Tuesday, 22 April 2025
ประท้วง

‘ชาวเมียวดี’ ชุมนุมต่อต้านไทย!! หลังมาตรการ ‘ตัดไฟ-ตัดน้ำมัน’ เตรียมรับมือปัญหาต่อไป ‘การลักลอบเข้าเมือง-การค้า-สาธารณสุข’

ตามที่รัฐบาลไทยใช้ปฏิบัติการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยการเน้นไปที่การตัดไฟ ตัดน้ำมันและอินเทอร์เนตนั้น เอย่ากล่าวแล้วในบทความก่อนว่าการตัดไฟนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่กลุ่มสแกมเมอร์เลย เพราะพวกนั้นไม่ได้ซื้อขายผ่านระบบที่ถูกต้องอยู่แล้วทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน คนที่เดือดร้อนคือชาวบ้านที่เมียวดีและชาวบ้านริมชายแดนที่ได้รับอานิสงส์จากการซื้อขายไฟต่างหากเป็นผู้ได้รับผลกระทบ

และนั่นก็ทำให้เหตุวันนี้เกิดขึ้น โดยวันนี้เวลา 9.00 น. ชาวเมียวดีมาชุมนุมเรียกร้องให้ปิดการค้าขายทั้งหมดทั้งสะพานและท่าข้ามต่าง ๆ จากไทยและแบนการใช้สินค้าไทยทั้งหมดเพื่อตอบโต้ที่ไทยปฏิบัติการที่ไทยจัดการสแกมเมอร์แต่ชาวบ้านเดือดร้อน

เอย่าได้กล่าวไปแล้วว่าการตัดไฟ ตัดน้ำมัน เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและจะสร้างผลเสียหายต่อไทยโดยเฉพาะการค้าชายแดน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะลุกลามเป็นกระแสการแบนสินค้าไทยในเมียนมาด้วย 

การค้าชายแดนที่ผ่านมาหากนับแค่การค้าผ่านด่านการค้าชายแดนก็มีมูลค่านับพันล้านบาทต่อเดือน โดยหากดูมูลค่าส่งออกเดือนธันวาคม อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาทไม่รวมการส่งออกตามท่าข้ามต่าง ๆ

แม้จนถึงตอนนี้จะมีรายงานว่ามีประชาชนมาชุมนุมยังไม่มากดังที่แผนที่เขาววางไว้ว่าจะมาชุมนุมถึง 3000 คนก็ตามแต่หากความเดือดร้อนนี้ยังคงอยู่ จะยิ่งสร้างความขัดแย้งอันนำผลมาสู่ปัญหาชายแดนนอกจากเรื่องการค้าแล้ว การลักลอบเข้าเมืองจะสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ทั้งปัญหาเรื่องสาธารณสุขที่จะกลายเป็นว่าคนเหล่านั้นจะข้ามมารักษาตัวที่ไทย  แล้วใครคือผู้ได้รับผลกระทบจริง ๆ กลุ่มคอลเซนเตอร์หรือคนไทย...?

รองนายกฯ เซอร์เบียโวย การประท้วงได้รับการหนุนจากต่างชาติ ชี้ USAID คือแหล่งทุนสำคัญในการเคลื่อนไหวครั้งนี้

(25 มี.ค. 68) กระแสความไม่พอใจในเซอร์เบียยังคงเดือดดาล หลังเกิดการประท้วงต่อเนื่องทั่วประเทศตั้งแต่ช่วงปลายปี 2024 โดยล่าสุด นายอเล็กซานดาร์ วูลิน รองนายกรัฐมนตรีเซอร์เบีย ให้สัมภาษณ์กับ Sputnik โดยกล่าวหาว่าการประท้วงที่ลุกลามไปทั่วประเทศเป็นส่วนหนึ่งของ “แผนปฏิวัติสี” ซึ่งได้รับการวางแผนและสนับสนุนจากหน่วยข่าวกรองของชาติตะวันตก

โดยความตึงเครียดในเซอร์เบียยังคงเพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางการประท้วงที่เกิดขึ้นทั่วประเทศตั้งแต่ปลายปี 2024 ล่าสุด ประธานาธิบดี อเล็กซานดาร์ วูชิช ยืนยันว่าเขาได้เตือนถึงความพยายามแทรกแซงจากชาติตะวันตกตั้งแต่ปี 2023 และได้กล่าวถึงเรื่องนี้หลายครั้งในปี 2024 โดยอ้างอิงข้อมูลจาก หน่วยข่าวกรองรัสเซีย ที่ชี้ชัดถึงการเคลื่อนไหวที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติในประเทศเซอร์เบีย

วูลินระบุว่า เห็นสัญญาณของความพยายามแทรกแซงจากภายนอกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากประเทศในกลุ่ม สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป รวมถึง USAID เป็นแหล่งทุนใหญ่ ซึ่งเขาเชื่อว่าการประท้วงที่กำลังเกิดขึ้นอาจเชื่อมโยงกับ “ปฏิวัติสี” (Color Revolution) ที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศในยุโรปตะวันออกและเอเชียกลางในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา พร้อมชี้ว่า “นี่ไม่ใช่การเคลื่อนไหวของประชาชนเพียงลำพัง แต่เป็นการดำเนินงานตามกลยุทธ์ของต่างชาติที่ต้องการแทรกแซงกิจการภายในของเซอร์เบีย”

คำว่า “ปฏิวัติสี” หมายถึง การลุกฮือของประชาชนที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่ไม่เป็นที่พอใจของชาติตะวันตก โดยมักเกิดขึ้นในช่วงที่มีความไม่พอใจในรัฐบาล และความเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง

สำหรับการประท้วงในเซอร์เบียครั้งนี้ เกิดการปะทุขึ้นจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ปัญหาเศรษฐกิจ คอร์รัปชัน ไปจนถึงความไม่พอใจต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีอเล็กซานดาร์ วูซิช 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเซอร์เบียมองว่าการชุมนุมที่ขยายตัวขึ้นนี้ไม่ใช่เพียงแค่ปฏิกิริยาของประชาชน แต่เป็นแผนการที่มีการจัดตั้งและสนับสนุนจากภายนอก

ด้านผู้จัดการชุมนุมและนักเคลื่อนไหวหลายกลุ่มออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของรัฐบาล โดยยืนยันว่าการประท้วงเกิดขึ้นจากความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อปัญหาภายในประเทศ และไม่มีอิทธิพลจากต่างชาติแทรกแซง

ขณะที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า ประเด็นนี้อาจเพิ่มความตึงเครียดให้กับความสัมพันธ์ระหว่างเซอร์เบียกับชาติตะวันตกมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การประท้วงยังไม่มีท่าทีจะลดความร้อนแรงลง ท่ามกลางความกังวลว่าสถานการณ์อาจนำไปสู่ความไม่สงบในระดับที่รุนแรงขึ้น ขณะที่รัฐบาลเซอร์เบียยืนยันว่าจะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศต่อไป

ชุมนุม Hands Off แสดงความโกรธ ลุกฮือต่อต้านนโยบายทรัมป์ หลังการปิดหน่วยงานรัฐ ตัดงบสุขภาพ และการลดการคุ้มครองบุคคลข้ามเพศ

(6 เม.ย. 68) ฝูงชนที่โกรธแค้นต่อแนวทางการบริหารประเทศ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ออกมาเดินขบวนและรวมตัวกันในเมืองต่างๆ ของอเมริกาในวันเสาร์ที่ผ่านมา (5 เม.ย.) ซึ่งถือเป็นวันที่มีการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของสหรัฐฯ

มีการจัดการชุมนุมที่เรียกว่า Hands Off! ขึ้นในสถานที่ต่างๆ กว่า 1,200 แห่งใน 50 รัฐโดยกลุ่มต่างๆ กว่า 150 กลุ่ม รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชน สหภาพแรงงาน ผู้สนับสนุนกลุ่ม LBGTQ+ ทหารผ่านศึก และนักรณรงค์การเลือกตั้ง การชุมนุมดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นไปอย่างสันติ โดยไม่มีรายงานการจับกุมใดๆ ในขณะนี้

ผู้ประท้วงหลายพันคนในเมืองต่างๆ ทั่วประเทศตั้งแต่มิดทาวน์แมนฮัตตันไปจนถึงแองเคอเรจ รัฐอลาสก้า รวมถึงอาคารรัฐสภาหลายแห่ง โจมตีการกระทำของทรัมป์และมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์เกี่ยวกับการลดขนาดรัฐบาล เศรษฐกิจ การย้ายถิ่นฐาน และสิทธิมนุษยชน

อีกทั้ง ผู้ประท้วงถือป้ายที่มีคำเช่น “ต่อสู้กับกลุ่มผู้มีอำนาจปกครอง” พร้อมตะโกนขณะเดินขบวนไปตามถนนในพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน และลอสแองเจลิส ซึ่งพวกเขาเดินขบวนจากเพอร์ชิงสแควร์ไปยังศาลากลาง

การจัดการชุมนุมในครั้งนี้มาจากการที่ ผู้ประท้วงแสดงความโกรธต่อการเคลื่อนไหวของฝ่ายบริหารในการไล่พนักงานรัฐบาลหลายพันคน ปิด สำนักงานภาคสนามของสำนักงาน ประกันสังคมปิดหน่วยงานทั้งหมด ส่งตัวผู้อพยพกลับลดการคุ้มครองบุคคลข้ามเพศ และตัดงบประมาณโครงการด้านสุขภาพ

โดยก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ นักธุรกิจและนักลงทุน และที่ปรึกษาของทรัมป์ที่บริหาร Tesla, SpaceX และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X กลายมามีบทบาทสำคัญในการลดขนาดบริษัทในฐานะหัวหน้าแผนกประสิทธิภาพของรัฐบาลที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ เขาบอกว่าเขาช่วยประหยัดเงินภาษีของประชาชนได้หลายพันล้านดอลลาร์

ทำเนียบขาวกล่าวในแถลงการณ์ว่า “จุดยืนของประธานาธิบดีทรัมป์ชัดเจน เขาจะปกป้องประกันสังคม เมดิแคร์ และเมดิเคดให้กับผู้มีสิทธิ์ ในขณะเดียวกัน จุดยืนของพรรคเดโมแครตคือมอบสิทธิประโยชน์ประกันสังคม เมดิเคด และเมดิแคร์ให้กับคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งจะทำให้โครงการเหล่านี้ล้มละลายและทำลายผู้สูงอายุชาวอเมริกัน”

เคลลีย์ โรบินสัน ประธานกลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน วิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติของรัฐบาลต่อชุมชน LBGTQ+ ในการชุมนุมที่เนชันแนล มอลล์ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งสมาชิกรัฐสภาจากพรรคเดโมแครตก็ได้ขึ้นเวทีด้วย

“พวกเขากำลังตัดงบประมาณป้องกันเอชไอวี พวกเขากำลังทำให้แพทย์ ครู ครอบครัว และชีวิตของเรากลายเป็นอาชญากร พวกเราไม่ต้องการอเมริกาแห่งนี้ พวกเราต้องการอเมริกาที่เราสมควรได้รับ ซึ่งศักดิ์ศรี ความปลอดภัย และเสรีภาพ” โรบินสันกล่าว

โรเจอร์ บรูม วัย 66 ปี ผู้เกษียณอายุจากเดลาแวร์เคาน์ตี้ รัฐโอไฮโอ เป็นหนึ่งในหลายร้อยคนที่ออกมาชุมนุมที่รัฐสภาในโคลัมบัส เขาบอกว่าเขาเคยเป็นรีพับลิกันในสมัยเรแกน แต่ตอนนี้เขาไม่ชอบทรัมป์แล้ว “เขากำลังทำให้ประเทศนี้แตกแยก” บรูมกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top