Monday, 9 June 2025
พรรคล้มเจ้า

หลอกต้มคนตาย หลอกใช้คนเป็น ความสามารถอันโดดเด่นของพรรคล้มเจ้า

ถ้าเราจะจำกันได้ สมัยที่กลุ่มแก๊ง 'ทะลุวัง' ยังฮอต ๆ มีข่าวออกตามหน้าสื่อถึงพฤติกรรมการกัดเซาะ ดูหมิ่น เหยียดหยามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่เกรงกลัว หนึ่งในแบ็กอัปที่คอยสนับสนุนเด็กหัวรุนแรงกลุ่มนี้อย่างเขิน ๆ ก็คือพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่มีเป้าหมาย 'ล้มล้างสถาบัน' โดยหวังจะให้ระบบการปกครองแบบเก่าที่หล่อหลอมจนสร้าง 'แผ่นดินชาติ' มาจนสำเร็จ หายไปจากความทรงจำอันงดงามของคนไทย 

พรรคการเมืองพรรคนี้ โปรโมตตนเองว่าเป็น 'คนรุ่นใหม่' เข้ามาเพื่อจะกำจัด 'นักการเมืองน้ำเน่า' ที่ชอบพูดโกหก กลับไปกลับมารายวัน อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทราบกันดี 

แต่ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่?

นอกจากวาทกรรมปลิ้นปล้อน กลิ้งกลอก ที่ฉายโชว์ให้สังคมเห็นผ่านเรื่องราวโง่ ๆ รายวัน คุณสมบัติที่ทั้ง 'บาปและเลว' อย่างโดดเด่นที่คนไทยไร้อคติรู้กันดีก็คือการเดินหน้า 'ล้างสมอง' และ 'หลอกใช้เด็ก' ให้กระทำการหมิ่นเหม่ต่อมาตรา 112 เพื่อจะสั่นสะเทือนไปถึงสถาบันที่ตนเองเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นการวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ ชุมนุมสามนิ้วในที่สาธารณะด้วยการพูดให้ร้ายสถาบัน ก่อกวนขบวนเสด็จ ขีดเขียนกำแพงวัดพระแก้ว และอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยใดมาก่อน 

ทันทีที่เด็ก ๆ โดนคดี 112 ถูกจับเข้าตะราง ก็ฉวยใช้ภาพ 'เด็กติดคุก' ว่าถูกมาตรา 112 ทำร้ายให้เด็กต้องเสียประวัติ แต่ไม่เคย 'ห้ามปราม' เวลาที่เด็กทำเลวกับสังคมเลยสักครั้งเดียว 

เมื่อศาลปล่อยตัวชั่วคราว ให้โอกาส 'เด็กเดน' ออกมาเรียนหนังสือ แต่ 'เด็กสามนิ้ว' เหล่านี้ก็เลือกจะทำผิดซ้ำ ๆ ในแบบเดิมอีก จนศาลต้องมีคำสั่งให้ 'ขังยาว' กันหลายคน เมื่อ 'เด็กชังสถาบัน' ต้องจมอยู่ในคุก พรรคการเมืองพรรคนี้ก็ยังด่ากระบวนการยุติธรรมไทยว่า 'ทำร้ายเด็ก' และโทษมาตรา 112 ที่เป็นปัญหาทำให้เด็กเหล่านี้ต้องหมดอนาคต 

ไม่กี่วันที่ผ่านมา หญิงสาววัยเกินเด็กคนหนึ่งอยู่ในกลุ่มแก๊ง 'ทะลุวัง' ได้เสียชีวิตขณะติดคุก พรรคการเมืองที่กระหายการหลอกใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือ ก็ยังไม่ละเว้นคนที่ตายไปแล้ว ยังอ้างว่าเพราะ 112 จึงทำให้มีคนตาย 

เฮ้อ!! คนเราถ้าจิตใจไม่ชั่วถึงขนาดตั้งใจไปหมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายสถาบัน รับประกันว่าไม่มีทางเฉียดใกล้ 

จึงมีแต่โจรเท่านั้นที่ดิ้นจะแก้กฎหมายเพื่อให้ง่ายในการล้มล้างการปกครอง ^^

เบื้องหลังอุดมการณ์ 'บางพรรค' ที่ยังแน่วแน่-ยืนหนึ่งเรื่องแก้ 112 เพราะผลประโยชน์ในฐานะ 'เด็กเช็ดรองเท้าตะวันตก' มันหอมหวน

สำหรับพรรค 'ส้มสามกีบ' เราคงต้องยอมรับกันตามตรงว่า อุดมการณ์ที่ตั้งมั่นในเรื่องการแก้ 112 ให้โทษอ่อนลง หรือการเดินหน้าล้มล้างการปกครองนั้น ต้องยกนิ้วให้ว่าแน่วแน่ มั่นคงมาก ๆ หาได้ยากยิ่งที่จะมีพรรคการเมืองใดในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กล้าหาญที่จะยืนหนึ่งในเรื่องการกัดเซาะสถาบันเบื้องสูงอย่างแข็งขันเช่นนี้

ขนาดถูก 'ยุบพรรคเดิม' ด้วยข้อหา 'ล้มล้างการปกครอง' ก็ยังประกาศชัดว่าจะนำแนวคิดอันเป็นอุดมการณ์เดิมมาใช้เป็นอาวุธหนัก หวังทะลุทะลวงทิ่มแทงสิ่งที่ตนเองฝังใจเกลียดชังให้มลายหายสูญไปให้ได้ในการ 'ตั้งพรรคใหม่'

อุดมการณ์แรงกล้าขนาดที่ว่า ปากท้องประชาชนไว้ทีหลัง นโยบายหลัก รอง หรือต่อจากนั้น หายใจเข้าออกก็จะมีแต่ทำยังไงก็ได้ที่ประเทศนี้ต้องไม่มีสถาบัน เพราะคือ 'งานหลัก' ที่ถ้าทำสำเร็จ โอกาสหลาย ๆ อย่างในการแอบเป็น 'เด็กเช็ดรองเท้าตะวันตก' ด้วยความซื่อสัตย์ ก็จะเข้ามาหา ทำให้มีอำนาจในการต่อรอง งานนี้เดิมพันจึงสูงลิบ และมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับไปรักประเทศตัวเองเฉกเช่นคนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน 

คนเราถ้าลองเดินหลงผิดไปแล้ว แต่ยังพอจะมี 'คนข้าง ๆ' ที่เฝ้ามองด้วยความปรารถนาดี และจริงใจ คอยบอก คอยห้าม คอยทักท้วงให้หยุดพฤติกรรมเลว ๆ ก็ยังถือว่า 'มีบุญมากกว่าบาป' แต่หากไร้คนคอยชี้แนะ ใครห้ามก็ไม่ฟัง ถือดีแบบโง่ ๆ ตะบี้ตะบันจะล้มล้างสิ่งที่คนมากกว่า 14 ล้านเสียงไม่เล่นด้วย อนาคตก็คงจะจบไม่ต่างจากที่เคย

การเป็นนักการเมืองที่มีจุดยืน มีอุดมการณ์ ไม่ว่อกแว่กเอนไหวไปตามกระแสนอกหลักการของตัวเองนั้นดี ควรค่าแก่การยกย่อง สรรเสริญ แต่ควรยึดถือในด้านที่ส่งเสริมให้คนไทยรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รักแผ่นดินของตนเอง มิใช่คอยหลอกเด็ก หรือต้มผู้ใหญ่ปัญญาเบาให้ไป 'ชูสามนิ้ว' กัดเซาะ ดูหมิ่น ล้มล้างสถาบันเบื้องสูง จนหลายคนต้องไปหมดอนาคตในคุก 

ตราบที่มีอุดมการณ์ชัดเจนในทางชั่ว ๆ แบบนี้ จบแล้วฟื้นมาตั้งพรรคใหม่อีกกี่ครั้ง เป้าที่หวังก็ยากจะสำเร็จ ด้วยที่นี่คือประเทศไทย ไม่เหมือนประเทศใดในโลก มิเช่นนั้นสถาบันเบื้องสูงจะไม่ยืนยาวถึงวันนี้

14 ล้านเสียงเริ่มตาสว่าง หลังกระจ่างชัดในพฤติกรรม ‘พรรคล้มเจ้า‘ ทั้ง ‘หนีการเกณฑ์ทหาร - ปลิ้นปล้อนกลิ้งกลอก - หลอกใช้วัยรุ่นใจแตก‘

(26 พ.ย. 67) กว่าที่คน 14 ล้านเสียงจะเริ่มหูตาสว่าง ก็ต้องใช้เวลาลงลึกต่อสิ่งที่เลือกเข้ามาอยู่นานพอดูถึงจะเข้าใจถ่องแท้ว่าสิ่งที่ดี กับสิ่งที่เลวนั้นมีหน้าตาแตกต่างกันอย่างไร ถึงวันนี้จาก 14 ล้าน จึงหายศีรษะไปกันเยอะแล้ว

หลายคนให้เหตุผลว่าที่เลือกพรรคล้มสถาบันเพราะเบื่อ “ลุงตู่” เป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่แสนจะมักง่าย แค่เบื่อนายกคนเก่า เบื่อรัฐบาลเก่า ก็เลยเลือกส่งเดชเชียร์เด็กนิสัยเกเรแถมยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมให้เข้ามาบริหารชาติเพื่อความสะใจ 

พรรคใดที่สามารถจะล้มทหารได้ก็ออกหน้าเชียร์พรรคนั้น โดยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือว่าสิ่งที่เลวร้ายกว่าทหารก็คือพรรคการเมืองที่แอบร่วมมือกับตะวันตก ยอมเป็น “เด็กเช็ดรองเท้า” ให้เขา ร่วมมือกันเพื่อมาล้มล้างการปกครองในประเทศชาติของตัวเอง 

ลองถามใจคุณดู ระหว่างรัฐบาลที่มาจากเผด็จการทหาร แต่กลับไม่เคยคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ยังคงปกป้อง รักษา ให้เป็นสถาบันที่เป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติดังเดิม กับพรรคการเมืองจากนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่แอบดีลลับร่วมมือกับต่างชาติ หวังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นในสังคมไทย กระทบชิ่งไปถึงสถาบันกษัตริย์ผ่านน้ำมือเด็กวัยรุ่น วัยเรียน ที่ถูกหลอกใช้ จนโดนคดี 112 จำนวนมาก และที่หนีไปต่างประเทศก็ไม่น้อย คุณลองคิดดูสิว่าแบบไหน “มันเหี้ยมจนตัวมอม้าหาย” มากกว่ากัน? 

ผมไม่ได้บอกว่าการปฏิวัติรัฐประหารนั้นเป็นสิ่งที่ดี แม้จะมาด้วยเจตนาที่ดี แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีที่ประชาชนแบบเราจะพูดถึงความประทับใจได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่การที่เราเบื่อหน่ายพรรคหนึ่งพรรคใด ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลือกพรรคอื่นที่ตั้งธงรบด้วยการเกลียดพรรคที่เราไม่ชอบเหมือนกัน เพราะพรรคที่เราเลือกมันอาจจะเลวในแบบอื่น ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายได้มากกว่า เราไม่ควรเอาประเทศชาติไปล้อเล่นเพียงเพราะเหตุผลว่าเราต้องเลือกพรรคการเมืองสักพรรค หรือเพียงเพราะอยากแก้แค้นพรรคที่เราเกลียด

เพราะผลที่ได้ ก็จะเป็นอย่างที่เห็น เราจึงได้นักการเมืองที่ไร้ความสามารถ หนีการเกณฑ์ทหาร กลิ้งกลอก หลอกใช้วัยรุ่นใจแตก ซุกกระโปรงเด็กผู้หญิง พูดจาโกหกปลิ้นปล้อนประชาชนไปวัน ๆ และมีแนวคิดล้มล้างสถาบันเข้ามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน มีดีสักคนไหม?

เอาปากกามาวงให้เห็นหน่อยเถอะครับ 

จาก 'คนคลั่งแดง' สู่การ 'ชูสามนิ้วคลั่งส้ม' เปลี่ยนข้างด้วยเหตุผลเดียวในใจคือ 'ไม่เอาสถาบัน'

(4 มี.ค. 68) คุณลองสังเกตคนรอบ ๆ ตัวของคุณดู จะมีจำนวนไม่น้อยที่แต่ก่อนคือคนที่เลือก “พรรคเผาเมือง” หรือพรรคที่เริ่มต้นการ “จาบจ้วงสถาบัน” อยู่เป็นนิจ ถึงกับเคยป่าวประกาศให้คนไทยภาคอิสาน “ปลดรูปในหลวงรัชกาลที่ ๙” ออกจากข้างฝา ยังกล้าเผาห้าง เผาศาลากลางจังหวัด เรียกว่าเผาผลาญประเทศจนย่อยยับ ถูกขับไล่ด้วยข้อกล่าวหาอภิมหาคอรัปชั่นชาติ จนที่สุดหัวหน้าพรรคทั้งสองคน และเป็นอดีตนายกทั้งคู่ ต้องหนีคดีออกนอกแผ่นดินไทย 

เมื่อภาพการ “หนีคดี” เกิดขึ้นซ้ำ ๆ สะท้อนถึงความสั่นคลอน ไม่มั่นคง ภารกิจของ “เศรษฐีล้มเจ้า” ที่น่าจะไปต่อไปจึงค่อย ๆ เฟดลงตาม กลายเป็นภาพการหมอบคลาน การยอมรับความผิด ยอมกลืน “น้ำลายเน่า ๆ" จากคนปากดีที่จะนำ “การล้มเจ้า” เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยเป็นระบอบอื่น  กลายเป็น “พรรครักสถาบัน” ขึ้นมาหน้าตาเฉย ทั้งหมดก็เพื่อจะได้ลดทอน “ความเกลียดชัง” ของสังคมคนส่วนใหญ่ที่ยังคงเชิดชูสถาบันไว้สูงสุด กลุ่มคนที่ชังเจ้าชนิดฝังหุ่น ที่เคยกาเลือก “พรรคเผาไทย” มาตลอด จึงต้องหา “พรรคล้มเจ้าพรรคใหม่” ไว้เป็นที่พึ่งทางใจ

คนป่วยเหงาเหล่านี้ “เปลี่ยนจากแดงมาสู่ส้ม” ก็ด้วยเหตุผลเดียวคือ “แอบเป็นคนที่ไม่เอาสถาบัน” แต่ไม่กล้าปริปากบอกใครตรง ๆ ใช้ชีวิตแบบ “ตีสองหน้า” ไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ถอยห่างจาก “พรรคแดง” เพราะปัญหาเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น หรือการหนีคดี แต่เพราะได้กลายเป็นพรรคที่ไม่แน่ใจแล้วว่า “จะล้มเจ้า” ได้จริง ๆ จึงเกิดความไม่แน่ใจ เมื่อมี “พรรคส้มสามกีบ” โผล่ขึ้นมา โฆษณาว่าเป็น “คนรุ่นใหม่” มีแผนการร้ายที่จะ “ล้มล้างการปกครอง” กล้าบ้าบิ่นด้วยเล่ห์เพทุบายโฉดชั่ว จึงโดนใจ “คนเกลียดเจ้า” ที่ผิดหวังจาก “พรรคหนีคดี” ต่างกระโจนไปสนับสนุน “พรรคสามนิ้ว” โดยไม่ดูความสามารถในเรื่องการบริหารบ้านเมืองแม้แต่น้อย 

สังเกตดี ๆ พฤติกรรมคนเหล่านี้ ไม่เคยกล้าตำหนิการทุจริตคอรัปชั่น หรือข้อเสียใด ๆ ของ “พรรคเผาเมือง” หรือ “พรรคส้มสามกีบ” ที่ตนเองสนับสนุน มักจะทำเป็นมองไม่เห็น ตราบที่ยังคงยึดแนวทางการ “ล้มล้างการปกครอง” ให้เห็นดังเดิม เพราะแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเหล่า “คนแอบเกลียดเจ้า” ที่แอบซุกตัวใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยแล้ว

คนไทยที่แอบเกลียดชังสถาบัน และคอยมองหาพรรคการเมืองที่คอยดูหมิ่น จาบจ้วง กัดเซาะ ล้มล้างการปกครอง เพื่อที่จะสนับสนุน ถือเป็นคนไทยที่เป็น “อันตรายต่อชาติ” และต่อ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ไม่ต่างจาก “พรรคการเมืองล้มล้างการปกครอง” 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top