Sunday, 20 April 2025
นักท่องเที่ยว

‘AOT’ เร่งเดินหน้าศึกษา ‘พัฒนาสนามบินดอนเมือง ระยะที่ 3’ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการบิน-รองรับ นทท. สูงสุด 50 ล้านคน/ปี

(28 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) จัดประชุมการรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 งานสำรวจและออกแบบโครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ระยะที่ 3 เพื่อระดมความเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปประกอบการออกแบบโครงการให้มีความเหมาะสม

โดยมีนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เป็นประธานการประชุม และผู้แทนหน่วยงานจากภาครัฐ บริษัทสายการบิน ผู้ประกอบการให้บริการภาคพื้น ผู้ประกอบกิจการเชิงพาณิชย์ และผู้ให้บริการด้านขนส่ง ทั้งภายในและภายนอก ทดม.จำนวนกว่า 200 คนร่วมการประชุม ณ ห้องอัศวิน แกรนด์ เอ โรงแรมอัศวิน แกรนด์คอนเวนชั่น

นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT กล่าวว่า โครงการพัฒนา ทดม. ระยะที่ 3 เป็นหนึ่งโครงการสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจในประเทศและระหว่างประเทศ ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของโลก (Aviation Hub) เชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศ และเชื่อมต่อการเดินทางแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 

รวมถึงนโยบาย ‘คมนาคมเพื่อความอุดมสุขของประชาชน’ ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งอย่างไร้รอยต่อ ทั้งทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก และความปลอดภัย เพื่อรองรับการเติบโตด้านการคมนาคมทางอากาศ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอนาคต

สำหรับโครงการพัฒนา ทดม. ระยะที่ 3 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติวงเงินลงทุนรวม 36,829 ล้านบาท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าอากาศยานให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 40 ล้านคนต่อปี และสามารถบริหารจัดการได้ถึง 50 ล้านคนต่อปี โดยจะมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศหลังใหม่ (International Terminal) บริเวณด้านทิศใต้ของสนามบิน มีพื้นที่ใช้สอยประมาณกว่า 166,000 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศได้สูงสุด 23 ล้านคนต่อปี คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2572

จากนั้นจะปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 เพื่อขยายพื้นที่ให้บริการผู้โดยสารภายในประเทศ ร่วมกับอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สามารถรองรับผู้โดยสารภายในประเทศได้สูงสุด 27 ล้านคนต่อปี รวมพื้นที่ใช้สอยมากถึง 240,000 ตารางเมตร คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2574 ซึ่งจะทำให้ ทดม. มีพื้นที่รองรับผู้โดยสารรวมกว่า 400,000 ตารางเมตร และมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการบินเพื่อรองรับการเดินทางภายในประเทศได้อย่างเต็มรูปแบบ

ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดโครงการ โดยคาดว่าจะออกแบบแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2567 และจะเริ่มดำเนินงานก่อสร้างระหว่างปี 2568-2574

‘ตร.ท่องเที่ยวธนบุรี’ รุดช่วยเหลือ ‘ชาวจีน’ พลัดตกบันไดวัดอรุณฯ เร่งประสานกู้ชีพฯ นำตัวส่งรพ. ญาติผู้บาดเจ็บต่างเข้ามาขอบคุณ

(31 พ.ค.67) พ.ต.ท.จิรพัฒน์ เขียวศิริ รอง ผกก.1ฯ รรท.สวญ.สถานีตำรวจท่องเที่ยวธนบุรี พร้อมตำรวจชุดชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง S.T.C.ส.ทท.3ฯ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารว่า มีนักท่องเที่ยวชาวจีน ชื่อ Mrs. XUN XIAOHANG อายุ 50 ปี พลัดตกบันได จึงเข้าให้การช่วยเหลือ พร้อมด้วย ร.ต.ท.สมโภชน์ พรมวงศ์ รอง สว.จร.บางกอกใหญ่ ประสานรถกู้ชีพวิชัยเวช นำส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน 1 เพื่อดูอาการ ภายหลังนำส่งโรงพยาบาล นักท่องเที่ยวและญาตินักท่องเที่ยวที่เห็นเหตุการณ์ต่างเข้าขอบคุณ

พ.ต.ท.จิรพัฒน์ กล่าวว่า สำหรับการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทางตำรวจท่องเที่ยวถือปฏิบัติตามนโยบาย พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผบช.ทท., พล.ต.ต.มล.สันธิกร วรวรรณ ผบก.ทท.1 และ พ.ต.อ.กรฤวิศวร์ ทองศรีวานิช ผกก.1 ที่เน้นย้ำเรื่องการดูแลความปลอดภัย และช่วยเหลือนักท่องเที่ยว สร้างความมั่นใจในความปลอดภัยตั้งแต่ก้าวแรกจนก้าวสุดท้าย พบเห็นการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวสามารถแจ้งได้ทางสายด่วน 1155 ตลอด 24 ชม.

‘โฆษกรัฐบาล’ เผย ‘นทท.อินเดีย’ จองเที่ยวไทยบนแพลต์ฟอร์ม Airbnb เพิ่มขึ้นกว่า 60%  ชี้!! เป็นผลจากมาตรการขยายระยะเวลา Visa Free ของนายกฯ ที่ขยายออกไปอีก 6 เดือน 

(2 มิ.ย.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงผลสำเร็จของนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการขยายระยะเวลาการยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ Visa Free ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวอินเดียเป็นการชั่วคราวออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม - 11 พฤศจิกายน 2567 นั้น ล่าสุด แพลตฟอร์ม Airbnb ได้เปิดเผยข้อมูลการจองที่พักในช่วงปี 2565 - 2566 พบว่า นักท่องเที่ยวชาวอินเดียจองที่พักในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่า 60% โดยในปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาว เช่น เทศกาลโฮลี (Holi Festival) และเทศกาลอีสเตอร์ (Easter) มีชาวอินเดียค้นหาที่พักในประเทศไทยบนแพลตฟอร์ม Airbnb เพิ่มขึ้นมากกว่า 200% โดยมีจุดหมายปลายทางยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ และเกาะสมุย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจากข้อมูล Airbnb พบว่าชาวอินเดียมีความชื่นชอบและสนใจที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดย Airbnb อธิบายว่า เทรนด์การท่องเที่ยวไทยของชาวอินเดียส่วนใหญ่มาจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ (New Gen) โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Gen Y ที่จองที่พักบน Airbnb มากถึง 80% ของนักท่องเที่ยวชาวอินเดียทั้งหมด เนื่องจากอินเดียมีประชากรกลุ่ม Gen Z และ Gen Y มากที่สุดในโลก โดยจุดหมายปลายทางยอดนิยมในประเทศไทยของนักเดินทาง Airbnb ชาวอินเดีย 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ และเกาะสมุย ส่วนประเภทที่พัก Airbnb ในไทยที่มีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเลือกจองมากที่สุด ได้แก่ สระว่ายน้ำ เขตร้อน ชายหาด อุทยานแห่งชาติ และเมืองดัง อีกทั้งนักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่เดินทางแบบกลุ่มขนาดเล็ก (3 - 5 คน) และกลุ่มขนาดกลาง (5 คนขึ้นไป) มีการเติบโตเร็วที่สุด โดยนักท่องเที่ยวแบบกลุ่มขนาดเล็ก เดินทางเพิ่มขึ้น 67% และนักท่องเที่ยวแบบกลุ่มขนาดกลาง เดินทางเพิ่มขึ้น 68% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันจากปีก่อน

นอกจากนี้ นายอมันพรีท บาจาจ ผู้จัดการทั่วไปประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ฮ่องกง และไต้หวัน ของ Airbnb เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวชาวอินเดียเริ่มให้ความสนใจในการเดินทางไปยังสถานที่ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ซึ่งนับเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบมีส่วนร่วมมากขึ้น และยังเป็นการช่วยกระจายเศรษฐกิจไปยังชุมชนต่างๆ ไม่เพียงแค่เมืองใหญ่เท่านั้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการเเละเเนวทางการตรวจลงตรา ทั้งหมด 3 ระยะ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมีมาตรการที่สำคัญเเละจะเริ่มใช้ต่อเนื่องในเดือนมิถุนายน 2567 นี้ เช่น

- การให้สิทธิยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Free) สามารถพำนักในประเทศไทย ไม่เกิน 60 วัน เพื่อการท่องเที่ยว การติดต่อธุรกิจ และการทำงานระยะสั้น จำนวน รวม 93 ประเทศ/ดินแดน ประกอบด้วย (1) ประเทศที่ได้รับสิทธิ ผ.30 เดิม 57 ประเทศ/ดินแดน และ (2) เพิ่มประเทศที่ได้รับสิทธิ ผ.30 ใหม่ 36 ประเทศ/ดินแดน

- การให้สิทธิ Visa on Arrival (VOA) จากเดิม 19 ประเทศ เพิ่มรวมเป็น 31 ประเทศ

- การเพิ่มการตรวจลงตราประเภทใหม่ Destination Thailand Visa (DTV) เพื่อให้คนต่างด้าวที่มีทักษะและทำงานทางไกลผ่านระบบดิจิทัล (Remote worker หรือ Digital nomad) ที่ประสงค์จะพำนักในประเทศไทย สามารถมาทำงานและท่องเที่ยวไปพร้อมกันได้ เป็นต้น

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นการดำเนินมาตรการเชิงรุกของไทยในเรื่องของการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ การยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ Visa Free สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ประกอบกับมาตรการสนับสนุนอื่นๆ ของรัฐบาล ทั้งนี้ เห็นได้ชัดจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอีกกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” นายชัย กล่าว

'ภาครัฐ' อย่านิ่ง!! นอมินีทุนต่างชาติลุกลาม ทำตลาดทัวร์แบบตัดราคายับ จัดโมเดลไม่สนกำไร ทุบผู้เล่นในตลาดให้เจ๊ง แล้วยึดตลาด-ปรับราคา

(19 มิ.ย. 67) นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่เป็นทุนต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ผ่านการจัดตั้งโดยใช้นอมินีเป็นคนไทย ทำตลาดด้วยการขายทัวร์แบบตัดราคาต่ำสุดในประวัติศาสตร์ เป็นราคาที่ต่ำกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญที่เคยเป็นปัญหาในอดีตด้วย ยกตัวอย่างคือ ขายทัวร์ให้นักท่องเที่ยวใช้ราคาห้องพักในโรงแรม 1,000-1,500 บาท ซึ่งความเป็นจริงทำไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเข้ามาเที่ยวไทยจะบังคับเชิงข่มขู่ให้ซื้อสินค้า หรือใช้จ่ายแบบช้อปปิ้งในจำนวนเงินตามที่กำหนดไว้ ประมาณ 7 หมื่นถึง 1 แสนบาท ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบจนอยู่ไม่ได้ โดยหากไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาภายใน 1 ปีนี้ ผู้ประกอบการคนไทยคงอยู่ไม่ได้แล้วแน่นอน

“เกิดมาในชีวิตนี้ยังไม่เคยเจอแบบนี้เลย เพราะสถานการณ์ทัวร์ทุบตลาดมีความรุนแรงมากกว่าช่วงเกิดการระบาดโควิดด้วย มีความสาหัสมากกว่าทัวร์ซื้อหัว (kick back) หรือศูนย์เหรียญอีก ซึ่งการมีคนทำแบบนี้ไม่กี่คนก็ทำให้ตลาดพังหมดแล้ว เพราะข่าวสารจะออกไปทั่ว คนวงการเดียวกันรู้กันหมด การแก้ไขปัญหาต้องแก้ไขให้ถูกจุด ไม่ใช่การเหวี่ยงแห เพราะจะกระทบกับผู้ประกอบการคนไทยที่ทำดีอยู่แล้ว รัฐบาลต้องใช้ไม้อ่อนก่อนไปใช้ไม้แข็ง ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพราะที่ผ่านมาในนามของเอกชนและสมาคม ก็พยายามประคับประคองในการแก้ไขปัญหาให้ได้ เพื่อไม่ให้ภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยเสียหาย” นายศิษฎิวัชร กล่าว

นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า รูปแบบการทำทัวร์ทุบตลาด คือผู้ประกอบการต่างชาติที่เข้ามาในไทยจะขายทัวร์ให้กับนักท่องเที่ยวในราคาต่ำ ๆ เป็นการวัดดวงแบบไม่สนใจเรื่องต้นทุน นำนักท่องเที่ยวเข้ามาก่อน เมื่อเข้ามาแล้วก็ให้ใช้จ่ายช้อปปิ้งให้ได้ตามเป้า แข่งขันแบบไม่เป็นธรรมในด้านราคา แม้ขาดทุนก็ไม่เป็นไร เพราะมีกลุ่มอื่นเข้ามาใหม่ วนไปแบบนี้ เป็นการทุบตลาดให้ผู้ประกอบการเดิมอยู่ไม่ได้ก่อน จากนั้นจะเข้ามาครองตลาดเต็มตัวแล้วจึงปรับราคาขึ้น ซึ่งผลกระทบที่รุนแรงเกิดขึ้นกับท่องเที่ยวไทย ที่นักท่องเที่ยวคิดว่าไทยเป็นประเทศที่เที่ยวได้ในราคาถูกมาก ๆ โดยพบปัญหาในกลุ่มประเทศจีน อินเดีย และรัสเซีย ที่เห็นมากขึ้นในปัจจุบัน

โดย นายศิษฎิวัชร กล่าวอีกว่า ภาคเอกชนจำเป็นต้องอาศัยรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาดำเนินการจับกุม แต่ไม่ใช่จับทุกจุดไปหมด เพราะแม้ที่ผ่านมามีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ก็ไม่ได้เป็นผลเชิงบวกมากนัก เพราะบางบริษัทในเครือข่ายมี 4-5 บริษัท พอถูกจับกุมไป 1-2 บริษัท ก็เปลี่ยนไปใช้บริษัทที่เหลือแทน จึงอยากให้หน่วยงานภาครัฐสื่อสารไปถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยวคนไทยอย่างชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรตามขั้นตอน ทำได้แค่เท่าใด เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม เพราะหากเป็นการแข่งขันตามกลไกตลาดก็ไม่ว่ากัน แต่ราคาต่ำสุดจะต้องไม่เกินเท่าใด หากเกินจะถูกลงโทษตามกฎเกณฑ์ที่มี เป็นการขอความร่วมมือจากบริษัททัวร์คนไทยที่ทำดีอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้

นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า ที่ผ่านมาสมาคมได้หารือเรื่องนี้กับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับทราบสถานการณ์ที่เป็นปัญหาในตอนนี้แล้ว ทั้งการเข้ามาของทุนต่างชาติที่ทำให้เกิดการทุบราคาตลาดแบบไม่สมเหตุสมผลจนกระทบผู้ประกอบการไทยแต่เดิม ทั้งยังส่งผลเชิงลบต่อภาพท่องเที่ยวไทยด้วย ทั้งที่เคยมีการพูดถึงว่าต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย จากที่เป็นกลุ่มท่องเที่ยวราคาถูก ให้เป็นกลุ่มท่องเที่ยวที่มีราคาสูงหรือพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทย

'ชาวจีน' หนี 'สิงคโปร์' มาเที่ยวไทย เหตุเพราะ 'ความแพง' และมีแต่ตึก

เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย.67) เว็บไซต์ Mothership สื่อของสิงคโปร์ได้รายงานถึงการที่นักท่องเที่ยวจีนเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวในไทยและญี่ปุ่นมากกว่าสิงคโปร์ โดยให้เหตุผลหลัก ๆ ว่า ค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์สูงเกินไปและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น้อยเมื่อเทียบกับไทยและญี่ปุ่น

ชาวสิงคโปร์หลายคนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบอกว่าค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์แพงมาก เช่น การกินข้าวแกงที่มีราคา 21 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อจาน ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินไปสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป 

นอกจากนี้ ยังมีความเห็นว่าสิงคโปร์มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่สะดวกสบาย

หนึ่งในชาวสิงคโปร์ได้กล่าวว่า “สิงคโปร์มีข้อจำกัดที่โง่เขลามากเกินไป มีสิ่งที่ไม่อนุญาตเป็นจำนวนมาก สิงคโปร์เหมือนกับหุ่นยนต์ที่เดินไปเดินมาเพื่อหาเลี้ยงชีพ อย่ามาสิงคโปร์เลย ไปประเทศไทยเถอะ!”

จากความคิดเห็นนี้สะท้อนให้เห็นว่าชาวสิงคโปร์เองก็รู้สึกไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเห็นว่าการเดินทางไปเที่ยวในประเทศไทยเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากไทยมีค่าครองชีพที่ถูกกว่า และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายและน่าสนใจมากกว่า

การที่นักท่องเที่ยวจีนหนีจากสิงคโปร์ไปเที่ยวไทยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งมีทั้งความเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และอาหารที่อร่อยและราคาไม่แพง

เหตุการณ์นี้ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สิงคโปร์ต้องเผชิญในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านการท่องเที่ยว ถ้าสิงคโปร์ต้องการที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น อาจจำเป็นต้องพิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อให้มีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น

อีกด้าน ‘ญี่ปุ่น’ ใช้ระบบราคาสองมาตรฐาน ‘นทท.ต่างชาติ-คนท้องถิ่น’ เหตุ!! ต้นทุนเพื่อ นทท.เพิ่ม ต้องเติมราคาให้คุ้มค่ากับประสบการณ์

(24 ก.ค. 67) สำนักข่าวเกียว​โด​นิวส์​ รายงานว่า ในขณะที่ญี่ปุ่นต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากซึ่งหลั่งไหลเข้ามาโดยได้รับแรงหนุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนลง ผู้ประกอบการร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างก็ต้องการเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น การแยกมาตรฐาน​โดยขึ้นราคาสำหรับนักท่องเที่ยวอาจขัดแย้งกับวิธีที่ประเทศต้องการทำการตลาด

การที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติถูกเรียกเก็บเงินในราคาที่สูงกว่าคนในท้องถิ่นนั้น ส่วนใหญ่มักพบเห็นตามสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศกำลังพัฒนา ทำให้เกิดความกังวลว่าญี่ปุ่นอาจต้องสูญเสียภาพลักษณ์ของตนในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์

แต่ธุรกิจและหน่วยงานบางแห่งแย้งว่าระบบราคาคู่ไม่ได้หมายถึง ‘โกงหรือเอาเปรียบ’ นักท่องเที่ยว แต่ทำไปเพราะ ‘ความจำเป็นเร่งด่วน’ โดยอ้างถึงค่าแรงที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

“เราจะตั้งราคาเมนูเดียวกันสำหรับคนท้องถิ่นที่พูดภาษาญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างไร” โชโกะ โยเนมิตสึ เจ้าของร้านอาหารทะเลสไตล์บุฟเฟต์ทามาเทบาโกะ ตั้งอยู่ในย่านชิบุยะอันพลุกพล่านในกรุงโตเกียว กล่าว

นับตั้งแต่เปิดทำการในเดือนเมษายน ร้านอาหารได้เรียกเก็บเงินนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 7,678 เยนสำหรับเมนู​บุฟเฟต์อาหารทะเลแบบทานได้ไม่อั้นสำหรับมื้อเย็นวันธรรมดา ในขณะที่ชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นสามารถรับประทานเมนู​เดียวกันได้ในราคา​ 1,100 เยน

โยเนมิตสึกล่าวว่าร้านฯ​ จำเป็นต้องขึ้นค่าจ้างเพื่อจ้างพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษได้ และยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงานเพื่อให้บริการลูกค้าชาวต่างชาติอีกด้วย

“โดยที่เรามีลูกค้าวันละ 100 ถึง 150 คน ในขณะที่ร้านอาหารจุได้ 35 ที่นั่ง ต้องใช้เวลามากขึ้นไปเอาใจใส่ลูกค้าต่างชาติ เช่น การอธิบายว่า บุฟเฟต์ วิธีย่างและกินอาหาร​ ในภาษาอังกฤษ” โยเนมิตสึกล่าว

"ข้อเสนอที่ดี" สตรีชาวญี่ปุ่นที่ทำงานร้านอาหารไทยในโตเกียวยินดีกับระบบนี้ โดยเรียกว่าเป็น ‘ข้อเสนอที่ดี’

“เมื่อพิจารณาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าอย่างน่าตกใจ ฉันคิดว่าการเรียกราคาจากชาวต่างชาติเพิ่มอีกสักหน่อยก็ไม่เสียหาย” ผู้หญิงคนนั้นกล่าว

“ฉันได้ยินจากเพื่อนร่วมงานว่ามีการตั้งสองราคาในวัดของไทย เราพูดว่า อ่า ในที่สุดญี่ปุ่นก็เป็นด้วย (เรียกเก็บเงินเพิ่มสำหรับชาวต่างชาติ)” เธอกล่าวเสริม

ผู้ประกอบการสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่นกำลังชั่งน้ำหนักทางเลือกในการเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากขึ้น เนื่องจากการไหลเข้าของนักท่องเที่ยวทำให้ค่าธรรมเนียมการบำรุงรักษาและการตกแต่งใหม่เพิ่มขึ้น

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายกเทศมนตรีเมืองฮิเมจิกล่าวว่าเมืองทางตะวันตกของญี่ปุ่นกำลังพิจารณาค่าธรรมเนียมแรกเข้า ‘สี่เท่า’ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยือนปราสาทฮิเมจิ ซึ่งเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกโดยเฉพาะ เพื่อตอบสนองต่อการท่องเที่ยวขาเข้าที่เพิ่มขึ้น

ค่าเข้าชมปราสาทซึ่งเป็นสมบัติประจำชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างไม้ที่มีอายุตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 1,000 เยน สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

แต่นายกเทศมนตรีกล่าวว่าเมืองนี้ต้องเรียกเก็บเงินประมาณ 30 ดอลลาร์สำหรับชาวต่างชาติ และประมาณ 5 ดอลลาร์สำหรับคนท้องถิ่น แม้ว่าผู้เยี่ยมชมจำนวนมากเกินไปอาจสร้างความเสียหายให้กับการบำรุงรักษาปราสาท แต่เขาต้องการหลีกเลี่ยงการขึ้นค่าธรรมเนียมการเข้าชมสำหรับคนในท้องถิ่นที่มองว่าปราสาทเป็น ‘สถานที่พักผ่อน’

รัฐบาลประจำจังหวัดโอซาก้ากำลังหารือเกี่ยวกับการบังคับใช้ภาษีที่กำหนดเป้าหมายนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะ ซึ่งอาจเป็นไปได้ในช่วงเริ่มต้นของงานนิทรรศการโลก​ เอ็กซ์โป​โอซาก้าในเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับมาตรการในการจัดการกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าธุรกิจและผู้ประกอบการสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกเก็บเงินนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากขึ้นนั้นควรระมัดระวังในการอธิบายเหตุผลและวิสัยทัศน์ของตน

“ราคาเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้อาจจะเป็นการคิดสั้น ๆ​ เพียงว่าชาวต่างชาติไม่กระทบในช่วงที่เงินเยนร่วงลง แต่อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะชะลอจับจ่ายในระยะยาว” โทโมยะ อูเมคาวะ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโคคุกาคุอิน ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนโยบายการท่องเที่ยว กล่าว

“หากผู้ประกอบการจำเป็นต้องขึ้นราคาเนื่องจากค่าใช้จ่ายสำหรับชาวต่างชาติที่สูงขึ้น ควรส่งเสริมการบริการในลักษณะที่จะโน้มน้าวนักท่องเที่ยวว่าคุ้มค่ากับราคา เช่น โดยการเพิ่มประสบการณ์ที่พิเศษจับต้องได้และแท้จริง” เขากล่าว

การสำรวจเรื่องการกำหนดราคาแบบคู่สำหรับนักเดินทางขาเข้าในญี่ปุ่น ซึ่งจัดทำโดย Loyalty Marketing Inc. ผู้ให้บริการจุดสะสมคะแนนในเดือนกุมภาพันธ์ แสดงให้เห็นว่าเกือบร้อยละ 60​ ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศเห็นด้วยหรือค่อนข้างเห็นด้วยกับระบบ 2 ราคานี้

แต่การสำรวจยังแสดงให้เห็นว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมีความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลเชิงลบที่อาจมีต่อนักเดินทางขาเข้า

ผู้ตอบแบบสอบถามเรียกร้องให้เพิ่มบริการเสริมแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเมื่อถูกเรียกเก็บเงินมากขึ้น เช่น การให้บริการในภาษาต่าง ๆ ไกด์ การต้อนรับที่เพิ่มขึ้น หรือของขวัญพิเศษ

นิค ซาเกลลาริโอว ซึ่งเดินทางมาญี่ปุ่นจากสวีเดนกล่าวว่าเขาสนับสนุนแนวคิดที่จะเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น

“นักท่องเที่ยว ก็ดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเยอะเกินไปก็อาจเกิดปัญหาได้” ซาเกลลาริโอกล่าว พร้อมเสนอแนะว่าอาจใช้ระบบ​ 2​ ราคาขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของปี เช่น ในช่วงที่ไฮซีซั่น​ ที่มีนักท่องเที่ยวมาก

แต่เขายังเสนอว่าหากระบบนี้ถูกนำมาใช้ในประเทศบ้านเกิดของเขา ระบบนี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น ‘การเหยียดเชื้อชาติ’ หรือ ‘เลือกปฏิบัติ’

สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ระบบ​ 2​ ราคา​ แยกคนในท้องถิ่นและผู้มาเยือน ได้แก่ อุทยานแห่งรัฐไดมอนด์เฮดในฮาวาย ซึ่งผู้อยู่อาศัยของรัฐสามารถเข้าได้ฟรี ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวจากรัฐอื่น ๆ ของสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บเงินอีกราคา การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เกิดเสียงโวยวายเล็กน้อย

อุเมคาวะ​จากมหาวิทยาลัย โคคุกาคุอิน​ กล่าวว่ากลยุทธ์การกำหนดราคาในการท่องเที่ยวกำลังอยู่บนทางแพร่ง​ โดยเรียกร้องให้ธุรกิจและผู้ประกอบการละทิ้งกรอบความคิดที่ว่าพวกเขาจำเป็นต้องคงราคาให้ต่ำและเสนอบริการแบบมาตรฐาน​เดียวกันให้กับลูกค้าทั้งชาวญี่ปุ่นและไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น

“พวกเขาควรภาคภูมิใจในการนำเสนอบริการการต้อนรับคุณภาพสูง โดยที่นักท่องเที่ยวสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายได้อย่างเพียงพอ” เขากล่าว “บริการพิเศษดังกล่าวเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และจะส่งผลให้มีผู้มาเยี่ยมชมซ้ำ (เพิ่มขึ้น)"

'ท่องเที่ยวไทย' ไปโลด!! นทท.ทะลุ 19 ล้าน 1 ม.ค. - 21 ก.ค. 2567 ต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยต่อเนื่อง ค่าเฉลี่ย 96,643 คนต่อวัน

เมื่อวานนี้ (23 ก.ค. 67) นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-21 ก.ค. 67 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศแล้วทั้งสิ้น 19,618,476 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 925,100 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 3,906,735 คน มาเลเซีย 2,744,253 คน อินเดีย 1,149,039 คน เกาหลีใต้ 1,032,169 คน และรัสเซีย 977,215 คน

ทั้งนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-21 ก.ค.) จากการเริ่มเข้าสู่ช่วงวันหยุดปิดภาคเรียน (School holiday) ของนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) อาทิ จีน เกาหลีใต้ และฮ่องกง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เดินทางเข้ามาไทยเพิ่มขึ้น 1.02% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวสะสม แตะระดับ 1 ล้านคน ในขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 0.71% จากการเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว (Summer holiday) ของนักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป อาทิ เนเธอร์แลนด์

สำหรับภาพรวมของสัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 709,267 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 6,597 คน หรือ 0.94% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 101,324 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน 162,798 คน มาเลเซีย 90,966 คน อินเดีย 37,758 คน เกาหลีใต้ 35,255 คน และลาว 28,482 คน

ส่วนในสัปดาห์นี้ (22-28 ก.ค.) คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาทรงตัว จากปัจจัยส่งเสริมการเดินทาง ได้แก่ การเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว Summer holiday ของตลาดภูมิภาคยุโรป การมีมาตรการ Ease of traveling ของรัฐบาล ช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่ไทย การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก และการกระตุ้นให้สายการบินเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจเยี่ยม สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ชื่นชมตำรวจในพื้นที่ทุกหน่วย แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยว

วันนี้ ( 23 สิงหาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติแก่ข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมด้วย พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 , พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และคณะ โดยมี พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา และข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา ให้การต้อนรับ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การท่องเที่ยวนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ และเป็นรายได้หลัก ของประเทศ ซึ่งเมืองพัทยานับเป็นจุดหมายยอดนิยมอันดับต้นๆ ของชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ดังนั้น การดูแลความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวจึงนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง มาตรการป้องกันเหตุและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวต่างชาติของสถานีตำรวจภูธรพัทยา ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดชลบุรี และสถานีตำรวจท่องเที่ยวพัทยา แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ มีแผนปฏิบัติและรายละเอียดที่ชัดเจน จึงขอชื่นชมผู้เกี่ยวข้องทุกนาย 

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้การทำงานของตำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีด้วยกัน 2 ประการ ประการแรก คือ การได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายภาคประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งจากการที่ได้เห็นความสัมพันธ์อันดี และการทำงานที่สอดประสานระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) และสถานีตำรวจภูธรพัทยา เชื่อมั่นว่าจะส่งผลให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรพัทยา สามารถดำเนินไปอย่างราบรื่น ได้รับความร่วมมือที่ดี และตรงกับความต้องการของประชาชน และประการที่ 2 คือ ขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติงาน “ขวัญ เป็นอำนาจรบ ที่ไม่มีตัวตน” หากผู้ปฏิบัติงานมีขวัญกำลังใจและสวัสดิการที่ดีก็จะส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพ จึงเน้นย้ำผู้บังคับบัญชาทุกระดับดูแลสวัสดิการและความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาและครอบครัว ให้มีขวัญกำลังใจที่ดี สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี และขอให้ข้าราชการตำรวจทุกนายถือปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “เป็นองค์กรปราบปรามอาชญากรรมและบังคับใช้กฎหมายในระดับมาตรฐานสากล ที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา” ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและสังคม

🔎ส่องประเทศที่มี ‘นักท่องเที่ยว’ เดินทางไปเยอะที่สุด ในปี 2023

จากผลสำรวจของ The World Tourism rankings  by the United Nations World Tourism Organization ระบุว่าในปี 2023 ‘ประเทศไทย’ ทำรายได้จากการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติรวม 1.2 ล้านล้านบาท มีรายได้รวมจากการท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาท โดยมีนักท่องเที่ยวลำดับ 1 มาจากมาเลเซีย 4.5 ล้านคน

ส่วนประเทศที่โกยนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากที่สุดในปี 2023 ได้แก่ ‘ฝรั่งเศส’ โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเที่ยวมากถึง 100 ล้านคน

ชาวเน็ตแดนกิมจิ โบ้ย!! #แบนเกาหลีใต้ ทำยอดคนไทยเที่ยวลดลง เดือด!! ชาวไทยยังย้ำ "อย่าไปเกาหลี ให้ไปญี่ปุ่นกับจีนดีกว่า"

เมื่อวานนี้ (2 ก.ย. 67) จากเพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

คำที่ชาวเน็ต เกาหลีใต้โกรธ จากสื่อระบุว่า "สาเหตุที่นักท่องเที่ยวไทยลดลงมากเพราะมีแคมเปญ แบนเกาหลีใต้"

ในสื่อออนไลน์ ประเทศไทย คำที่ทำให้ชาวเน็ตเกาหลีโกรธ นอกจากแบนเกาหลีแล้ว นักท่องเที่ยวไทยยังบอกว่า "อย่าไปเกาหลีใต้เลย ไม่น่าสนใจ ไป ญี่ปุ่น กับ จีนดีกว่า สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจกว่าเยอะ" 

แน่นอนว่า เรื่องนี้ได้จุดประเด็นถกเถียงในสื่อออนไลน์อีกครั้ง อาทิ...

โดยฟากที่เห็นด้วยกับเกาหลีใต้ มองว่า "ประเทศด้อยพัฒนาแบบไทยคนเกาหลีเขาดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ไปบ้านเขา คนไทยไม่ไปประเทศเขาไม่กระทบต่อเงินประเทศเขาด้วยซ้ำแค่ คนไทยไม่ไปสักคน เงินที่คนไทยไปเที่ยวเหมือนเศษเงินบ้านเขาแค่นั้นแหละ รายได้เกาหลีเขามาจากนู้น ผลิตและส่งออก  เรือเดินสมุทร รถยนต์ เครื่องจักร สินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องมือสื่อสาร ผลิตชิป รถยนต์ อะไรนู้นประเทศหลังเขาด้อยพัฒนาแบบไทยไม่มีความสำคัญสำหรับเขาอยู่แล้ว"

ขณะที่กลุ่มแอนตี้เกาหลีใต้ มองว่า "ประเทศต้นตอของการ #ชอบบูลลี่ เป็นอาหารหลักคนรุ่นใหม่เกาหลีใต้ไม่รู้เหรอว่า ก่อนจะขายบันเทิง กับ หมอศัลย์ฯ ได้อย่างวันนี้ ประเทศเคยทำของเล่นสังกะสีก๊อบปี้ เสื้อผ้าก๊อบปี้ ส่งออกพอๆ กับไต้หวัน #ก่อนโดนจีนแดงถล่มตลาดยับ!!"

"เกาหลี ไปเที่ยวมาครั้งเดียว ไม่น่าเที่ยวเลย ญี่ปุ่น ผมไปมาสิบกว่าครั้ง และจะไปเรื่อยๆ จีนได้ไป 1 ครั้ง ชอบมากๆ อยากไปอีก"

นอกจากนี้ ยังมีการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกมากนับพันคอมเมนต์ในเพจดังกล่าวอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top