Tuesday, 22 April 2025
ประเทศ

'บิ๊กตู่' ปลื้ม!! ทัวร์จีนมองไทยเป็นประเทศในฝัน เชื่อ!! ปีนี้ นทท.จีน เข้าไทยไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน

(6 ก.พ. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยินดีที่ประเทศไทยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางในฝัน ของนักท่องเที่ยวจีน ที่ต้องการมาเยือนหลังมีการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 

นายอนุชา กล่าวว่า ทางการจีนประกาศเปิดประเทศ และอนุญาตให้บริษัทนำเที่ยว บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ทั่วประเทศจีน รวมถึงธุรกิจตั๋วเครื่องบิน-โรงแรม ดำเนินกิจการจัดการท่องเที่ยวสำหรับชาวจีนแบบหมู่คณะ ไป 20 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย เริ่มตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ.นี้ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้จัดแคมเปญดึงดูด และมีมาตรการรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ที่จะเดินทางมาประเทศไทย โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้ากลยุทธ์ 'China is Back' ดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยร่วมกับภาคเอกชนจัดแคมเปญใหญ่ Two Lands, One Heart (ไทย-จีน ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน) ส่งเสริมการตลาดดึงนักท่องเที่ยวจีนมาท่องเที่ยวไทย พร้อมทั้งใช้เครื่องมือทางดิจิทัลในลักษณะ Worldwide Platform และสานต่อกลยุทธ์ Celebrity Marketing และเร่งฟื้นเที่ยวบินรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวจีน และร่วมกับพันธมิตรขายแพ็กเกจท่องเที่ยว ทั้งเดินทางข้ามชายแดนทางบก (R3A) รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และเรือครุยส์แม่น้ำโขง ทั้งนี้ ททท. ตั้งเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนมาไทยได้ไม่น้อยกว่า 5 ล้านคนในปีนี้

‘นักศึกษาลาว’ น้ำตาซึมเมื่อเอ่ยถึง ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ สำนึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อ สปป.ลาว

(15 ก.พ. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์’ ได้โพสต์ข้อความแชร์เรื่องราวของนักศึกษาจาก สปป.ลาว ที่ถ่ายทอดความรู้สึกและหยาดน้ำตา เมื่อต้องพูดถึง ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ระบุว่า…

น้ำตาศิษย์ลาวที่เมืองอุบลฯ (สำหรับผู้ที่รักเจ้าหญิงในดวงใจ กรุณาอ่านเถิดครับ)

เมื่อวานนี้ ผมไปสอนหนังสือที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.อุบลราชธานี สอนตั้งแต่ ๘.๓๐ น. ยันเครื่องบินออกตอนค่ำตามเคย สนุกดี และมีบรรยากาศดี แม้จะสอนปีละเพียงวันเดียว แต่ก็มีความเป็นกันเองเหมือนกับสอนกันมาทั้งปี

ใน Class ที่สอน มีนักเรียนทุน ป.โท จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวมาเรียนด้วย เป็นอาจารย์อยู่ที่ลาวครับ เป็นหญิงหนึ่งคนและชายหนึ่งคน ตั้งใจเรียนเหมือนนักเรียนที่ต้องมาเรียนต่างถิ่นเป็นธรรมดา

การสอนวันนั้นไม่เน้นทางวิชาการ แต่เน้นวิธีคิด ในตอนหนึ่งของการสอนขั้นตอนการตัดสินใจ Engineering Critical Thinking ‘การจัดระบบความคิดให้เป็นระเบียบ’ เพื่อให้นักเรียนสามารถ ‘ผลิตงานภายใต้แรงกดดัน’ ให้ได้ (Productive Under Pressure) จึงเชิญนักศึกษาไทย ๒ คน และนักศึกษาลาว ๑ คน มายืนหน้าห้อง

ผม เริ่มถามนักเรียนไทยว่า…

"เมืองไทยนั้นเป็นเมืองที่คนทั่วโลกบอกว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม เป็นเมืองที่ฝรั่งมังค่าบอกว่าเป็นเมืองแห่งความเป็นมิตร ช่วยเหลือและโอบอ้อมอารี...แต่เคยคิดไหมว่าทำไม ประเทศไทยเราเป็นประเทศที่มีแต่ศัตรูรอบด้าน เพื่อนบ้านของเรา ไม่ว่าจะเป็นพม่า มาเลเซีย ลาว เขมร เวียดนาม ต่างก็เกลียดเมืองไทยกันหมดเลย...มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

นักเรียนไทย...นิ่ง

ผมพูดต่อว่า...“ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเกิดจากเหตุและปัจจัย เราต้องหาเหตุและปัจจัยให้ได้”

นักเรียนไทยคนหนึ่งตอบว่า...“เขาคงอิจฉาเรา เพราะเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร”

ถาม นักเรียนไทยต่อว่า…

“รู้สึกไหมว่าในภูมิภาคนี้ ไม่มีประเทศไหนเลยที่จะทำลายทรัพยากรของประเทศเพื่อนบ้านเหมือนพวกคนไทยเรา เราไม่เคยได้ยินว่า ลาวมาตัดป่าเมืองไทย หรือพม่ามาขุดแร่เมืองไทย.. เราเคยแต่ได้ยินว่าคนไทยเราไปตัดป่า ขุดแร่ในลาว ในเขมร ในพม่า.. มันเกิดอะไรขึ้นหรือ”

นักเรียนไทย....นิ่ง
ผมพูดต่อว่า....“การนิ่ง ไม่ได้แก้ปัญหา”

นักเรียนไทยตอบว่า....“อาจจะเพราะว่าเราเจริญกว่า และเราค้าขายเก่งกว่า”
ผม ถามนักเรียนไทยต่อว่า…

“ประเทศแถว ๆ เรานี้ ล้วนเป็นประเทศที่มีศิลปวัฒนธรรมมายาวนาน หลายแห่งเป็นมรดกโลก...แต่รู้สึกไหมว่า ไม่มีประเทศไหนเขามาเอาศิลปวัตถุของเราไปเลย ในยามที่ทั้งสองฝ่ายสงบไม่รบกัน ข่าวว่ามีแต่เราที่เข้าไปตัด เข้าไปขโมย เข้าไปขนศิลปะของเขามาวางขายในบ้านเรา ทั้งเทวรูปหิน หน้าบันไม้ ต่าง ๆ นานา แถมส่งไปขายให้ต่างประเทศอีกด้วย...มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

นักเรียนไทย....นิ่ง (อาจจะเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังถูกวางยาอะไรสักอย่าง)

ผมถามต่อว่า...."กลับมาถึงคำถามแรกดีกว่า ทำไมเพื่อนบ้านเราเขาถึงเกลียดเรา”
นักเรียนไทย....นิ่ง
ถามต่อว่า.... “เพราะอะไรหรือครับ”
นักเรียนไทย....นิ่ง

ผมหันไปถามนักเรียนทุนจาก สปป.ลาว ว่า…

“คนลาวรู้สึกอย่างไรกับคนไทยบ้างครับ ขอให้ตอบตามจริงอย่างสุภาพ ไม่มีอารมณ์ แต่ขอให้พูดความจริง เพราะในนี้คือห้องเรียน และการพูดของท่าน อาจจะเป็นจุดเล็ก ๆ ในการแก้ปัญหาให้ลูกหลานไทย-ลาว เพื่อให้เราอยู่กันอย่างมีความสุขขึ้น”

นักศึกษาลาว.... นิ่ง (สงสัยว่ายังงง ๆ อยู่ หรืออาจจะกำลังติดตามคำตอบของนักเรียนไทยอย่างจดจ่ออยู่)

ผมพูดต่อว่า.... “ความน่าสนใจก็คือ ตอนนี้มีคนเวียดนามเข้ามาในลาวมาก รู้สึกอย่างไรกับเพื่อนบ้านจากแดนซ้าย กับเพื่อนบ้านจากแดนขวา”

นักศึกษาลาวตอบว่า... “พูดจริง ๆ นะคะ คนลาวรู้สึกว่าคนไทยดูถูกและเอาเปรียบคนลาว”

ข้าพเจ้า... นิ่ง (ไป ๒ อึดใจ) และพูดต่อเพื่อขอเวลาคิดบ้างว่า.... “เป็นความรู้สึกของตนเองหรือของคนลาวโดยรวม”

นักศึกษาลาวตอบว่า... “เป็นภาพรวม ๆ ทั่วประเทศค่ะ”

กระผม...นิ่ง (ไปอีก ๑ อึดใจ) และหันหน้ามาบอกนักเรียนไทยอีก ๖๐ ชีวิตใน Class ว่า..

“นี่คือคำตอบจากความจริงใจของเพื่อนชาวลาว ต้องขอบคุณเขาที่เขากรุณาบอกความจริงให้เรา และนับแต่นี้เป็นต้นไป เราคงต้องคิดและคิดแล้วครับว่า เราจะทำอย่างไรต่อไป”

ผมพูดต่อว่า.... “การกระทำใดต่อไป จะต้องเกิดจากข้อมูลและความเข้าใจ ต้องใจกว้าง และเริ่มปฏิบัติการแก้ปัญหาแห่งความรู้สึกนั้น เริ่มทำตั้งแต่วันนี้ ปัญหาอาจจะไม่สามารถแก้ได้ในวันเดียว คงต้องอาศัยเวลา วันหนึ่งความรักก็จะกลับมาหาพวกเราทุกคนในภูมิภาคนี้อีกครั้งหนึ่ง...คิดและเริ่มทำ ได้แล้วกระมังครับ"

ผมหันกลับมาที่ศิษย์ลาวแล้วพูดว่า...“รู้จักสมเด็จพระเทพรัตนฯ หรือไม่”
นักศึกษาลาวตอบว่า...“รู้จักดีค่ะ”

ผมถามต่อว่า.... “วิจารณ์หรือแสดงความรู้สึกต่อพระองค์ท่านสักนิดซิครับ”
นักศึกษาลาวตอบว่า....“ท่านเป็นคนดีที่สุดในโลก”

นักศึกษาลาวพูดต่อว่า....“พระเทพเป็นคนดีที่สุด พระเทพรักคนลาว เป็นห่วงคนลาว เข้าใจคนลาว ช่วยเหลือคนลาว ไม่เคยดูถูกคนลาว ท่านเป็นคนที่ดีมากๆๆ”

ผมถามนักศึกษาลาวต่อว่า... “คนลาวรู้สึกอย่างไรต่อพระองค์ในภาพรวม”
นักศึกษาลาวพูดเสียงเครือ ๆ ว่า...“คนลาวรักสมเด็จพระเทพมาก ๆ มีบ้านพระเทพอยู่ที่เขื่อนน้ำงึมด้วย เรารู้สึกว่าพระเทพเป็นคนที่ดีที่สุด เป็นห่วงและทำให้เมืองลาวมากๆ...ฯลฯ...”

ผมพูดต่อไปว่า...“มีอะไรจะพูดอีกไหมครับ”
นักศึกษาลาว....เงียบ และยกมือขึ้นปาดน้ำตา
ยอดเยี่ยม...อึ้ง และ เงียบไปเหมือนกัน

ผมหันกลับมาหาลูกศิษย์ไทยอีก ๖๐ ชีวิตว่า....

“นี่ คือทองคำที่อยู่บนหัวนอนเรา เราอาจจะรู้ว่าเรามีทองคำอยู่ แต่ด้วยความเคยชิน เราจึงไม่ค่อยได้เช็ดถูรักษาทองคำของเรา แต่เราก็จะไม่ยอมให้ใครมาเอาทองคำของเราไป...เป็นความรู้สึกที่เราต้องรู้สึก และเป็นความรู้สึกที่วิศวกรอย่างเราต้องแสดงออกมาเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ นี่คือความรู้สึกของเรา”

หลังจากนั้นผมพูดอีกหลายประการ แต่ขออนุญาตไม่บันทึกไว้ที่นี้ เพราะเกรงว่าจะไม่สมควรที่จะบันทึกเป็นตัวหนังสือออกมาครับ

ผมรักประเทศไทย....
ผมรักและเทิดทูนสมเด็จพระเทพรัตนฯ ครับ
ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

‘ดร.สุวินัย’ มองปัญหาของ ‘ไทย’ ไม่ใช่แค่ ‘ปลาหมอคางดำ’ บุกระบบนิเวศ แต่ยังมี ‘ทุนนอก’ บุกระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นเกิด ‘วิกฤตฐานรากปี 2567’

(24 ก.ค. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘วิกฤติปลาหมอคางดำ’ กับปัญหา ‘Competitive Exclusion’ ในระบบนิเวศของเศรษฐกิจไทย โดยระบุว่า…

● ปัญหาเรื่องปลาหมอคางดำในเชิงชีววิทยา

ในเรื่องเกี่ยวกับระบบนิเวศนี้ ผู้รู้ทางชีววิทยาเขาจะแบ่งสิ่งมีชีวิตเป็น ...
(1) พวกผลิตเองได้ (autotroph) เช่น พืช 
(2) พวกผลิตอาหารเองไม่ได้ (heterotroph) เช่น สัตว์ทั่วไป ซึ่งจะแบ่งย่อยเป็นพวกกินพืช (herbivores) พวกกินสัตว์ (carnivore) พวกกินทั้งพืชและสัตว์ (omnivore)
(3) พวกผู้ย่อยสลายหรือพวกที่กินซาก (decomposer หรือ saprophytes) เช่น เห็ดรา สัตว์กินซาก นกแร้ง วรนุช ฯลฯ

การที่ผู้รู้ทางชีววิทยาแยกประเภทแบบนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า พื้นที่ในระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทนี้มันอยู่ที่ไหนในห่วงโซ่อาหาร การที่ปลาหมอคางดำมันสร้างปัญหาอยู่ตอนนี้ ก็เพราะมันกินทั้งพืช สัตว์ และซาก 

เท่านั้นยังไม่พอ ปลาหมอคางดำยังอยู่ได้ทั้ง 4 น้ำคือ น้ำเค็ม น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำร้อน (ทนอุณหภูมิสูงได้) ด้วยเหตุนี้ ปลาหมอคางดำจึงสามารถขยาย ‘พื้นที่ของตัวเอง’ ไปในระบบนิเวศ จนมันไม่เหลือพื้นที่ให้คนอื่นเขาอยู่

แค่นี้ยังไม่พอ ปกติพวกสัตว์จะมีการสืบพันธุ์ แบบ K type กับ R type

K type นี้จะมีลูกน้อย อายุยาวต้องเลี้ยงลูกนาน โอกาสรอดของลูกจึงสูงกว่า ถ้ามีลูกน้อย (สัตว์มนุษย์จัดอยู่ใน K type)

ส่วนพวก R type นี้จะออกลูกมาก เพราะโอกาสรอดของลูกมันจะต่ำ อาจจะถูกสัตว์อื่นกินไปมากก่อนจะโต เช่น นก หนู ปลา 

ส่วนเจ้าปลาหมอคางดำนี้ แม้จะเป็นพวก R type แต่ปลาหมอคางดำกลับมีวิวัฒนาการที่เหนือกว่าปลาทั่วไปที่พอผสมพันธุ์ภายนอกตัวเสร็จ ก็ไม่ดูแลต่อ 

แต่พ่อปลาหมอคางดำกลับอมลูกในปาก ปกป้องลูกของมัน จนมันอัตราการรอดมันสูงแบบ K type ไม่เหมือน R type ชนิดอื่น

มิหนำซ้ำปลาหมอคางดำยังกินทุกอย่าง อยู่ได้ทุกที่ ขยายพันธุ์เร็ว มีโอกาสรอดสูง..ปลาหมอคางดำจึงรุกเข้าไปอยู่ในทุกพื้นที่ ทุกระบบนิเวศ และทุก niche ในน้ำ...มันจึงสร้างปัญหาร้ายแรงต่อระบบนิเวศ

ในทางนิเวศวิทยา มีศัพท์คำหนึ่งคือ ‘Competitive Exclusion Principle’... ซึ่งโดยหลัก ๆ มันคือสิ่งเดียวกับคำกล่าวที่ว่า ‘เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้’

ในระบบนิเวศสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ล้วนต้องผ่านขบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตเขาจะหา ‘พื้นที่’ ของเขาในระบบนิเวศ หรือ niche ในการอยู่อาศัยของเขา เช่น จิ้งเหลนอยู่หากินตามพื้น, กิ้งก่าอยู่หากินบนต้นไม้ ไม่ทับเส้นกัน 

แต่ถ้าเมื่อไรมันทับเส้นกัน มันจะมีแค่สัตว์ชนิดเดียวที่หากินเก่งกว่า ที่มันจะรอด สัตว์ชนิดไหน ตัวไหน ถ้าหา niche ใหม่ไม่ได้ก็ตายหรือสูญพันธุ์ไป 

แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเจ้าปลาหมอคางดำนี้ มันกระจายตลาดของมันไปแทบจะทั่วทุก niche ในระบบนิเวศ?

จากหลักการของ Competitive Exclusion Principle ข้างต้น เราย่อมคาดการณ์ได้ว่า ...

มันคงมีหลายชีวิตหลายสายพันธุ์ ที่มันแข่งขันในตลาด ใน niche ของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป...จนอาจจะต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด

แน่นอนว่าในระบบนิเวศนี้มันไม่ได้อาศัยการแข่งขันกันอย่างเดียว แต่มันต้องพึ่งพาอาศัยกันด้วย 

เมื่อเกิดการสูญพันธุ์จำนวนมาก พอมาถึงจุด ๆ หนึ่ง ตัวระบบนิเวศทั้งระบบมันก็คงอยู่ไม่ได้ต้องล่มสลายลง

● การรุกคืบของทุนต่างด้าวที่หนีตายจากประเทศตัวเอง 

ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็ใช้การแข่งขันตามกลไกตลาด โดยผ่านขบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ (natural selection) เช่นกัน

การแข่งขันกันในตลาดนั้น ตามหลักเศรษฐศาสตร์มันเป็นสิ่งที่ดี และเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค...คนที่แข็งแกร่งก็อยู่รอด ส่วนคนที่แข่งต่อไม่ได้ก็ต้องล้มตายไป

จะเห็นได้ว่าในที่สุด ‘เศรษฐกิจไทย’ ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยง Competitive Exclusion Principle นี้ไปได้ ... โรงงานต่าง ๆ ธุรกิจต่าง ๆ ร้านค้าต่าง ๆ แห่ทยอยปิดตัว เพราะแข่งขันในตลาดต่อไปไม่ได้

กล่าวในเชิงระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ...ตอนนี้ธุรกิจคนไทยต้องเผชิญกับ alien species อื่น หรือ ‘กองทัพธุรกิจต่างด้าว’ (ปลาหมอคางดำเวอร์ชันธุรกิจ) ที่เขาหนีตายจากการแข่งขันใน ‘เกมกินรวบ Competitive Exclusion’ ของเจ้าพ่อ Platform ในประเทศของตน โดยหันมายึดตลาดใหม่ในบ้านเราแทน

นอกจากนี้ยังมีการผงาดขึ้นของ AI และหุ่นยนต์ที่ต่อไปก็จะเข้ามากินรวบแบบ Competitive Exclusion ใน ‘ตลาดแรงงาน’ ของจีนและของไทยอีกในไม่ช้า

สุดท้ายเมื่อมันเหลือแต่ ‘สปีชีย์ที่แข็งแกร่งที่สุด’ ที่ครอบครองได้ ‘ทุกตลาด’ ของระบบเศรษฐกิจไทยเท่านั้นที่จะอยู่รอดและเป็นใหญ่ได้

พอเป็นแบบนี้ ต่อไปชนชั้นล่างไทย ชนชั้นกลางไทย และธุรกิจรายเล็กรายน้อยของคนไทย มันจะเหลืออะไร?

~เรียบเรียงจากเพจของ เต่า วรเดช

● ‘วิกฤติฐานรากปี 2567’ น่าจะหนักกว่าและยืดเยื้อกว่า ‘วิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540’ อย่างเห็นได้ชัด

เนื่องเพราะ ‘วิกฤติฐานรากปี 2567’ ประกอบด้วย 2 วิกฤติผสมผสานกันกลายเป็นแรงบวกที่ส่งผลกระทบหนักขึ้นเป็นสองเท่า

2 วิกฤติที่ว่านั้นคือ

(1) ‘วิกฤติหนี้ครัวเรือน’ ที่ตอนนี้ได้สะสมจนทะลุ 91.3% ของ GDP ทำให้กำลังจับจ่ายใช้สอยของครัวเรือนหายไปไม่น้อย

(2) วิกฤติการล่มสลายของ ‘ระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ’ ของธุรกิจ SMEs ในประเทศไทย ที่ถูก ‘ทุนจีน’ บุกเข้ามารุมขยี้ เพื่อยึดพื้นที่ด้วยกลยุทธ์ถล่มราคาแบบบ้าเลือด โดยมุ่งให้ธุรกิจเดิมของคนไทยอยู่ต่อไม่ได้

ธุรกิจไทยที่ร่วงแล้วหรือกำลังจะร่วง เพราะถูกทุนจีนบุกได้แก่…เสื้อผ้า / สินค้าอุปโภคของใช้ในชีวิตประจำวัน / สินค้าบริโภคร้านเล็กร้านน้อย / โรงแรม-รีสอร์ทท้องถิ่นขนาดเล็ก / อุตสาหกรรมการผลิตขนาดเล็ก / ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ของรถยนต์สันดาป / ร้านค้าออนไลน์ 

คนไทยต้องเตรียมรับมือผลกระทบอย่างยืดเยื้อ อันเนื่องมาจาก ‘วิกฤติฐานรากปี 2567’ ให้ดีเถิด

ด้วยความปรารถนาดี

~ สุวินัย ภรณวลัย
Suvinai Pornavalai


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top