Wednesday, 23 April 2025
ทางรัฐ

‘อนุทิน-พวงเพ็ชร’ เปิดตัวแอปฯ ‘ทางรัฐ’ เล็งลดขั้นตอนติดต่อราชการ พร้อมช่วยให้ ‘ผู้สูงอายุ-คนพิการ’ เช็กเบี้ยได้สะดวกและรวดเร็ว

(27 พ.ย.66) ที่อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย เป็นประธานเปิดบริการตรวจสอบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการบนระบบพอร์ทัลกลางเพื่อประชาชน (Citizen Portal) หรือแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ โดยมีนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย นายวราวุธ ยันต์เจริญ ผู้ช่วยรมต.ประสำนักนายกฯ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรมว.มหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายเฉลิมพล โชตินุชิต รองปลัดกรุงเทพมหานคร นายสุพจน์ เธียรวุฒิ ผอ.สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ตัวแทนภาคประชาชน และสื่อมวลชน ร่วมในพิธี 

นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่น่ายินดีที่จะได้เปิดการให้บริการตรวจสอบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการบนระบบพอร์ทัลกลางเพื่อประชาชนหรือแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจตามนโยบายรัฐบาลที่จะปรับเปลี่ยนการบริหารประเทศให้เข้าสู่ยุค Digital Government โดยเมื่อข้อมูลทั้งหลายถูกนำเข้าสู่ระบบออนไลน์แล้ว ประเทศก็จะได้ทั้งการบริหารงานที่โปร่งใส และการให้บริการที่สะดวกสบายสำหรับประชาชน ทั้งนี้ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสรรค์บริการ ทั้งการพัฒนาบริการเดิม และเสริมบริการใหม่ จะช่วยลดขั้นตอนการติดต่อราชการที่ซ้ำซ้อนลง สามารถตอบสนองความต้องการของคนยุคนี้ ในการเข้าถึงบริการของรัฐได้ตลอด 24 ชั่วโมง ลดปัญหาดังที่เราทุกคนเคยมีประสบการณ์ของความหงุดหงิด เวลาอยากจะทำอะไรนอกเวลาราชการแล้วทำไม่ได้ ต้องมาเสียเวลาทำการทำงาน เพื่อไปติดต่อราชการตามเวลาราชการ 

“ความรู้สึกแบบนั้นจะหายไป เมื่อเราเข้าสู่ความเป็น Digital Government โดยสมบูรณ์ ซึ่งการรวมศูนย์บริการภาครัฐให้เป็นพอร์ทัลกลาง เป็นปัจจัยที่จะทำให้รัฐบาลดิจิทัลเกิดขึ้นได้จริง การที่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้นำระบบเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการให้บริการตรวจสอบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ รองรับผู้ใช้งานกว่า 14 ล้านคนในครั้งนี้ ถือว่าสอดคล้องกับอัตลักษณ์ในการทำงานของชาวกระทรวงมหาดไทย คือทันโลก ทันสมัย ทันท่วงที สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม สนองตอบความต้องการของประชาชน

ด้านนางพวงเพ็ชร กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่วันนี้ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีส่วนร่วมในการสนับสนุนนโยบายของท่านรองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ที่มุ่งพัฒนาให้ข้าราชการและหน่วยงานเป็นที่พึ่งพาของประชาชน ทั้งนี้ การที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้เกียรตินำบริการตรวจสอบเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการมาไว้ในแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ สะท้อนถึงการก้าวสู่องค์กรดิจิทัลที่มีความสอดคล้อง คล่องตัว เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่จะผลักดันให้แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ เสมือนซูเปอร์แอพของภาครัฐ ที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในแอปฯ เดียว ซึ่ง DGA มุ่งมั่นขับเคลื่อนงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อสร้างประเทศให้ทันสมัย เพื่อชีวิตของคนไทยที่ง่ายขึ้น (Smart Life) ส่งผลให้ประชาชนทุกคน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป

นายขจร กล่าวว่า สืบเนื่องจากปัญหาที่ประชาชนทั่วไปไม่ทราบ หรือไม่สามารถคำนวณหาช่วงเวลาที่ต้องไปยืนยันตัวตน เพื่อรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้อย่างถูกต้อง มีความเสี่ยงในการไปยืนยันตัวตนล่าช้ากว่าที่ระเบียบกำหนด ส่งผลให้ได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุล่าช้า และจำนวนเงินเบี้ยยังชีพที่ได้รับน้อยลงกว่าสิทธิที่ควรจะได้ หรือต้องการทราบข้อมูลการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยความพิการในแต่ละเดือน ก็จำเป็นที่จะต้องเดินทางมาสอบถามข้อมูลจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งต้องใช้เวลาค่อนข้างเยอะ ยิ่งถ้าต้องการข้อมูลจากหลายหน่วยงานก็ต้องเดินทางไปหลายแห่งอีก สร้างภาระค่าใช้จ่ายและความยุ่งยากให้กับประชาชนที่ต้องการความสะดวก

นายขจร กล่าวอีกว่า แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ได้รวบรวมบริการที่สำคัญของภาครัฐมาไว้ในแอพเดียว ที่ให้บริการประชาชนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ปัจจุบันแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ พร้อมให้บริการประชาชนกว่า 134 บริการ เช่น บริการตรวจสอบสิทธิประกันสังคม สิทธิการรักษาพยาบาล เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด สิทธิหลักประกันสุขภาพ รวมถึงฐานข้อมูลการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ เป็นการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 รวมถึงแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. 2566-2570 ซึ่งรัฐบาลมีเจตนารมณ์มุ่งผลักดันให้แผนนี้เป็นระบบกลางของประเทศ ที่รวบรวมงานบริการภาครัฐไว้ในแหล่งเดียว เพื่อให้ประชาชนได้รับประสบการณ์ที่ดีในการติดต่อราชการผ่านทางออนไลน์

‘ปลัดคลัง’ เผย จะใช้แอปฯ ‘ทางรัฐ’ รองรับดิจิทัลวอลเล็ต ย้ำ!! ประชาชนเตรียมลงทะเบียนรับสิทธิ์ ไตรมาส 3 ปีนี้

(11 เม.ย. 67) นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทว่า คณะกรรมการโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ได้กำหนดให้ประชาชนจะต้องเข้ามาลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตนในการรับสิทธิ โดยโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต จะเริ่มเปิดลงทะเบียนในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 และประชาชนจะสามารถใช้จ่ายได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ส่วนช่องทางในการใช้จ่ายนั้น จะใช้แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือดีจีเอ

“สาเหตุที่ไม่เลือกใช้แอพพ์เป๋าตัง เนื่องจากแอพพ์ทางรัฐ เป็นแอพพ์ของรัฐจริง ๆ แต่เป๋าตังเป็นของแบงก์ อย่างไรก็ตาม เป๋าตังก็อาจจะยังต้องใช้ แต่เป็นระบบข้างหลัง ไม่ได้เป็นด้านหน้า เนื่องจากเป็นระบบควบคุมแบบเปิด หรือ Open Loop ซึ่งหมายความว่า เป็นวอลเล็ตของสถาบันการเงิน ทั้งแบงก์และนอนแบงก์สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งเป๋าตังอาจจะไปเชื่อมต่อตรงนั้น เช่นเดียวกันกับ เคพลัส และแม่มณี เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องทางเทคนิคที่ดีจีเออยู่ระหว่างการพัฒนา” นายลวรณ กล่าว

นายลวรณ กล่าวว่า ส่วนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะต้องมีขนาดเล็ก เช่น ร้านค้าโชห่วย และร้านสะดวกซื้อ อย่างเซเว่น อีเลฟเว่น ก็สามารถเข้าร่วมได้ ทั้งนี้ หลักการได้รับเงินของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ คือรอบแรกมีเงินอยู่ที่ประชาชน โดยประชาชนที่ได้รับสิทธิจะต้องใช้ในร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น ที่อยู่ในเขตอำเภอ เพื่อให้มีเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจฐานราก ซึ่งถือเป็นรอบที่ 1

นายลวรณ กล่าวว่า ทั้งนี้ เมื่อร้านค้าขนาดเล็กได้รับวงเงินมาแล้ว ต้องเอาไปใช้ต่อเป็นรอบที่ 2 ในร้านค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะเป็นการซื้อขายร้านค้ากับร้านค้า โดยหากร้านค้าที่มีขนาดใหญ่ดังกล่าวอยู่ในระบบภาษี ร้านค้านั้น ๆ จะสามารถเอาออกจากระบบได้ โดยเกณฑ์โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต กำหนดให้ร้านค้าที่สามารถนำเงินออกจากระบบได้ ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

“การกำหนดร้านขนาดเล็กในรอบแรก มองว่า จะต้องเป็นร้านโชห่วย ขึ้นมาได้มากที่สุด คือร้านสะดวกซื้อ อาทิ เซเว่น ร้านในปั๊ม แต่ยังไม่ถึงแม็คโคร ค้าส่งค้าปลีกขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ที่ทำให้มีรอบที่ 1 และรอบที่ 2 เพราะเราอยากให้เกิดการหมุนเวียน เพราะหากเงินในระบบออกได้เร็ว แรงส่งต่อเศรษฐกิจก็จะมีน้อยลง”นายลวรณกล่าว

นายลวรณ กล่าวว่า วงเงินจากดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ประชาชน 50 ล้านคนได้รับ จะต้องใช้จ่ายผ่านร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น โดยมีระยะเวลาการใช้จ่าย 6 เดือน ซึ่งมั่นใจว่า วงเงิน 5 แสนล้านบาท จะลงสู่ร้านค้าขนาดเล็กทั้งหมด โดยรัฐจะมีระบบบล็อกร้านค้าที่ 2 ไม่ให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ เพื่อกำหนดให้ประชาชนซื้อในร้านค้าขนาดเล็กก่อน

นายลวรณ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน โครงการดังกล่าวมีระบบป้องกันเรื่องเงินทอน และทุจริตการใช้จ่าย ซึ่งโครงการในอดีตที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้น แต่ก็มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการสวมสิทธิในการใช้จ่าย ทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายจะต้องมีการยืนยันตัวตนในรูปแบบตัวต่อตัว และยังมีตำรวจไซเบอร์ที่จะเข้ามาดูเรื่องเงินทอน และการซื้อของผิดประเภท โดยมีโทษสูงสุดถึงจำคุก

‘ปชช.’ แห่ลงทะเบียน 'ทางรัฐ' รับสิทธิเงินดิจิทัล จนขึ้นเทรนด์ X หลายรายโอด!! แอปฯ ‘ค้าง-เด้งออก’ หลังเปิดให้กรอกมา 1 ชม.

(1 ส.ค. 67) วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดให้ลงทะเบียนยืนยันรับสิทธิโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ ซึ่งประชาชนให้ความสนใจอย่างมาก โดยแฮชแท็ก #แอปทางรัฐขึ้นอันดับ 1 เทรนด์แอปพลิเคชัน X รวมถึง #ดิจิทัลวอลเล็ต ก็อยู่อันดับต้น ๆ เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี หลังจากเปิดลงทะเบียนมาประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มมีหลายรายบ่นว่า แอปทางรัฐมีอาการค้าง หรือบางรายก็ล็อกอินเข้าระบบแล้วก็เด้งออก รวมถึงบางรายก็ได้รับข้อความ แจ้งขออภัย เนื่องจากมีผู้ใช้งานจำนวนมาก แต่บางคนก็สามารถลงทะเบียนได้

ด้าน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลมีการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือกระทรวงดีอีเอส และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ตั้งวอร์รูม รองรับการแก้ไขปัญหาการลงทะเบียนที่อาจไม่คาดหมายที่จะเกิดขึ้น และหากประชาชนมีข้อสงสัย หรือติดปัญหาใด สามารถติดต่อ Call Center ได้ที่หมายเลข 1111

น่าคิด!! 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ใช้จ่ายได้จริงเดือนสุดท้าย ปี 67 เป็น 'พายุหมุนเคลื่อน ศก.' หรือแค่ 'ต่อลมหายใจรัฐบาล'

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นวันที่รัฐบาลเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนสิทธิโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน หรือแอปฯ 'ทางรัฐ' และปิดการลงทะเบียนในวันที่ 15 กันยายน 2567 โดยไม่มีการจำกัดจำนวนประชาชนที่จะเข้าร่วมใช้สิทธิฯ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศเมื่อครั้งแถลงข่าวใหญ่ 'ดิจิทัลวอลเล็ต โครงการเพื่อประชาชน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ววันนี้' เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมาว่า การเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะช่วยทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ 4 ลูก คือ 

1.ระหว่างร้านค้าขนาดเล็กกับประชาชน 
2.ร้านค้าเล็กกับร้านค้าใหญ่ 
3.ร้านค้าขนาดใหญ่กับร้านค้าขนาดใหญ่ 
และ 4.เกิดการซื้อขายโปร่งใสกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยประชาชน 

สถานการณ์ของประเทศไทย ในขณะนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว และถดถอย GDP โตต่ำกว่า 2.0 % สาเหตุสำคัญคือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานน้อยมาก ด้วยความล่าช้าในการจัดตั้งงบประมาณ เพราะต้องรอการจัดสรรเม็ดเงินไปยังโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หน่วยงานต่าง ๆ จึงแทบจะไม่มีการเบิกจ่ายงบประมาณ กอปรกับการส่งออก ที่ยังคงติดลบ และขาดดุล การค้า ด้วยการส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ลดลง จำนวนนักท่องเที่ยวในเดือนมิถุนายน เริ่มลดลงจากเดือนที่ผ่านมา การบริโภคภาคเอกชนก็ติดลบจากเดือนก่อน 

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาในช่วงต้นปี ทั้งมาตรการ Easy e-Receipt แพ็คเกจกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ มาตรการลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวเมืองรอง มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และ 3 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน แทบจะขยับได้เพียงเล็กน้อย ด้วยประชาชนเองก็ต้องควบคุมการใช้จ่ายโรงงานต่างๆ ปิดลงเป็นจำนวนมาก การเข้าถึงสินเชื่อแทบจะเป็นไปได้ยาก ดูได้จากอัตราการปฏิเสธสินเชื่อทั้งบ้าน รถ ที่สูง การจำหน่ายรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ลดลงทุกเดือน

การลดราคาของรถยนต์ไฟฟ้า เหมือนจะเป็นข่าวดีที่มีสินค้าลดราคา เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ แต่กลับส่งผลบางด้านต่อการแข่งขัน โรงงานผลิตรถยนต์สันดาป ประกาศปิดโรงงาน ไปหลายแบรนด์ ปั๊มแก๊ส ทยอยปิดตัว ด้วยราคา NGV-LPG ที่ปรับราคาแพงขึ้น

ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศผ่อนปรนขยายระยะเวลาการชำระหนี้บัตรเครดิต ขั้นต่ำ 8% ออกไปอีก 1 ปี จนถึงสิ้นปี 2568 จากเดิมที่จะขยับเป็น 10% ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 ถึงแม้จะกำหนดเงื่อนไขลูกหนี้ที่ชำระหนี้ขั้นต่ำได้มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 8 จะได้รับเครดิตเงินคืนทุก 3 เดือน แต่จะมีลูกหนี้มากน้อยแค่ไหน ที่จะชำระได้มากขึ้น ในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ 

ความหวังสุดท้ายของรัฐบาล จึงแทบจะฝากไว้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่หากสามารถโอนเม็ดเงินให้ประชาชนใช้จ่ายได้จริง ก็ไม่น่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ได้ เพราะกำหนดการเริ่มใช้จ่าย ก็เป็นเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปีแล้ว 

จะสร้างพายุหมุนเศรษฐกิจ 4 ลูก เพื่อขยับจีดีพีประเทศให้ขยายตัวไปข้างหน้า? หรือเพียงแค่ต่อลมหายใจให้รัฐบาล ได้อยู่ต่อไปอีกระยะ ความหวังเฮือกสุดท้าย ของทั้งรัฐบาล และ ประชาชนคนไทย... 

‘ผู้พัฒนาแอปฯ ทางรัฐ’ ชี้!! แอปฯ ปลอดภัย-รักษาข้อมูลส่วนบุคคล ยืนยัน!! ใช้มาตรฐานระดับโลก-ตรวจเฝ้าระบบตลอด 24 ชั่วโมง

(5 ส.ค. 67) สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA แจ้งว่า แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ เป็นแอปพลิเคชันของภาครัฐที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชนที่มีการเชื่อมข้อมูล และบริการจากส่วนราชการต่าง ๆ มาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อให้ประชาชนในทุกช่วงวัยสามารถใช้บริการออนไลน์ของภาครัฐได้ในแอปฯ เดียวอย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมถึงเป็นช่องทางในการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet

ดังนั้น การที่ประชาชนจะเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐ จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ว่าผู้ที่กำลังจะเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐ เป็นประชาชนตัวจริงหรือไม่ โดยการให้ประชาชนผู้นั้นถ่ายภาพใบหน้า และภาพบัตรประจำตัวประชาชนของตนเอง เพื่อเอาไปเปรียบเทียบกับภาพใบหน้าและข้อมูลบัตรประชาชนของประชาชนผู้นั้นที่มีอยู่ในระบบของภาครัฐว่าตรงกันหรือไม่ หรือที่เรียกว่าการทำ KYC (Know Your Customer) เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าถึงข้อมูลของประชาชนผู้นั้น หรือสวมสิทธิ์ ซึ่งเป็นมาตรการการป้องกันและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือแบบเดียวกับที่ธนาคารในประเทศไทยใช้ (IAL 2.3) ตามประกาศของคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

ในปัจจุบัน แอปฯ ทางรัฐเป็นเพียงช่องทางในการเชื่อมโยงข้อมูลและบริการจากหน่วยงานต้นทางโดยไม่ได้เก็บข้อมูลประชาชนจากหน่วยงานต้นทางมาไว้ที่แอปฯ ทางรัฐแต่อย่างใด และข้อมูลส่วนบุคคลที่แสดงในแอปฯ ทางรัฐสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเจ้าของข้อมูล และผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น

นอกจากนี้ แอปฯ ทางรัฐมีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบและข้อมูลต่าง ๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ และพัฒนาระบบที่มีการเข้ารหัสข้อมูลและใช้เทคโนโลยีการยืนยันตัวตนที่ทันสมัยโดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ร่วมกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาระบบที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก โดยเน้นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลและระบบเป็นหลัก มีการตรวจสอบและทดสอบระบบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทดสอบเจาะระบบและแก้ไขช่องโหว่ต่าง ๆ ทั้งก่อนให้บริการและระหว่างการให้บริการเพื่อป้องกันการแฮกและการเข้าถึงข้อมูลและบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรฐานสากล อีกทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยีป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในระดับสูง (State-of-the-Art Cybersecurity Protection)

ตลอดจนการบริหารจัดการและจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้แนวทางที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กำหนด และเป็นไปตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 รวมถึงตามมาตรฐานที่ DGA ได้รับการรับรอง เช่น ISO 27001 (Security Management) เป็นต้น

นอกจากนี้แอปฯ ทางรัฐยังให้บริการอยู่ในระบบที่มีความน่าเชื่อถือ มีเสถียรภาพ อีกทั้งยังมีการตั้ง war room เฝ้าระวังระบบและภัยคุกคามทางไซเบอร์ด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของ DGA ร่วมกับ สกมช. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมตลอด 24 ชั่วโมง

โดยสามารถพิสูจน์ได้จากวันแรกที่เปิดรับลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ซึ่งมีผู้ไม่ประสงค์ดีพยายามโจมตีระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างหนัก ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เปิดรับลงทะเบียน โดยเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนกดเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐเป็นจำนวนมหาศาลเช่นเดียวกัน แต่แอปฯ ทางรัฐก็ยังสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถรองรับการลงทะเบียนฯ ได้ถึง 18.8 ล้านคนภายใน 24 ชั่วโมงโดยระบบไม่ล่มและไม่มีปัญหาเรื่องข้อมูลรั่วไหล

สำหรับประเด็นข้อสงสัยที่ว่า แอปทางรัฐเป็นระบบเปิดที่เชื่อมต่อไปถึงบัญชีธนาคารของทุกคนหรือไม่นั้น ในปัจจุบัน แอปทางรัฐ ยังไม่มีการเชื่อมกับบัญชีธนาคารและไม่มีการเก็บข้อมูลบัญชีธนาคารของประชาชนแต่อย่างใด

ทั้งนี้แอปฯ ทางรัฐ อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐเชื่อมโยงข้อมูลและบริการของตนเข้าสู่แอปพลิเคชันทางรัฐเท่านั้น ภายใต้วิธีการเชื่อมต่อที่มีการควบคุมกำกับดูแล และมีความมั่นคงปลอดภัยสูง โดยไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไป หรือภาคเอกชน หรือธนาคารเชื่อมโยงข้อมูลบัญชีและระบบบริการกับแอปฯ ทางรัฐแต่อย่างใด ซึ่งแอปฯ ของธนาคาร และผู้ให้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ต้องเชื่อมโยงและรับส่งข้อมูลกับแพลตฟอร์มการชําระเงินกลาง (Payment Platform) ของภาครัฐเพื่อรองรับการชำระเงินซึ่งเป็นคนละระบบกับแอปฯ ทางรัฐ

โครงการรถไฟฟ้า 20 บาท ทุกสาย! เริ่มใช้ 30 ก.ย. 68 ลงทะเบียนผ่านแอป 'ทางรัฐ'

ข่าวดีสำหรับคนเมือง! รถไฟฟ้า 20 บาททุกสาย มาแล้ว

เริ่มใช้ 30 ก.ย. 68! ลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านแอปฯ 'ทางรัฐ' ได้ตั้งแต่ สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
ใช้ได้เฉพาะผู้ลงทะเบียนพร้อมบัตร EMV หรือบัตร Rabbit แบบเติมเงิน (ABT) เท่านั้น

อย่าลืมเตรียมบัตรให้พร้อม แล้วกดลงทะเบียนทันทีที่ระบบเปิดนะ!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top