Monday, 9 June 2025
พื้นที่ทับซ้อน

‘อาจารย์อุ๋ย’ เปิดข้อกฎหมาย-ประวัติศาสตร์ ชี้ชัดเกาะกูดไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน แต่เป็นของไทย

เมื่อวานนี้ (15 ต.ค. 67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า 

“กรณีพื้นที่พิพาททางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา บริเวณเกาะกูด เป็นของไทยนับแต่ที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 กับฝรั่งเศสทำสนธิสัญญากันเมื่อปี พ.ศ. 2450 หรือ ร.ศ. 125 ซึ่งฝรั่งเศสตกลงคืนจันทบุรี ตราด และเกาะกูดให้แก่สยาม แลกกับดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ได้แก่ จังหวัดเสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ ซึ่งสนธิสัญญาดังกล่าวมีความสมบูรณ์ในตัวเองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และในปี พ.ศ. 2516 รัฐบาลไทยสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ก็ลากเส้นเขตแดนไทยโดยวัดจากจุดกึ่งกลางระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง โดยประกาศพิกัดภูมิศาสตร์ของไหล่ทวีปในอ่าวไทยทั้งสิ้น 18 จุด ลากเส้นผ่านอ่าวไทยจากบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่จังหวัดตราด ไปจนถึงชายแดนไทย-มาเลเซียที่จังหวัดนราธิวาส ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ณ กรุงเจวีนา ค.ศ. 1958

ส่วนเส้นเขตแดนที่กัมพูชากำหนดเองในปี พ.ศ. 2515 ซึ่งลากผ่ากลางเกาะกูดนั้น เป็นการขีดเส้นโดยไม่มีหลักกฎหมายระหว่างประเทศรองรับ กัมพูชาจึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในพื้นที่ และการลากเส้นตามอำเภอใจโดยไม่มีกฎหมายรองรับเช่นนี้จึงถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยอย่างชัดแจ้ง ส่วน MOU 44 ที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายไปตกลงแบ่งพื้นที่กันเองก็ขัดรัฐธรรมนูญเพราะไม่มีการรับรองโดยรัฐสภา ทั้งที่ถือเป็นหนังสือสัญญาที่มีผลเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจของรัฐ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา จึงตกเป็นโมฆะ ไม่จำต้องนำมาพิจารณาบนโต๊ะเจรจาอีก 

เมื่อยึดตามหลักการข้างต้นแล้ว จึงมิพักต้องพิจารณาว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็น 'พื้นที่ทับซ้อน' อีกต่อไป แต่ถือเป็นพื้นที่ที่รัฐไทยมีอธิปไตยโดยสมบูรณ์นับแต่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2450 ประเทศไทยจึงมีสิทธิโดยสมบูรณ์ในการส่งกองกำลังเข้ายึดตรึงพื้นที่เกาะกูด และพื้นที่ทางทะเลที่เกี่ยวเนื่อง โดยไม่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะถือเป็นพื้นที่ของประเทศไทยเอง หาใช่เป็นการรุกรานประเทศอื่นไม่ และหลังจากประเทศไทยส่งกองกำลังเข้าตรึงพื้นที่แล้ว หากกัมพูชาจะขอเปิดการเจรจา ก็สามารถร้องขอมาได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายไทยว่าจะยอมเจรจาหรือไม่ หรือหากคิดว่าฝ่ายไทยสามารถบริหารแหล่งพลังงานแต่ฝ่ายเดียวได้ ก็ทำไปเลย เพราะเป็นพื้นที่ของไทย  

ซึ่งผมเชื่อว่าหากมีการเจรจาก็จะต้องดำเนินไปโดยที่ประเทศไทยถือไพ่เหนือกว่าทุกประตู เพราะประเทศไทยเหนือกว่ากัมพูชาในทุกด้าน ทั้งด้านกำลังทหารและด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งอำนาจต่อรองของประเทศไทยบนเวทีโลกและความสำคัญของประเทศไทยที่มีต่อประเทศมหาอำนาจก็มากกว่ากัมพูชาไม่รู้กี่เท่า ซึ่งผมมั่นใจว่าหากถึงเวลาที่ต้องเลือก สุดท้ายแล้วประเทศมหาอำนาจจะเลือกข้างประเทศไทย  

สุดท้ายนี้ผมขอฝากไปยังผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ให้ทำหน้าที่รักษาอธิปไตยของประเทศอย่างเต็มที่ มิเช่นนั้นท่านจะตกเป็นคนขายชาติตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต ด้วยความปรารถนาดี”

‘อาจารย์ปานเทพ’ ออกโรงแจง พื้นที่ทะเลเป็นของไทย อย่าปล่อยให้กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อน แย่งชิงผลประโยชน์

(24 ต.ค. 67) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

อย่าปล่อยให้คนปล้นชาติ ทำให้พื้นที่ทะเลไทย กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา

18 พฤษภาคม 2516 มีพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 โดยการลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ของไทย ออกมาแบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูด และเกาะกง ตามบทบัญญัติแห่งกรุงเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 (รับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982)

ดังนั้นพื้นที่ทะเลอาณาเขต พื้นที่ทะเลต่อเนื่อง และพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ ฝั่งอ่าวไทยรวมพื้นที่ 202,676.20 ตารางกิโลเมตร หรือ 126,672,638 ไร่ รวมทั้งทรัพยากรทั้งหมดในพื้นที่ดังกล่าวจึงย่อมเป็นของราชอาณาจักรไทย ที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของบรรพบุรุษไทย รวมทั้งแลกด้วยแผ่นดินไทยจำนวนมหาศาลตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ใช่เอาไปบิดเบือนพระบรมราชโองการตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 9 ให้กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ในเรื่องพลังงานอย่างไม่ถูกต้อง และไม่ได้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทยและประชาชนชาวไทย

ด้วยจิตคารวะ
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
22 ตุลาคม 2567

‘เมียนมา’ พร้อมช่วยเหลือ ‘ไทย’ เจรจากับ ‘ว้า’ ชี้!! ต้องแสดงความจริงใจ ไม่ใช่เล่นปาหี่

มาวันนี้เอย่ามีข่าวล่าสุดที่หลุดมาจากแหล่งข่าวไทใหญ่ว่าล่าสุดมีการเจรจาทางลับที่เชียงใหม่กับทางกองทัพเมียนมาล่ม โดยฝั่งเมียนมากล่าวว่า

1. การแก้ปัญหาชายแดนระหว่างไทยกับเมียนมามีการคุยมานานแล้ว แต่ประเด็นคือไทยกับเมียนมาถือแผนที่คนละฉบับกับเมียนมาทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนและตลอดมามีความพยายามที่จะแก้ปัญหาด้วยกันแต่ความไม่สงบในประเทศทั้งฝั่งไทยและเมียนมาเองที่เราสงบเขามีปัญหา พอเขาสงบทางเราเกิดความวุ่นวาย นั่นทำให้ยังสามารถปักปันเขตแดนให้แล้วเสร็จได้

2. ฝั่งเมียนมาพร้อมช่วยเหลือไทยฝ่ายไทยในการเจรจากับว้า แต่แหล่งข่าวระดับสูงของเมียนมาบอกว่าถ้าให้เมียนมาขยับ 9 จุดที่มีการล้ำเขตแดนบริเวณฐานทหารว้ามา ไทยก็มีจุดที่ล้ำกว่า 20 จุด ที่มีการรุกล้ำเขตแดนฝั่งเมียนมาด้วยเช่นกัน

3. ฝั่งเมียนมาบอกว่าการแก้ปัญหาชายแดนต้องแสดงความจริงใจ จริงจังไม่เล่นปาหี่  ต้องมีการคุยในระดับคณะกรรมการชายแดนและการทูตควบคู่กันไป ไม่ใช่จบกันแค่พูดคุยทางลับเท่านั้น

4. ฝั่งไทยต้องส่งเสริมสนับสนุนความเป็นมิตรกับฝั่งเมียนมา ในด้านการช่วยจัดการรักษาเสถียรภาพให้เมียนมาด้วย ไม่ใช่หลับหูหลับตาไม่รับรู้ให้ปล่อยให้กลุ่มต่างๆใช้ไทยเป็นแหล่งฟอกเงินและส่งทรัพยากรและยุทโธปกรณ์ให้แก่ฝ่ายต่อต้านกองทัพเมียนมา

ฝั่งไทยเองก็ใช่ย่อยล่าสุดมีข่าวหลุดออกมาจากแหล่งข่าวจากกลุ่ม NGO สามนิ้วว่ากองทัพไทยมีการติดต่อผ่านนักวิชาการที่มีสายสัมพันธ์ดีกับกลุ่ม NGO ที่ต่อต้านกองทัพเมียนมาเพื่อจะหาทางเข้าไปคุยกับว้า เอย่าจึงแค่อยากตั้งคำถามว่าตลอดเวลากลุ่มสามนิ้วด้อยค่าทหาร ด้อยค่าสถาบันมาตลอด แต่ทำไมถึงเรียกใช้คนเหล่านี้เป็นคนกลาง หรือกองทัพไทยยังถูกกลุ่มนี้ด้อยค่าไม่พออีกหรือ

สุดท้ายเอย่ามาวิเคราะห์ว่าจุดเริ่มต้นในการกระพือข่าวครั้งนี้ใครคือผู้ได้รับผลประโยชน์และกระสุนนัดแรกมาจากใคร จากแหล่งข่าวทั้งกูรูกองทัพฝั่งไทยเอง ฝั่งว้าเองรวมกระทั่งแหล่งข่าวระดับสูงจากฝั่งเมียนมาก็มองตรงกันว่า ศึกนี้คนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่ไทยและเมียนมาแต่เป็นกองกำลัง RCSS ของเจ้ายอดศึกนั่นเอง

ที่ผ่านมาว้าเปิดศึกกับ RCSS หลายครั้งจะด้วยเหตุผลที่เป็นชนักติดหลังว้ามาตลอดที่ RCSS อ้างว่าทำศึกกับว้าเพราะกำจัดยาเสพติดหรืออะไรก็ตาม อย่าลืมว่ามันมีอะไรอยู่เบื้องหลังที่เราไม่รู้เสมอ และหากพิจารณาแล้ว สงครามระหว่างไทยกับว้าครั้งนี้ คนที่ไม่ได้เกี่ยวแต่มีการปล่อยข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องคือฝั่งกองทัพไทใหญ่นั่นเอง ดังนั้นไทยเองต้องควรจับตาเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างไม่กะพริบตา กระสุนนัดแรกแน่นอนว่าไม่ได้มาจากฝั่งไทยแน่ และว้าก็คงไม่หาญกล้าที่จะเป็นคนเปิดก่อนแน่นอน ดังนั้นศึกนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดสงครามจากมือที่ 3 ซึ่งจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีความพยายามที่จะผลักดันให้ไทยเข้าสู่สงครามกับประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มว้าที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับจีน และพยายามจะออกสื่อเสนอตัวเป็นผู้ช่วยกองทัพไทยในการรบครั้งนี้ด้วย ซึ่งแท้จริงแล้วศักยภาพของกลุ่ม RCSS ไม่สามารถเทียบว้าได้ เพียงแต่อยู่ในชัยภูมิที่ดีและหากศึกดอยหัวม้าไทยชนะ RCSS ก็หวังว่าจะได้ฐานที่ดอยหัวม้านี้กลับมาใช้ประโยชน์กับกลุ่มของตนอีกครั้ง เหมือนสมัยครั้งที่ฐานนี้เป็นของขุนส่าซึ่งตอนนั้นขุนส่าอยู่กับเจ้ายอดศึกนั่นเอง

คนไทยเองก็ควรที่จะเพลาๆ ความคลั่งชาติลงบ้าง เรารักชาติได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปทะเลาะกับใครจนคู่กรณีตัวจริงเอาเราไปชนกับคู่ปรับของเขาแทน สุดท้ายเอย่าหวังว่ากองทัพไทยก็น่าจะมีวิธีในการติดต่อกองทัพว้าโดยไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพากลุ่มที่ด้อยค่ากองทัพนะคะ

ว่าไปแล้วว้าก็ไม่ใช่ผู้ผลิตยาเสพติดกลุ่มเดียวอย่างที่เราคิดเสมอไป ล่าสุดกลุ่ม PDF ได้ตั้งโรงงานในบ่อนตรงข้ามบ้านช่องแคบ อ. พบพระ จ. ตาก อาศัยพื้นที่อิทธิพลของ พันเอก ไซ จอ ละ หรือ โกไซ ผลิตยาและขนเป็นกองทัพมดเข้ามาในไทยเช่นกัน ด้วยเหตุผลว่าเงินสนับสนุนจากตะวันตกลดลง และรายได้จากการเก็บค่าผ่านทางไม่พอเพราะด่านจากที่เคยเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำกลับมีด่านลอยเพิ่มขึ้นมา 10 เท่าในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่มีสงครามที่เมียวดี นั่นทำให้รายได้ที่จัดเก็บในแต่ละด่านลดลงอย่างชัดเจน งานนี้ทหารไทยก็เหนื่อยหน่อยนะคะ แต่เอย่าและคนไทยอีกจำนวนมากเป็นกำลังใจให้ค่ะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top