูด เป็นของประเทศไทยแน่นอน ไม่ใช่เป็นของประเทศกัมพูชาตาม mou 44 ซึ่งชาวบ้านมาตั้งถิ่นฐานกันมานานแล้ว และจะต้องทำความเข้าใจกันใหม่ในเรื่องนี้ ชาวบ้าน อายุ 80-90 ปี ที่อยู่ที่นี่ ก็ยังรู้สึกผูกพัน ไม่ยอมให้ใครมาล่วงเกิน แต่เมื่อมีความเข้าใจของประชาชนชาวไทยบางส่วน จนทำให้เกิดความสับสน ส่งผลให้การท่องเที่ยวของเกาะกูด ลดลง 20-30% และเมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ได้ประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจแล้ว ทำให้การท่องเที่ยวกลับมาสู่ภาวะปกติ 

“นอกจากการมาในครั้งนี้แล้ว มาเพื่อยืนยันว่าเกาะกูดเป็นของไทย มีชาวบ้าน มีกองทหาร มีส่วนราชการ มีตำรวจ และอีกหลายหน่วยงาน ขอให้ทุกท่านสบายใจได้ว่า ที่นี่ประเทศไทย มีธงชาติไทยปักอยู่ทั่วอาณาบริเวณ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ป้องกันประเทศอยู่ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ทางชายแดนทั้ง 2 ฝั่ง ไปมาหาสู่กันดี ปีละ 4 ครั้ง เป็นความสัมพันธ์ที่ดี ไม่มีอะไรวิกฤตหรือน่ากังวล ส่วนแรงงานกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานที่เกาะกูด 600 กว่าคน ก็เข้ามาทำงานถูกต้องตามกฎหมาย และขอยืนยันว่า เกาะกูดสงบ สวยงาม มีความปลอดภัย อยู่ในความดูแลของฝ่ายความมั่นคง“ นายภูมิธรรม กล่าว

นอกจากการมายืนว่าเกาะกูด เป็นของไทยแล้ว อีกหนึ่งภารกิจ คือ การมาเยี่ยมเยือนกำลังพลตามภารกิจของกระทรวงกลาโหม อยู่แล้ว 

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า เข้าใจว่าตนเองน่าจะได้เป็นประธานเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ระหว่างสองประเทศ จะสร้างความมั่นใจได้ว่า เกาะกูดเป็นของไทย  แต่เรื่องจริงคือ ใน MOU ไม่ต้องเจรจาในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เป็นการเจรจาในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล แต่ใน mou ระบุไว้ว่า สองส่วนนี้ ต้องเจรจาไปด้วยกันอย่างสันติ และไม่ต้องกังวลว่า การเจรจานั้นต้องไม่เอื้อนายทุน และต้องเจรจาให้คนไทยทั้งหมดเห็นชอบด้วยและจะต้องเข้าสภาให้ผ่านความเห็นชอบ ซึ่งการแก้ปัญหาจะต้องอยู่บนกฎหมายและประเทศไทยได้ประโยชน์สูงสุด

หลังจากจบภารกิจแล้ว นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะเดินทางกลับกรุงเทพมหานครทันทีในเวลา 13.00 น.

ภูมิธรรม ย้ำ!! รัฐบาลรับฟังปม ‘เอ็มโอยู 44’ ขอ!! ‘สนธิ’ อย่าลงถนน ทำประเทศเสียหาย

(8 ธ.ค. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เตรียมยื่นหนังสือถึงนายกฯ ให้ยกเลิกเอ็มโอยู 44 ในวันที่ 9 ธ.ค.ว่า

ถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อมีความเห็นต่างก็สามารถเสนอความคิดเห็นเข้ามาได้ รัฐบาลพร้อมรับฟัง ยืนยันว่าเอ็มโอยู 44 ยังไม่ไปถึงไหน คณะกรรมการชุดเดิมได้หมดอายุลงแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่า จะตั้งคณะกรรมการในลักษณะใด มีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง ซึ่งรัฐบาลกำลังฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายอยู่ ซึ่งขณะนี้ก็มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและเห็นต่าง ซึ่งเราพร้อมรับฟัง

เมื่อถามว่า หลังจากนายสนธิยื่นหนังสือแล้ว ประเมินว่าจะมีสถานการณ์รุนแรงจนนำไปสู่การรัฐประหารหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เชื่อว่าจะไม่มีเหตุรุนแรงอะไร เพราะรัฐบาลยังไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย ส่วนที่นายสนธิประกาศจะลงถนนนั้น ขอว่าอย่าทำแบบนั้นเลย เพราะจะทำให้ประเทศเสียหาย กระทบไปถึงภาคเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว รวมถึงความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ หากเกิดสภาวะที่ไม่ปกติ ความเชื่อมั่นก็จะหาย การฟื้นฟูเศรษฐกิจก็ไม่เกิด จึงหวังว่าอย่ามีใครสร้างสถานการณ์ทำให้เกิดความวุ่นวาย ขอให้ดำเนินการภายใต้กรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญ

“ขณะที่กองทัพเข้าใจสถานการณ์ดี ทุกเหล่าทัพ มีหน้าที่รักษาความมั่นคงของประเทศ และพร้อมช่วยกันประคับประคองเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ ให้ทุกอย่างอยู่ในภาวะปกติที่สุด ส่วนตัวเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เหตุที่ทำให้เกิดการรัฐประหารได้ หากมีกลุ่มไหนสร้างสถานการณ์ทำให้เกิดความวุ่นวาย เราก็พร้อมดำเนินการตามกฎหมาย” นายภูมิธรรม กล่าวทิ้งท้าย

‘ภูมิธรรม’ ตอกสหรัฐ-ชาติตะวันตก เคยเสนออุยกูร์ลี้ภัย แต่ถูกเมิน เพราะคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศตัวเอง ยันไทยไม่มีทางเลือก-ปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ วอนสื่อไทยบางราย อย่าโหมจนเป็นเรื่อง ไม่กังวลเรื่องก่อการร้าย

(28 ก.พ. 68) ที่กระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีข้อกังวล จะมีเหตุก่อการร้าย หลังจากส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ว่า หากเราส่งชาวอุยกูร์แล้วได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต ก็เป็นเรื่องที่จะต้องขบคิดกัน แต่การดำเนินการครั้งนี้ เรามีหนังสือที่เป็นทางการจากจีนที่ควรแก่การเชื่อถือ ในขณะเดียวกันจีนมีสิทธิที่จะขอตัวชาวอุยกูร์ ที่ถูกควบคุมตัวในประเทศไทยมานานกว่า 11 ปี เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเหตุเพราะเรา แก้ไขปัญหาที่ผ่านมาไม่ได้ ขณะเดียวกันเรื่องการส่งตัวไปประเทศที่ 3 เราดำเนินการมา 11 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ส่งไปตุรกีกว่าร้อยคนเราประสบความสำเร็จ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครตอบรับเลย และตนก็ได้บอกกับชาติตะวันตกแล้วว่าหากเขารับไป ก็ไม่มีปัญหา แต่เขาก็ไม่รับ เพราะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเขา ดังนั้นเมื่อทางการจีนยืนยันว่าทั้งหมดเป็นพลเรือนของจีนที่มีเชื้อสายอุยกูร์ มีที่อยู่ชัดเจน จึงอยากขอตัวกลับไป เราจึงดำเนินการตามขั้นตอน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ชี้แจงกับประเทศตะวันตกหลายชาติ เช่น สหรัฐ ก็ได้พูดคุยกับตน ซึ่งก็ได้ย้ำไปว่า เราจะทำภายใต้อธิปไตยและกฎหมายของไทย คำนึงถึงหลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องนี้ รวมถึงคำนึงถึงกฎหมายที่จะไม่ส่งคนไปเสียชีวิต เรามีสถานะอยู่แค่นี้กักตัวเอาไว้ก็ทำผิดกฎหมาย เราไม่มีทางเลือก และชัดเจนว่าเราไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรในเรื่องนี้ เพียงแต่ต้องดำรงประเทศให้มีความถูกต้องและเหมาะสม เพราะการที่เราขังชาวอุยกูร์ ก็ถูกร้องเรียนมาตลอดว่าเป็นการทรมาน ซึ่งขัดต่อพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 2565 ดังนั้น การส่งอุยกูร์กลับไปจีน จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด อีกทั้งรัฐบาลก็จะติดตามเรื่องของความปลอดภัยเป็นระยะ

นายภูมิธรรม ยังขอวิงวอนให้สื่อไทยและสื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะสื่อในประเทศไทยบางราย ที่นำเสนอเหมือนอยากให้ประเด็นไม่จบ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเลย อยากให้คำนึงถึงประเทศไทยด้วย ยืนยันรัฐบาลไทยมีความปรารถนาดี เพื่อไม่ให้ไทยถูกกล่าวหาและปฏิเสธจากทุกฝ่าย เราไม่ได้มีเจตนาร้าย หรือโหดเหี้ยม อำมหิต ที่จะส่งคนไปตาย เพียงแต่ต้องการแก้ไขปัญหาภายในประเทศของเรา เพื่อไม่ต้องมารับภาระ และจากการติดตามตอนนี้ไม่มีอะไรน่ากังวลสิ่ง แต่หลังจากนี้ก็ต้องติดตามและพิจารณาเป็นระยะ พร้อมยืนยันว่าไทยมีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าการส่งอุยกร์กลับจีน ปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง และมองว่าไม่น่าจะมีอะไรที่ทำให้เป็นเรื่อง

เมื่อถามว่าในด้านการข่าว มีการเคลื่อนไหวในเรื่องการก่อความไม่สงบหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า อยากให้ช่วยกัน เราไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น เราไม่ได้มีการละเมิดใคร หากส่งเขาไปเสียชีวิตอาจต้องกังวล แต่ปัจจุบันนี้เขายังอยู่ดี แต่หากมีปัญหาหลังจากนี้ ก็เป็นเรื่องของคนที่ผิดจากสิ่งที่ควรจะเป็น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top