Monday, 9 June 2025
พัฒนาประเทศ

'ธนาธร' ขายฝัน!! ยกนโยบายก้าวไกลคุยโว หวังดิสเครดิตรัฐบาล แนะวิธีใช้เงิน 5 แสนล้าน แต่ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแท้จริง

(18 พ.ย.66) จากกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เปิดบรรยายสาธารณะในหัวข้อ ‘ประเทศไทยควรได้อะไร หากต้องใช้ 5 แสนล้าน’ ต่อสาธารณชน โดยนายธนาธรเสนอว่า หากมีเงิน 5 แสนล้าน สิ่งที่ควรจะทำก็คือการกระจายเงินไปลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5 ด้าน นอกเหนือจากงบประมาณประจำที่รัฐต้องจ่ายอยู่แล้ว ซึ่ง 5 ด้านที่ว่านี้ ได้แก่ การสาธารณสุข การคมนาคม น้ำประปาดื่มได้ การจัดการขยะ และการศึกษา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่นายธนาธร ได้พูดถึงนั้น เปรียบเสมือนเป็นเหมือนทีวีที่ไม่มีจะอะไรฉาย ไม่เช่นนั้นคงไม่เอาละครฉากซ้ำๆ มาเผยแพร่แบบนี้ ซึ่งแต่ละหัวข้อทั้ง 5 ด้าน รวมแล้วใช้ 456,900 ล้านบาทนั้น เป็นโครงการระยะยาว ตามที่นายธนาธรฯ บอกว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 ปีหรือสองสมัย ได้แก่ 1.สร้างระบบแพทย์ทางไกล หรือเทเลเมดิซีน ทั่วประเทศ 60,900 ล้านบาท 2.รถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด 88,000 ล้านบาท 3.น้ำประปาดื่มได้ทั่วประเทศ 67,000 ล้านบาท 4.ลงทุนเพิ่มศักยภาพโรงเรียน 121,000 ล้านบาท และ 5.จัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะทั่วประเทศ 120,000 ล้านบาท โครงการเหล่านี้อยู่ในแผนเศรษฐกิจระยะยาวของรัฐบาล แต่ไม่ใช่โครงการที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในทันที นอกจากนี้ยังเป็นการหาทางลงให้กับตัวเองและพรรคก้าวไกล เพราะสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ แต่เป็นนโยบาย 300 ข้อที่พรรคก้าวไกลได้หาเสียงไว้ในการเลือกตั้งทั้งสิ้น

“ถ้าตอนที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หากพรรคก้าวไกลยอมลดโทนลง ไม่สุดโต่งตั้งแต่แรก โดยเฉพาะเงื่อนไขของพรรคที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และเงื่อนไขจะแก้มาตรา 112 แบบสุดซอย ในวันนี้พรรคก้าวไกลคงได้มีโอกาสเป็นรัฐบาล นโยบายทั้ง 300 ข้อที่ประกาศไว้ประชาชนก็อาจได้มีโอกาสทำหากเป็นรัฐบาล ไม่ใช่ได้แต่ออกมาพูดผ่านโซเชียลมีเดียว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้

ขอถามว่าสิ่งที่นายธนาธร กับพรรคก้าวไกลยืนยันที่จะแก้ไขมาตรา 112 อย่างสุดโต่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีใครเอาด้วย แล้วตนเองจะไม่ได้เป็นรัฐบาล ไม่ได้มีโอกาสทำนโยบาย 300 ข้อที่ตนได้สัญญากับประชาชนก็ตาม โดยคงคิดไปเองว่าทำแบบนี้แล้วจะได้คะแนนสงสารชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็ต้องถามนายธนาธรดังๆ ว่าต้องการทำเพื่อประโยชน์ประชาชนจริงหรือไม่ หรือทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองกันแน่

'ธนาธร' ย้ำ พัฒนาประเทศ 5 ด้าน ใช้งบฯ ไม่เกิน 5 แสน ลบ. ลั่น!! ใช้งบฯ ทำ 8 ปี ตกปีละ 6 หมื่นล้าน ทำได้ไม่ต้องกู้เพิ่ม

(18 พ.ย.66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ว่า…

ขอบคุณทุกท่านที่มารับฟังบรรยายสาธารณะในหัวข้อ ‘ประเทศไทยควรได้อะไร ถ้าต้องใช้ 5 แสนล้าน’ ในการบรรยายนี้ ผมขอสรุปให้ทุกท่านฟังอีกครั้ง ว่าผมเสนอแนะการพัฒนาประเทศ 5 ด้าน โดยใช้เงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท อย่างไรบ้าง

* สร้างระบบแพทย์ทางไกล หรือเทเลเมดิซีน ทั่วประเทศ 60,000 ล้านบาท
* รถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด 88,000 ล้านบาท
* น้ำประปาดื่มได้ทั่วประเทศ 67,000 ล้านบาท
* จัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะทั่วประเทศ 120,000 ล้านบาท
* ลงทุนเพิ่มศักยภาพโรงเรียน 121,000 ล้านบาท

รวม 456,000 ล้านบาท

1. การสาธารณสุข ผมเชื่อว่าอนาคตการสาธารณสุขไทยคือการทำเทเลเมดิซีน หรือการแพทย์ทางไกล (telemedicine) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่นเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ ไม่ต้องรอคิวตรวจที่โรงพยาบาลนานหลายชั่วโมง โดยมีเครื่องตรวจวัดความดัน ค่าน้ำตาลในเลือด สัญญาณชีพต่างๆ ในทุกหมู่บ้าน เก็บขึ้นคลาวด์อย่างเป็นระบบ สามารถพบแพทย์ได้ผ่านหน้าจอ หากอาการป่วยไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เทเลเมดิซีนไม่เพียงทำให้ประชาชนมีความสะดวกสบาย ประหยัดเงินและเวลาในการเดินทางไปโรงพยาบาล แต่ยังจะทำให้ไทยมีระบบจัดเก็บข้อมูลสุขภาพของประชาชนที่สามารถใช้คาดการณ์งบประมาณด้านสาธารณสุข และเตรียมบุคลากรการแพทย์ให้เพียงพอกับความต้องการในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย คณะก้าวหน้าได้ทำเทเลเมดิซีนสำเร็จใช้งานจริงแล้วที่เทศบาลตำบลหนองแคน โดยประชาชนเข้ารับการตรวจได้ที่เครื่องเทเลเมดิซีนทุกหมู่บ้าน โดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว ซึ่งสิ่งนี้สามารถเกิดได้ทั่วประเทศ มีเครื่องเทเลเมดิซีนทุกหมู่บ้าน โดยใช้งบเพียง 60,000 ล้านบาท

2. การคมนาคม ผมเสนอให้มีการจัดทำบริการรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์การลดฝุ่นละออง pm2.5 ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้พลังงานโดยประชาชนจะใช้รถส่วนตัวน้อยลง และยังเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา การทำงาน การประกอบธุรกิจของประชาชนครั้งใหญ่ ที่สำคัญ ยังเป็นการสร้างอุตสาหกรรมรถเมล์ไฟฟ้า เพราะในอนาคตเทรนด์โลกคือการใช้รถไฟฟ้าอยู่แล้ว รถเมล์ในไทยจะถูกทยอยเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด หากเราไม่พัฒนาอุตสาหกรรมไว้รองรับ สุดท้ายก็จะต้องซื้อจากจีน แทนที่จะสร้างงานและอุตสาหกรรมให้กับคนไทย โดยการทำรถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด จะใช้งบประมาณ 88,000 ล้านบาท

3. การทำประปาดื่มได้ ประเทศที่เจริญแล้วล้วนมีน้ำประปาที่ดื่มได้ เพื่อลดรายจ่ายของประชาชน โดยจากข้อมูลของ Rocket Media Lab คนไทยต้องทำงานถึง 27 นาทีเพื่อซื้อน้ำกิน 1 วัน แต่คนฝรั่งเศสใช้เวลาเพียง 9 นาทีเท่านั้นในการทำงานเพื่อให้ได้เงินมาซื้อน้ำกิน 1 วัน น้ำประปาอาจสามารถทำให้ดื่มได้ใน 99 วัน และยังมีการพัฒนาต่อยอดติดตั้งสมาร์ทมิเตอร์ เพื่อตรวจวัดคุณภาพน้ำ และออกบิลค่าน้ำอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้คนเดินจดมิเตอร์ สิ่งนี้สามารถเกิดได้ทั่วประเทศ โดยใช้งบ 67,000 ล้านบาท ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงน้ำประปาสะอาดระดับดื่มได้ทั่วประเทศ และยังก่อเกิดอุตสาหกรรมชิปและสมาร์ทมิเตอร์อีกด้วย

4. สิ่งแวดล้อม การจัดการขยะเป็นสิ่งที่เราลงทุนน้อยเกินไปมาก เมื่อเทียบกับการจัดการเมืองด้านอื่น ทำให้ขยะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ในเทศบาลตำบลหนองพอก ร้อยเอ็ด คณะก้าวหน้าได้ทำให้เห็นแล้วว่า หากท้องถิ่นจริงจังในการแยกขยะเศษอาหารจากขยะแห้งและขยะรีไซเคิล จะสามารถลดปริมาณขยะได้ทันทีอย่างน้อย 50% และสามารถฝังกลบหรือเผาขยะ และขายขยะต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมเสนอให้ใช้งบประมาณ 120,000 ล้าน เพื่อลงทุนซื้อรถขยะที่มีประสิทธิภาพ สร้างบ่อขยะและโรงเผาขยะที่สะอาดปลอดภัยได้มาตรฐานสากล ไม่ปล่อยมลภาวะหรือสารพิษปนเปื้อน โดยการลงทุนขนาดใหญ่หลักแสนล้าน จะสามารถสร้างบ่อขยะและโรงขยะที่ดีเทียบเท่าญี่ปุ่นหรือเดนมาร์ก ที่มีระบบการจัดการขยะดีที่สุดในโลก และคณะก้าวหน้าได้เคยไปดูงานมาแล้ว โดยการสร้างโรงขยะจะต้องไม่เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของนายทุนหรือนักการเมือง แต่ต้องดึงต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียมาร่วมทุนในการสร้าง และไทยเรียนรู้เทคโนโลยีจากประเทศเหล่านี้ เพื่อนำมาต่อยอดสร้างโรงขยะที่ปลอดภัยเองในอนาคต

5. การศึกษา การลงทุนในการศึกษาเป็นสิ่งที่จำเป็นและคุ้มค่าอย่างสูงสุด เพราะในยุคเทคโนโลยีดิสรัปต์ คนรุ่นใหม่จำเป็นต้องเรียนทักษะของอนาคต เท่าทันเทคโนโลยี เพื่อให้รอดจากภาวะ AI และระบบ automation เข้ามาแทนที่มนุษย์ ที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญกับอาชีวศึกษาน้อยเกินไป เพราะมัวแต่คิดว่าเด็กอาชีวะต้องตีกัน ทั้งที่ในประเทศพัฒนาแล้ว ทักษะและวิชาชีพช่าง เป็นสิ่งที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีอย่างสูงและได้รับการสนับสนุนอย่างมากโดยรัฐ เราสามารถเพิ่มการลงทุนในโรงเรียนและอาชีวศึกษาได้ โดยอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อปรับปรุงอาคารสถานที่ อุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทันสมัย ให้กับโรงเรียน แห่งละ 500,000 - 3 ล้านบาท ตามขนาดของโรงเรียน และสถานศึกษาระดับอาชีวะ แห่งละ 20 ล้านบาททุกแห่งทั่วประเทศ รวมถึงอุดหนุนกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาอีก 4,500 ล้านบาทเพื่อแก้ปัญหาเด็กตกหล่นจากระบบ รวม 121,000 ล้านบาท

ทั้งหมดนี้ ผมขอย้ำว่า รัฐสามารถเลือกได้ว่ารัฐจะทำเอง หรือให้เอกชนเข้ามาทำ ทำให้งบประมาณ 456,000 ล้านบาทในการยกระดับประเทศ 5 ด้าน มีความยืดหยุ่นได้มาก ใช้จริงอาจน้อยกว่านี้ เพราะตัวเลข 456,000 ล้าน หมายถึงรัฐลงทุนทำเอง 100% แต่รัฐสามารถใช้บริการเอกชน ดึงเอกชนมาร่วมลงทุน ก็จะลดค่าใช้จ่ายของรัฐลงไป แต่ผมยืนยันว่าในการลงทุนร่วมกับเอกชน จะต้องไม่เป็นช่องทางให้เอกชนเข้ามาแสวงหาสัมปทาน เอากำไรเกินควรบนผลประโยชน์ของประชาชนทั้งประเทศ แต่รัฐต้องตัดสินใจบนพื้นฐานของการจัดงบประมาณที่สมเหตุผล และได้คุณภาพบริการสาธารณะที่ดีสำหรับประชาชน

ประเทศไทยวันนี้ไม่มีวันก้าวไปข้างหน้าเป็นประเทศที่เจริญได้โดยปราศจากเทคโนโลยี การใช้งบประมาณที่คุ้มค่าสูงสุด จึงเป็นการเอาปัญหาของประชาชนมาแปรเป็นโจทย์ที่รัฐต้องแก้ >> เป็นความต้องการที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ >> สร้างงานที่มีคุณภาพ >> สร้างเทคโนโลยีที่เราเป็นเจ้าของเอง

ซึ่งการทำประปาดื่มได้ ทำรถเมล์อีวี ทำโรงขยะที่มีมาตรฐาน ล้วนแล้วแต่จะนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นของประเทศไทย

การใช้เงินเกือบ 5 แสนล้านพัฒนาประเทศ 5 ด้านนี้ หากไม่ใช้เงินกู้ 5 แสนล้าน แต่ใช้งบประมาณแผ่นดินปกติ ทยอยทำ 8 ปี ก็จะตกปีละ 60,000 ล้าน ผมเชื่อว่าสามารถหาได้โดยไม่จำเป็นต้องกู้เพิ่ม เพราะแต่ละโครงการต้องค่อยๆ ทยอยทำอยู่แล้ว ไม่สามารถเกิดขึ้นทีเดียวภายใน 2-3 ปีได้ และถึงแม้ 5 แสนล้านจะเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่งหากนำมาใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งประเทศ และยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไทย เดินหน้าสู่การเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้าและมีรายได้สูง ไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนาอีกต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top