Wednesday, 19 June 2024
ปปช

‘ศรีสุวรรณ’ จ่อ ร้อง ‘ป.ป.ช.’ สอบ ‘รองอ๋อง’ ปมเลี้ยงหมูกระทะ ชี้!! ใช้งบหลวงผิดประเภท ส่อเข้าข่ายฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง

(19 ส.ค. 66) นายศรีสุวรรณ จรรยา กลุ่มองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า “ใช้งบรับรองแขก เลี้ยงหมูกระทะแม่บ้านสภา จากเงินภาษีของ ปชช.เพื่อหน้าตาของตนเอง ถือเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่?”

ขณะเดียวกัน นายศรีสุวรรณ แจ้งสื่อมวลชนว่า ในวันจันทร์ที่ 21 ส.ค. 66 เวลา 10.00 น. จะไปยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ขอให้ไต่สวน ตรวจสอบ รองฯอ๋อง (นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พรรคก้าวไกล รองประธานสภาฯ ) เพื่อวินิจฉัยว่าเข้าข่ายฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติห้ามไว้ หรือไม่ เพราะกระทำการที่อาจขัด รธน.เกี่ยวกับผลประโยชน์ขัดกัน ประกอบมาตรฐานจริยธรรมฯ

‘นิวัติไชย’ ยัน!! ป.ป.ช.ชี้มูล 15 ผู้ถูกกล่าวหา ‘คดีบอส’ จริง พบ ‘สมยศ-เนตร’ โดนด้วย ส่วน ‘เพิ่มพูน’ ผิดวินัยไม่ร้ายแรง

(6 ก.ย. 66) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยืนยันข้อเท็จจริงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาในคดีกลับคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ ‘บอส’ ในข้อหาขับรถยนต์ชน ‘ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ’ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 เนื่องจากมีการเปลี่ยนพยานหลักฐานด้านความเร็วของรถไปแล้วจริง เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2566

นายนิวัติไชย ยอมรับว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกชี้มูลความผิดนั้นจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ ต้องรอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.รับรองรายงานการประชุม ก่อนจะแถลงข่าวกับสื่อมวลชนต่อไป อย่างไรก็ดี ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหาหลัก เช่น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. และนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด (อสส.) โดนชี้มูลความผิดไปทั้งหมด

ส่วน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้เมื่อครั้งยศ พล.ต.ท. ถูกที่ประชุมชี้มูลความผิดด้วยเช่นกัน แต่เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง และส่งเรื่องให้ต้นสังกัดไปดำเนินการทางวินัยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด 15 ราย ได้แก่ ทั้งอดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว และยังรับราชการอยู่ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ นักการเมือง เป็นต้น

ฮือฮา!! ‘ป.ป.ช.’ เปิดบัญชีทรัพย์สิน ‘สส.โตโต้’ พบ 3 ปี มีรถยนต์ 5 คัน-ที่ดิน 3 ล้าน-ตึกแถวในเมือง

(22 ก.ย. 66) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส. เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 66 จำนวน 91 ราย บัญชีที่น่าสนใจในส่วนของ สส.พรรคก้าวไกล โดย นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ ‘สส.โตโต้’ แจ้งว่ามีสถานภาพโสด มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 6,599,577 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 3,410,171 บาท โดยในส่วนของทรัพย์สินประกอบด้วย เงินฝาก 22,577 บาท ที่ดิน 3,000,000 บาท ซึ่งเป็นที่ดินในอำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2,500,000 บาท เป็นตึกแถว 3 ชั้น ย่านบางพลัด กรุงเทพฯ ยานพาหนะ 1,077,000 บาท

นายปิยรัฐ แจ้งว่า เป็นรถยนต์ 5 คัน ประกอบด้วย
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ยี่ห้อโฟล์ค ได้มาเมื่อเดือน พ.ย. 2563
- รถยนต์ส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า ได้มาเมื่อเดือน ม.ค. 2564
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อมินิ รุ่นคูเปอร์ ได้มาเมื่อเดือน มิ.ย. 2566
- รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า ได้มาเมื่อ ก.ย. 2564
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อโตโยต้า ได้มาเมื่อ พ.ย. 2563 จักรยานยนต์ 2 คัน ประกอบด้วยจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น แอร์เบลด และฮอนด้าคลิก

‘ไอซ์-รักชนก’ โอนหุ้น 2 บริษัทฯ ขายของออนไลน์ ก่อนยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.

(1 พ.ย. 66) สำนักข่าวอิศรา รายงานข่าวสืบเนื่องจากกรณีที่ นางสาวรักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาราษฎร (สส.) กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส.วันที่ 4 ก.ค. 2566 สถานะ โสด มีทรัพย์สินรวม 5,840,477 บาท หนี้สิน 1,814,816 บาท

น.ส.รักชนะ ระบุ ประวัติการทำงานย้อนหลัง 5 ปีว่า เป็นกรรมการบริษัท 2 แห่ง

- ปี 2562-2566 เป็นกรรมการ บริษัท หาเงินไปดาวอังคาร จำกัด
- ปี 2563-2566 เป็นกรรมการ บริษัท เดินเล่นบนดาวอังคาร จำกัด
- ปี 2564-2566 ที่ปรึกษาประธาน กรรมาธิการ พัฒนาการเมือง การสื่อสาร และการมีส่วนร่วมของประชาชน

ขณะที่รายการทรัพย์สินของ น.ส.รักชนก มิได้ระบุถือครองหุ้น 2 บริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า น.ส.รักชนได้ลาออกจากกรรมการและโอนหุ้นทั้งสองบริษัท ในช่วงเดือน มิ.ย.2566 ก่อนยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. มีรายละเอียดดังนี้

1.) บริษัท หาเงินไปดาวอังคาร จำกัด จดทะเบียนวันที่ 9 กันยายน 2562 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการซื้อขายสินค้าและขายส่งสินค้าผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่ตั้งเลขที่ 264/135 ซอยเทียนทะเล 19 ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร น.ส.รักชนก เป็นกรรมการจดทะเบียนก่อตั้ง และถือหุ้นใหญ่ 9,400 หุ้น ผู้ถือหุ้นรายอื่น 2 คน คนละ 500 หุ้น และ 100 หุ้น รวมผู้ถือหุ้นทั้งหมด 3 คน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท

วันที่ 20 มิถุนายน 2566 น.ส.รักชนก ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ น.ส.รักชนก ออก นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เข้าเป็นกรรมการแทน (นายทะเบียนรับจดทะเบียนวันที่ 22 มิถุนายน 2566)

ข้อมูลบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น

วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 บริษัทฯ นำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ณ วันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 วันที่ 19 มิ.ย.2566 นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เป็นผู้ถือหุ้น จำนวน 9,400 หุ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นอีก 2 รายไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หุ้นที่นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ ถือครอง จำนวน 9,400 หุ้นรับโอนมาจาก น.ส.รักชนก ทั้งหมด (ดูเอกสาร)

2.) บริษัท เดินเล่นบนดาวอังคาร จำกัด จดทะเบียนวันที่ 31 มกราคม 2563 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการขายสินค้าออนไลน์ ที่ตั้งเลขที่ 264/135 ซอยเทียนทะเล19 ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร (ที่ตั้งเลขที่เดียวกันกับบริษัทแรก) น.ส.รักชนกเป็นกรรมการผู้ริเริ่มก่อตั้งและถือหุ้นใหญ่ 94,000 หุ้น ผู้ถือหุ้นอื่นอีก 2 ราย คนละ 500 หุ้น และ 100 หุ้น รวมผู้ถือหุ้นทั้งหมด 3 คน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท

วันที่ 20 มิถุนายน 2566 น.ส.รักชนก ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ น.ส.รักชนก ออก นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เข้าเป็นกรรมการแทน (นายทะเบียนรับจดทะเบียนวันที่ 22 มิถุนายน 2566)

ข้อมูลบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น 

วันที่ 11 กรกฎาคม 2566 บริษัทฯ นำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ณ วันประชุม วิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 วันที่ 19 มิ.ย.2566 นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ เป็นผู้ถือหุ้น จำนวน 9,400 หุ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นอีก 2 รายไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หุ้นที่นายกฤตนัย อัฉริยะศิลป์ ถือครอง จำนวน 9,400 หุ้นรับโอนมาจาก น.ส.รักชนก ทั้งหมด (ดูเอกสาร)

ทั้งสองบริษัทยื่นจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ และนำส่งบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น พร้อมกัน และผู้รับโอนหุ้นจาก น.ส.รักชนก รวม 2 บริษัท จำนวน 18,800 หุ้น มูลค่า 1,880,000 บาท เป็นคนดียวกัน (ดูตารางประกอบ)

จากข้อมูลเห็นได้ว่า การลาออกจากตำแหน่งกรรมการและเป็นผู้ถือหุ้นธุรกิจทั้งสองแห่งของ น.ส.รักชนก ให้ผู้ถือหุ้นรายใหม่ มีขึ้นก่อนยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส.วันที่ 4 ก.ค.2566 โดย สำนักตรวจสอบทรัพย์สินภาคการเมืองรับวันที่ 10 ต.ค.2566 (ดูเอกสาร)

ไม่มีชื่อ สส.สาวถือหุ้นธุรกิจขายของออนไลน์อีกต่อไป

ปปช.คัดเลือกเมืองพัทยาหน่วยงานภาครัฐบริหารงานอย่างโปร่งใส รับรางวัลเกียรติยศ ITA Awards ประจำปี 2566

วันที่ 3 พ.ย.66 ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากทีมประชาสัมพันธ์เมืองพัทยาว่า นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา ได้เข้ารับมอบโล่รางวัลเกียรติยศประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ประเภทพัฒนาการสูงสุด ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ITA Awards) ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยมี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบโล่รางวัลเกียรติยศฯ พร้อมด้วย ผู้บริหารสำนักงาน ป.ป.ช. และผู้บริหารสูงสุดของทุกหน่วยงานที่ได้รับมอบรางวัลเข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธี ที่ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร

โดยเมืองพัทยาได้เข้ารับการประเมิน เป็นหน่วยงานที่มีคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเมืองพัทยาได้รับผลคะแนนรวม บรรลุผลตามเป้าหมายตัวชี้วัดที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการมอบรางวัล ITA Awards  เป็นผลมาจากการบริหารจัดการและการดำเนินงานในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และมีความโปร่งใส ประเภทพัฒนาการสูงสุด
    
ทั้งนี้ การได้รับโล่รางวัลเกียรติยศประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ได้สะท้อนให้เห็นว่า เมืองพัทยามีการบริหารงานและกำกับดูแลการดำเนินงานให้มีคุณธรรมและให้ความสำคัญกับความโปร่งใสขององค์กรเป็นอย่างดี

นายปรเมศวร์ นายกเมืองพัทยา กล่าวว่าเมืองพัทยาได้เข้ารับการประเมิน เป็นหน่วยงานที่มีคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเมืองพัทยาได้รับผลคะแนนรวม บรรลุผลตามเป้าหมายตัวชี้วัดที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการมอบรางวัล ITA Awards จากหน่วยงานทั้งประเทศที่ได้รับการประเมินทั้งหมด 8,303หน่วยงาน โดยเมืองพัทยาเป็น 1 ใน 33 หน่วยงานที่ได้รับรางวัลในวันนี้ ในด้านการพัฒนาสูงสุดซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการและการดำเนินงานในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเป็นธรรม และมีความโปร่งใสต่อพี่น้องประชาชน และยังสะท้อนหน่วยงานของเมืองพัทยาตั้งแต่ระดับผู้บริหารจนถึงเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ได้มุ่งมั่นสร้างคุณธรรมและให้มีความโปร่งใสในองค์กรให้เป็นที่ประจักษ์ และถือได้ว่ารางวัลนี้เป็นรางวัลแรกที่เมืองพัทยาได้รับ และเป็นรางวัลสำหรับทุกคนตั้งแต่ระดับผู้บริหารหัวหน้าส่วน ตลอดจนพนักงานทุกคน ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลพลอยได้ ที่ทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจทำงานกันมาอย่างหนักตลอดปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้การได้รับโล่รางวัลเกียรติยศประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ได้สะท้อนให้เห็นว่า เมืองพัทยามีการบริหารงานและกำกับดูแลการดำเนินงานให้มีคุณธรรมและให้ความสำคัญกับความโปร่งใสขององค์กรเป็นอย่างดี และรางวัลนี้เป็นการรับประกันการทำงานของเมืองพัทยาที่ผ่านมา ในการที่จะมุ่งมั่นทุ่มเทสร้างความมั่นใจ กับการพัฒนาให้บริการแก่ประชาชน เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการตอบสนองประชาชนในเรื่องของความโปร่งใส ให้ได้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด

'เพจดัง' บี้ 'ก้าวไกล' ส่งข้อมูล ป.ป.ช.สอบจริยธรรม ถอดถอน 'ปูอัด-แจ้' อย่าละเว้นความรับผิดชอบ 'ทิ้งมรดกบาป' ไว้กลางรัฐสภา

(30 พ.ย.66) เพจเฟซบุ๊ก ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ โพสต์ข้อความดังนี้…

#ทุกคนคะ พวกเราทำดีที่สุดแล้วค่ะ

ถึงแม้ สส.พี่แจ้ และ สส.พี่ปูอัด จะได้พรรคสังกัดใหม่ แต่พวกเราได้พิสูจน์ให้สังคมเห็นแล้วว่า ไม่มีพรรคการเมืองไหนใหญ่กว่าประชาชน

แม้พรรคก้าวไกลจะพยายามปกปิดข้อมูลและสอบสวนไปอย่างล่าช้า สุดท้ายก็ต้องขับทั้งคู่ออกจากพรรค ‘เป็นความพยายามที่ไม่สูญเปล่า’

พวกเราได้กระชากหน้ากากพรรคคนดีให้สังคมเห็นแล้วว่าเป็นพรรคของปลอม

พวกเราได้พิสูจน์บาร์แล้วว่าบาร์ของพรรคก้าวไกลที่อ้างว่าสูงกว่า ความจริงต่ำเตี้ยมาก

พวกเราได้พิสูจน์ว่า ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ไม่มีจริงจาก กรณี 22 สส. ยกมือโหวตอุ้ม

ทั้งหมดต้องขอบคุณ ทีมงาน พี่อี้ พี่เค พี่กรุง เหล่าสีดา และที่ขาดไม่ได้คือ พี่ๆ ในเพจที่ร่วมผลักดันและเป็นกำลังใจให้หนู

แต่พวกเราไม่สามารถตามขับไล่ สส.ทั้ง 2 คน ไปตลอด พวกเขาไม่มีความละอายใจและนึกถึงจริยธรรมนักการเมือง ซึ่งอาจเป็น DNA ที่ติดตัวมาจากพรรคก้าวไกล

พวกเราขอเรียกร้องให้พรรคก้าวไกล แสดงความรับผิดชอบ ด้วยการส่งข้อมูลการสอบสวนการคุกคามทางเพศของ สส. ทั้ง 2 ส่งให้ ป.ป.ช. สอบจริยธรรม ยื่นถอดถอนจากการเป็น สส.

พรรคก้าวไกล อย่าปัดภาระ ละทิ้งความรับผิดชอบ ทิ้งมรดกบาป ไว้กลางรัฐสภาเลย

‘เศรษฐา’ จี้!! สืบหาตัว ‘บิ๊กตำรวจ’ คุยโวสนิทผู้ใหญ่ ใน ป.ป.ช. หลังโซเชียลชี้เป้า ‘บิ๊กโจ๊ก-สุภา’ ส่อแวว ถึงเวลาปฏิรูปองค์กร!!

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีการถามไถ่กันให้วุ่นว่า คลิปเสียง ‘ตำรวจใหญ่’ ที่คุยว่าสนิทสนมกับ ‘ผู้ใหญ่’ ใน ป.ป.ช. สามารถกำหนดคดี–ชี้ชะตาคนได้ ที่หลุดว่อนโซเซียลฯ ในเวลานี้ นายตำรวจใหญ่ผู้นี้เป็นใคร และผู้ใหญ่ใน ป.ป.ช.นั้น หมายถึงใคร?

ประการสำคัญ มีคำถามว่า ทำไม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ‘ป.ป.ช.’ องค์กรอิสระที่ต้องทำงานด้วยความโปร่งใส ยึดถือความถูกต้องและยุติธรรมถึงได้ปล่อยให้ ‘คนนอก’ เข้ามาแทรกแซงด้วยความอหังการ มมังการ ประหนึ่งควบคุม ป.ป.ช. ไว้ในอุ้งมือ!!

‘ป.ป.ช.’ เป็นองค์กรอิสระแต่กลับไม่มีอิสระซะงั้น!?

ลองย้อนไปฟังที่นายตำรวจคนนี้พูดดู…

“เออ ไล่ออกปลดออกนะ แต่อาญาน่ะมันติดคุกนะ แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกผม ส่ง ป.ป.ช.เนี่ย ป.ป.ช.ไม่ทำเรื่องคุณหรอก เดี๋ยว ป.ป.ช.ส่งมาให้ผมกลับมาทำเองนะ เออ คุณไม่ต้องกังวล เร็วแน่นอน ทุกเคสที่ผมทำ ไม่มี ป.ป.ช.รับหรอก แต่มีการพูดตรวจสอบทรัพย์สิน ตอนนี้ ‘ท่านXXX’ เขาตั้งเรื่องแล้ว นี่เรียกนายเวรเข้าไปด้วยคนหนึ่ง…”

ความระหว่างบรรทัดที่ออกจากปากเจ้าของเสียงในคลิปพูด จะเห็นได้เลยว่า ตัวเองคุมเกมคดีที่ ป.ป.ช.ได้เองเบ็ดเสร็จ โดยความร่วมมือของคนใน ป.ป.ช.

เรียกว่า “ใหญ่คับ ป.ป.ช.” จริงๆ!!

หลังคลิปนี้เผยแพร่เป็นวงกว้าง จึงสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

คนของทั้ง 2 องค์กร พูดกันมาให้เข้าหูเลยว่า นี่เป็นความเสื่อมที่สุดของทั้งตำรวจ และ ป.ป.ช. เพราะนายตำรวจใหญ่ที่เป็นลุงแก่อำนาจเพียงคนเดียว!! เพราะผู้ใหญ่ใน ป.ป.ช. ที่ว่ากันว่า เป็นถึงกรรมการ ป.ป.ช.ยอมเป็นเครื่องมือให้ความช่วยเหลือ ‘คิดบัญชี’ ชำระแค้นคนนั้น คนนี้ อย่างนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ขององค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. ไม่น่าเชื่อว่า จะตกต่ำได้ขนาดนี้

เรื่องนี้เป็น ‘หลุมดำ’ จะสร้างวิกฤติศรัทธาให้กับ ป.ป.ช. อย่างแน่นอน และความหนักหนาสาหัสของเรื่องนี้ ก็มีความจำเป็นเพียงพอที่จะต้อง ‘ปฎิรูป ป.ป.ช.’ ยกใหญ่

ไม่ใช่แค่คนใน สตช. และ ป.ป.ช. ที่พูดกัน ฟังว่าเรื่องไปเข้าหู ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงกับเอ่ยปากต่อสื่อว่า “นี่เป็นเรื่องสำคัญ ต้องสืบมาให้รู้แจ้ง ยืนยันให้ได้ว่าเป็นเสียงของนายตำรวจใหญ่จริงหรือไม่ สืบทราบได้หรือเปล่าว่าเป็นใคร? หากเป็นเรื่องที่พอจะมีหลักฐานที่จะนำไปขยายผลต่อได้ ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย”

นายกฯ ออกโรงส่งสัญญานมาแบบนี้ ก็ต้องถามไปยัง ‘พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ’ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. หรือ ‘บิ๊กต่อ’ ท่านยังจะไม่ดำเนินการอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ?

คลิปหลุดงานนี้ ภาษาชาวบ้านเขาว่า ‘ชุดใหญ่ไฟไหม้บ้าน’ ขนาดนี้แล้ว ควรต้องทำตามคำของนายกฯ หาตัวนายตำรวจใหญ่ และ บอร์ด ป.ป.ช. ที่ถูกอวดอ้างว่าสนิทสนมเร่งด่วนเลย สอบสวนให้ดูดำรู้แดง แล้วแจ้งต่อสาธารณะให้รู้ อย่างน้อยๆ ก็กู้วิกฤติศรัทธากันเฉพาะหน้ามาก่อน

โดยเฉพาะ ป.ป.ช.ที่ถูกแอบอ้างเสียหายเต็มๆ พล.ต.อ.วัชรพล ต้องอย่าช้า!! ของพรรค์นี้สืบกันไม่ยาก สมัยนี้อย่าประมาทชาวโซเชียลฯ เด็ดขาด นักสืบโซเชียลฯ ทำงานกันเร็ว

หากไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร แนะนำให้ลองไถฟีดไล่ตามคอมเมนต์ข่าวนี้ดู จะเห็นคำตอบของเจ้าของคลิปเสียงที่ชาวโชเชียลฯ ส่วนใหญ่ชี้เป้าไปที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หรือ ‘บิ๊กโจ๊ก’ เจ้าของฉายา ‘โจ๊ก หวานเจี๊ยบ’

ขณะที่คนใหญ่คนโต ป.ป.ช.ที่ถูก ‘บิ๊กโจ๊ก’ เอ่ยอ้างว่าสนิทสนมด้วยนั้น คือ ‘น.ส.สุภา ปิยะจิตติ’ กรรมการ ป.ป.ช.ที่จะพ้นวาระในอีกไม่กี่วันข้างหน้า!!

นักสืบโซเชียลฯ ยังล้วงลับตับแตกถึงความสัมพันธ์ของ ‘บิ๊กโจ๊กและสุภา’ นั้นไม่ธรรมดา อาจจะเพราะบิ๊กโจ๊กเข้าหาผู้ใหญ่เก่ง พูดจาอ่อนน้อม อ่อนหวาน ทำงานคล่องแคล่วว่องไว สุภาจึงไว้วางใจ

บิ๊กโจ๊ก มาเติมเต็มในส่วนที่ สุภา ขาดในเรื่องสืบสวนสอบสวน เวลาผ่านไปจาก ‘รู้จัก’ ก็กลายเป็น ‘มักคุ้น’ รู้ซึ่งกันและกัน แต่ความเป็นบิ๊กโจ๊กที่ทั้งชีวิตเป็นตำรวจจะเก่งเรื่องเก็บกุมความลับของคน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า สุภาที่คนใน ป.ป.ช.เรียกขานฉายา ‘ภาไม่ยอม’ เหตุไฉนจึงโอนอ่อนผ่อนตามบิ๊กโจ๊กได้นั้น อาจเพราะจำยอม จำนน เพราะถูกกุมความด้วยเหตุฉะนี้หรือไม่!?

สุภา จะรู้หรือไม่ ไม่อาจรู้ได้ แต่... รู้กันในหมู่สีกากีว่า ฉายา ‘หวานเจี๊ยบ’ ของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่พึงระวังหวานมาก ก็กลายเป็นขมได้!!

ผู้ใหญ่หลายคนที่เคยสัมผัส และให้ความเอ็นดูกับบิ๊กโจ๊ก เคยเจอกันมาแล้ว ทุกวันนี้ยังรักษาอาการ ‘หลังหัก’ ไม่หาย

ไม่ทราบว่า บิ๊กโจ๊กยังพอจะจดจำคนเหล่านี้ได้หรือไม่… พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีต ผบ.ตร., พล.ต.ท.พีระพงศ์ ดามาพงศ์ หรือแม้กระทั่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘ลุงป้อม’ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ บุคคลเหล่านี้ถ้าจะบอกว่าเป็น ‘ผู้มีพระคุณ’ สำหรับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ไม่ผิดนัก!!

โดยเฉพาะ ‘ลุงป้อม’ ใครๆ ก็รู้ เอ็นดูบิ๊กโจ๊กเหมือนหลานในไส้ แต่ก็มีเรื่องงามไส้ของ ‘ป่ารอยต่อฯ’ ที่ว่ากันว่าหลุดมาจากแฟ้มลับในคอมพิวเตอร์ของหลานรัก ไปถูกอภิปรายในสภาฯ

หรือกระทั่ง ‘พี่น้อง 3 ป.’ ของลุงป้อมอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ‘ลุงตู่’ สมัยนั่งเป็นนายกฯ ก็เคยถูกฟ้องมาแล้ว

เรียกว่า ‘คนเรา รู้หน้าไม่รู้ใจ’ อุตส่าห์หยิบยื่นความรักความเมตตาให้… แต่สิ่งที่ได้คืนไม่ต่างจากเรื่องราวกับชาวนากับงูเห่า เพียงเพราะต้องการทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตนเอง!!

ว่ากันว่า คอมพิวเตอร์ของบิ๊กโจ๊กนั้นเก็บทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งลับ และไม่ลับ เมื่อไหร่ก็ตามที่มิตรกลับกลายเป็นศัตรู วันดีคืนดี ก็จะมีข้อมูลหลุดออกมาด้อยค่าคนๆ นั้นทันที

แว่วว่าในแวดวงของผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้จักมักคุ้นกับบิ๊กโจ๊กต่างก็เตือนกันและกันว่า “จงระวัง ถูกเก็บข้อมูลเอาไปบิดเบือนย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองได้”

ไม่แปลก คนที่รู้ซึ้งจะเปลี่ยนฉายาจาก ‘โจ๊กหวานเจี๊ยบ’ กลายเป็นคนที่ยากจะไว้ใจ!!

นี่ไม่ขอยืนยันข้อเท็จจริงว่า จะใช่ หรือ ไม่ใช่… เรื่องจริง หรือ ไม่จริง เพราะเป็นนักสืบชาวโซเชียลฯ ว่ากันมา

ขอย้ำว่า ไม่ยืนยันว่า จริงหรือเท็จ มีแต่เจ้าตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เท่านั้นที่จะรู้ โดยบิ๊กโจ๊กเคยบอกว่า เรื่องครหา ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับตัวเขาเองเป็น ‘นิทาน’ ที่ยิ่งเล่าขาน ก็ยิ่งขยายแต่งเติมออกไปไม่รู้จบ…

ตัวเขาเองยึดคติที่ว่า “ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาชูกำลัง” จึงไม่หวาดหวั่นกับศัตรูที่นาทีนี้ มากมายจริงๆ

จะด้วยเหตุผลใช่ ‘นิทาน’ หรือ ‘เรื่องจริง’ ก็ตาม งานนี้เห็นทีเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.วัชรพล ประธาน ป.ป.ช. และ หน้าที่ของ ผบ.ตร. อย่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ที่ต้องค้นหาความจริง สอบสวน สืบสวนกันเอาเอง

คำถามย่อมเกิดขึ้นมาว่า ระหว่าง บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. สนิทสนมกันจริงหรือไม่?

ถ้ามีความสัมพันธ์แนบแน่น มีคดีไหนบ้างที่บิ๊กโจ๊กทำแล้วส่งให้ ป.ป.ช. และมีคดีไหนที่ ป.ป.ช.รับมาแล้วมี น.ส.สุภาเป็นประธานสอบ พล.ต.อ.วัชรพล ประธาน ป.ป.ช.ควรต้องรู้ และรู้อยู่แล้วหรือไม่? ก็ต้องขยายผล หาข้อมูลมาคลี่กางดู จะได้พิสูจน์ทราบ

ต้องไม่ลืมว่า องค์กร ป.ป.ช.ตอนนี้อ่อนไหวกับเรื่องนี้มาก เสียงลือเสียงเล่าอ้างต่างๆ พุ่งมาทุกทิศทุกทาง โดยเฉพาะการ ‘เลือกปฏิบัติ’ ต่อคดีที่ ป.ป.ช.กรรมการบางคนรับผิดชอบทำคดี

เพียงเพื่อกำจัดคน ‘คิดบัญชี’ ชำระแค้น สร้างเรื่อง ปั้นคดี ข่มขู่พยาน ใส่ร้ายป้ายสี กลั่นแกล้งให้ต้องได้รับโทษ ต่างๆ เหล่านี้ ไม่ควรมีอยู่ใน ป.ป.ช.

หากเป็นไปตามที่คลิปเสียงหลุดระบุ นั่นหมายความว่า จะมีคดีที่ถูกสร้างขึ้น ใส่ร้ายป้ายสี กลั่นแกล้งกันหรือไม่?

ถามว่าคดีที่ถูกพิจารณาตรวจสอบโดย สุภา ทั้งที่ผ่านมา และกำลังเป็นอยู่ มีความน่าเชื่อถือได้แค่ไหน? ควรหรือไม่ควร ที่จะต้องรื้อฟื้นคดีเหล่านั้นขึ้นมาดูใหม่?

พล.ต.อ.วัชรพล ประธาน ป.ป.ช. มีเผือกร้อนในมือแล้ว สังคมกำลังจับตาดูว่าท่านจะทำอย่างไร?

นี่คือความอัปยศอดสู เป็น ‘หลุมดำ’ ของ ป.ป.ช. หากไม่ทำอะไรให้กระจ่าง ก็เตรียมตัว… ไม่ใช่แค่ ป.ป.ช.จะว้าวุ่น แต่จะทรุดลงไปกองฮวบกับพื้นด้วยวิกฤตศรัทธาในทันที!!

‘วัชระ’ สุดทน!! ยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. สอบนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ไล่เช็ก ‘ราชทัณฑ์’ ส่อเอื้อประโยชน์นักโทษ ด้าน ‘พ.ต.อ.ทวี’ โดนด้วย!!

(13 ม.ค.67) นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (12 ม.ค. 67) หลังจากทราบว่า คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ไปที่โรงพยาบาลตำรวจ แล้วไม่ได้พบ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จึงไปยื่นหนังสือถึง นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่อาคาร 4 สำนักงาน ป.ป.ช. โดยในหนังสือร้องเรียนถึงปปช.มีรายละเอียดดังนี้

“ตามที่กรมราชทัณฑ์ได้รายงานสถานการณ์กรณีนายทักษิณฯ ออกรักษาตัวภายนอกเรือนจำเกิน 120 วัน ลงวันที่ 11 มกราคม 2567 โดยแจ้งความเห็นแพทย์ว่า ผู้ป่วยอยู่ระหว่างการรักษาของแพทย์เฉพาะทาง และต้องดูแลอย่างใกล้ชิดถึงอาการป่วย เพื่อให้พ้นจากสภาวะอันตรายแก่ชีวิตนั้น

ข้าพเจ้านายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชน กรณีเคลือบแคลงสงสัยข่าวกรมราชทัณฑ์เรียกสรรพนาม ‘นช.ทักษิณ ชินวัตร’ ว่า ‘นาย’ ทั้งที่ในปัจจุบันเป็น ‘นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร’ หรือชื่อย่อ ‘นช.’ มีโทษจำคุก 1 ปี ตามราชกิจจานุเบกษาและต้องถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกรมราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 กฎและระเบียบอย่างเคร่งครัด

การออกข่าวกรมราชทัณฑ์โดยใช้สรรพนามไม่ถูกต้องตามกฎหมาย กฎ ระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องของทางราชการ มีลักษณะเอื้อประโยชน์และอวยนักโทษที่มีฐานะ ไม่ปฏิบัติตามหลักนิติรัฐและนิติธรรมไม่เสมอภาคกับนักโทษทั่วประเทศ จำนวน 280,000 คน ส่อว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต ขอให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และผิดประมวลจริยธรรมของข้าราชการและตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ดังนี้

1.) ขอให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์กับพวก กรณีการออกข่าวกรมราชทัณฑ์ใช้สรรพนามเรียก นช.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและกรณีที่เกี่ยวข้อง เช่น การอนุมัติให้ นช.ทักษิณ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ถูกต้องตามระเบียบขั้นตอนของกรมราชทัณฑ์ โดยมีกรณีนายวิษณุ เครืองาม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 และกรณีกรมราชทัณฑ์ตอบรับว่าจะส่งเอกสารและคลิปภาพ วันที่ 22-23 สิงหาคม 2566 ให้คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กรณี นช.ทักษิณ ให้สอบสวนเอาผิดว่าเหตุใดยังไม่ส่ง และขอให้ออกคำสั่งคุ้มครองคลิปวิดีโอดังกล่าวไม่ให้ถูกทำลาย

2.) ขอให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน แพทย์โรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจทุกรายและแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจชื่อ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ (พตร.) กรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องรักษาอาการป่วยตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน (เกิน 120 วัน) ส่อว่าใช้วิชาชีพแพทย์กรอกข้อความอันเป็นเท็จต่อราชการหรือไม่ ให้ตรวจทุกฉบับตั้งแต่ 22 สิงหาคม 2566 ถึงวันนี้

3.) ขอให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าเหตุใดไม่ดำเนินการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ นช.ทักษิณ ชินวัตร ตามคำร้องเรียนลงวันที่ 20 ธันวาคม 2566 เจ็บป่วยจริงหรือไม่ ทำไมระยะเวลาการรักษาเกิน 120 วันยังไม่หายเป็นอะไร ทำไมอยู่นานถึง 120 วันเอื้อประโยชน์ให้กับ นช.ทักษิณหรือไม่

ทั้งนี้ โดยขอให้กันข้าราชการกรมราชทัณฑ์ (พัศดี/ผู้คุม) แพทย์พยาบาลโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจที่ให้การเป็นประโยชน์ไว้เป็นพยานทุกคน

‘นายกฯ’ เผย!! ยังรอข้อเสนอแนะจาก ป.ป.ช. ปมดิจิทัลวอลเล็ต ลั่น!! ประชาชนคอยไม่ได้ สัปดาห์หน้าจะสอบถามว่าต้องการอะไร

(3 ก.พ. 67) ที่ท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการแจกเงินประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ตว่า จะมีการพูดคุยกับ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องยอมรับว่าจะต้องรอคำเสนอแนะจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งก็รอมานานแล้ว ตนคิดว่าต้องมีวิธีการอื่นรองรับ เพราะคำเสนอแนะยังไม่มาสักที พี่น้องประชาชนเขาคอยไม่ได้

เมื่อถามว่าทาง ป.ป.ช.รอการดำเนินการความชัดเจนจากรัฐบาล และรัฐบาลก็รอข้อเสนอแนะจาก ป.ป.ช. จะทำให้ไทม์ไลน์ขยับไปมากหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ค่อยแน่ใจว่า ป.ป.ช. รอรัฐบาลเรื่องอะไร จึงต้องขอสอบถามก่อนดีกว่า อย่าให้พูดไปโดยไม่มีข้อมูล ขอเป็นต้นสัปดาห์หน้า

'ดร.หิมาลัย' แชร์มุมมอง!! หลัง 'วุฒิสภา' ลงมติลับขวาง 'บิ๊กจ้าว' นั่ง 'ป.ป.ช.' เหตุใดจึงยกเกณฑ์เทียบตำแหน่ง 'ผบช.น.' ไม่เทียบเท่า 'อธิบดี' มาชี้วัด

จากกรณี วุฒิสภา ลงมติลับ มีมติ 88 ต่อ 80 เสียง งดออกเสียง 30 เสียง ไม่เห็นชอบให้ 'บิ๊กจ้าว' พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. แทน พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ อดีต กรรมการ ป.ป.ช. ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบ 70 ปีบริบูรณ์ เมื่อช่วงกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา โดย สว.ส่วนหนึ่ง มองว่า ตำแหน่ง 'ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล' ไม่เทียบเท่าได้กับตำแหน่ง 'อธิบดี' และคุณสมบัติต่างๆ ไม่เข้าเกณฑ์นั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี/ประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ได้ให้ความเห็นทางกฎหมาย ตอบโต้ สว.ส่วนหนึ่ง ที่เห็นว่า ตำแหน่ง ผบช.น ไม่เทียบเท่าอธิบดี ระบุว่า...

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อมวลชนต่างๆ เกี่ยวกับกรณีการประชุมวุฒิสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการ ป.ป.ช. ตามที่คณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช. ได้พิจารณาเสร็จเรียบร้อยแล้ว  

โดยตามข่าวมีการกล่าวอ้างว่าที่ประชุมวุฒิสภาได้ถกเถียงปัญหาขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ได้รับการสรรหาเป็น ป.ป.ช.ของ พล.ต.ท.ธิติฯ เพราะ มาตรา 9 วรรคสอง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ระบุว่า...

“ต้องรับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดี หรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าไม่น้อยกว่า 5 ปี” 

แต่ตำแหน่ง ผบช.น. นั้น สว.หลายคนเห็นว่าไม่สามารถเทียบเท่าได้กับตำแหน่งอธิบดี 

ทั้งนี้ แม้จะอ้าง พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ.2562 และระเบียบ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ.2563 ให้ตำแหน่ง ผบช.น. สามารถเทียบเท่าอธิบดีได้นั้น แต่ สว.หลายคนเห็นว่า พ.ร.บ. และระเบียบ ก.ตร. ดังกล่าวใช้บังคับแค่หน่วยงานตำรวจหรือทหาร ไม่ครอบคลุมถึงองค์กรอิสระ ซึ่งที่ประชุมวุฒิสภาได้ลงมติไม่เห็นชอบ พล.ต.ท.ธิติฯ ดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช. ด้วยคะแนน 88 ต่อ 80 ไม่ออกเสียง 30 ถือว่าไม่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา 

ด้วยความเคารพต่อมติที่ประชุมของวุฒิสภา หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่ปรากฏตามเนื้อหาข่าวข้างต้น โดยมีการยกประเด็นเรื่องการขาดคุณสมบัติของ พล.ต.ท.ธิติฯ ผบช.น. มาเป็นประเด็นในการพิจารณา โดยเห็นว่าตำแหน่ง ผบช.น. ไม่สามารถเทียบเท่าได้กับตำแหน่งอธิบดี นั้น กระผมด้วยความบริสุทธิ์ใจขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยมีข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้...

*** 1. พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 

มาตรา 9 วรรคสอง (2) บัญญัติว่า “ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย บัญชี เศรษฐศาสตร์ การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการอื่นใดอันเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ด้วย...

*** 2. รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี...”    

มาตรา 12 บัญญัติว่า “เมื่อมีกรณีที่จะต้องสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการตามมาตรา 9 ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหา ซึ่งประกอบด้วย...

- ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ
- ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นกรรมการ
- ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นกรรมการ
- บุคคลซึ่งศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 

ให้เลขาธิการวุฒิสภาเป็นเลขานุการของคณะกรรมการสรรหา และให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการสรรหา...”

มาตรา 16 ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครหรือผู้ได้รับการสรรหา ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหาเป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นที่สุด 

พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ.2562 

- มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้ 'ส่วนราชการ' หมายความว่า หน่วยงานของรัฐในฝ่ายพลเรือน ทหาร หรือตำรวจ ที่มีกฎหมายกำหนดให้มีฐานะหรือเรียกว่าส่วนราชการ
- มาตรา 4 ในการพิจารณาเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี อย่างน้อยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้...

(1) เป็นตำแหน่งที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือตามกฎหมายอื่น
(2) เป็นตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการไม่ว่าส่วนราชการนั้นจะมีฐานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่
(3) เป็นตำแหน่งประเภทบริหารซึ่งมีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายในการบังคับบัญชา บริหารงาน บริหารงานบุคคล และบริหารงบประมาณของส่วนราชการนั้น ซึ่งไม่รวมถึงหน้าที่และอำนาจในฐานะผู้รับมอบอำนาจ

มาตรา 5 เพื่อประโยชน์ในการเทียบตำแหน่งตามพระราชบัญญัตินี้ ให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลตามกฎหมายของแต่ละส่วนราชการวางระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี สำหรับใช้กับข้าราชการในส่วนราชการของตน โดยการวางระเบียบดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดในมาตรา 4 รวมทั้งมีหน้าที่และอำนาจในการเทียบตำแหน่งข้าราชการในส่วนราชการของตนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบนั้น ...”

*** 3. ระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ.2563    

*** 4. การพิจารณาเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เทียบเท่าอธิบดี ให้เป็นตามหลักเกณฑ์ ดังนี้...

- เป็นตำแหน่งที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือตามกฎหมายอื่น
- เป็นตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการตามกฎหมายไม่ว่าส่วนราชการนั้นจะมีฐานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่
- เป็นตำแหน่งประเภทบริหารซึ่งมีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายในการบังคับบัญชา บริหารงาน บริหารงานบุคคล และบริหารงบประมาณของส่วนราชการนั้น ซึ่งไม่รวมถึงหน้าที่และอำนาจในฐานะผู้รับมอบอำนาจ โดยสามารถพิจารณาได้จากภารกิจ อำนาจหน้าที่ ลักษณะงานที่ปฏิบัติตามที่ปรากฎในกฎหมาย และได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตามกฎหมายว่าด้วยการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ

เมื่อพิจารณา มาตรา 9 วรรคสอง (2) ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 จะเห็นได้ว่ากฎหมายกำหนดคุณสมบัติของผู้ได้รับการสรรหา มี 2 กรณี คือ...

(1) รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดี  หรือ 
(2) รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี 

ซึ่งในกรณีของข้อ 1. รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดี ไม่มีประเด็นหรือข้อสงสัย 

แต่ในกรณีของข้อ 2. รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี นั้นเห็นว่า เนื่องจากหน่วยงานทางราชการของประเทศไทยมีหลายหน่วยงาน ซึ่งมีโครงสร้างและมีชื่อเรียกหัวหน้าส่วนราชการแตกต่างกันไป และไม่ได้มีชื่อเรียกตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการว่าอธิบดี และบางหน่วยงานมีลักษณะของโครงสร้างหน่วยงานที่ใหญ่โต มีหน่วยงานหรือส่วนราชการในสังกัด และกำลังพลภายใต้การบริหารงานและการบังคับบัญชาจำนวนมาก แต่ละหน่วยย่อยได้รับการจัดสรรงบประมาณ สามารถบริหารงบประมาณได้เองโดยตรง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กองทัพบก กองทัพเรือ, กองทัพอากาศ ฯลฯ ซึ่งมีกำลังพลหลักแสนนาย 

ซึ่งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ไม่ได้บัญญัติไว้ว่าหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า คือ ตำแหน่งใดบ้าง จึงต้องพิจารณาตาม พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ.2562 ที่มีเจตนารมณ์ในการประกาศใช้คือ เป็นหลักเกณฑ์กลางในการเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการอื่นกับตำแหน่งอธิบดี เพื่อให้การปฏิบัติของส่วนราชการต่างๆ มีความสอดคล้องกัน ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 3 ที่ให้นิยามของคำว่า 'ส่วนราชการ' (หมายถึง หน่วยงานของรัฐในฝ่ายพลเรือน, ทหาร หรือตำรวจ ที่มีกฎหมายกำหนดให้มีฐานะหรือเรียกว่าส่วนราชการ) กับมาตรา 4 (หลักเกณฑ์การพิจารณาเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี) และ มาตรา 5 (กำหนดให้องค์กรกลางบริหารงานบุคคลตามกฎหมายของแต่ละส่วนราชการวางระเบียบที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี) 

โดยในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก.ตร. ได้ออกระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ.2563 แล้ว ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ.2562 ทุกประการ โดยได้กำหนดบัญชีตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี ซึ่งได้รับอนุมัติจาก ก.ตร. ในการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อ 27 เม.ย.63 และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการเทียบตำแหน่ง ในการประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อ 16 มี.ค.63 สรุปได้ว่า...

'ตำแหน่งระดับ' >> "ผู้บังคับการ, ผู้บัญชาการ และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ" เป็นตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี ซึ่งเมื่อระเบียบดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการเทียบตำแหน่งแล้ว (คณะกรรมการ ตาม พ.ร.บ.ฯ) บัญชีตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ย่อมใช้บังคับได้เป็นการทั่วไป เทียบได้กับหน่วยงานหรือส่วนราชการอื่นตามเจตนารมณ์ของกฎหมายแล้ว 

การที่ สว. เห็นว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวใช้บังคับแค่หน่วยงานตำรวจหรือทหาร ไม่ครอบคลุมถึงองค์กรอิสระนั้น จึงไม่อาจเห็นพ้องด้วย 

ดังนั้น ข้าราชการตำรวจที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ ผู้บังคับการ ผู้บัญชาการ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ย่อมเป็นผู้มีคุณสมบัติ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2661 มาตรา 9 วรรคสอง (2) 

นอกจากนี้ ในประเด็นอำนาจหน้าที่ของผู้พิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครหรือผู้ได้รับการสรรหา ตามมาตรา 16 วรรคหนึ่งแห่ง พ.ร.ป.ดังกล่าว กำหนดให้เป็นหน้าที่และอำนาจของของคณะกรรมการสรรหาเป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นที่สุด โดยที่คณะกรรมการสรรหา ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.ป.ดังกล่าวประกอบไปด้วย ประธานศาลฎีกา, ประธานสภาผู้แทนราษฎร, ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร, ประธานศาลปกครองสูงสุด และบุคคล ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรรมการสรรหาแต่ละท่าน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายที่สำคัญของประเทศและมีตำแหน่งสูงสุดของหน่วยงาน 

ดังนั้น หากมีประเด็นปัญหาข้อขัดข้องเรื่องการเทียบตำแหน่งอันเป็นประเด็นสำคัญที่จะพิจารณาคุณสมบัติของผู้ได้รับการสรรหา ย่อมเป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหาที่จะพิจารณาเทียบตำแหน่งจนได้ข้อยุติและเป็นที่สุด 

ทั้งนี้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ออกมาใช้บังคับเมื่อปี พ.ศ.2561 ส่วน พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ.2562 ได้ออกบังคับใช้ปี พ.ศ.2562 ภายหลัง พ.ร.ป.ฯ ดังกล่าว ซึ่งหลักการพิจารณาออกกฎหมายแต่ละฉบับ จะต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองตรวจทานเป็นอย่างดีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เนื้อหาหรือข้อความขัดหรือแย้ง กับกฎหมายที่ออกมาบังคับใช้ก่อนหน้าแล้ว

เมื่อ พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ.2562 มาตรา 3 ได้ให้นิยามของคำว่า 'ส่วนราชการ' หมายความว่า หน่วยงานของรัฐในฝ่ายพลเรือน, ทหาร หรือตำรวจ ที่มีกฎหมายกำหนดให้มีฐานะหรือเรียกว่าส่วนราชการ จึงสอดคล้องกับ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 9 วรรคสอง (2) ที่บัญญัตติว่า ...

"......หรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี" แล้ว ... กระผมจึงเห็นว่า พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ.2562 และ ระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ.2563 ครอบคลุมถึง องค์กรอิสระอื่นๆ ซึ่งรวมถึง ป.ป.ช. ด้วยการที่ สว. พิจารณาว่า พ.ร.บ.ฯ และระเบียบ ตร. ดังกล่าวซึ่งเทียบตำแหน่ง 'ผู้บังคับการ' และ 'ผู้บัญชาการ' ให้เทียบเท่าอธิบดีนั้นไม่สามารถใช้บังคับเป็นการทั่วไปได้ 

กระผมเห็นว่าเป็นการตีความที่แคบจนเกินไป!! ... ทำให้ผู้มีคุณสมบัติที่จะเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเหลือเพียงตำแหน่ง ผบ.ตร. ซึ่งจะต้องดำรงตำแหน่งไม่น้อยกว่า 5 ปี และหมายความรวมถึงข้าราชการฝ่ายทหารที่เป็นผู้นำสูงสุดของหน่วยด้วย ซึ่งตามประวัติศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ผู้ที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ถึง 5 ปี มีเพียงคนเดียว ทั้งตามมาตรา 9 วรรคสอง (2) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ใช้คำว่า ..อธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า... ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายว่า ไม่ได้ประสงค์ที่จะจำกัดแต่เฉพาะหัวหน้าหน่วยงานเท่านั้น 

ดังนั้น การพิจารณาตีความคุณสมบัติของกรรมการ ป.ป.ช. จึงควรที่จะพิจารณาตีความอย่างกว้างเพื่อเปิดโอกาสให้กับบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทั้งในด้านความมั่นคง และด้านการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อทำหน้าที่กรรมการ ป.ป.ช. ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาครัฐและประเทศชาติต่อไป  

อนึ่ง การลงบทความของกระผมครั้งนี้ เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นในเชิงกฎหมาย ไม่ได้พาดพิงหรือต้องการกระทำให้บุคคลใดได้รับความเสียหาย หรือเสื่อมเสียชื่อเสียงแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นการแสดงออกในแง่มุมของกฎหมายที่เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคมโดยรวม ตลอดจนเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ขอบคุณครับ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top