Tuesday, 22 April 2025
ปรีดีพนมยงค์

‘ปรีดี พนมยงค์’ ยอมรับทำการปฏิวัติ ทั้งที่เข้าใจประชาชนไม่มากพอ

มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้าง #ร่างที่เป็น

2475: การเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ และการให้อภัย

“ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี…

“ในปี ค.ศ. 1932 ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่
ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน และครั้นข้าพเจ้ามีความชัดเจนมากขึ้นข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ”

ปรีดี พนมยงค์
ให้สัมภาษณ์ ณ บ้านอองโตนี กรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. 2522

เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ กลุ่มวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

‘ประยูร–ปรีดี’ ความใกล้ชิดผู้ร่วมก่อการ 2475 คือที่มา 'ต้นกำเนิดแท้จริงของคณะราษฎร'

หากจะถามว่าใครคือ “พยานคนสำคัญ” ที่อยู่ในจุดเริ่มต้นที่สุดของการกำเนิดคณะราษฎร — คำตอบนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก พลโทประยูร ภมรมนตรี ผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและผู้มีบทสนทนาสำคัญกับ นายปรีดี พนมยงค์ ในวินาทีที่แนวคิดเปลี่ยนการปกครองเริ่มก่อตัว และริเริ่มการลงมือวางแผนอย่างเป็นระบบ

ความสัมพันธ์ระหว่างประยูรกับปรีดีนั้นไม่ได้เป็นเพียงมิตรภาพทางอุดมการณ์ แต่คือสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่ เป็นจุดเปลี่ยนให้ปรีดีตัดสินใจลงมือจัดตั้งคณะราษฎรจริงจัง ดังปรากฏชัดในคำบอกเล่าของปรีดีเอง ในบทความ “บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย” ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือ เบื้องแรกประชาธิปไตย เล่ม 1 หน้า 49 โดยระบุว่า 

> "...โดยเฉพาะการตัดสินใจที่จะทำการกันอย่างเอาจริงเอาจังในการเปลี่ยนระบบสมบูรณาฯ นั้น ในสยามก็มีคนรุ่นหนุ่มจำนวนหนึ่งได้ตกลงกันไว้แล้วร่วมสมทบเข้าอยู่ในคณะราษฎรภายหลังที่ข้าพเจ้ากับเพื่อนก่อตั้งคณะราษฎรที่กรุงปารีสได้กลับสยามแล้ว ส่วนข้าพเจ้ากับเพื่อนที่อยู่ในกรุงปารีสนั้นได้มีการทาบทามกันมาก่อนหลายปีแล้ว

ต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๒๕ ปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งราษฎรสมัยนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งเจ้านายบางองค์ที่ทรงถือสัจจะตามพุทธวจนะ “สัจจังเว อมตา วาจา” คงเล่าให้ฟังว่า เสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนระบบสมบูรณาฯ ในสยามมีมากถึงขนาดไหน

ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ที่เคยเป็นผู้บังคับหมวดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์และเป็นมหาดเล็กเคยรับใช้ใกล้ชิดรัชกาลที่ 6 นั้น เมื่อมาถึงปารีสใน ค.ศ. ๑๙๒๕ และได้พบข้าพเจ้า ก็ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงความเสื่อมโทรมของระบบสมบูรณาฯ และเสียงเรียกร้องของราษฎรในสยามที่ต้องการให้เปลี่ยนระบบนั้น

ฉะนั้นใน ค.ศ. ๑๙๒๕ นั้นเอง ภายหลังที่ข้าพเจ้าได้สนทนากับ ร.ท. ประยูรหลายครั้งแล้ว จึงได้ชวนเขาไปเดินเล่นที่ถนน Henri Martin ปรารภกันว่าได้ยินผู้ที่ต้องการเปลี่ยนระบบสมบูรณาฯ มามากหลายคนแล้ว แต่ยังไม่มีใครจะตัดสินใจเอาจริง ฉะนั้นเราจะไม่พูดแต่ปาก คือจะต้องทำจริงจากน้อยไปสู่มาก แล้ววางวิธีการชวนเพื่อนที่ไว้ใจได้ร่วมเป็นหน่วยแรกขึ้น

ต่อมาจึงชวน ร.ท. แปลก. ร.ต. ทัศนัย ซึ่งย้ายจากบ้านพักเดิมไปอยู่ถิ่นเดียวกับข้าพเจ้าที่ “Quartier Latin” จึงได้สนทนากันแทบทุกวัน แล้วก็ได้ชวนเพื่อนอื่นๆ ให้ร่วมด้วย

เราได้วางแผนปลุกจิตสำนึกเพื่อนนักศึกษาทั่วไปให้เกิดความรู้สึกถึงความจำเป็นต้องเปลี่ยนระบบสมบูรณาฯ ว่าโอกาสที่เหมาะที่สุดคือในระหว่างมีการชุมนุมประจำปี ค.ศ. ๑๙๒๕ ของสมาคมที่ข้าพเจ้าเป็นสภานายกอยู่นั้นจะได้จัดให้เพื่อนไทยอยู่ร่วมกัน ณ คฤหาสน์ใหญ่ที่ตำบล “Chatrettes” ซึ่งสมาคมเช่าไว้เฉพาะการนั้นมีกำหนด ๑๕ วัน

เราได้จัดให้มีกีฬาแทบทุกชนิดรวมทั้งการยิงเป้าเพื่อเป็นพื้นฐานแห่งการฝึกทางอาวุธ
ในเวลาค่ำก็มีการแสดงปาฐกถาในเหตุการณ์ระหว่างประเทศและเหตุการณ์ภายในประเทศและมีการโต้วาทีในหัวข้อที่เป็นคติ มีการแสดงละครที่เป็นคติ เช่น เรื่อง "โลเลบุรี” ของพระมงกุฎเกล้าฯ ที่แสดงถึงความแหลกเหลวแห่งการศาลและอัยการของบุรี ที่พระองค์สมมุติว่า “โลเล” มีการดนตรีและขับร้องบ้าง แต่ไม่มีการเต้นรำยั่วยวนกามารมณ์

การชุมนุมในฤดูร้อน ค.ศ. ๑๙๒๕ ได้ดำเนินไปอย่างได้ผลถึงความสนิทสนมกลมเกลียวของเพื่อนนักศึกษาไทยที่ร่วมประชุมถึงขีดที่เมื่อครบกำหนด ๑๕ วันแล้วหลายคนก็ได้แสดงถึงความอาลัยที่ต่างคนจะต้องแยกย้ายกันไป

ครั้นแล้วข้าพเจ้ากับเพื่อนที่ริเริ่มซึ่งออกนามมาแล้วจึงได้ปรึกษาตกลงกันว่าในการประชุมประจำปีต่อไปคือในเดือนกรกฎาคม ๑๙๒๖ สมควรที่จะพัฒนาจิตสำนึกของเพื่อนนักศึกษาให้สูงขึ้นอีกระดับหนึ่งถึงขั้นต่อสู้กับอัครราชทูต ซึ่งเป็นตัวแทนของระบบสมบูรณาฯ ในต่างประเทศ

แต่จะต่อสู้โดยวิธีที่ธรรมเนียมประเพณีอนุญาตไว้ คือการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อพระปกเกล้าฯ ซึ่งเพิ่งทรงขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากรัชกาลที่ 6

ในการนั้นก็จะต้องถือเอาความไม่พอใจที่นักศึกษาส่วนมากมีอยู่เป็นพื้นฐาน เนื่องจากอัครราชทูตจ่ายเงินกระเป๋าให้น้อยเกินไป ทั้ง ๆ ที่แต่ละคนมีงบประมาณที่ทางรัฐบาลหรือทางบ้านได้มอบไว้ที่อัครราชทูตอย่างเพียงพอ เราถือเอาเศรษฐกิจเป็นรากฐานที่จะพัฒนาจิตสำนึกให้เป็นทางการเมืองตามกฎวิทยาศาสตร์สังคมแห่งการพัฒนาจิตสำนึก..."

จากข้อความข้างต้นนี้เองที่ทำให้เราเข้าใจได้อย่างกระจ่างว่า การคิดวางแผนเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นมี “องค์ประกอบของการจัดตั้ง การฝึก และการใช้กำลัง” อย่างจริงจัง ไม่ได้เป็นเพียงอุดมการณ์ในอากาศ หากแต่มีโครงสร้างที่เริ่มวางรากไว้ล่วงหน้าเป็นปี

ด้วยเหตุนี้เอง หนังสือ ชีวิต 5 แผ่นดินของข้าพเจ้า โดย พลโทประยูร จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ เพราะเป็น คำให้การจากปากของผู้ที่อยู่ตรงนั้นจริงในวินาทีแรก อีกทั้งยังเผยให้เห็นมูลเหตุจูงใจที่หลากหลายของแต่ละบุคคลในยุคนั้น ซึ่งหากต้องการเข้าใจ “ต้นกำเนิดแท้จริงของคณะราษฎร” ให้ลึกซึ้งครบถ้วน — ก็ต้องเริ่มอ่านจากตรงนั้น

อ้างอิง
ปรีดี พนมยงค์. “บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย.” ใน เบื้องแรกประชาธิปไตย เล่ม 1, หน้า 49. 
ประยูร ภมรมนตรี. ชีวิต 5 แผ่นดินของข้าพเจ้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top