Monday, 9 June 2025
น้ำมันเชื้อเพลิง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ในการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง

วันนี้ (14 ก.พ.66) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.ตร.) ได้เป็นประธานในพิธีการเปิดโครงการอบรมสัมมนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ในการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีนายวุฒิทัต ตันติเวส รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน, นายมงคล สุดโต ผอ.ส่วนควบคุมระบบปฏิบัติการป้องกันและปราบปราม กรมสรรพสามิต และ นางนันทวดี วีระวัฒน์เดช ผอ.ส่วนมาตรฐานและพัฒนาการจัดเก็บภาษี กรมสรรพสามิต ร่วมการพิธีเปิดดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 13-15 ก.พ.66

การฝึกอบรมดังกล่าวจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในการสืบสวน ตรวจสอบ และจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมธุรกิจพลังงาน และกรมสรรพสามิต เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการฝึกอบรมครั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากทั่วประเทศเข้ารับการอบรมจำนวน 143 นาย

‘SPRC’ ปิดดีลซื้อปั๊ม Caltex 450 แห่ง กรุยทางลุยตลาดน้ำมันครบวงจร ยัน!! 'ปั๊ม-น้ำมันคาลเท็กซ์-เทครอน' ยังอยู่คู่คนไทยต่อไปเหมือนเดิม

เมื่อวานนี้ (3 ม.ค.67) บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ประกาศเสร็จสิ้นการทำธุรกรรมกับ Chevron Asia Pacific Holdings Limited (CAPHL) ในการเข้าซื้อธุรกิจการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้แบรนด์คาลเท็กซ์ (Caltex) ซึ่งคาดว่าจะสร้างเสริมห่วงโซ่คุณค่าให้กับ SPRC ในฐานะโรงกลั่นและทำตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทยอย่างครบวงจร

นายโรเบิร์ต โดบริค กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SPRC มีความยินดีและต้อนรับธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงของ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด เข้ามาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน การผสานธุรกิจการตลาด และจัดจำหน่ายเชื้อเพลิงเข้ากับการกลั่นน้ำมันจะเสริมสร้างโอกาสการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ด้านห่วงโซ่ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีทั้งกับผู้ถือหุ้น และลูกค้าคาลเท็กซ์ อีกทั้งยังจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทยได้อีกด้วย

“SPRC จะยังคงจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพภายใต้แบรนด์ คาลเท็กซ์® และ เทครอน ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจและอยู่เคียงคู่กับประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 75 ปี โดยหวังว่าจะสามารถนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงให้กับลูกค้าผ่านสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ทั่วประเทศ” นายโดบริค กล่าวเสริม

ด้าน นายชาแชงค์ นานาวาติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการพาณิชย์ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) อดีตประธานกรรมการและผู้จัดการใหญ่ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด กล่าวว่า การรวมธุรกิจการกลั่นและการตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงจะสามารถสร้างเสริมคุณค่าของแบรนด์ให้เพิ่มสูงขึ้นด้วยการเติมเต็มประสบการณ์อันน่าประทับใจได้อย่างครอบคลุม ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นให้กับผู้ถือหุ้น และผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ของเรา นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มทักษะความรู้ความสามารถของพนักงานให้มีความพร้อมในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อการเติบโตในระยะยาวต่อไป

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการบริหารโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบ 175,000 บาร์เรลต่อวันแล้ว SPRC มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์ คาลเท็กซ์ เทครอน ผ่านสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ประมาณ 450 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยพันธมิตรทางธุรกิจมืออาชีพ

การเข้าซื้อธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งนี้ยังรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อันได้แก่ สัดส่วนการถือครองหุ้นร้อยละ 9.91 ในบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 2.51 ในบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) การลงทุนในบริษัทเอกชนที่ถือครองที่ดินแปลงที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และคลังน้ำมันเชื้อเพลิงที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสงขลา และสุราษฎร์ธานีด้วย

สรุปสาระสำคัญ ประกาศกระทรวงพลังงาน ‘การแจ้งข้อมูลการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง’

น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นปัจจัยที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของประชาชน และเป็นต้นทุนหลักของภาคธุรกิจในการประกอบกิจการ หากน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายภายในประเทศมีการค้ากำไรเกินสมควร มีปริมาณการจัดจำหน่ายไม่เพียงพอ หรือไม่ได้คุณภาพแล้ว จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งต่อประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศ 

รัฐจึงจำเป็นต้องกำหนดนโยบายด้านการพลังงานให้เหมาะสมเพื่อเป็นหลักประกันให้น้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศมีราคาจำหน่ายที่ยุติธรรม มีปริมาณเพียงพอ และได้คุณภาพ แต่การที่รัฐจะสามารถกำหนดและดำเนินนโยบายด้านการพลังงานได้อย่างเหมาะสมนั้น จำเป็นที่รัฐจะต้องได้มาซึ่งข้อมูลราคาและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง 

กระทรวงพลังงานจึงจำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการกำหนดนโยบายด้านการพลังงานของประเทศ อันจะเป็นประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของประเทศด้านเศรษฐกิจและความผาสุกของประชาชน

วันนี้ THE STATES TIMES ได้สรุปสาระสำคัญ ประกาศกระทรวงพลังงาน ‘การแจ้งข้อมูลการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง’ เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 67 หวังสะท้อนต้นทุนแท้จริง และ ราคาที่ยุติธรรม จะมีข้อกำหนดอะไรบ้าง มาดูกัน…

'กพช.' ไฟเขียว!! ต่อเวลาชดเชยราคาน้ำมันผสมเชื้อเพลิงชีวภาพอีก 2 ปี อุ้ม!! 'กลุ่มเกษตรกร-รง.เอทานอล-ผลิตน้ำมันปาล์ม' ให้มีเวลาปรับตัว

(5 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 4 ก.ย.2567 มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาชดเชยราคาน้ำมันที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปอีก 2 ปี จากเดิมที่จะหมดอายุลงในวันที่ 24 กันยายน 2567 นี้ โดยจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 17 กันยายน นี้เป็นลำดับต่อไป 

ทั้งนี้ พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ได้กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ ทั้งกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่างๆ และน้ำมันดีเซล B7 และดีเซล B20 มาตั้งแต่ปี 2565 แต่กฎหมายเปิดโอกาสให้ขอยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวได้ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 2 ปี ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้ขอขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไปแล้วหนึ่งครั้ง โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 24 ก.ย. 2567 นี้ ดังนั้นจะเหลือโอกาสในการขอขยายเวลาได้อีก 1 ครั้ง ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย โดยจะไปสิ้นสุดในวันที่ 24 ก.ย. 2569 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายออกไปอีก 2 ปี เพื่อให้เวลาอย่างจริงจังในการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มโรงงานเอทานอล รวมถึงน้ำมันปาล์ม ให้มีระยะเวลาในการปรับตัวไปจำหน่ายผลผลิตในตลาดส่วนอื่นๆ แทนการนำมาผสมในน้ำมัน เช่น จำหน่ายในตลาดเครื่องสำอาง เวชภัณฑ์สุขภาพต่างๆ เป็นต้น

‘กรมธุรกิจพลังงาน’ เผยยอดใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 3 เดือนแรก พบกลุ่มเบนซินส่งสัญญาณชะลอตัวคนหันใช้ระบบราง – EV

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เผยภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เดือนมกราคม - มีนาคม 2568 อยู่ที่ 158.67 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยที่น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1 เนื่องจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริการ และการใช้ LPG เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 การใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ขณะที่กลุ่มเบนซินลดลงร้อยละ 0.4 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ สถานีบริการลดลงร้อยละ 1.5 และ NGV ลดลงร้อยละ 15.1 

รายละเอียดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดในเดือนมกราคม-มีนาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีดังนี้

การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน เฉลี่ยอยู่ที่ 31.57 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 0.4 ประกอบด้วยการใช้แก๊สโซฮอล์ 91 ลดลงมาอยู่ที่ 6.71 ล้านลิตร/วัน แก๊สโซฮอล์ อี20 ลดลงมาอยู่ที่ 5.11 ล้านลิตร/วัน เบนซิน ลดลงมาอยู่ที่ 0.38 ล้านลิตร/วัน และแก๊สโซฮอล์ อี85 ลดลงมาอยู่ที่ 0.06 ล้านลิตร/วัน ขณะที่น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด เพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ 18.96 ล้านลิตร/วัน เนื่องจากราคาแก๊สโซฮอล์ 95 สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 0.37 บาท/ลิตร (ราคาเฉลี่ยเดือนมกราคม - มีนาคม 2568) แต่ในช่วงเดียวกันของปีก่อนราคาแก๊สโซฮอล์ 95 สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 1.68 บาท/ลิตร จึงทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้แก๊สโซฮอล์ 95 มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเริ่มเห็นสัญญาณของการชะลอตัวลงโดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (BEV HEV และ PHEV) มีสัดส่วนร้อยละ 5.97 ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 คน1 รวมถึงการใช้งานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีการขยายตัวของผู้โดยสารอย่างต่อเนื่องคิดเป็นร้อยละ 5.92 2 เทียบกับปีก่อน

การใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ สถานีบริการ เฉลี่ยอยู่ที่ 68.43 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 1.5 ประกอบด้วยดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ลดลงมาอยู่ที่ 68.39 ล้านลิตร/วัน สอดคล้องกับข้อมูลภาคการผลิตอุตสาหกรรมในบางกลุ่มที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง และการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศที่รุนแรงขึ้น อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2568 มีแนวโน้มประมาณร้อยละ 2.0 และในกรณีที่สงครามการค้ารุนแรงมากและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อยู่ในอัตราที่สูง อาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวประมาณร้อยละ 1.3 รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.8 จากเดิมที่ร้อยละ 2.5 - 3.0 สำหรับดีเซลหมุนเร็ว บี20 ลดลงมาอยู่ที่ 0.05 ล้านลิตร/วัน ขณะที่ดีเซลพื้นฐาน เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.12 ล้านลิตร/วัน ทั้งนี้ ภาพรวมปริมาณการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลอยู่ที่ 70.55 ล้านลิตร/วัน  

การใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยอยู่ที่ 19.22 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1 ยังคงขยายตัวได้ดีจากภาคท่องเที่ยวและการบริการ ผ่านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยสะสมถึงเดือนมีนาคม 2568 จำนวน 9.55 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจำนวนผู้เยี่ยมเยือนคนไทยขยายตัว ร้อยละ 2.12 รวมไปถึงการขยายตัวของบริการขนส่งสินค้าทางอากาศด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ปริมาณการใช้ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน

การใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 17.14 ล้านกก./วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ประกอบด้วยการใช้ในภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.02 ล้านกก./วัน และภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.13 ล้านกก./วัน ขณะที่ภาคปิโตรเคมีลดลงมาอยู่ที่ 6.67 ล้านกก./วัน และภาคขนส่งลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.31 ล้านกก./วัน     

การใช้ NGV เฉลี่ยอยู่ที่ 2.52 ล้านกก./วัน ลดลงร้อยละ 15.1 โดยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับจำนวนรถจดทะเบียน NGV สะสมที่ลดลง และจำนวนสถานีบริการ NGV ที่มีแนวโน้มปิดตัวลง อย่างไรก็ตาม ปตท. ยังคงช่วยเหลือผ่านโครงการบัตรสิทธิประโยชน์กลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ให้กับกลุ่มรถแท็กซี่และรถโดยสารสาธารณะที่ถือบัตรสิทธิประโยชน์ 

ขณะที่ราคาขายปลีก NGV สำหรับรถทั่วไปปรับเพิ่มขึ้น 0.10 บาท/กก. อยู่ที่ 18.80 บาท/กก. เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง 

การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยอยู่ที่ 1,064,710 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 0.1 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้ารวม 85,890 ล้านบาท/เดือน โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 1,041,149 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบ อยู่ที่ 84,424 ล้านบาท/เดือน สำหรับการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันเบนซินพื้นฐาน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันอากาศยาน และ LPG) อยู่ที่ 23,561 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 63.6 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 1,466 ล้านบาท/เดือน

การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เฉลี่ยอยู่ที่ 150,794 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 3.7 เป็นการส่งออกน้ำมันเบนซินน้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน และ LPG คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวม 13,204 ล้านบาท/เดือน

‘กรมธุรกิจพลังงาน’ ขันน็อต ออก 4 มาตรการ เฝ้าระวัง - เตรียมความพร้อมขนส่งน้ำมันทางถนน

กรมธุรกิจพลังงาน กำชับผู้ประกอบกิจการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มมาตรการในการประกอบกิจการรวมถึงเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางถนน ให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ 

เมื่อวันที่ (27 พ.ค. 68) นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาของปี พ.ศ. 2568 กรมฯ ได้รับรายงานการเกิดอุบัติภัยของรถขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นจำนวนกว่า 26 ครั้ง ประกอบกับปัจจุบันประเทศไทยมีฝนตกฟ้าคะนองรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นเหตุให้เกิดความเสี่ยงในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางถนน ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผู้ประกอบกิจการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง 

ดังนั้น เพื่อให้การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางถนนเป็นไปด้วยความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ กรมฯ จึงได้กำชับให้ผู้ประกอบกิจการถังขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้        

1. ตรวจสอบและกำชับผู้ขับขี่ หรือผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับถังขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเตรียมความพร้อม พักผ่อนอย่างเพียงพอ และเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชุมชนและพื้นที่ความเสี่ยงสูง รวมถึงห้ามบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยารักษาโรคที่มีสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและสารเสพติดอื่นโดยเด็ดขาด

2. ตรวจสอบสภาพความพร้อมของยานพาหนะ เช่น ระบบขับเคลื่อน ระบบห้ามล้อ ยางรถ ถังขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบท่อและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงอุปกรณ์สำหรับป้องกันและระงับอัคคีภัย

3. ตรวจสอบเส้นทางและวางแผนเส้นทางการขนส่ง เพื่อกำหนดเส้นทางการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างปลอดภัย กำหนดจุดเฝ้าระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติภัย รวมถึงการตรวจสอบรายงานสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ และประกาศแจ้งเตือนภัยพิบัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

4. พิจารณาการประยุกต์ใช้ระบบหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดการควบคุมพฤติกรรมการขับขี่ เช่น ระบบติดตามภายในรถ (In Vehicle Monitoring System; IVMS) ระบบ GEO Fence ระบบ GPS ตรวจจับตำแหน่งและความเร็วรถ ระบบกล้อง CCTV เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ ระบบแจ้งเตือนความเร็วและระยะเวลาขับขี่เกินกำหนด ระบบป้องกันการหลับใน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top