Sunday, 8 June 2025
ปลาหมอคางดำ

'คนราชบุรี' การันตี!! 'เนื้อปลาหมอคางดำ' รสชาติอร่อย แนะ!! 'แดดเดียว-ต้มยำ' ยัน!! จับยังไงก็ไม่มีวันหมด

เมื่อวานนี้ (18 ก.ค. 67) ได้รับการแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ ต.สามเรือน อ.เมือง จ.ราชบุรีว่าพบปลาหมอคางดำจำนวนมาก ลอยคออาศัยอยู่ในลำคลองหน้าวัดโพธิ์สามเรือน หมู่ที่ 2 ต.สามเรือน ลำคลองสายนี้ยาวหลายกิโลเมตรเชื่อมต่อพื้นที่ ต.พิกุลทอง เชื่อมต่อไปออกแม่น้ำแม่กลอง เป็นแม่น้ำสายหลักไปที่จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งคาดว่ายังคงมีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเพิ่มมากขึ้น

จากการลงสำรวจพื้นที่ลำคลองพบชาวบ้านกำลังพายเรือใช้ตาข่ายวางบริเวณลำคลอง แล้วค่อย ๆ ลากขึ้นฝั่ง พบมีลูกปลานิลติดขึ้นมาด้วย ส่วนอีกจุดชาวบ้านเหวี่ยงแหเพียง 1 ครั้ง จากนั้นค่อย ๆ ลากแหขึ้นมาริมฝั่ง พบว่ามีปลาหมอคางดำติดขึ้นมาจำนวน 7 ตัว มีทั้งตัวเล็ก ตัวใหญ่ รวมทั้งมีปลานิลอีก 8 ตัวติดรวมขึ้นมาด้วย

ลุงสุรพล สันเกตุ ชาวบ้านที่เหวี่ยงแหจับปลาหมอคางดำชาว ต.สามเรือน กล่าวว่า คลองสายนี้ปลาหมอคางดำเข้ามา คาดว่ามากกว่าปลานิล แต่ถ้าจะให้ชัดเจนต้องมาตอนช่วงเช้าและจะเห็นปลาลอยขึ้นเป็นแพจะขึ้นอยู่ชายคลอง ที่นี่น่ามีมาประมาณ 5-6 เดือน แต่ทางพื้นที่ อ.ปากท่อ ปลาหมอคางดำอยู่มาเป็นปีแล้ว มีการปล่อยในพื้นที่ ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เขตติดต่อ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ประมาณ 6-7 ปีแล้ว โดยปลาชนิดนี้จะกินทำลายปลาชนิดอื่นหมด ทราบว่าจะมีการนำปลากะพงขาวมาล่าปลาหมอคางดำนั้นมองว่าหากปลาหมอคางดำ มีอายุประมาณ 4-5 เดือน ปลากะพงจะไม่สามารถล่าปลาหมอคางดำได้ เพราะหัวปลาหมอคางดำมีความแข็งมากและจะกินปลากะพงแทน

ส่วนปลาที่น่าจะปราบปลาหมอคางดำได้ต้องเป็นปลาชะโด สามารถปราบปลาชนิดนี้ได้แน่ มองว่าปลานี้น่าจะออกลูกทุกเดือนถึงได้มากมายขนาดนี้ ถ้ามาตอนเช้า ๆ จะเห็นไล่ล่าปลาอื่นหนีกันจะกินเป็นอาหารหมด

"ยืนยันว่าปลาหมอคางดำนี้กินได้ รสชาติอร่อยมาก อร่อยกว่าปลานิล เนื้อไม่เหม็นขี้โคลน เนื้อนุ่ม ถ้าหากใส่เกลือลงไปนำตากแดดเดียวทำให้เนื้อปลาแข็ง แต่ถ้านำไปต้มยำสด ๆ ใส่ใบยอดมะขามอ่อนกลายเป็นเมนูเด็ดอร่อยมาก กล้าท้าว่าหากจับปลาหมอคางดำจะไม่มีวันหมด เนื่องจากเขาเป็นปลาที่ออกลูกขยายพันธุ์เร็วมาก" ลุงสุรพล กล่าว

จากการสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ทราบว่ามีอีกหลายลำคลองที่มีปลาหมอคางดำอาศัยอยู่จำนวนมากซึ่งชาวบ้านได้ใช้อุปกรณ์ดักจับนำมาแปรรูปทำเมนูอาหารมากมายหลายอย่างทั้งแกงส้ม ต้มยำ ทอดแดดเดียวและต้มยอดมะขามอ่อน ซึ่งถือว่าเป็นอีก 1 เมนูที่สามารถปรุงเป็นเมนูอาหารที่มีรสชาติอร่อยไม่แพ้กว่าเมนูอื่น ๆ 

นายอำนาจ โกมินทร์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ต.สามเรือน อ.เมืองราชบุรี กล่าวว่า ได้ประชาสัมพันธ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ผ่านทางหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน หากพบปลาหมอคางดำที่ไหนก็จะแจ้งมาที่ผู้ใหญ่บ้าน จากนั้นผู้ใหญ่จะแจ้งไปทาง สส.ในพื้นที่เพื่อประสานประมงจังหวัดและหน่วยงานต่าง ๆ มาดำเนินการ ส่วนสถานการณ์ในคลองสามเรือนถือว่าอยู่ในช่วงระดับปานกลางคงต้องอาศัยทางประมงเข้ามาแนะนำวิธีการจับต่อไป

'ชัชชาติ' โชว์ฟาดเต็มคำ 'หมอคางดำ' ฝีมือ 2 เชฟเก่ง ชู!! กำจัดด้วยการเพิ่มมูลค่า อีก 6 เดือนมาดูกันอีกที

(19 ก.ค. 67) ที่สำนักงานเขตบางขุนเทียน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) นำคณะผู้บริหาร กทม. คณะผู้บริหารเขตบางขุนเทียน และสื่อมวลชนร่วมกิจกรรม BKK Food Bank และสาธิตการทำเมนูอาหารด้วยปลาหมอคางดำ จากนายชุมพล แจ้งไพร (เชฟชุมพล) และนายเมธัส ปาทาน (เชฟชีส) 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัชชาติได้แจกสิ่งของให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ผ่านโครงการ BKK Food Bank ซึ่งประกอบด้วยสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงเมนูอาหารที่ทำจากปลาหมอคางดำ และปลาสดเพื่อให้ชาวบ้านนำไปประกอบอาหาร จากนั้นได้ชมการสาธิตการทำเมนูอาหารจากฝีมือทั้ง 2 เชฟ และได้ชิม พร้อมกับให้คะแนนปลาหมอคางดำทอดเกลือ 10 เต็ม 10 ซึ่งได้เชิญชวนสื่อมวลชนร่วมรับประทานด้วย โดย 5 เมนู ได้แก่ ปลาหมอคางดำราดซอสเปรี้ยวหวาน ปลาหมอคางดำทอดเกลือ ฉู่ฉี่ปลาหมอคางดำ แกงส้มปลาหมอคางดำ และปลาร้าจากปลาหมอคางดำ 

ทั้งนี้ เชฟชุมพล รังสรรค์เมนู Fine Dining ปลาหมอคางดำราดพริกสมุนไพร และเชฟชีส เมนู Fine Dining ปลาหมอคางดำราดซอสมะขาม

นายชัชชาติกล่าวว่า การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น เขตบางขุนเทียน ทุ่งครุ บางบอน และพื้นที่ปริมณฑล ตามนโยบายของกรมประมงที่ออกมา 6 มาตรการ คือการกำจัด การปล่อยปลาผู้ล่า การเพื่อมูลค่า การแบ่งแยกโซน การหาแนวร่วม และการใช้เทคโนโลยีอย่างการทำหมัน  ในวันนี้ได้มากำจัดปลาหมอคางดำ 3 ใน 6 มาตรการหลัก ได้แก่ กำจัดจากแหล่งน้ำ สร้างเพิ่มมูลค่า และหาแนวร่วมภาคเอกชน โดยมีเอกชนในพื้นที่ช่วยซื้อปลาหมอคางดำจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 20 บาท จำนวน 1 ตัน มาทำเมนูต่างๆส่งต่อให้กลุ่มเปราะบาง  รวมถึงแจกปลาสดให้กับ 4 ชุมชน 

“การไปเรียกว่าเอเลี่ยนสปีชี่ส์ฟังแล้วดูน่ากลัว คนไม่กล้ากิน แต่พอกินแล้วก็อร่อยเหมือนปลาธรรมดา เป็นการเร่งการบริโภค สร้างแรงจูงใจในการเพิ่มมูลค่า และอีก 6 เดือนจะมาดูกันอีกครั้งเพราะได้หมักปลาร้าเอาไว้” นายชัชชาติเผย

นายชัชชาติกล่าวว่า ในพื้นที่เขตอื่น ๆ ก็ให้สำรวจเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเพิ่มเติม แต่ไม่ระบาดเยอะมากเหมือนในพื้นที่บางบอน ทุ่งครุ บางขุนเทียน ส่วนในบึงมักกะสัน ที่ชาวบ้านจับปลากันนั้น พบปลาหมอคางดำเพียงแค่ 20% ซึ่งหากจะตัดต้นตอของปลาหมอคางดำ ก็ทำได้ยาก เพราะในแหล่งน้ำมีปลาทุกชนิด แต่ตอนนี้ถ้าช่วยกันจับ ก็จะช่วยลดประชากรของปลาหมอคางดำไปได้

สำหรับในพื้นที่เขตบางขุนเทียน มีเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่ลงทะเบียนไว้ 800 ราย จากทั้งหมด 900 ราย ซึ่งรอการจัดสรรงบประมาณเงินเยียวยาจากทางกรมประมง เนื่องจากว่ามีการแพร่ระบาดในหลายจังหวัด 

ด้านนายชุมพล แจ้งไพร หรือ เชฟชุมพล กล่าวว่า ปลาหมอคางดำเหมือนปลานิล แต่เนื้อกระด้างกว่า เพราะมีความต้านทานสูง มีโปรตีนสูง ปลาตัวเล็กสามารถทำปลาร้าได้ และเชื่อว่าอีก 3 เดือนหาจับไม่ได้ และราคาจะขึ้นด้วย

ด้านนายเมธัส ปาทาน หรือ เชฟชีส กล่าวว่า ปลาหมอคางดำกินได้ แม้จะมีรสชาติน้อยกว่าปลาทั่วไป แต่คนไทยปรุงรสชาติเข้มข้น จัดจ้าน ก็สามารถทานได้เหมือนกับปลานิล ปลากะพง และจากการสังเกตปลาตัวใหญ่จะเป็นปลาตัวเมีย ส่วนปลาตัวผู้ ตัวจะเล็กกว่า

‘อนาคตไกล’ เดินหน้าช่วยเกษตรกร รับซื้อ ‘ปลาหมอคางดำ’ เพื่อนำไปกำจัด อัดใส่ ‘พิธา-ก้าวไกล’ ชี้!! มีตรรกะวิบัติ ที่คิดจะมีคนนำไปเพาะเลี้ยง

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค.67) ที่พรรคอนาคตไกล นายภวัต เชี่ยวชาญเรือ โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าวว่า ปัญหาการรุกรานของปลาหมอคางดำชื่อสามัญ Blackchin tilapia ชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron Ruppell ปลาชนิดนี้สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ทำให้เจริญเติบโตและแพร่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อระบบนิเวศ สร้างความเดือดร้อนเสียหายเป็นวงกว้างให้กับเกษตรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมง

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกประกาศเรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำห้ามเพาะเลี้ยงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2564 ห้ามเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ หากผู้ใดฝ่าฝืนทำการเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ มีความผิดตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ตามมาตรา 144 ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และหากนำไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ำ ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ  

ล่าสุด นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมงออกประกาศกรมประมง เรื่อง ประชาสัมพันธ์ห้ามเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ ลงวันที่ 19กรกฎาคม 2567 โดยกรมประมงอยู่ระหว่างดำเนินการ ควบคุมกำจัดไม่ให้ปลาชนิดนี้ แพร่ขยายและเป็นการลดผลกระทบต่อระบบนิเวศและลดความเดือดร้อนต่อเกษตรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมง จึงได้ประชาสัมพันธ์ต่อพี่น้องประชาชนห้ามทำการเพาะเลี้ยงและนำปลาหมอคางดำไปปล่อยในแหล่งน้ำอย่างเด็ดขาด

นายภวัต กล่าวต่อว่า พรรคอนาคตไกลพร้อมคณะทำงานได้เล็งเห็นความสำคัญและได้ติดตามปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ของประเทศ โดยให้ความสำคัญแก่พี่น้องเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมงที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและเดือดร้อนเสียหายจากแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่เกิดจากแหล่งน้ำธรรมชาติโดยเร่งด่วน ได้เปิดศูนย์ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยเปิดรับซื้อปลาหมอคางดำที่ตายแล้วที่จับได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยรับซื้อในกิโลกรัมละ 20 บาท จำนวน 20 ตัน เพื่อนำไปกำจัดทำลายหรือแปรรูปเป็นอาหารสัตว์หรือหมักทำลายปุ๋ยจุลินทรีย์ชีวภาพ โดยประสานที่ศูนย์ช่วยเหลือพรรคอนาคตไกล เบอร์โทรศัพท์ 081 226 5599

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกลและสส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลได้ให้สัมภาษณ์โดย ติงรัฐบาล คิดให้ดี แก้ปัญหาปลาหมอคางดำระบาดด้วยการรับซื้อ หวั่นคนเพาะเลี้ยงมากขึ้น นายภวัค โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าวว่า ปลาหมอคางดำ เป็นสัตว์น้ำที่เป็นอันตรายโดยสภาพต่อระบบนิเวศและสัตว์น้ำประเภทอื่นโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกประกาศเรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำห้ามเพาะเลี้ยงในราชอาณาจักร พ.ศ.2564 เพราะเป็นสัตว์น้ำอันตรายที่ขึ้นทะเบียนควบคุม ห้ามนำเข้าและส่งออก รวมถึงห้ามเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำเพราะมีโทษจำคุกหรือปรับในอัตราสูง โดยอยู่ในการกำกับ ควบคุมโดยกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อพี่น้องประชาชนทราบถึงภัยของปลาหมอคางดำสายพันธ์ุเอเลี่ยนสปีชีส์หรือชนิดพันธ์ุต่างถิ่นที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา กินสัตว์น้ำชนิดอื่นในแหล่งน้ำธรรมชาติเดียวกัน ส่งผลให้ระบบนิเวศเสียหาย ประกอบกับ ปลาหมอคางดำไม่มีราคาซื้อขายในตลาดการแข่งขัน โอกาสการเพาะเลี้ยงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะดุลยภาพการตลาดและราคาไม่เกิดขึ้น เพราะไม่มีตลาดรับซื้อ อุปสงค์ต่อความต้องการปลาหมอคางดำในตลาดของประชาชนไม่เกิดขึ้น อุปทานการผลิตย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยเพราะมีความเสี่ยงถูกดำเนินคดีอาญาสูง

ส่วนที่นายพิธา ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เคยเห็นประเทศไหนทำ คือ การรับซื้อ เพราะจะทำให้เกิด Cobra Effect ยิ่งเปิดรับซื้อ คนอาจใช้โอกาสนี้เพาะเลี้ยงมากขึ้น ตนเห็นว่าเป็นการคาดคะเนและตรรกะวิบัติ เพราะปัญหาการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหนองน้ำ ลำคลอง แม่น้ำหรือทะเล ปลาชนิดนี้ทนต่อความเค็มได้สูง สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมของประเทศ กินทั้งพืช สัตว์หรือซากของสิ่งมีชีวิต และสามารถย่อยอาหารได้ดี ทำให้มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสภาพน้ำจืด น้ำกร่อย หรือน้ำเค็ม

วิธีการแก้ปัญหาโดยการสร้างแรงจูงใจให้แก่พี่น้องประชาชนในการจับสัตว์น้ำ เป็นปัญหาจำเป็นเร่งด่วน โดยวิธีการรับซื้อเพื่อกำจัดทำลาย เพราะโดยสภาพปลาประเภทนี้ถือว่าเป็นวัตถุต้องห้ามและผิดกฎหมาย หากใครครอบครองเพาะเลี้ยงย่อมเป็นความผิด หากปลาหมอคางดำตายแล้ว จะต้องนำไปกำจัดหรือแปรรูป แต่ไม่ใช่นำไปให้พี่น้องประชาชนรับประทาน แต่สามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์หรือปุ๋ยได้ ตรงนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญโดยกรมประมง รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายแก้ปัญหาโดยเปิดรับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อกำจัด ในราคากิโลกรัมละ 15 บาท แก้ปัญหามาถูกช่องทางแล้ว

“พรรคอนาคตไกลโดยท่านหัวหน้าพรรค ดร.อภิสัณห์ ศรวัชรณัฏฐ์ พร้อมคณะทำงาน จึงได้เปิดศูนย์ช่วยเหลือประชาชนโดยการรับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อกำจัดทำลายอีกช่องทางหนึ่งเพื่อลดปัญหาการแพร่ระบาดและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน” โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าว

ตะลึง!! อิทธิฤทธิ์ 'หมอคางดำ' ไม่จบแค่ทางน้ำ-ทางบก แต่พบมาทางอากาศจากนกกินปลา สำรอกสู่แหล่งน้ำใหม่

(23 ก.ค. 67) นายสมยศ จันทร์เกษม อายุ 67 ปี อดีตกำนัน ต.สองคลอง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ได้เปิดเผยว่า การระบาดอย่างรวดเร็วของปลาหมอคางดำในประเทศไทยตามที่กำลังตกเป็นกระแสข่าวใหญ่อยู่ในขณะนี้ นอกจากการแพร่ระบาดจะมาจากคนที่เป็นตัวการนำเข้ามาแล้ว ยังพบว่าการแพร่กระจายเข้ามายังในพื้นที่ ต.สองคลอง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา นั้น มีการไหลมาตามกระแสน้ำในลำคลองที่เชื่อมต่อถึงกัน จากในเขตพื้นที่ ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ รวมถึงยังมีชายฝั่งทะเลอยู่ติดกันอีกด้วยนั้น

ปลาหมอคางดำยังสามารถแพร่กระจายเข้ามาทางอากาศได้ด้วย จากนกกินปลา ทั้งนกกระยางและนกกาน้ำที่สามารถดำดิ่งลงไปงมจับปลาจากได้น้ำขึ้นมากินได้ ก่อนที่จะคาบนำบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า และในขณะที่กำลังลอยอยู่บนอากาศ นกตัวที่กินอิ่มมากจนเต็มท้องแล้ว ยังมีการสำรอกหรือขย่อนตัวปลาที่ยังไม่ตายออกมา จนปลาหลุดจากปากที่กำลังคาบอยู่ ตกลงไปยังในแหล่งน้ำธรรมชาติ และบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของชาวบ้าน จึงทำให้การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำสามารถกระจายตัวไปได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ไข่ของปลาหมอคางดำ ที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวกันว่าที่ จ.สมุทรสงคราม เกษตรกรตากบ่อปลาทิ้งเอาไว้เป็นเวลานานกว่า 2 เดือนแล้ว ยังสามารถฟักออกมาเป็นตัวได้อีก จึงเชื่อว่าปลาหมอคางดำที่ถูกนกกระยาง และนกกาน้ำ ซึ่งเป็นนกที่มีอยู่ในพื้นที่ อ.บางปะกง นั้น กินเข้าไปแต่ในตัวปลายังมีไข่อยู่ในท้องด้วย เมื่อนกถ่ายมูลออกมาลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ หรือชายฝั่งทะเลในบริเวณนี้แล้ว ไข่ปลาอาจจะยังไม่ตายและฟักเป็นตัวออกมาก็อาจเป็นไปได้ จึงถือเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดกระจายตัวไปได้ไกลเพิ่มมากขึ้น อีกทางหนึ่งด้วย

โดยเฉพาะพื้นที่ในตำบลสองคลองนั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่เกือบทุกครัวเรือน ล้วนแต่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับทางด้านประมง และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จึงมีแหล่งน้ำทั่วไปอยู่เต็มพื้นที่ และอาจเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปลาหมอคางดำที่ลอยมาจากบนฟ้าได้ด้วย ซึ่งชาวบ้านแถวนี้เคยพบเห็นกันบ่อยในบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่มักจะมีปลาหลงเข้ามาปะปนอยู่ในบ่อเลี้ยง ทั้งที่ไม่ได้เลี้ยงปลา หรือปล่อยปลาลงไปในบ่อเลี้ยง เช่น บ่อเลี้ยงหอยแครง บ่อเลี้ยงกุ้ง จึงเรียกปลาที่หลุดเข้ามาในบ่อจากทางอากาศว่า ‘ปลาลอยฟ้า’

“และเมื่อนำปลาหมอคางดำที่จับมาได้ นำมาผ่าท้องดู แม้จะเห็นว่าเป็นปลาหมอคางดำตัวขนาดเล็กแค่เพียงประมาณ 3 นิ้ว ในท้องก็ยังพบว่ามีไข่อยู่เต็มท้องแล้ว” นายสมยศ กล่าว

‘CPF’ ประกาศรับซื้อ ‘ปลาหมอคางดำ’ 2 ล้านกิโลกรัม ทั่วประเทศ ตั้งราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม หวังเร่งกำจัด-นำมาผลิตเป็นปลาป่น

เมื่อวานนี้ (23 ก.ค. 67) นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประกาศความร่วมมือกับคณาจารย์จาก 3 สถาบันการศึกษาชั้นนำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมทั้งโรงงานผลิตปลาป่น เพื่อบูรณาการแก้ไขสถานการณ์ของปลาหมอคางดำ

โดย นายประสิทธิ์ เปิดเผยว่า บริษัทตระหนักดีว่า ขณะนี้การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นความเดือดร้อนของประชาชนในหลายพื้นที่ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตอนนี้ คือ การร่วมมือและสนับสนุนการจัดการปัญหาเพื่อบรรเทาผลกระทบอย่างเร่งด่วน ในฐานะภาคเอกชน บริษัทสนับสนุนแผนปฏิบัติการ 5 โครงการ ร่วมแก้ไขปัญหานี้ของภาครัฐตามศักยภาพของบริษัท ต้องขอบคุณ ฯพณฯ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้ามาตรการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ประกอบกับ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมงที่เข้มแข็งลงมือปฏิบัติการเชิงรุกอย่างเต็มรูปแบบเพื่อลดจำนวนปลาหมอคางดำไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน

“บริษัทพร้อมนำศักยภาพขององค์กรเข้ามาช่วยสนับสนุนการแก้ไขอย่างบูรณาการกับทุกภาคส่วน และลงมือปฏิบัติการเชิงรุกในหลายมิติตามแนวทางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมีแผนปฏิบัติการเชิงรุก 5 โครงการ” ดังนี้

โครงการที่ 1 : ทำงานร่วมกับกรมประมงสนับสนุนการรับซื้อปลาหมอคางดำจากทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด ราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 2,000,000 กิโลกรัม นำมาผลิตเป็นปลาป่นเพื่อเร่งกำจัดปลาหมอคางดำออกจากระบบให้มากและเร็วที่สุด โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมมือกับโรงงานปลาป่นศิริแสงอารำพี จังหวัดสมุทรสาคร รับซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่ไปแล้ว 600,000 กิโลกรัม และยังมีแผนรับซื้ออย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานจุดรับซื้อเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณกรมประมงที่มีมาตรการที่รัดกุม ออกประกาศห้ามการเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเพาะเลี้ยงเพื่อการค้า

โครงการที่ 2 : ร่วมสนับสนุนภาครัฐและชุมชน ปล่อยปลาผู้ล่าลงสู่แหล่งน้ำ จำนวน 200,000 ตัว โดยที่ผ่านมา บริษัทมีการส่งมอบปลากะพงขาว จำนวน 45,000 ตัว ให้กับประมงจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และจันทบุรี ทั้งนี้ ขั้นตอนในการปล่อยปลาผู้ล่านั้น เป็นไปตามแนวทางของกรมประมง

โครงการที่ 3 : ร่วมสนับสนุนภาครัฐ ชุมชนและภาคประชาสังคม จัดกิจกรรมจับปลา สนับสนุนอุปกรณ์จับปลาและกำลังคน ในทุกพื้นที่ที่ประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ที่ผ่านมาบริษัทได้ร่วมกิจกรรม ‘ลงแขกลงคลอง ทีมแม่กลองปราบหมอคางดำ’ ที่จัดขึ้นในจังหวัดสมุทรสงครามแล้ว 4 ครั้ง เป็นต้น และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกจังหวัดทั่วประเทศที่มีการระบาด

โครงการที่ 4 : การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากปลาหมอคางดำ โดยมีสถาบันการศึกษาแสดงความสนใจเพื่อร่วมดำเนินการดังกล่าว ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร

ที่ผ่านมา บริษัทได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาเมนูอาหารจากปลาหมอคางดำ อาทิ ปลาร้าทรงเครื่อง ผงโรยข้าวญี่ปุ่น และ น้ำพริกปลากรอบ

โครงการที่ 5 : ร่วมทำวิจัยกับผู้เชี่ยวชาญในการหาแนวทางควบคุมประชากรปลาหมอคางดำในระยะยาว สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แสดงเจตจำนงร่วมมือกับบริษัทในการบูรณาการเพื่อพัฒนาแนวทางที่จะบรรเทาปัญหาในระยะยาวต่อไป และยินดีที่จะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม

นายปรีชา ศิริแสงอารำพี เจ้าของโรงงานปลาป่นศิริแสงอารำพี จ.สมุทรสาคร กล่าวว่า ปลาหมอคางดำเป็นปลาที่มีโปรตีนที่สามารถนำมาผลิตเป็นปลาป่นคุณภาพ โรงงานยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาปัญหานี้ โดยได้ประสานงานกับซีพีเอฟที่ร่วมปฏิบัติการกับกรมประมง และได้รับซื้อแล้วตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาเป็นจำนวน 600,000 กิโลกรัม โดยยังคงเปิดรับซื้ออย่างต่อเนื่อง

“ตั้งแต่กระทรวงเกษตรฯ เริ่มการจับปลาหมอคางดำใน จ.สมุทรสาคร ชาวประมงที่เริ่มออกปลาตั้งแต่วันแรก บอกกับท่านรัฐมนตรีเองว่า วันนี้ปลาหายไป 80% แล้ว แต่เรายังต้องทำต่อเนื่อง ซึ่งรัฐก็มีมาตรการในการกำกับไม่ให้เกิดการลักลอบเลี้ยงและนำมาจำหน่าย การกำจัดด้วยวิธีการนี้จึงมาถูกทางและช่วยลดปริมาณปลาได้มาก การที่ทุกภาคส่วนมาช่วยกันเช่นนี้ถือว่าดีมาก” นายปรีชากล่าว

ด้านนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา ผศ.ดร.สิทธิชัย ฮะทะโชติ ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และพันธกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีความเชี่ยวชาญโดยตรงกับการวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการควบคุมปลา รวมถึงการพัฒนาแปรรูป เพื่อเร่งนำปลาออกจากแหล่งน้ำได้อย่างรวดเร็วและการปล่อยปลากะพงในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งมหาวิทยาลัยได้มีการทำการวิจัยปลาชนิดนี้มาหลายปี และคิดว่างานวิจัยจะช่วยเติมเต็มภารกิจของกรมประมงได้ ปลามีโปรตีนที่ดี สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารเพื่อการบริโภคได้ โดยมหาวิทยาลัยจะนำปลาหมอคางดำมาทำปลาร้า โดยใช้จุลินทรีย์ที่ช่วยย่นระยะเวลาการหมักปลาร้าให้สั้นลง ทั้งยังสามารถทำปลาป่นใช้ผลิตอาหารสัตว์ได้ รวมถึงการวิจัยและพัฒนาหาแนวทางอื่น ๆ ในการจัดการควบคุมปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับความกังวลว่าจะมีการเพาะเลี้ยงปลาเพื่อนำมาขายในโครงการรับซื้อนั้น ข้อเท็จจริง ระยะการเลี้ยงปลาหมอคางดำใช้เวลาเลี้ยงนานเป็นปี แต่มีเนื้อน้อย ต้นทุนการผลิตสูงกว่าราคาที่รัฐบาลรับซื้อ ที่สำคัญการนำมาเป็นปลาป่นสำหรับอาหารสัตว์ยังช่วยลดต้นทุนการนำเข้าปลาป่นจากต่างประเทศ

ผศ.ดร นันทิภา พันธุ์สวัสดิ์ ภาควิชาผลิตภัณฑ์ประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ควรสร้างการรับรู้การบริโภคปลาชนิดนี้ให้มากขึ้น ภาควิชาได้ศึกษานำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์ทั้งในระดับครัวเรือน อุตสาหกรรม และร้านอาหาร และปรุงเป็นอาหารหลากหลายเมนู อาทิ ขนมจีนน้ำยา ในช่วงนี้ผู้คนสนใจชิมปลาหมอคางดำ จึงควรมีการเชื่อมโยงสู่การแปรรูปตัดแต่งเนื้อปลาและทำ ‘เนื้อปลาแช่แข็ง’ เพื่อให้สามารถขนส่งแก่ผู้บริโภคได้กว้างขวางมากขึ้น หากมีคนที่พร้อมแปรรูปหรือตัดแต่งปลาจะช่วยปลาชนิดนี้เข้าถึงผู้บริโภคในภูมิภาคอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น และการทำเป็นอาหารแปรรูปยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายของปลาเข้าสู่พื้นที่อื่น ๆ อีกด้วย

ด้าน ผศ.ดร.วัลย์ลดา กลางนุรักษ์ ผู้ช่วยคณบดี คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นนิมิตหมายอันดีที่ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกัน และ คณาจารย์ สจล.มีความยินดีที่จะร่วมมือกำหนดแนวทางเพื่อจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดอย่างยั่งยืน โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยร่วมกับวิธีควบคุมทางชีวภาพ เช่น เทคโนโลยี Environmental DNA ซึ่งเป็นการสำรวจร่องรอย DNA ในธรรมชาติ สำรวจการระบาดได้ตั้งแต่ช่วงต้น ก็สามารถนำปลาผู้ล่าเข้ามาได้ทันการณ์ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการนำปลานักล่าท้องถิ่นกลับสู่ระบบนิเวศ ซึ่งเป็นการมุ่งเป้าไปที่การรักษาสมดุลทางธรรมชาติ และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำของไทย ทั้งนี้ ปลาหมอคางดำ ไม่ใช่เอเลี่ยนตัวแรกที่เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งภาคประชาชนสำคัญมากในการตระหนักรู้และช่วยกันแก้ปัญหาตลอดจนรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ

ผศ.ดร.สรณัฎฐ์ ศิริสวย ภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ กรมประมงมีการศึกษาเชิงลึกอยู่แล้ว และมีการเตรียมแผนอย่างดี เพื่อนำปลาขนาดใหญ่ออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติให้เร็วที่สุด เหลือแต่ปลาหมอคางดำขนาดเล็ก ทั้งการผ่อนปรนใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ เตรียมพร้อมในการปล่อยปลาผู้ล่า วิธีการดังกล่าวช่วยกำจัดวงจรชีวิตของปลาไปเรื่อย ๆ ขณะที่ กรมประมงอยู่ระหว่างทำการวิจัยปลา 4N เพื่อผสมกับปลาปกติ 2N ให้ได้ปลา 3N ซึ่งเป็นหมัน ส่วนกรณีที่เกษตรกรเข้าใจว่าไข่ปลาสามารถอยู่ได้ถึง 2 เดือนในช่วงที่ตากบ่อนั้น แทบเป็นไม่ได้เลย ขอให้ประชาชนทุกคนตระหนักแต่อย่าตระหนก หากพบเจอปลาหมอคางดำที่ไหนให้แจ้งกับกรมประมงทันที

‘ดร.สุวินัย’ มองปัญหาของ ‘ไทย’ ไม่ใช่แค่ ‘ปลาหมอคางดำ’ บุกระบบนิเวศ แต่ยังมี ‘ทุนนอก’ บุกระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นเกิด ‘วิกฤตฐานรากปี 2567’

(24 ก.ค. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘วิกฤติปลาหมอคางดำ’ กับปัญหา ‘Competitive Exclusion’ ในระบบนิเวศของเศรษฐกิจไทย โดยระบุว่า…

● ปัญหาเรื่องปลาหมอคางดำในเชิงชีววิทยา

ในเรื่องเกี่ยวกับระบบนิเวศนี้ ผู้รู้ทางชีววิทยาเขาจะแบ่งสิ่งมีชีวิตเป็น ...
(1) พวกผลิตเองได้ (autotroph) เช่น พืช 
(2) พวกผลิตอาหารเองไม่ได้ (heterotroph) เช่น สัตว์ทั่วไป ซึ่งจะแบ่งย่อยเป็นพวกกินพืช (herbivores) พวกกินสัตว์ (carnivore) พวกกินทั้งพืชและสัตว์ (omnivore)
(3) พวกผู้ย่อยสลายหรือพวกที่กินซาก (decomposer หรือ saprophytes) เช่น เห็ดรา สัตว์กินซาก นกแร้ง วรนุช ฯลฯ

การที่ผู้รู้ทางชีววิทยาแยกประเภทแบบนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า พื้นที่ในระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทนี้มันอยู่ที่ไหนในห่วงโซ่อาหาร การที่ปลาหมอคางดำมันสร้างปัญหาอยู่ตอนนี้ ก็เพราะมันกินทั้งพืช สัตว์ และซาก 

เท่านั้นยังไม่พอ ปลาหมอคางดำยังอยู่ได้ทั้ง 4 น้ำคือ น้ำเค็ม น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำร้อน (ทนอุณหภูมิสูงได้) ด้วยเหตุนี้ ปลาหมอคางดำจึงสามารถขยาย ‘พื้นที่ของตัวเอง’ ไปในระบบนิเวศ จนมันไม่เหลือพื้นที่ให้คนอื่นเขาอยู่

แค่นี้ยังไม่พอ ปกติพวกสัตว์จะมีการสืบพันธุ์ แบบ K type กับ R type

K type นี้จะมีลูกน้อย อายุยาวต้องเลี้ยงลูกนาน โอกาสรอดของลูกจึงสูงกว่า ถ้ามีลูกน้อย (สัตว์มนุษย์จัดอยู่ใน K type)

ส่วนพวก R type นี้จะออกลูกมาก เพราะโอกาสรอดของลูกมันจะต่ำ อาจจะถูกสัตว์อื่นกินไปมากก่อนจะโต เช่น นก หนู ปลา 

ส่วนเจ้าปลาหมอคางดำนี้ แม้จะเป็นพวก R type แต่ปลาหมอคางดำกลับมีวิวัฒนาการที่เหนือกว่าปลาทั่วไปที่พอผสมพันธุ์ภายนอกตัวเสร็จ ก็ไม่ดูแลต่อ 

แต่พ่อปลาหมอคางดำกลับอมลูกในปาก ปกป้องลูกของมัน จนมันอัตราการรอดมันสูงแบบ K type ไม่เหมือน R type ชนิดอื่น

มิหนำซ้ำปลาหมอคางดำยังกินทุกอย่าง อยู่ได้ทุกที่ ขยายพันธุ์เร็ว มีโอกาสรอดสูง..ปลาหมอคางดำจึงรุกเข้าไปอยู่ในทุกพื้นที่ ทุกระบบนิเวศ และทุก niche ในน้ำ...มันจึงสร้างปัญหาร้ายแรงต่อระบบนิเวศ

ในทางนิเวศวิทยา มีศัพท์คำหนึ่งคือ ‘Competitive Exclusion Principle’... ซึ่งโดยหลัก ๆ มันคือสิ่งเดียวกับคำกล่าวที่ว่า ‘เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้’

ในระบบนิเวศสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ล้วนต้องผ่านขบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตเขาจะหา ‘พื้นที่’ ของเขาในระบบนิเวศ หรือ niche ในการอยู่อาศัยของเขา เช่น จิ้งเหลนอยู่หากินตามพื้น, กิ้งก่าอยู่หากินบนต้นไม้ ไม่ทับเส้นกัน 

แต่ถ้าเมื่อไรมันทับเส้นกัน มันจะมีแค่สัตว์ชนิดเดียวที่หากินเก่งกว่า ที่มันจะรอด สัตว์ชนิดไหน ตัวไหน ถ้าหา niche ใหม่ไม่ได้ก็ตายหรือสูญพันธุ์ไป 

แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเจ้าปลาหมอคางดำนี้ มันกระจายตลาดของมันไปแทบจะทั่วทุก niche ในระบบนิเวศ?

จากหลักการของ Competitive Exclusion Principle ข้างต้น เราย่อมคาดการณ์ได้ว่า ...

มันคงมีหลายชีวิตหลายสายพันธุ์ ที่มันแข่งขันในตลาด ใน niche ของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป...จนอาจจะต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด

แน่นอนว่าในระบบนิเวศนี้มันไม่ได้อาศัยการแข่งขันกันอย่างเดียว แต่มันต้องพึ่งพาอาศัยกันด้วย 

เมื่อเกิดการสูญพันธุ์จำนวนมาก พอมาถึงจุด ๆ หนึ่ง ตัวระบบนิเวศทั้งระบบมันก็คงอยู่ไม่ได้ต้องล่มสลายลง

● การรุกคืบของทุนต่างด้าวที่หนีตายจากประเทศตัวเอง 

ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็ใช้การแข่งขันตามกลไกตลาด โดยผ่านขบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ (natural selection) เช่นกัน

การแข่งขันกันในตลาดนั้น ตามหลักเศรษฐศาสตร์มันเป็นสิ่งที่ดี และเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค...คนที่แข็งแกร่งก็อยู่รอด ส่วนคนที่แข่งต่อไม่ได้ก็ต้องล้มตายไป

จะเห็นได้ว่าในที่สุด ‘เศรษฐกิจไทย’ ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยง Competitive Exclusion Principle นี้ไปได้ ... โรงงานต่าง ๆ ธุรกิจต่าง ๆ ร้านค้าต่าง ๆ แห่ทยอยปิดตัว เพราะแข่งขันในตลาดต่อไปไม่ได้

กล่าวในเชิงระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ...ตอนนี้ธุรกิจคนไทยต้องเผชิญกับ alien species อื่น หรือ ‘กองทัพธุรกิจต่างด้าว’ (ปลาหมอคางดำเวอร์ชันธุรกิจ) ที่เขาหนีตายจากการแข่งขันใน ‘เกมกินรวบ Competitive Exclusion’ ของเจ้าพ่อ Platform ในประเทศของตน โดยหันมายึดตลาดใหม่ในบ้านเราแทน

นอกจากนี้ยังมีการผงาดขึ้นของ AI และหุ่นยนต์ที่ต่อไปก็จะเข้ามากินรวบแบบ Competitive Exclusion ใน ‘ตลาดแรงงาน’ ของจีนและของไทยอีกในไม่ช้า

สุดท้ายเมื่อมันเหลือแต่ ‘สปีชีย์ที่แข็งแกร่งที่สุด’ ที่ครอบครองได้ ‘ทุกตลาด’ ของระบบเศรษฐกิจไทยเท่านั้นที่จะอยู่รอดและเป็นใหญ่ได้

พอเป็นแบบนี้ ต่อไปชนชั้นล่างไทย ชนชั้นกลางไทย และธุรกิจรายเล็กรายน้อยของคนไทย มันจะเหลืออะไร?

~เรียบเรียงจากเพจของ เต่า วรเดช

● ‘วิกฤติฐานรากปี 2567’ น่าจะหนักกว่าและยืดเยื้อกว่า ‘วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540’ อย่างเห็นได้ชัด

เนื่องเพราะ ‘วิกฤติฐานรากปี 2567’ ประกอบด้วย 2 วิกฤติผสมผสานกันกลายเป็นแรงบวกที่ส่งผลกระทบหนักขึ้นเป็นสองเท่า

2 วิกฤติที่ว่านั้นคือ

(1) ‘วิกฤติหนี้ครัวเรือน’ ที่ตอนนี้ได้สะสมจนทะลุ 91.3% ของ GDP ทำให้กำลังจับจ่ายใช้สอยของครัวเรือนหายไปไม่น้อย

(2) วิกฤติการล่มสลายของ ‘ระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ’ ของธุรกิจ SMEs ในประเทศไทย ที่ถูก ‘ทุนจีน’ บุกเข้ามารุมขยี้ เพื่อยึดพื้นที่ด้วยกลยุทธ์ถล่มราคาแบบบ้าเลือด โดยมุ่งให้ธุรกิจเดิมของคนไทยอยู่ต่อไม่ได้

ธุรกิจไทยที่ร่วงแล้วหรือกำลังจะร่วง เพราะถูกทุนจีนบุกได้แก่…เสื้อผ้า / สินค้าอุปโภคของใช้ในชีวิตประจำวัน / สินค้าบริโภคร้านเล็กร้านน้อย / โรงแรม-รีสอร์ทท้องถิ่นขนาดเล็ก / อุตสาหกรรมการผลิตขนาดเล็ก / ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ของรถยนต์สันดาป / ร้านค้าออนไลน์ 

คนไทยต้องเตรียมรับมือผลกระทบอย่างยืดเยื้อ อันเนื่องมาจาก ‘วิกฤติฐานรากปี 2567’ ให้ดีเถิด

ด้วยความปรารถนาดี

~ สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai

‘กรมประมง’ ชี้!! ‘ไข่ปลาหมอคางดำ’ ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ไม่ถึง 2 เดือน ยัน!! หากนำไข่ขึ้นจากน้ำแล้วทิ้งไว้จนแห้ง จะไม่สามารถฟักเป็นตัวได้อีก

(24 ก.ค. 67) นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทยพบการแพร่ระบาดแล้ว 16 จังหวัด กรมประมงได้เร่งดำเนินการตามนโยบายของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 5 มาตรการสำคัญ แต่ในขณะนี้ มีข้อสงสัยของสังคม เรื่อง ไข่ปลาหมอคางดำสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมนอกปากปลาหมอคางดำได้ถึง 2 เดือน และยังฟักเป็นตัวได้

ทั้งนี้จากหลักวิชาการด้านประมง พบว่า พฤติกรรมของปลาหมอคางดำเป็นปลาที่พ่อปลาอมไข่ไว้ในปาก เพื่อฟักไข่ในปากไข่ปลาต้องได้รับความชุ่มชื้นและออกซิเจนอย่างเพียงพอ จึงจะเป็นสภาพที่พร้อมในการฟักลูกปลา ดังนั้น ไข่ปลาหมอคางดำจึงไม่สามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งได้ หากนำไข่ปลาหมอคางดำขึ้นมาจากน้ำแล้วทิ้งไว้จนแห้งจะกลายเป็นไข่เสียทันที ไม่สามารถฟักเป็นตัวได้อีก และในปัจจุบันยังไม่พบรายงานวิจัยว่าไข่ปลาหมอคางดำสามารถทนอยู่ในสภาพแห้งแล้ง ได้ถึง 2 เดือน แล้วกลับมาฟักเป็นตัวได้อีกอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เมื่อนำปลาหมอคางดำขึ้นจากน้ำแล้ว ไข่ปลาที่อยู่ในปากของพ่อปลาที่ตายแล้ว จะสามารถทนอยู่ได้ในปากประมาณ 10-15 นาที และไข่ที่ออกจากปากปลาสามารถอยู่ในน้ำที่ไม่มีออกซิเจนได้นานถึง 1 ชั่วโมง ในกรณีไข่ปลาหมอที่ตกค้างบริเวณพื้นบ่อที่ตากไว้ และโรยปูนขาวแล้ว ไข่ปลาหมอไม่สามารถฟักเป็นตัวได้

สำหรับไข่ปลาที่มีคุณสมบัติพิเศษที่ทนต่อสภาพแห้งแล้งพบได้ในปลาบางชนิด เช่น ปลาคิลลี่ (Killifish) ที่เป็นปลาขนาดเล็ก มีวงจรชีวิตสั้น ซึ่งตามสัญชาตญาณเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ ทำให้ไข่ปลาชนิดนี้มีความทนทานต่อสภาพที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ โดยในฤดูที่แห้งแล้งปลาคิลลี่จะวางไข่ไว้บนพื้นดิน และเมื่อได้รับน้ำในฤดูฝนก็จะสามารถฟักออกมาเป็นตัวได้ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับปลาหมอคางดำ

นอกจากนี้ กรมประมงยังมีการสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐ เกษตรกรชาวประมง และประชาชน จับปลาหมอคางดำขึ้นจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และบ่อระบบปิด ซึ่งเมื่อจับขึ้นมาแล้วจำเป็นต้องนำไปใช้ประโยชน์ และกรมประมงเองก็มีการตั้งจุดรับซื้อทุกจังหวัดที่พบการแพร่ระบาด โดยตั้งราคาไว้ที่กิโลกรัมละ 15 บาท

>> ดังนั้น จึงขอแนะนำข้อปฏิบัติในการขนย้ายปลาหมอคางดำ ดังนี้

1.การขนส่งปลาหมอคางดำ ควรทำการขนส่งแบบแห้ง เพื่อไม่ให้มีไข่ปลารอดชีวิต

2.การนำปลาหมอคางดำไปเป็นเหยื่อหรืออาหารสัตว์แบบสด ควรใช้ปลาตายและเช็คให้แน่ใจว่าไม่มีไข่อยู่ในปาก

3.การทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้เกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ของปลาหมอคางดำ เช่น การนำไปทำปุ๋ยชีวภาพหรือทำเป็นอาหารสัตว์ ควรอยู่ห่างจากแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อน้ำทิ้ง เพื่อป้องกันการหลุดรอด

4.การขนส่งปลาสดในน้ำแข็ง ควรนำปลาใส่ถุงก่อน เพื่อไม่ให้สัมผัสกับน้ำแข็งที่อาจละลายในระหว่างการขนส่ง

>> สำหรับเกษตรกรที่เตรียมบ่อสำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กรมประมงมีข้อแนะนำ ดังนี้

1.ลงปูนขาว หรือ กากชา เพื่อฆ่าศัตรูปลา ในการเตรียมบ่อก่อนลงลูกปลาที่เลี้ยงทุกครั้ง

2.ใช้ถุงกรองเพื่อกรองน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเข้าสู่บ่อ ป้องกันไม่ให้ปลาหมอคางดำ ปลาผู้ล่าอื่น ๆ รวมถึงศัตรูปลาเข้าสู่บ่อเลี้ยง

3.หากพบปลาหมอคางดำในบ่อต้องรีบดำเนินการจับขึ้น โดยใช้แห อวน ลอบ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อควบคุมและกำจัดไม่ให้แพร่ระบาดจำนวนมาก

4.หากพบปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำใกล้เคียงบ่อเลี้ยงให้รีบกำจัด และแจ้งกรมประมงเพื่อหาทางควบคุมและกำจัดออกจากแหล่งน้ำทันที

5.หากบ่อเลี้ยงเคยพบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำมาแล้ว ควรทำการตากบ่อ จนกว่าดินจะแห้งสนิทก่อนสูบน้ำเข้าบ่อ เพื่อเพาะเลี้ยงใหม่อีกครั้ง

‘ประมงสมุทรสาคร’ ยัน!! 'ปลากะพง' กินลูก 'ปลาหมอคางดำ' ได้วันละหลายตัว ไม่ใช่ว่ากินได้ครั้งละตัวและอิ่มไปหลายวัน ตามที่มีการพูดวิพากษ์วิจารณ์กัน

(25 ก.ค.67) นายเผดิม รอดอินทร์ ประมงจังหวัดสมุทรสาคร ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ได้รับการ แจ้งจากชาวประมงอวนรุนที่ออกไปล่าจับปลาหมอคางดำที่คลองสุนัขหอน โดยได้ปลากะพงติดมา 2 ตัว จึงได้มีการผ่าท้องปลากะพงดู พบว่าภายในท้องปลากะพงซึ่งไซด์ไม่ใหญ่นักสามารถกินลูกปลาหมอคางดำได้ถึง 3 ตัว พิสูจน์ให้เห็นว่าปลากะพงกินลูกปลาหมอคางดำได้ครั้งละหลาย ๆ ตัว ไม่ใช่ว่ากินได้ครั้งละตัวและอิ่มไปหลายวันอย่างที่มีการพูดวิพากษ์วิจารณ์กัน ถือเป็นการช่วยตัดวงจรการขยายพันธ์ุของปลาหมอคางดำได้เป็นอย่างดี 

โดยทางประมงจังหวัดสมุทรสาครจะมีการทยอยปล่อยปลากะพงลงไปในแหล่งน้ำธรรมชาติอีกเรื่อย ๆ เพื่อให้ปลากะพงไปไล่ฮุบลูกปลาหมอคางดำให้เหลือน้อยลงให้ได้มากที่สุด

สำรวจ!! ‘ปลาหมอคางดำ’ ย่านสมุทรสาคร ลดลงไปแล้วกว่า 80% ภายใต้ความร่วมมือตามนโยบาย 'จับ-รับซื้อ' เร่งด่วนของภาครัฐ

(25 ก.ค.67) นายปรีชา ศิริแสงอารำพี เจ้าของโรงงานปลาป่น ศิริแสงอารำพี ในจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า จากการติดตามและเดินทางไปดูแหล่งรับซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร รวมถึงพูดคุยกับชาวประมงพื้นบ้านที่นำปลามาขาย พบว่า ตั้งแต่วันแรกที่กรมประมงเริ่มโครงการรับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อนำไปทำปลาป่น พบว่า ปริมาณปลาลดลง 80% โดยโรงงานใช้ปลาหมอคางดำมาผลิตปลาป่นต่อเนื่อง จนถึงวันนี้รับซื้อแล้วมากกว่า 600,000 กิโลกรัม และโครงการนี้เป็นการช่วยเหลือชาวประมงตามนโยบายเร่งด่วนของภาครัฐในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ

ช่วง 2 วันที่ผ่านมา โรงงานฯ รับซื้อปลาหมอคางดำมาทำปลาป่นเพิ่มขึ้นจากวันละ 5,000-6,000 กิโลกรัม เป็น 10,000 กิโลกรัม สืบเนื่องจากการรณรงค์โครงการจับและรับซื้อปลาของรัฐบาล โดยปลาป่นจากปลาหมอคางดำของโรงงานมี ซีพีเอฟ เป็นผู้รับซื้อทั้งหมดตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นมา ซึ่ง ซีพีเอฟ จะเพิ่มการรับซื้อปลาหมอคางดำจากแหล่งที่มีการระบาดจำนวน 2,000,000 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 15 บาท และจะเริ่มซื้อพร้อมกับภาครัฐในวันที่ 1 สิงหาคม 2567

“ปริมาณปลาที่ลดลงดังกล่าวเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของหลายฝ่ายที่ตั้งใจรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งการจับปลาและนำปลาไปใช้ประโยชน์สูงสุด นับเป็นข่าวดีที่ชาวประมงพื้นบ้านแจ้งว่าปริมาณปลาหมอคางดำลดลงมากถึง 80% และมีมาตรการป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น นับเป็นการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวันนี้เรือประมงพื้นบ้านจับปลาหมอคางดำได้น้อยลง” นายปรีชา กล่าว

นายปรีชา กล่าวต่อไปว่า โครงการนี้เป็นการทำงานแบบบูรณาการอย่างรอบคอบระหว่างภาครัฐ เกษตรกร ชุมชน ภาคประชาสังคมและภาคเอกชน ซึ่งมีการวางแผนบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้มีการจับปลามากขึ้น ขณะที่ภาครัฐเปิดจุดรับซื้อเพิ่มขึ้นในหลายจังหวัด เพื่อรองรับปลาหมอคางดำที่จับได้อย่างทั่วถึง

ภาครัฐยังมีการตรวจสอบเพื่อความมั่นใจ ว่า ปลาที่รับซื้อมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติไม่ใช่มาจากการเลี้ยง โดยผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ ต้องขึ้นทะเบียนกับประมงจังหวัดทั้งเกษตรกรบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำและแพปลาที่จะรับซื้อต่อจากเกษตรกร เพื่อตรวจสอบรับรองปลาว่ามาจากบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำจริง ขณะที่โรงงานปลาป่นจะรับซื้อปลาเฉพาะปลาจากแพปลาที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมประมงเท่านั้น

โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศห้ามเพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ ผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดตามกฎหมายทั้งโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเลี้ยงปลามาจำหน่ายในโครงการ อีกทั้งการเลี้ยงปลาหมอคางดำ ที่กินอาหารได้ตลอดเวลา แต่อัตราแลกเนื้อมีน้อย ทำให้ราคาที่ขายได้ไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิต  

“ขณะนี้ปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ลดลงจำนวนมากเหลือแต่ปลาขนาดเล็ก ตัดวงจรวัยเจริญพันธุ์ของปลาได้มาก และจะช่วยให้การปล่อยปลาผู้ล่าตามแนวทางของภาครัฐเกิดประสิทธิภาพสูง เชื่อว่าการจับปลาและมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบแบบนี้ จะทำให้ทุกภาคส่วนตื่นตัวเร่งจับปลามากขึ้นและส่งผลให้ประชากรปลาหมอคางดำลดลงอย่างรวดเร็ว”

นอกจากนี้ รัฐบาลควรส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และเมนูอาหารจากปลาหมอคางดำมากขึ้น เพื่อบริโภคในครัวเรือนและส่งเสริมให้วิสาหกิจชุมชนนำไปต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ ตลอดจนการสนับสนุนให้มีการสร้างสรรค์เมนูปลาหมอคางดำให้เป็นเมนูท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัด จะเป็นการสร้างการตระหนักรู้ให้กับสังคมและผู้บริโภคให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากปลาชนิดนี้ได้อย่างถูกต้อง

ทั้งนี้ โรงงานมีแผนจะร่วมมือกับร้านอาหารสร้างสรรค์เมนูปลาหมอคางดำสำหรับครอบครัว เพื่อทำสูตรอาหารแจกจ่ายให้กับประชาชนและชุมชนนำไปทำเมนูตามความนิยม ให้มีการบริโภคปลาชนิดนี้เพิ่มขึ้น หรือแม้กระทั่งการนำไปต่อยอดสร้างเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัวก็สามารถทำได้

ขณะนี้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ และการจับปลาทำได้ง่ายขึ้นจากการผ่อนผันกฎระเบียบการจับปลา และเป็นการกระตุ้นการจับปลา ซึ่งขณะนี้ทั้งคนไทย ที่มาจากภาคอีสานและแรงงานพม่าแห่มาจับปลากันมาก ทำให้ปลาหมอคางดำในหลายพื้นที่ลดลงมาก

‘ปลาหมอคางดำ’ กับ การรับมือสถานการณ์วิกฤต ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง กรมประมง ต้องหาความจริง!! ดำเนินการตามกฎหมาย กับผู้ที่สร้างความเสียหาย

(27 ก.ค.67) ปลาหมอคางดำ (Blackchin tilapia) หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Sarotherodon melanotheron Rüppell เป็น ปลาหมอ (ปลานิล) สายพันธุ์พื้นเมืองที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตกตั้งแต่มอริเตเนียไปจนถึงแคเมอรูน มีสีค่อนข้างซีดแตกต่างกัน เช่น ฟ้าอ่อน ส้ม และเหลืองทอง โดยปกติจะมีจุดสีเข้มตรงคางของปลาที่โตเต็มวัย จึงถูกเรียกว่า ‘ปลาหมอคางดำ’

‘ปลาหมอคางดำ’ สามารถทนต่อความเค็มสูงได้ และพบได้มากในบริเวณป่าชายเลน และสามารถอพยพไปยังน้ำจืด เช่น ลำธารตอนล่าง และน้ำเค็ม ในแอฟริกาตะวันตก ปลาชนิดนี้จะอาศัยอยู่ใน ทะเลสาบ น้ำกร่อยและปากแม่น้ำเท่านั้น และพบมากในป่าชายเลน ซึ่งจะรวมฝูงกันและหากินเวลากลางคืนเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าจะหากินในเวลากลางวันแต่ก็ไม่บ่อยนัก อาหารส่วนใหญ่จะเป็นหอยสองฝาและแพลงก์ตอนสัตว์ โดยจะกินอาหารด้วยการกัดกลืน 

การวางไข่จะเกิดขึ้นใกล้ชายฝั่งในน้ำตื้น ตัวเมียจะเกี้ยวพาราสีตัวผู้ ขุดหลุม และนำในการผสมพันธุ์ ในที่สุดตัวผู้จะตอบสนองในลักษณะค่อนข้างเฉื่อยชา แล้วคู่จะผสมพันธุ์กัน เป็นปลาที่ฟักไข่โดยใช้ปากของปลาตัวผู้ แต่ปลาตัวเมียสายพันธุ์หนึ่งในกานาก็สามารถฟักไข่โดยใช้ปากได้เช่นกัน ปัจจุบัน ‘ปลาหมอคางดำ’ ถูกจัดเป็นปลาพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Invasive alien species) ในหลายพื้นที่อาทิ มลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ดูเหมือนว่า ‘ปลาหมอคางดำ’ จะถูกนำเข้ามาโดยอาศัยการลักลอบนำเข้าจากการค้าสัตว์น้ำ มีข้อสงสัยว่ามีการปล่อยปลาเหล่านี้โดยเจตนา ในบางพื้นที่พบ ‘ปลาหมอคางดำ’ คิดเป็น 90% ของค่าชีวมวลของปลาทั้งหมด ในมลรัฐฮาวายเรียกปลาชนิดว่า "ปลาหมอน้ำเค็ม" เนื่องจากปลาชนิดนี้สามารถอยู่รอดและขยายพันธุ์ได้ในน้ำทะเลได้ ตามเกาะต่าง ๆ จะพบ ‘ปลาหมอคางดำ’ บริเวณชายหาดและในทะเลสาบรอบเกาะโออาฮูและรวมถึงเกาะอื่น ๆ ด้วย ‘ปลาหมอคางดำ’ ถือเป็นศัตรูพืชในคลองและอ่างเก็บน้ำในฮาวาย เพราะขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว

ฟิลิปปินส์ ซึ่งเรียกปลาชนิดนี้อย่างไม่เป็นทางการว่ากลอเรียหรือติลาเปียง อาร์โรโย ตามชื่อของอดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์กลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย เนื่องจากปลาชนิดนี้มีขนาดเล็ก และมีเม็ดสีเข้มคล้ายไฝใต้ขากรรไกรล่าง ซึ่งคล้ายกับรูปร่างเตี้ยและไฝที่แก้มซ้ายของอดีตประธานาธิบดี เชื่อกันว่าในช่วงต้นปี 2015 มีลักลอบนำเข้า ‘ปลาหมอคางดำ’ เพื่อการค้า และแอบปล่อยสู่ธรรมชาติในแหล่งน้ำใกล้จังหวัดบาตานและบูลากัน ‘ปลาหมอคางดำ’ ถือเป็นภัยคุกคามต่อบ่อปลาเนื่องจากขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วและกินพื้นที่รุกล้ำปลาชนิดอื่นโดยเฉพาะปลากะพงเลี้ยง ถูกพบในอ่าวมะนิลาเช่นกัน

สำหรับบ้านเรา ‘ปลาหมอคางดำ’ กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงที่มีการกล่าวถึงในสังคมโซเชียล ปลาชนิดนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำเข้า ไม่ว่าการหลุดรอดลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติจะเกิดจากใครก็ตาม กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน้าที่สืบสวนหาความจริง และดำเนินการตามกฎหมาย โดยการร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำผิดต่อเจ้าพนักงานเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้จะต้องมีผู้กระทำผิดที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งทางแพ่งและอาญา เนื่องจากพบการระบาดรุนแรงในหลายพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ผู้เลี้ยงปลาและกุ้งจำนวนมากได้รับความเสียหาย รัฐบาลโดยกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศว่าจะกำจัด ‘ปลาหมอคางดำ’ ให้หมดสิ้น โดยมาตรการการกำจัดอย่างหนึ่งคือ การปล่อยปลาล่าเหยื่อ เช่น ปลากะพงขาวสู่ธรรมชาติเพื่อควบคุมจำนวนประชากรของ ‘ปลาหมอคางดำ’ ซึ่งต้องติดตามผลการดำเนินการดังกล่าวต่อไป

สำหรับประเทศที่ประสบปัญหาลักษณะนี้มากที่สุดในโลกได้แก่ สหรัฐอเมริกา เพราะชาวอเมริกันจำนวนมากที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลกๆ สัตว์หายาก แต่เมื่อเบื่อหรือเลี้ยงไม่ไหวแล้วแทนที่จะกำจัดทิ้ง กลับแอบปล่อยสู่แหล่งธรรมชาติ ทำให้ในสหรัฐฯ โดยเฉพาะมลรัฐฟลอริดา มีสัตว์พันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานสัตว์พื้นถิ่นในระบบนิเวศอยู่มากมาย หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้คือ ‘สำนักงานบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐ’(United States Fish and Wildlife Service : USFWS หรือ FWS) หน่วยงานรัฐบาลกลางในสังกัดกระทรวงมหาดไทย จึงมีมาตรการต่าง ๆ ที่มีความทันสมัยในการจัดการกับทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน ตัวอย่างของสัตว์พันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในสหรัฐฯ ได้แก่ หอยแมลงภู่ Quagga และ Zebra สัตว์ฟันแทะ (Rodents) ปลาคาร์พหัวโต, สีเงิน, สีดำ และปลาคาร์พหญ้า (Bighead, Silver, Black และ Grass Carp) ซึ่งเป็นอันตรายต่อการประมง การพักผ่อนหย่อนใจ ฯลฯ โดยมูลค่าความเสียหายสูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี ปลาพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานเหล่านี้เข้ายึดครองแหล่งที่อยู่อาศัยและคุกคามปลาสายพันธุ์พื้นเมือง และส่งผลกระทบต่อกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของชุมชนหลายแห่ง  

‘สำนักงานบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐ’ จัดการกับปลาคาร์พพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานเหล่านี้ โดยให้ผู้เชี่ยวชาญทำการวิจัยและให้ความช่วยเหลือด้านกลยุทธ์ ด้วยการพัฒนา “แผนการจัดการและการควบคุมสำหรับปลาคาร์ปหัวโต เงิน ปลาดำ และปลาคาร์พหญ้า ในสหรัฐอเมริกา” ซึ่งสามารถใช้เป็นพิมพ์เขียวระดับชาติในการจัดการปลาคาร์พพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานได้ ทั้งยังได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่สำคัญเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามที่เกิดจากช่วงชีวิตของปลาคาร์พพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในทุกช่วง (ไข่ ตัวอ่อน ลูกปลา และปลาตัวเต็มวัย) และปรับปรุงการตรวจจับตั้งแต่เนิ่น ๆ และมีกระบวนการตอบสนองที่รวดเร็ว

ปัญหาการระบาดของ ‘ปลาหมอคางดำ’ คนไทยทุกคนต่างมีส่วนเกี่ยวข้องได้รับผลกระทบทั้งสิ้น การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นการระบุชนิดของสัตว์พันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานจึงเป็นสิ่งสำคัญ การช่วยเหลือในการตรวจจับตั้งแต่เนิ่น ๆ การตอบสนองอย่างรวดเร็ว และความตระหนักรู้ของคนไทยทุกคนก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะเมื่อสัตว์สายพันธุ์ที่รุกรานระบาดแล้ว ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำจัดให้สิ้นซาก วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงอันตรายที่เกิดจากสัตว์สายพันธุ์ที่รุกรานคือการป้องกันไม่ให้พวกมันเข้ามาในประเทศ เราท่านสามารถมีส่วนร่วมในการป้องกันสัตว์สายพันธุ์ที่รุกรานได้หลายวิธี อาทิ งดเว้นการเลี้ยงสัตว์แปลก ๆ สัตว์หายาก แต่เมื่อเลี้ยงแล้วต้องระวังไม่ปล่อยให้พวกมันหลุดหนีไป เพราะสัตว์สายพันธุ์ที่รุกรานสามารถสร้างความเสียหายให้กับสัตว์พื้นเมืองและถิ่นที่อยู่ได้ เมื่อพวกมันหลบหนีหรือถูกปล่อยออกไป ต้องยอมมอบสัตว์เลี้ยงให้กับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่สามารถดูแลมันได้อีกต่อไป ให้ทำอย่างมีความรับผิดชอบ แหล่งข้อมูลที่ดีเยี่ยมอื่น ๆ สำหรับวิธีป้องกันการแพร่กระจายของชนิดพันธุ์รุกราน 

กระบวนการในการจัดการตาม “แผนการจัดการและการควบคุมสำหรับปลาคาร์ปหัวโต เงิน ปลาดำ และปลาคาร์พหญ้า ในสหรัฐอเมริกา” ของ ‘สำนักงานบริหารปลาและสัตว์ป่าแห่งสหรัฐ’ เป็นเรื่องที่กรมประมงสมควรได้เร่งนำมาพิจารณาและศึกษาเพื่อปรับใช้เป็นแนวทางและการปฏิบัติในการจัดการ การควบคุม และการกำจัด ‘ปลาหมอคางดำ’ ให้มีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top