Sunday, 8 June 2025
พรรครวมไทยสร้างชาติ

‘ธนกร’ ติง ‘พิธา’ ดื้อคำสั่งศาลฯ แถแถลง 9 ข้อสวน ชี้!! บิดเบือนแบบนี้จะเป็นผู้นำประเทศที่ดีได้อย่างไร 

(10 มิ.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล แถลง 9 ข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล โดยมองว่า เป็นการไม่เคารพคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้ออกมาเตือนก่อนล่วงหน้าแล้วว่าไม่ควรมีการชี้นำกระทบความเชื่อมั่นในกระบวนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นข้อสำคัญที่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องยึดมั่น นั่นคือการเคารพกฎหมาย เคารพคำสั่งศาล

การออกมาแถลงข้อต่อสู้คดีควรยื่นต่อศาลโดยตรง ไม่ใช่มาแถลงต่อสื่อมวลชน ต่อประชาชน มากกว่านั้นยังอ้างข้อกฎหมายแบบบิดเบือนเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่นแบบข้าง ๆ คู ๆ อ้างประชาธิปไตยสารพัด ทั้งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยุบพรรค ซ้ำยังอ้างว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. มีกระบวนการยื่นคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมายอีก ซึ่งนายพิธาและพรรคก้าวไกล มีความกังวลค่อนข้างหนักเรื่องคดีจนทำให้พาลไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม กระบวนการกฎหมายทั้งระบบ แบบนี้จะเป็นผู้นำประเทศที่ดีได้อย่างไร

เมื่อถามว่า นายพิธาอ้างว่า กกต. ยื่นศาลโดยไม่แจ้งให้พรรคได้ชี้แจงนั้น นายธนกร กล่าวว่า ประธาน กกต. ได้ยืนยันการดำเนินการของ กกต. แล้วว่าไม่ได้ใช้ระเบียบสืบสวนไต่สวน แต่เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งไม่จำเป็นต้องแจ้งให้พรรคก้าวไกลทราบ เพราะมีหลักฐานตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 

ทั้งนี้มองว่า ในชั้นกระบวนการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาตามที่พรรคขอขยายเวลาถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 15 วัน จนครบกำหนดยื่นคำชี้แจงแล้ว ถือว่าคดีนี้ กกต. และศาล ได้ดำเนินการครบถ้วนตามกระบวนการยุติธรรม หลังจากนี้ก็เป็นดุลยพินิจของศาล ผลจะออกมาเป็นบวกหรือลบ พรรคก้าวไกลควรยอมรับน้อมรับคำตัดสิน

“การที่นายพิธาและก้าวไกลออกมาแถลงอ้างว่าพรรคการเมืองเป็นส่วนสำคัญของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นจะอ้างไม่ได้เพราะถ้าพรรคการเมืองทำผิดกฎหมายก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงตรงนี้ การอ้างและชี้นำสังคม ว่าศาลไม่มีอำนาจ กกต. ยื่นโดยไม่ชอบ เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงด้วยคำพูดสวยหรูให้ตัวเองดูดี แต่เป็นการก้าวล่วงและไม่เคารพคำสั่งศาล แบบนี้จะเป็นผู้นำประเทศที่ดีได้อย่างไร” นายธนกร ระบุ

'อัยรดา โฆษกรวมไทยสร้างชาติ' ผนึกกำลัง 'ลูกบ้านซิตี้โฮม ศรีฯ' เพิ่มพื้นที่สีเขียวเขต 'บางนา-พระโขนง' และพื้นที่ใกล้เคียง

(13 มิ.ย. 67) ว่าที่ ร.ต.อ.หญิง อัยรดา บำรุงรักษ์ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตผู้สมัคร สส.เขตบางนา-พระโขนง ขอบคุณคณะลูกบ้านซิตี้โฮม ศรีฯ หลังมอบต้นคลอเดีย จำนวน 116 ต้น เพื่อส่งมอบต่อให้กับหน่วยงานราชการ, อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทสม.), ชุมชนเขตบางนา, ชุมชนเขตพระโขนง และพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อนำต้นคลอเดียไปปลูกและเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชน

“โครงการคณะลูกบ้านซิตี้โฮม ศรีฯ มีความตั้งใจทำโครงการเพาะปลูกต้นคลอเดีย เนื่องจากคณะลูกบ้านกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มจิตอาสาเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยกิจกรรมดังกล่าวเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 24-25 ก.พ. 2567 โดยคณะลูกบ้านซิตี้โฮม ศรีฯ เป็นผู้เพาะต้นคลอเดีย เมื่อโตในระดับนึง จึงนำมาส่งต่อให้เบียร์เป็นตัวแทน เพื่อกระจายมอบให้กับหน่วยงานราชการ, ทสม., ชุมชนในเขตบางนา-พระโขนง และพื้นที่ใกล้เคียง เป้าหมายของคณะลูกบ้านซิตี้โอม ศรีฯ มีจุดมุ่งหมายตรงกัน เพื่อต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และจะเป็นก้าวต่อไปที่พวกเราจะร่วมมือกันขยายพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น และพวกเราขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดมลพิษ พร้อมช่วยให้อากาศในกรุงเทพฯ สะอาดมากขึ้น” ว่าที่ร.ต.อ.หญิง อัยรดา ย้ำ

อย่างไรก็ตาม ต้นคลอเดียขณะนี้ ได้ถูกส่งมอบให้กับหน่วยงานราชการ, ทสม., ชุมชนเขตบางนา, ชุมชนเขตพระโขนง และพื้นที่ใกล้เคียงเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา

‘ธนกร’ เผย ‘รทสช.’ พร้อมพิจารณางบฯ 68 ชี้!! ยึดประโยชน์ ปชช.-ประเทศชาติ  ดักคอ!! ‘ฝ่ายค้าน’ อภิปรายงบไม่ใช่ซ้อมซักฟอกรัฐบาล แนะ ‘ใช้เวลาคุ้มค่า-สร้างสรรค์’

(16 มิ.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวว่า ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรครวมไทยสร้างชาติ มีความพร้อมในการร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19-21 มิถุนายนนี้ ซึ่งการใช้เวลา 3 วันถือว่าเพียงพอ  รัฐบาลทุกกระทรวงมีความพร้อมชี้แจงงบประมาณ รวมถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรมและที่เกี่ยวข้อง พร้อมร่วมพิจารณางบประมาณ แผ่นดินอย่างรอบคอบ มีความคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ มั่นใจว่า จะผ่านการพิจารณาของสภา เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามกรอบเวลาไม่ล่าช้า

ทั้งนี้อยากเห็นการอภิปรายของฝ่ายค้านเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ รักษาเวลา รักษา ระเบียบการประชุม เพื่อเกิดประโยชน์ต่อประเทศ หากมีการตรวจสอบและข้อเสนอแนะ สามารถทำได้ตามหลักการ ไม่ใช้อารมณ์ หรือ วาทกรรมทางการเมือง ตนไม่อยากเห็นการใช้เวทีอภิปรายงบประมาณ เป็นเวทีซักซ้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างที่เคยเกิดขึ้น  

“ฝากไปถึงฝ่ายค้าน ขอให้ใช้เวลาอภิปรายงบ 68 อย่างคุ้มค่า สร้างสรรค์ อยู่ในกรอบตามวาระ ไม่ใช่ ใช้เวทีสภาซ้อมซักฟอกรัฐบาลเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ขอให้หลีกเลี่ยงการใช้วาทกรรมที่รุนแรง เลี่ยงการสร้างคอนเทนต์ดราม่าเพื่อเอาไปลงในโซเชียล ขอให้ยึดผลประโยชน์ประชาชนและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ไม่คิดตีกินทางการเมือง” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

'จุติ' กระตุกรัฐ เจียดงบ 68 หนุนกองทุนความเสมอภาคทางการศึกษา หวังช่วยคนจนที่อยู่นอกระบบการศึกษาอีกนับล้านคน

เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.67) ที่รัฐสภา นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ว่า ตนขอสนับสนุนพระราชบัญญัติงบประมาณ ปี 2568 หลังจากฟังการอภิปราย ได้ตั้งข้อสังเกตมากมายเกี่ยวกับนโยบายของกระทรวงการคลัง เมื่อได้ฟังท่านสมาชิกสภาฯ รวมถึงคำชี้แจงของรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงการคลังทั้ง 3 ท่านแล้ว นับเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ตนขอติดตามว่าหลังจากนี้จะทําตามที่ได้พูดไว้ในสภาฯ แห่งนี้หรือไม่ 

ขณะเดียวกัน ยังขอชื่นชมรัฐบาลชุดนี้ในเรื่องการปราบปรามบ่อนพนันและยาเสพติด แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องการให้ทํามากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เพราะเริ่มเห็นการระบาดเข้าไปสู่ระดับโรงเรียน ถือว่าเป็นภัยต่อเด็กนักเรียนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง แน่นอนว่าเด็กยังขาดวุฒิภาวะในการแยกแยะ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนในสังคมจะช่วยสอดส่องดูแล ซึ่งเรามีแอปพลิเคชัน ESS Help Me เอาไว้แจ้งเหตุให้ทุกคนสามารถใช้งานได้ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทางสํานักงานตํารวจแห่งชาติ, กระทรวงศึกษาธิการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, อัยการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะบูรณาการดูแลความปลอดภัยของเด็กต่อไป 

นายจุติ ยังกล่าวด้วยว่า ทุกวันนี้เราพูดถึงเรื่องการสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์อย่างกว้างขวาง แต่ตนขอยกตัวอย่างซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยที่เห็นได้ชัดเจน นั่นคือประวัติศาสตร์ไทย, วัฒนธรรมไทย และยิ้มสยาม รวมถึงคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประเทศไทย นับเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สามารถนำเสนอต่อชาวโลกได้เช่นกัน จึงอยากจะเสนอแนะให้ใช้งบประมาณด้านซอฟต์พาวเวอร์ในส่วนนี้ให้มากขึ้น และขอชมท่านนายกรัฐมนตรีด้วยว่า ท่านเป็นนักการเมืองที่ไหว้สวยที่สุดคนหนึ่ง น่าที่จะเอาไปเป็นแบบอย่าง

“วันนี้ต้องขอขอบคุณท่านรัฐมนตรีที่มาตอบเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยนั้นเทียบชั้นได้ไม่แพ้ประเทศอิตาลีที่ขึ้นทะเบียนมรดกโลกมากที่สุดประเทศหนึ่ง อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะเตือนใจท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีช่วยทั้งสองท่านว่า รวยแล้วอย่าลืมคนจน เพราะวันนี้ผมยังไม่เห็นว่า ในฐานะที่ท่านจะเป็นรองประธานกรรมาธิการงบประมาณฉบับนี้ เงินกองทุนความเสมอภาคทางการศึกษา คนจนหนึ่งล้านคนที่อยู่นอกระบบการศึกษากำลังยังรอท่านอยู่ หวังว่าท่านจะเติมให้ไม่น้อยกว่างบประมาณด้านซอฟต์พาวเวอร์ ทั้งนี้ สาเหตุที่เด็กนักเรียนหนึ่งล้านคนต้องออกจากระบบการศึกษาสาเหตุนั้นมาจากความยากจน 47% มาจากปัญหาครอบครัว 16% มาจากปัญหาไม่ได้รับสวัสดิการจากรัฐเพียงพอ 8.88% รวมถึงปัญหาสุขภาพ ปัญหาถูกผลักจากระบบการศึกษา และอยู่ในคุกอีก 5% ดังนั้น หากมีการจัดสรรให้กองทุนความเสมอภาคทางด้านการศึกษา จะทำให้คนอีกหลายล้านคนจะได้ประโยชน์มากขึ้นครับ” 

นายจุติ กล่าวอีกว่า อยากจะเสนอแนะให้รัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน กองทุนจากทั่วโลกได้เห็น รวมถึงรับฟังมืออาชีพที่เป็นนักบริหารความเสี่ยงจากต่างประเทศ เขามองประเทศไทยอย่างไร ซึ่งการแก้ปัญหาความเชื่อมั่นโดยไม่ต้องใช้งบประมาณเลยนั้น สามารถทำได้ แต่ต้องเอาใจใส่ 3 ประการ 

ข้อที่หนึ่ง เรื่องวินัยการคลัง เพราะการกู้เงินจำนวนมากก็จะทำให้เกิดความกังวลว่า ถ้ามีหนี้มาก ภาระดอกเบี้ยก็จะมากตามด้วย ซึ่งจะทําให้เสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยนั้นมีปัญหาหรือไม่ วันนี้ค่าเงินบาทยังมีศักยภาพอยู่ วันไหนที่ประเทศไทยมีปัญหาทั้งค่าเงิน ทั้งการนําเข้า พลังงานที่แพง วันนั้นเราจะนึกถึงว่าเสถียรภาพนั้นมีค่ายิ่ง ดังนั้นศักยภาพของเศรษฐกิจ เสถียรภาพทางการคลังจึงเป็นสิ่งสําคัญ 

ข้อที่สอง เรื่องวินัยในธรรมาภิบาล ตนเห็นรัฐบาลชุดนี้มีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล แต่เมื่อผิดแล้วรีบแก้ไขถือว่าเป็นเรื่องดี อย่าให้ไฟลาม แต่ในขณะเดียวกัน ในอนาคตจะตั้งใครเข้ามาทำงานก็ตามขอให้ดูประวัติให้ดี ๆ ขอให้คนที่มองอยู่วันนั้นเกิดความเชื่อมั่นว่า คนจะมาคุมกติกาการลงทุน คนจะมาคุมกติกาตลาดนั้น มือต้องไม่เปื้อนเลือด เสื้อผ้าต้องไม่คลุกโคลน ต้องขาวสะอาด ข้อเสนอแนะนี้หวังว่าท่านคงเข้าใจ ดังนั้น วินัยในเรื่องธรรมาภิบาลนั่นคือ ลงโทษบุคคลที่ควรลงโทษ แล้วให้รางวัลคนดีที่ทําเพื่อบ้านเมือง 

ส่วนข้อสุดท้าย เรื่องวินัยข้าราชการ ซึ่งเป็นคนที่ทําตามกติกาและทำให้สำเร็จตามนโยบายรัฐบาล ข้าราชการดี ๆ มีอยู่เยอะ ต้องขอขอบคุณตํารวจทหารที่ปราบปรามยาเสพติดตามชายแดน แต่ในขณะเดียวกัน ก็ขอประณามความเชี่ยวชาญของตํารวจทหารที่หากินกับยาเสพติด ขอชื่นชมกับตํารวจที่ปราบบ่อนพนันออนไลน์ แต่ในขณะเดียวกันขอประณามคนที่หากินกับบ่อนพนันออนไลน์เช่นกัน นอกจากนี้ ยังพบการละเลยที่ปล่อยให้บุหรี่ไฟฟ้าระบาดในประเทศไทย ทั้งที่บุหรี่ไฟฟ้าถูกห้ามขายประเทศไทยมาขายมา 10 ปีแล้ว แต่ในวันนี้จีนมีสถิติส่งบุหรี่ไฟฟ้ามาประเทศไทยถึงหนึ่งพันหกร้อยล้านบาท ซึ่งคงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ รวมไปถึงการปล่อยให้ ‘แป้ง นาโหนด’ หนีไปได้ แม้ว่าตอนนี้จะจับตัวกลับมาได้แล้วก็ตาม ดังนั้น หากรัฐบาลนี้จะอยู่หรือจะไป ขึ้นอยู่กับ 3 วินัยที่กล่าวมานี้เอง 

พร้อมอภิปรายทิ้งท้ายว่า “ผมขอเป็นกําลังใจทุกท่านที่ตั้งใจทํางาน และอยากให้พวกเราช่วยกันทําให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น และขออนุญาตว่า เมื่อผมผ่านงบประมาณนี้ให้ในวาระแรก ผมจะขอติดตามท่านรัฐมนตรีทั้งหลายที่ให้คํามั่นกับสภาไว้นะครับและขอขอบคุณท่านสมาชิกทุกท่านที่ให้คําแนะนําที่เป็นประโยชน์ทั้งฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล ผมเชื่อว่ารัฐบาลจดสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ และนําไปปรับปรุง เพื่อให้ออกมาดีที่สุดสําหรับประเทศไทยครับ”

‘สส.ศาสตรา’ ตัวตึงจาก ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ลุกขึ้นอภิปราย ในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมขอสร้อย ‘หลวงปู่ทวด’ จาก ‘ธนกร’ สาปแช่ง ‘คนที่โกง ค่าอาหารกลางวันเด็ก’

เมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.67) เพจ ‘เชียร์ลุง’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสีสัน ของการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร โดยได้ระบุว่า

เก็บตก...สีสันสภา
ใครโกงเด็กขอให้มัน Shipหาย!!!

นายศาสตรา ศรีปาน สส.ตัวตึงจากสงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ ลุกขึ้นอภิปรายในที่ประชุมสภา โดยได้ควักสร้อยคอหลวงปู่ทวดขึ้นมา พร้อมกับกล่าวสาปแช่ง 

“ขอให้คนที่โกงค่าอาหารกลางวันเด็กจง ship หาย”

ซึ่งสร้อยคอดังกล่าว ได้มาจากการขอยืม นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568

‘อนุชา รวมไทยสร้างชาติ' แนะรัฐใช้นโยบาย 'กึ่งการคลัง' หนุนเฉพาะกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือเท่านั้น

เมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.67) นายอนุชา บูรพชัยศรี สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ร่วมอภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยระบุว่า ตนอยากจะเสนอรัฐบาลให้ความสําคัญกับเรื่องของการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ตามแนวทางของสหประชาชาติที่เน้นย้ำในเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ดังนั้น รัฐบาลจะต้องพิจารณาจัดลําดับความสําคัญและความจําเป็นในการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันครอบคลุมทุกการใช้จ่ายภาครัฐ ควบคู่ไปกับการทบทวนและยกเลิกมาตรการลดและยกเว้นภาษี ๆ โดยให้มีเพียงเท่าที่จําเป็นเท่านั้น

นอกจากนั้น ยังอยากเห็นรัฐบาลดําเนินการปฏิรูปโครงสร้างและการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดขนาดของการขาดดุลการคลัง เตรียมการไว้สําหรับดําเนินนโยบายที่จำเป็นในสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

“เราไม่มีทางทราบได้เลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคต เหมือนเช่นกับสถานการณ์ของโควิด-19  ซึ่งทำให้เราต้องปิดประเทศ ไม่สามารถเดินทางทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ต้อง Work form home มีการปิดห้างร้าน รวมถึงรัฐบาลต้องเร่งจัดหาวัคซีนให้กับพี่น้องประชาชนเพื่อมาฉีดป้องกัน แต่ที่เราผ่านมาได้ ต้องบอกว่าประเทศไทยเรามีเสถียรภาพทางการเงินและมีความมั่นคงทางการคลัง ซึ่งเป็นเกราะป้องกันที่ดีเยี่ยม เพราะฉะนั้นในอนาคตจะเกิดอะไรไม่มีใครตอบได้ แต่เราจะต้องเตรียมการให้พร้อมไว้ตั้งแต่วันนี้”

นายอนุชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเห็นด้วยกับรัฐบาลที่จัดทํางบประมาณแบบขาดดุลในปีนี้ เพื่อที่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยได้มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังอยากเห็นการปรับลดขนาดการขาดดุลในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป โดยหวังว่าหากภาวะเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเต็มศักยภาพ รัฐบาลสามารถสร้างความเข้มแข็งทางการคลัง ทั้งทางด้านรายได้และรายจ่าย รวมถึงการบริหารหนี้สาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะสามารถจัดทํางบประมาณสมดุลในระยะที่เหมาะสมได้ในอนาคตอันใกล้นี้ 

นอกจากนี้ นายอนุชา ยังได้เสนอแนะให้รัฐบาลดําเนินนโยบายที่เรียกว่า กึ่งการคลัง ซึ่งหมายถึงการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนกลุ่มประชาชนที่ควรได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือในกรณีที่มีความจําเป็นฉุกเฉินเร่งด่วนเท่านั้น และหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ได้ขอตั้งงบประมาณไว้ล่วงหน้า โดยภายหลังจากดําเนินโครงการแล้วหน่วยงานของรัฐก็สามารถยื่นคําขอจัดสรรงบประมาณโดยตรงกับสํานักงบประมาณต่อไปได้

ทั้งนี้ ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาได้ดําเนินนโยบายกึ่งการคลังมาโดยตลอด และที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือในช่วงที่เกิดโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลขณะนั้น มีความจําเป็นเร่งด่วนในการช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกร ในช่วงที่ราคาสินค้า สินค้าการเกษตรตกต่ำ โดยปีงบประมาณปี 2565 ทางรัฐบาลได้อนุมัติวงเงินโครงการเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 186,000 ล้านบาท มีการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 16,700 ล้านบาท และลดภาระค่าครองชีพให้กับผู้มีรายได้น้อยอีกกว่า 7,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า นโยบายกึ่งการคลัง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของรัฐบาลที่สามารถนำมาใช้แทนการกู้ยืมเงิน เพราะว่าเรื่องนี้เข้าข่ายตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ดังนั้น จึงอยากจะขอเสนอให้รัฐบาลนํานโยบายกึ่งการคลังมาใช้ 

นอกจากนี้ อยากจะเสนอให้รัฐบาลให้ความสําคัญกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่โดยกระจายไปทั่วภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเหมาะสม เพื่อที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและช่วยให้ประเทศไทยจะหลุดจากประเทศที่มีกับดักรายได้ปานกลาง โดยหนึ่งในนโยบายสําคัญที่อยากจะเสนอให้รัฐบาลได้เร่งพิจารณาก็คือการขยายการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค หลังจากที่ประสบความสําเร็จมาแล้วในส่วนของ EEC

โดยเฉพาะระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC ที่มี 4 จังหวัด ประกอบด้วย สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร และระนอง สามารถเดินหน้าได้ทันที เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่พร้อมสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ๆ เช่น การนำยางพาราที่มีอยู่จำนวนมาก มาแปรรูปเพิ่มมูลค่าแล้วส่งออก เป็นต้น และยังมีอีกหลายธุรกิจใน 4 จังหวัดนี้ที่สามารถเพิ่มมูลค่าและส่งออกได้ ผ่านทะเล 2 ฝั่ง ทั้งอันดามัน และอ่าวไทย หลังจากสร้างท่าเรือน้ำลึกทั้งสองฝั่งแล้วเสร็จ ส่วนการเชื่อมโยงให้สองฝั่งอันดามันและอ่าวไทยต่อเนื่องกันนั้นจะเป็นระยะถัดไป นั่นคือที่มาของแลนด์บริดจ์นั่นเอง

“จะเห็นว่าผมไม่ได้พูดถึงเรื่องของแลนด์บริดจ์ตั้งแต่ตั้งต้น เพื่อให้เข้าใจว่า ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ จะต้องเกิดขึ้นก่อน เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราค่อยว่ากันเรื่องของท่าเรือ เรื่องของถนน จากนั้นจึงเป็นเรื่องของทางรถไฟ ทำเป็นเฟส ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งอาจจะไม่ต้องใช้เงินลงทุนนับแสนล้าน หรืออาจจะไม่ต้องให้เอกชนเข้ามาลงทุนเลยก็ได้ นี่คือปัจจัยและหัวใจของ SEC และโครงการแลนด์บริดจ์ว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ และผมอยากเห็นอุตสาหกรรมใหม่ เข้ามาลงทุนใน SEC มากขึ้นด้วย เพราะจากการที่มีโอกาสได้ไปซาอุดีอาระเบีย 2 ครั้ง ทางซาอุฯ สนใจที่จะเข้ามาลงทุนเรื่องพลังงานสะอาดในประเทศไทย ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะจัดตั้งโรงงานผลิตไฮโดรเจนในพื้นที่ดังกล่าว ขณะเดียวกันยังสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG ที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้แสดงให้ทั่วโลกได้เห็นและยอมรับไปเมื่อครั้งการประชุมAPEC 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพที่ผ่านมา”

‘ธนกร’ หนุน ‘นายกฯ-รัฐบาล’ เดินหน้า นโยบายปราบการทุจริต เน้น!! ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ให้นักลงทุน

(23 มิ.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ประสานความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศติดตามจับกุมตัวนายชนินทร์ เย็นสุดใจ ผู้ต้องหาคนสำคัญในคดีทุจริต บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชนฯ ข้อหายักยอกทรัพย์และข้อหาฟอกเงิน มูลค่าความเสียหายกว่า 14,778 ล้านบาท  ซึ่งใช้เวลากว่า 8 เดือนในการติดตามตัว ผู้ต้องหาที่ทุจริตหลบหนีไปต่างประเทศกว่า 1 ปีกลับมาเข้าสู่กระบวนการได้สำเร็จ  จึงขอชื่นชมนายกรัฐมนตรี รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่จริงจังต่อนโยบายปราบปรามการทุจริตในตลาดทุนและทุกระดับ

ทั้งนี้ ขอฝากรัฐบาล เดินหน้านโยบายการปราปรามทุจริตในทุกแวดวง ทุกระดับอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การใช้งบประมาณของทุกกระทรวง ทุกกรม ข้าราชการประจำ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะตลาดทุนของไทย ตนขอฝาก คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ตรวจสอบเข้มงวด เกี่ยวกับบริษัทในตลาดทุน ให้เกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้และป้องกันการทุจริต

“เช่นคดีหุ้น STRAK คดีนี้ ต้องใช้เวลาและกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อติดตามตัวผู้ต้องหานานถึง 8 เดือน ที่หลบหนีไปต่างประเทศ  ซึ่งเป็นคดีที่มีผลกระทบกับนักลงทุนทั้งรายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อตลาดทุนไทย  หากมีการเข้มงวดกวดขันให้รัดกุมจะสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนได้มากขึ้น”นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

‘ธนกร’ หนุน ‘พีระพันธุ์’ ออกมาตรการ ลดค่าใช้จ่ายพลังงาน เพื่อลดภาระค่าครองชีพ มั่นใจ!! การเพิ่มวงเงิน ‘บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ’ 3 เดือน ช่วยกลุ่มเปราะบางได้แน่

(29 มิ.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาพลังงานน้ำมันและก๊าซหุงต้มที่มีการปรับขึ้นราคา ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของพี่น้องประชาชน ตนขอสนับสนุนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 2/2567 ที่เห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนในสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางผู้มีรายได้น้อย สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะเพิ่มวงเงินช่วยเหลือค่าน้ำมัน (กลุ่มเบนซิน และกลุ่มดีเซล โดยให้ใช้กับยานพาหนะ)อีก 120 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567  

นอกจากนี้ ยังมีมติลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อช่วยลดภาระของประชาชน ให้คงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นก๊าซ LPG ที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567

ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงาน เร่ง ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว โดยการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มสถานีบริการที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อลดภาระค่าครองชีพแก่ผู้มีรายได้น้อยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 

“รัฐบาลไม่นิ่งนอนใจถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางผู้มีรายได้น้อย ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เรื่องค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ทั้งน้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ก๊าซ LPG หวังช่วยตรึงราคาพลังงาน ลดค่าใช้จ่าย บรรเทาความเดือดร้อนได้ในระยะ 3 เดือน” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

‘ธนกร’ ยัน ‘สส.รทสช.’ พร้อมทำงานทันทีที่เปิดประชุมสภาฯ เตรียมเดินหน้า ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ ปรับราคาพลังงาน เพื่อปชช.

(6 ก.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวว่า ทันทีที่เปิดประชุมสภาสมัยสามัญ ประจำปีครั้งที่หนึ่ง 36 สส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เราพร้อมเต็มที่ ในการเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเดินหน้าพิจารณาร่างกฎหมายสำคัญ หลายฉบับ โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เตรียมเสนอร่างกฎหมายที่จะแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนหลายเรื่อง โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับแนวทาง ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ การปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งหัวหน้าพรรคและทีมกฎหมายของพรรคได้เร่งดำเนินการเพื่อเตรียมยื่นบรรจุวาระเพื่อ ต้องการสร้างความเป็นธรรมด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้พี่น้องคนไทยทั้งประเทศโดยเร็ว

นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่ากรณีฝ่ายค้านเสนอให้เพิ่มวันในการประชุมสภา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะเร่งพิจารณากฎหมายสำคัญให้ออกมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยเร็ว แต่ขณะเดียวกัน สส. เป็นผู้แทนประชาชน ควรจัดเวลาลงพื้นที่ไปรับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชนด้วยตัวเอง เพื่อจะนำเข้าสู่การหารือและแก้ปัญหาผ่านสภาต่อไป จึงเป็นเรื่องการบริหารเวลาให้เหมาะสมเพื่อทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศและพี่น้องประชาชน

“สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดยนายพีระพันธุ์ และ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค เราพร้อมที่จะทำหน้าที่เป็นผู้แทนประชาชนในสภาพิจารณากฎหมายที่สำคัญให้ออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องคนไทย โดยเฉพาะกฎหมายปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จะส่งผลดีโดยตรงในการลดค่าครองชีพ ลดรายจ่ายให้กับประชาชน จึงมองว่าประชุมกี่วันเราก็พร้อม แต่ที่สำคัญสส.ก็ต้องลงไปรับฟังปัญหาจากประชาชนให้ครบทุกพื้นที่ด้วย จึงเห็นว่าควรบริหารเวลาให้เกิดความเหมาะสมเกิดประโยชน์ที่สุด“ นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

‘พีระพันธุ์’ นักการเมืองผู้พยายามรักษาคำพูด 'ค่าไฟฟ้า' ยังคงที่ ตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง

ปัญหาราคาพลังงานเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสสำหรับสังคมบ้านเรามาก ๆ เพราะเราต้องนำเข้าพลังงานเรียกว่า 'แทบทุกชนิด' แม้แต่การผลิตกระแสไฟฟ้าก็ต้องนำเข้า LNG เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าจนทุกวันนี้ การผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ LNG เป็นเชื้อเพลิงหลัก เพราะแต่ก่อนใช้ถ่านหินซึ่งเคยเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ต่อมาเมื่อมีการใช้ LNG เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าในบ้านเราได้ใช้ LNG จากแหล่งอ่าวไทยและเมียนมา 

ปัจจุบันปริมาณ LNG จากแหล่งอ่าวไทยมีปริมาณลดลงเรื่อย ๆ ทั้งเมียนมาเองก็มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในจนอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการจ่าย LNG เข้ามาในประเทศไทยได้ จึงต้องเพิ่มการนำเข้า LNG จากประเทศผู้ผลิตทั่วโลก แต่เมื่อเกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนขึ้น ประเทศสมาชิกองค์การ NATO ซึ่งเคยนำเข้า LNG จากรัสเซียเพื่อใช้เป็นพลังงานในครัวเรือน ยกเลิกการซื้อ LNG จากรัสเซีย จึงทำให้ LNG ในแหล่งผลิตต่าง ๆ มีราคาพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่นั้นมา 

การที่ราคา LNG ในตลาดโลกราคาพุ่งสูงขี้นนั้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อการกำหนดราคาค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะค่า Ft (Fuel Adjustment Charge (at the given time)) ซึ่งใช้ในการคำนวนเพื่อปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ เป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนหรือประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่การไฟฟ้าไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานจะเป็นผู้พิจารณาปรับค่า Ft ทุก 4 เดือน แต่จนถึงทุกวันนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่า รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ที่กำหนดราคาค่ากระแสไฟฟ้า 

คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. อันเป็นคณะบุคคลจำนวน 7 คน (ประธานฯ 1 คน กรรมการ 6 คน ซึ่งได้รับการคัดสรรและได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง) ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน อันหมายถึง กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการระบบโครงข่ายพลังงาน ดังนั้นการพิจารณาปรับขึ้นหรือลดอัตราค่าไฟฟ้าจึงไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานแต่อย่างใด นับตั้งแต่ ‘รองพีร์ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าตำแหน่งในรัฐบาลชุดนี้เมื่อ 1 กันยายน 2566 สิ่งที่ 'รองพีร์' ใช้ความพยายามมากที่สุดคือ 'การใช้กลไกและมาตรการต่าง ๆ ภายใต้อำนาจหน้าที่ของกระทรวงพลังงานในการทำให้ราคาต้นทุนพลังงานที่นำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าลดลงให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้ามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุดไม่ให้กระทบต่อค่า Ft ซึ่งจะทำให้สามารถตรีงหรือลดค่า Ft ได้ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคนไทยให้ได้มากที่สุด'

ดังนั้น จึงทำให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. สามารถปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าที่ประกาศเรียกเก็บกับผู้ใช้ไฟฟ้ารอบเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม 2566 ในอัตรา 4.45 บาทต่อหน่วย ลงเหลือในอัตรา 4.10 บาทต่อหน่วย และในต่อมาเป็นอัตรา 4.18 บาทต่อหน่วยจนกระทั่งปัจจุบัน และเมื่อ 19 กรกฎาคม 2567 ‘รองพีร์ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เชิญประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และประธานคณะกรรมการบมจ. ปตท. (PTT) มาร่วมกันหารือกรณีค่าไฟฟ้างวดใหม่ กันยายน - ธันวาคม 2567 สืบเนื่องจากการที่กกพ.มีมติให้ขึ้นค่าไฟฟ้าสูงสุดที่ 6 บาทกว่า การหารือได้ข้อยุติที่จะตรึงค่าไฟงวดใหม่ไว้ในอัตรา 4.18 บาทต่อหน่วยตามเดิม โดยปตท.จะไม่รับเงินตอบแทนใด ๆ จากค่าไฟฟ้างวดนี้เลย เพื่อเป็นการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคนไทย

โดยที่การช่วยเหลือพี่ประชาชนคนไทยนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าไฟฟ้าหรือราคาน้ำมัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงพลังงานเพียงหน่วยงานเดียว แต่กระทรวงพลังงานต้องประสานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงจะประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานไม่มีเครื่องมือ โดยเฉพาะกฎหมายที่จะช่วยในการดำเนินการำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซทั้ง LPG และ LNG ถูกลง อีกทั้งรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานไม่มีเชื้อเพลิงสำรองในมือเลย เพราะการสำรองเชื้อเพลิงเป็นเรื่องของเอกชนผู้ค้าน้ำมัน จึงทำให้ภาครัฐไร้ซึ่งอำนาจในการต่อรองใด ๆ กับภาคเอกชน ซึ่งหากมีการสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR) เกิดขึ้นแล้ว กระทรวงพลังงานก็จะถือครองเชื้อเพลิงที่เพียงพอต่อการใช้งานในประเทศได้ถึง 50-90 วัน ปริมาณน้ำมันสำรองจำนวนดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ภาครัฐสามารถต่อรองและถ่วงดุลระบบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศได้ เพราะเชื้อเพลิงที่สำรองใน SPR จะมีการจำหน่ายหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ภาครัฐจึงรู้ต้นทุนที่แท้จริงของราคาเชื้อเพลิงทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG และ LNG ที่นำเข้ามาในประเทศได้โดยตลอด

การตรึงหรือลดค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง นับว่าเป็นภารกิจที่ยากมาก ๆ แต่ ‘รองพีร์ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ก็ทำด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ และเต็มใจ แม้ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ง่ายเลย และอาจจะขัดผลประโยชน์ของคนบางพวกบางกลุ่ม จึงต้องใช้เวลาดำเนินการในทุกส่วนที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้เป็นการดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ตามความต้องการอันเร่งด่วนของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top