Wednesday, 23 April 2025
พิชิต_ชื่นบาน

'สว.สมชาย' ฟันธง 'พิชิต' ขาดคุณสมบัติ จี้!! กกต.ส่งศาล รธน.สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่

(3 พ.ค. 67) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า…

คุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายพิชิต มีความเสี่ยงที่จะขาดคุณสมบัติและอาจขัดรัฐธรรมนูญ กกต. มีหน้าที่เร่งส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและขอให้ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน

ตามที่ปรากฏข้อสงสัยในคุณสมบัติของความเป็นรัฐมนตรีนายพิชิตนั้น ขอเสนอข้อมูลข้อกฎหมายและข้อเสนอแนะนำเพื่อให้คณะกรรมการเลือกตั้งหรือ กกต. ที่มีหน้าที่เร่งเรื่องส่งไปศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรธน. มาตรา 82 ประกอบ มาตรา 170 วรรคสาม และ มาตรา 160 (4) โดยเร็ว เพื่อขอให้วินิจฉัยว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติหรือไม่ ด้วยเหตุผลดังนี้

1) รัฐมนตรี ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 160 กำหนดทุกอนุมาตรา ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดมิได้ จะทำให้ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัวมาตรา 17 ทันที

โดยเรื่องนี้มีประเด็นสงสัยตาม รธน. มาตรา 160 (4) (5) ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และการประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่

เพราะนายพิชิต เคยเป็นทนายความและเป็นจำเลยที่ 1 เคยต้องคำสั่งศาลให้จำคุก 6 เดือน

“ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องละเมิดอำนาจศาลที่วินิจฉัยว่า การกระทำเป็นความผิดละเมิดอำนาจศาลโดย เห็นว่า เงินที่มอบให้ม.ล.ฐิติพงศ์ เพื่อนำไปแบ่งกันกับเจ้าหน้าที่ในแผนกมีจำนวนมากถึง 2,000,000 บาท มีเจตนาที่จูงใจให้ม.ล.ฐิติพงศ์และเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปเป็นประโยชน์แก่จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1), 33 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม เป็นการกระทำที่อุกอาจ ท้าทายและเกิดขึ้นที่ศาลฎีกา จึงลงโทษในสถานหนัก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามคนละ 6 เดือน”

2) รมต. ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 หาใช่มีคุณสมบัติเพียงแค่ที่ส่งไปถามให้กฤษฎีกาตีความแบบเฉพาะเจาะจงบางอนุมาตราใน รธน. มาตรา 160 แค่ (6) (7) หากยังต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และไม่ประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 160 (4) และ (5) ด้วย ปรากฏชัดตามหนังสือตอบที่เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ลับ ลงวันที่ 1 ก.ย. 66 ที่มีเลขาธิการ ครม. ถามไปเพียงแค่บางประเด็น หาใช่การตอบครอบคลุมถึงคุณสมบัติรัฐมนตรีทั้งหมด ตาม รธน. ทั้งมาตรา 160 กำหนดหรือตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าวอ้างแต่ประการใด

3) กรณีมีข้อสงสัยว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่ แม้เมื่อรัฐมนตรีเข้าสู่ตำแหน่งแล้ว แต่อาจมีเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงได้ โดยเฉพาะกรณีที่รัฐมนตรีผู้นั้นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หรือกระทำการบางอย่างอันมีลักษณะเป็นการขัดกันแห่งประโยชน์ กกต. มีหน้าที่และมีผู้ไปร้องแล้ว จึงควรเร่งดำเนินการและควรร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้อง ‘หยุดปฏิบัติหน้าที่’ จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยด้วยเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา

#กกตมีหน้าที่ #ส่งศาลรธน

‘คปท.’ จี้!! นายกฯ นำบุคคลขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง ต้องรับผิดชอบ ทั้งทางอาญาและวินัย

(3 พ.ค. 67) มีประเด็นต่อเนื่องจากกรณีสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี เฉพาะตามมาตรา 160 (6) ประกอบกับมาตรา 98 (7) และมาตรา 160 (7) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 

โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีหนังสือลงวันที่ 1 ก.ย.66 ตอบกลับเลขาธิการคณะรัฐมนตรี คือ เรื่องคุณสมบัติตาม มาตรา 160 (4) ‘มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์’ และ (5) ‘ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง’ ไม่ได้ตอบ เนื่องจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไม่ได้ถามในประเด็นดังกล่าว

ต่อมานายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการร้องเรียนให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบวินัยร้ายแรงนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นผู้เสนอชื่อ ว่า ก่อนจะเสนอชื่อ ได้ส่งรายชื่อให้ตรวจสอบ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว

ล่าสุดนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแสดงความเห็นถึงเรื่องดังกล่าวว่า...

นายกฯ ผิดเต็มๆ

งานนี้นอกจาก พิชิต ชื่นบาน จะซวยแล้ว คนที่ผิดเต็มประตูคือ นายเศรษฐา ทวีสิน

คุณตั้งคำถามกับกฤษฎีกาแบบเลี่ยงบาลี เหมือนศรีธนญชัย คุณไม่ถามให้เต็มมาตรา 160 แต่คุณกลับถามเฉพาะ (6) (7) แล้วยังจะมาอ้างว่าถามกฤษฎีกาแล้ว

ดังนั้น นายกฯ นำบุคคลที่ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง ต้องรับผิดชอบ ทั้งทางอาญาและวินัย

รับใช้ทักษิณมาก ก็รับกรรมเพราะทักษิณ

อาทิตย์หน้า คปท. กองทัพธรรม ศปปส. จะไปยื่น ป.ป.ช.เอาผิด นายกฯ รัฐมนตรี

#Saveประเทศไทย

'สมชาย' เต็งประมุขสภาสูง-กู้เกียรติเพื่อไทย คู่ขนาน 'ระบอบทักษิณ-เศรษฐา' ได้ไปต่อ

จะบอกว่าไม่เซอร์ไพรส์ ก็คงไม่ได้ สำหรับกรณีที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 26 สามีของ 'เจ๊แดง' เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของทักษิณ ชินวัตร ลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา ที่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

จริง ๆ แล้ว สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นคนนครศรีธรรมราช จะไปสมัครที่นั่น ซึ่งเป็นบ้านเกิด หรือลงในกทม. ที่ทำงานรับราชการยาวนานจนได้เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม และได้เป็นนายกฯ ไร้ทำเนียบ 50 กว่าวัน เพราะพันธมิตรฯ ยึดทำเนียบชุมนุมขับไล่ รัฐบาลสมัคร เลยเถิดมาถึงรัฐบาลสมชาย...ก็ย่อมได้

แต่การเลือกลงเชียงใหม่ที่ชีวิตปักหลักยาวนานรอบนี้ หากสมชายได้รับเลือกก็จะเป็นการกอบกู้เกียรติภูมิให้กับพรรคเพื่อไทยทางอ้อม เพราะเลือกตั้ง สส. ปี 2566 ก็ดังที่รู้ ๆ กันว่า จาก 10 ที่นั่ง พรรคก้าวไกลกวาดไป 7 เพื่อไทยได้แค่ 2 พลังประชารัฐได้ 1 เสียฟอร์มพรรคเสื้อแดงเป็นอย่างมาก...

ไม่แต่เท่านั้น ไม่ต้องอินไซด์อะไรกันมาก การลงสมัครของสมชายรอบนี้ชัดเจนว่า หากเขาได้เป็น 1 ใน 200 สว. โอกาสที่จะได้เป็นประธานวุฒิสภาก็มีสูงกว่าใครเพื่อน...

อนึ่ง ชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาฯ แล้วเป็นนายกฯ สองรอบ แล้วมาเป็นประธานสภาสั่งลาฯ ได้อีก แล้วทำไมอดีตนายกฯ อย่างสมชาย จะทำไม่ได้!!

สว. มีวาระ 5 ปี แม้ไม่มีอำนาจโหวตนายกฯ แล้ว แต่อำนาจอื่น ๆ ยังมีอีกมากมาย โดยเฉพาะการเลือกกรรมการองค์กรอิสระ การกลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบถ่วงดุล-เสริมดุลรัฐบาล

กรณีถ้าสมชายได้รับเลือกเป็นประมุขวุฒิสภา ก็จะเป็นอีกเสาค้ำอำนาจให้กับระบอบทักษิณที่กำลังฟื้นคืนชีพ ยึดฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสภาล่าง, สภาสูง, คุมฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ที่ตัวจริงเสียงจริงของอำนาจคือ บ้านจันทร์ส่องหล้า...

ตอนนี้เหลือเพียงโจทย์ข้อใหญ่คือ ทำอย่างไรให้ ลูกสาวคนโปรดที่มีทั้งดีเอ็นเอพ่อและแม่อย่าง 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร โตได้ทัน มารับไม้ตำแหน่งนายกฯ จาก 'อานิด' เศรษฐา ทวีสิน ได้ทันในสมัยหน้า...

คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต...ก่อนที่จะไปลุ้นกันว่าสมชายและอุ๊งอิ๊งจะไปถึงเป้าวางหรือไม่...เฉพาะหน้ารอดูจุดเปลี่ยน 23 พ.ค. กรณี 40 สว. ปฏิบัติการสอยพิชิต ชื่นบาน ว่าจะลากเอาเศรษฐาตกเก้าอี้ไปด้วยหรือไม่...

บรรดาเกจิอาจารย์ฟันธงกันเป็นเสียงเดียวว่า  23 พ.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณาแน่ แต่เศรษฐายังไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่...แล้วจากนั้นอีกประมาณเดือนครึ่งไปรอฟังคำตอบ ใครรอดใครร่วง...

ประมวลข่าวประเมินสถานการณ์...ราคาต่อรองพิชิต โอกาสรอด 10 ไม่รอด 90 ส่วนนายกฯ รอด 51 ไม่รอด 49...

จาก 23 พ.ค. ไปโฟกัสกันวันที่ 29 พ.ค. ทักษิณ ชินวัตร ต้องไปฟังคำสั่งฟ้อง-ไม่ฟ้องคดีมาตรา 112 จากอัยการสูงสุด...ตอนนี้ราคาต่อรอง 60 ไม่ฟ้อง 40 ฟ้อง...

ดูตัวเลขพยากรณ์จาก 2 กรณีแล้วหลายคนอาจขัดอกขัดใจ เพราะถ้าเป็นไปตามนี้แปลว่าระบอบทักษิณยังไปต่อและมีแนวโน้มฮึกเหิมต่อไป...ทราบแล้วเปลี่ยน!!

‘ศาล รธน.’ รับคำร้องถอดนายกฯ ปมตั้ง ‘พิชิต’ นั่งรมต. มติ 5:4 ไม่สั่ง ‘นายกฯ เศรษฐา’ หยุดปฏิบัติหน้าที่

 

(23 พ.ค. 67) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 48 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากกรณีนายเศรษฐา ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้งนายพิชิต ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆ ที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิต ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากนายพิชิตเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่ง จำคุกเป็นเวลา 6 เดือน

ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เนื่องจากศาลฯ พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า กรณีเป็นไปตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 7 (4)และให้นายกรัฐมนตรียื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อ ศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้องตามพ.ร.ป.ว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 54

ทั้งนี้ เสียงข้างน้อย 3 เสียงในประเด็นนี้ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ

ส่วนกรณีของนายพิชิตผู้ถูกร้องที่ 2 ได้มีคำร้องของนายพิชิต ลงวันที่ 23 พ.ค. 67แจ้งว่า เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 67 นายพิชิต ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แล้ว ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายพิชิต สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (2) กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีต่อไปตามพ.ร.ป.ว่าด้วย วิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 51 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1  มีคำสั่งไม่รับคำร้องเฉพาะส่วนของนายพิชิตไว้พิจารณาวินิจฉัย โดย 1 เสียงข้างน้อยได้แก่ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีขอให้นายเศรษฐาผู้ถูกร้องที่ 1 หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและ เอกสารประกอบคำร้อง ในชั้นนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ไม่สั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยตุลาการเสียงข้างน้อย ได้แก่ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายจิรนิติ หะวานนท์

สำหรับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ประกอบด้วย 
1.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ 
2.ปัญญา อุดชาชน 
3.อุดม สิทธิวิรัชธรรม 
4.วิรุฬห์ แสงเทียน 
5.จิรนิติ หะวานนท์ 
6.นภดล เทพพิทักษ์ 
7.บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ 
8.อุดม รัฐอมฤต 
9.สุเมธ  รอยกุลเจริญ

คิดทางขวาง 'เศรษฐา-พิชิต' ประชาธิปไตยแบบลิขิต แต่ 'ไม่ถูกใจ' ก็ใช้สิทธิ 'ตัดตอน' ประชาธิปไตยอยู่ตรงไหน

(27 พ.ค.67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ และประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ' ระบุว่า...

ก่อนอื่นผมต้องขอเรียนชี้แจงก่อนนะครับ ว่าข้อเขียนของผมเกิดจากความคิดเห็นผมคนเดียว ไม่มีผู้ใดมาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่ความเห็นทางกฎหมายเพราะผมไม่ใช่นักกฎหมาย เป็นการเขียนจากความรู้สึกของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งมีความสนใจในการเมืองของประเทศเรา 

กรณี 40 ส.ว.ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการแต่งตั้ง ท่านพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีของท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีถูกต้องหรือไม่? ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่? ในความเห็นของผม ... ผมอยากกราบเรียนว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่แปลกที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง รักประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแบบสุดๆ แต่ไม่เคยไว้ใจนักการเมือง 

เมื่อมีอะไรไม่ถูกใจ ก็ไม่อดทนรอคอยขบวนการที่ถูกต้อง รอคอยเวลาตามวงรอบของการเลือกตั้ง ชอบการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทันใจ รักษาสิทธิตัวเอง แต่ไม่สนใจสิทธิคนอื่น 

สำหรับผมประชาธิปไตยควรเอาความเห็นส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่มีถูกผิด แพ้ชนะ ดำเนินการตามเสียงส่วนใหญ่โดยรบกวนสิทธิของเสียงส่วนน้อยเท่าที่จำเป็น เพื่อให้งานเดินหน้าไปได้ 

ในกรณีท่านพิชิต ชื่นบานนั้น ผมมีมุมมองที่แตกต่างอยู่ 2 ข้อ ข้อแรกคือ ระบบยุติธรรมและการลงโทษ เมื่อศาลพิพากษาและลงโทษแล้ว บุคคลนั้นๆ ได้รับโทษตามคำพิพากษาแล้ว ก็น่าจะเพียงพอ ถ้าเราต้องการลงโทษและแก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น ยกเว้นบุคคลนั้นๆ ศาลพิจารณาแล้วว่าเกินเยียวยาเป็นภัยสังคมจนไม่สามารถแก้ไขได้ ศาลก็จะมีคำพิพากษาและมาตรการตามกฎหมายที่เหมาะสมต่อไป 

ดังนั้นในการลงโทษเราควรให้เกียรติและเคารพศาล คำพิพากษาศาลควรถือเป็นที่สุด ไม่ควรมีบทลงโทษอื่นใดมาเพิ่มเติมอีก หากพิจารณาว่าบทลงโทษไม่เหมาะสม หนักหรือเบาอย่างไร ก็ไปแก้ไขกฎหมายในสภาฯ ต่อไป 

ข้อที่ 2 สิทธิทางการเมืองเป็นสิทธิพื้นฐานของบุคคลในระบอบประชาธิปไตย ในวันนี้ ผู้ที่ถูกตัดสินจำคุกมาแล้ว (ยกเว้นลหุโทษหรือโทษโดยประมาท) ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองและดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ยังดีที่ให้มีสิทธิลงคะแนนเสียงได้ เหมือนเป็นบุคคลให้หายใจได้ แต่ห้ามเคลื่อนไหวทำอะไร ... สิ่งเหล่านี้ควรแก้ไขหรือไม่? ก็คงแล้วแต่เสียงส่วนใหญ่จะพิจารณา 

ทว่า การเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางการเมืองนั้น ในเมื่อเราเป็นประชาธิปไตย ทำไมไม่ให้สิทธินายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อสภาฯและประชาชน มีอิสระในการพิจารณาคัดสรร?

หากผู้ที่เลือกมาไม่ดีไม่เป็นที่ถูกใจ ย่อมเป็นผลเสียต่อคะแนนเสียงของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเอง เพราะในระบอบประชาธิปไตย 'คะแนนเสียงสำคัญสุด...ใช่หรือไม่?' ในปัจจุบันการเลือกตั้ง คะแนนเสียงประชาชนนับหมื่นจะไม่มีความหมายเลย หากไม่สามารถผ่านความเห็นของ กกต.เพียงไม่กี่คนได้

แล้วเราจะมีศาลเอาไว้ทำไม? ถ้ามีองค์กรอื่นที่สามารถตัดสินข้างต้นเหมือนศาลได้ 

ดังนั้น หากบุคคลที่ลงสมัครรับเลือกตั้งหรือที่ได้รับเลือกมาเป็นรัฐมนตรีนั้น กระทำผิดกฎหมาย ก็ต้องได้รับโทษ และหากการทำผิดกฎหมายนั้นเกี่ยวพันถึงใคร ผู้นั้นก็ต้องร่วมรับโทษด้วย โดยมี 'ศาล' เป็นผู้ตัดสิน

เฉกเช่นเดียวกันกับกรณีของท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีนั้น อย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น ตามหลักการในระบอบประชาธิปไตย ท่านควรมีอิสระในการเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งในกรณีนี้ ผมขอชื่นชมท่านในฐานะผู้นำ ที่เมื่อเลือกใช้งานใครแล้ว ก็กล้าที่จะไว้วางใจให้ทำงาน ... การปฏิบัติเช่นนี้ ผู้ที่ทำงานด้วยย่อมมีความมั่นใจและอบอุ่นใจในการทำงานให้ ผมขอยกย่องในภาวะผู้นำของท่าน

ความคิดของผม หากไม่ถูกใจท่านใด ผมก็ต้องกราบขออภัยมา ณ โอกาสนี้ คิดอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น เป็นการซื่อสัตย์ต่อตนเอง แต่ก็พร้อมน้อมรับและปฏิบัติตามเสียงส่วนใหญ่ ขอได้โปรดเมตตาแนะนำ หากความคิดผมไม่ถูกต้อง เพื่อผมจะได้นำไปพัฒนาความคิดและองค์ความรู้ส่วนตัวต่อไป ขอขอบพระคุณทุกคำติและคำชมของทุกท่าน ด้วยความเคารพครับ

'คปท.' ลั่น!! ชงชื่อ 'ชัยเกษม' นั่งนายกฯ เจอตอปมจริยธรรม ชี้!! เรื่องนี้จะเป็นจุดบอดระบอบทักษิณอีกเรื่องในอนาคต

(15 ส.ค. 67) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ถ้านายกฯ เป็น ชัยเกษม’ ระบุว่า…

ชัยเกษม เป็นอดีตอัยการสูงสุด ที่ใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้อง คดีอาญา พิชิต ชื่นบาน คดีถุงขนม

พิชิต ชื่นบาน ทำให้ เศรษฐา ทวีสิน พ้นนายกฯ สภาทนายความให้ พิชิต ชื่นบาน ผิดจริยธรรมร้ายแรง ศาลปกครองยืนตามสภาทนายความ ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ เศรษฐา พ้นนายกฯ เพราะ พิชิต ชื่นบาน

ชัยเกษม นิติสิริ เกี่ยวพันทางจริยธรรมคดีตั้งแต่ต้น ถ้าชัยเกษม เป็นนายกฯ มีคนไปร้อง จริยธรรมเรื่องดุลพินิจมิชอบ เรื่องนี้เป็นจุดบอดระบอบทักษิณอีกเรื่องในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top