Monday, 9 June 2025
ดูแลประชาชน

‘บิ๊กตู่’ คุย ‘ชัชชาติ’ คาดสั่งการแก้น้ำท่วม ตอกย้ำชัด ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน

เมื่อเวลา 09.30 น. (วันที่ 25 ก.ค. 65) ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 ได้พูดคุยกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร และตัวแทนจากกองทัพ ประมาณ 5 นาที 

ทั้งนี้ คาดว่า มีการหารือ รวมทั้งสั่งการถึงมาตรการการช่วยเหลือประชาชนในช่วงที่มีฝนตกลงมาและเกิดปัญหาน้ำท่วมขัง ซึ่งก่อนหน้านี้ทางกองทัพ และกรุงเทพมหานครได้ประสานความร่วมมือในการช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว แต่คาดว่าในช่วงฤดูฝนขณะนี้อาจเกิดเหตุการซ้ำขึ้นมาอีก

ทั้งนี้ ภายในงานมอบตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 นายกรัฐมนตรี ยังได้รับฟังเพลงสดุดีพระแม่ไทย บรรเลงและขับร้องโดยวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ด้วย

จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาต และพระบรมราชวินิจฉัย ให้รัฐบาลจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ และพระราชทานแบบตราสัญลักษณ์ พร้อมความหมายภาษาไทยและภาษาอังกฤษด้วยแล้ว รัฐบาลจึงขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและแสดงความจงรักภักดี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 โดยร่วมกันจัดทำโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ และถวายพระราชกุศลให้เป็นไปอย่างสมพระเกียรติ ตลอดปี 2565 นี้

‘ตำรวจรถไฟ’ ร้อง ‘เพื่อไทย’ หลังถูกยุบกองฯ ด้าน ‘ชลน่าน’ รับเรื่องพิจารณา พร้อมให้กำลังใจ

วันนี้ (28 พ.ย. 65) เมื่อเวลา 12.45 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ร.ต.ท.สมควร ปั้นกันอินทร์ รองสว.(ป) ส.รฟ.นพวงศ์ พร้อมด้วยตำรวจรถไฟ ยื่นหนังสือถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อร้องขอความเป็นธรรมหลัง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้ ซึ่งส่งผลให้กองบัญชาการตำรวจรถไฟจะต้องยุบไป เมื่อตนได้ปรึกษากับทีมงานแล้วจึงมายื่นร้องขอความเป็นธรรมให้กับตำรวจชั้นผู้น้อย ปัจจุบันมีผู้มาใช้บริการรถไฟกว่า 2 แสนคน ถ้าไม่มีตำรวจรถไฟ ใครจะให้ความคุ้มครองดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน และที่จะใช้รปภ.ไปปฏิบัติหน้าที่แทน ก็ไม่มีอำนาจจับกุมเหมือนกับตำรวจ ตำรวจรถไฟเป็นหน่วยงานหนึ่งในสตช.ทำการจับกุมผู้ต้องหาได้มากที่สุด โดยดูผลการปฏิบัติหน้าที่ย้อนหลังได้ ขอยืนยันว่าเราทำงาน ไม่ใช่ไม่ทำงาน หากต้องถูกยุบไป ตำรวจรถไฟมีความเจ็บปวดมาก 

'พล.ต.อ.รอยฯ /ผอ.ศจร.ตร.' กำชับตำรวจจราจรทั่วประเทศเตรียมพร้อมดูแลประชาชน ที่เริ่มทยอยเดินทางกลับ อำนวยความสะดวกจราจร ขอ ปปช.ให้ความร่วมมือ ขับขี่ด้วยความไม่ประมาท และให้ใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เป็นพิเศษเนื่องจากในห้วงนี้ มีฝนตกหนักและถนนเปียกลื่น

วันนี้ (1 ส.ค.66) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการกำชับให้ดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจรแก่พี่น้องประชาชนที่ใช้เส้นทางการจราจรในการเดินทางกลับหลังจากวันหยุดต่อเนื่อง โดยวันนี้เป็นวันหยุดวันที่ 5 แล้ว ทั้งประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา และที่เดินทางออกไปท่องเที่ยวตามต่างจังหวัด ต่างเริ่มทยอยเดินทางกลับที่พัก ทำให้การจราจรมีปริมาณรถหนาแน่น สภาพการจราจรโดยรวมบนถนนสายหลักในหลายพื้นที่ติดขัดเป็นบางช่วง จึงกำชับตำรวจจราจรทั่วประเทศ พร้อมอำนวยความสะดวกจราจร ป้องกัน เเละลดอุบัติเหตุทางถนนของประชาชนในพื้นที่ ขอให้ประชาชนตรวจสอบความพร้อมของร่างกาย สภาพรถและตรวจสอบเส้นทางก่อนออกเดินทางเพื่อความปลอดภัย ประกอบกับมีประกาศเตือนของ กรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งวันที่ 1 – 2 ส.ค.2566 นี้มีฝนตกหนักเกือบทั้งประเทศ ซึ่งอาจจะทำเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางถนนได้ เนื่องจากทัศนวิสัยในการขับขี่จะลดลงเนื่องจากสภาพอากาศที่มีฝนตกหนัก ถนนมีสภาพเปียกลื่น ขอให้พี่น้องประชาชนใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เป็นพิเศษด้วย หากต้องขับขี่ยานพาหนะขณะที่เกิดฝนตกหนักดังกล่าวตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือน  ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงเน้นในการจับกุมเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุใน 10 ข้อหาหลัก ได้แก่ 
1. ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด
2. ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร
3. ขับรถย้อนศร
4. ไม่พกพาใบขับขี่
5. ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
6. แซงในที่คับขัน
7. ขับขี่รถขณะเมาสุรา
8. ไม่สวมหมวกกันน็อก
9. ใช้รถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ปลอดภัย
10. ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ

ด้าน พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศจร.ตร. กล่าวว่า ตามที่ ผบ.ตร. ได้ออกข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร เพื่อกำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงใช้ในการเปิดช่องทางพิเศษ เร่งระบายรถให้กับพี่น้องประชาชนในการเดินทางในห้วงวันหยุดยาว (28 ก.ค. – 2 ส.ค.66) นั้น เบื้องต้นกองบังคับการตำรวจทางหลวง มีความพร้อมในการปฏิบัติตามข้อบังคับดังกล่าว และหากในถนนมิตรภาพ ถนนพหลโยธิน และถนนสายเอเชีย มีปริมาณรถมากในช่วงใด เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ก็จะดำเนินการเปิดช่องทางพิเศษ เพื่อเร่งระบายรถให้พี่น้องประชาชนได้รับความสะดวกมากขึ้นในการเดินทาง 

นอกจากนี้ข้อมูลสถิติจากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน (https://www.thairsc.com/) พบว่าในห้วงวันหยุดที่ผ่านมานั้นตั้งแต่วันที่ 27 – 31 ก.ค.66 มียอดผู้เสียชีวิตสะสมแล้วถึง 153 ราย และเมื่อวาน (31 ก.ค.66) วันเดียว มียอดผู้เสียชีวิตถึง 45 ราย บาดเจ็บ 2,173 ราย สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุก็คือ ขับรถเร็ว หลับใน ขับรถตัดหน้า/เปลี่ยนช่องทางเดินรถ(เลน)ในระยะกระชั้นชิด และเมาแล้วขับ ในส่วนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในความผิดฐานเมาแล้วขับ ตั้งแต่วันที่ 27 – 31 ก.ค.66 มียอดจับกุมสะสม 958 ราย ขอแจ้งเตือนประชาชนว่าหากท่านขับขี่รถในขณะเมาสุราและเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุแล้วมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตนั้น จะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี ปรับ 200,000 บาท และจะต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถในทันทีอีกด้วย  

ทั้งนี้หากเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือ ประชาชนสามารถสอบถาม แจ้งขอความช่วยเหลือ และแจ้งเหตุขัดข้องด้านการจราจร ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่
โทร. 191 จราจรทุก สน./สภ.
โทร. 1197 สายด่วนตำรวจจราจรในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
โทร. 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ

ในห้วงหยุดยาวนี้ ขอให้ประชาชนทุกท่านขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เคารพกฎจราจร มีน้ำใจกับเพื่อนร่วมทาง เดินทางท่องเที่ยว และกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ ด้วยความห่วงใยจาก ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

‘ลิณธิภรณ์’ หวั่น!! ปรับเบี้ยผู้สูงอายุ แก้ปัญหาไม่ตรงจุด ชี้!! รัฐต้องหาทางเพิ่มรายได้ เพื่อกระจายสวัสดิการให้ทั่วถึง

(15 ส.ค. 66) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการและรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีการปรับหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้สูงอายุที่จะเข้าเกณฑ์ใหม่ได้รับเงินดังกล่าว จะต้องเป็นผู้ไม่มีรายได้ หรือคนจน ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนดว่า พรรคเพื่อไทยตระหนักถึงสถานการณ์จำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้น และประเทศไทยกำลังจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาแรกในโลก ที่ต้องรับมือกับภาวะแก่ก่อนรวย โดย 1 ใน 5 ของคนไทยเป็นผู้สูงอายุ และในอีก 20 ปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 โดย 63% อยู่ในภาคเกษตร และ 87% เป็นแรงงานนอกระบบ และมีปัญหาร่วมกันคือรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ ไม่มีเงินเก็บ 

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้นนโยบายของพรรคเพื่อไทยจึงทำเพื่อตอบโจทย์การสร้างรายได้ แก้ปัญหาระดับโครงสร้างในทุกมิติผ่านชุดนโยบายของพรรคเพื่อไทยเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ประกอบด้วย กระเป๋าเงินดิจิทัล กระตุ้นเศรษฐกิจ บรรเทาความเดือนร้อนให้ทุกคน 1 ครอบครัว 1 ศักยภาพ softpower สร้างแรงงานทักษะสูง 20 ล้านตำแหน่ง ผู้สูงอายุคนเกษียณก็ยังสามารถทำงาน สร้างรายได้ มีศักดิ์ศรี เพิ่มรายได้ภาคเกษตร เพิ่มรายได้ 3 เท่าตัว เพราะผู้สูงอายุและกำลังจะเข้าสู่ภาวะผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตร อัปเกรด 30 บาทรักษาทุกโรค บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทั่วไทย ผู้ป่วยติดเตียง-ผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้รับการดูแลจากผู้ช่วยพยาบาล ทั้งที่บ้านและศูนย์ชีวาภิบาลของรัฐและเอกชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ลูกหลานสามารถไปประกอบอาชีพได้ตามปกติโดยไม่ต้องลางาน Learn to Earn เรียนเพื่อสร้างรายได้ เรียนรู้ง่ายตลอดชีวิต จับคู่สมรรถนะของคนเข้ากับงานที่ใช่ เพื่อช่วยให้มีงานทำเร็วที่สุด ตรงกับสมรรถนะของตนเองมากที่สุด และสร้างรายได้ที่ดีที่สุด 

“สวัสดิการจำเป็นสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องใช้ เพื่อไทยมุ่งเป้าให้คนไทยยืนได้ด้วยลำแข้งตนเอง การปรับเบี้ยผู้สูงอายุให้เฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่การให้ถ้วนหน้าแบบเดิม ต้นเหตุมาจากรัฐมีงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งเพื่อไทยเห็นปัญหานี้มาโดยตลอด เราจึงเป็นพรรคเดียวที่พูดถึงการสร้างรายได้ เพื่อมีรายได้มาจัดสวัสดิการโดยรัฐ สำหรับกลุ่มผู้เปราะบาง ผู้ด้อยโอกาสให้ครอบคลุมและทั่วถึงในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้คนไทยทุกกลุ่มเข้าถึง” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว

📌‘ภูมิธรรม’ โชว์ผลงาน 1 ปี ส่งท้ายเก้าอี้ รมว.พาณิชย์ สำเร็จตามเป้า

1 ปี บนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของ ‘นายภูมิธรรม เวชยชัย’ ก่อนจะลุกไปครองเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม ก็ได้สร้างภาพจำไว้ได้ไม่น้อย 

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย ได้เดินทางเข้ากระทรวงฯ เพื่ออำลาตำแหน่ง และแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี ถือเป็นภารกิจสุดท้าย ในฐานะเจ้ากระทรวงฯ โดยมี 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการ นภินทร ศรีสรรพางค์ และ สุชาติ ชมกลิ่น คณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนถึง พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศและทูตพาณิชย์ที่ร่วมรับฟัง ทั้งในห้องประชุม และผ่านทางระบบ ZOOM  

นายภูมิธรรม ได้กล่าวถึงผลงานในรอบ 1 ปี ว่า ได้กำหนดนโยบายในการทำงานในช่วงบริหารงานกระทรวงพาณิชย์ไว้ 7 ด้าน ได้แก่ 

1.ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส 
2.บริหารให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกร ผู้ประกอบการ 
3.ทำงานเชิงรุกระหว่างพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ 
4.แก้ไขข้อจำกัดของกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายที่เก่าล้าสมัย 
5.ร่วมขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต 
6.เร่งผลักดันส่งออกจากติดลบให้เป็นบวก 
7.ผลักดันการใช้ประโยชน์จาก FTA 

ซึ่งปรากฏผลการทำงานประสบความสำเร็จในทุกด้าน สามารถดูแลตั้งแต่เกษตรกร ที่เป็นคนฐานรากของประเทศ ดูแลประชาชนผู้บริโภคให้มีภาระค่าครองชีพลดลง และดูแลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วยเพิ่มรายได้

นอกจากนี้ ยังได้ตั้งคณะอนุกรรมการ ‘ทีมพาณิชย์’ เพื่อบูรณาการการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ 9 คณะ ได้แก่ 

1. ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรเพื่อการพาณิชย์ 
2.ส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทย 
3.ส่งเสริมและขับเคลื่อนการค้าและเศรษฐกิจเชิงรุกไทย-จีน-อาเซียน 
4.ขับเคลื่อนการทำงานเพื่อบูรณาการตามยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์  
5.ขับเคลื่อนนโยบายโลจิสติกส์ทางการค้า 
6.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ Big data และอินฟลูเอนเซอร์เพื่อการค้า 
7.พัฒนากฎหมายกระทรวงพาณิชย์ 
8.พัฒนาการค้าตามระเบียบการค้าโลกใหม่ 
9.สร้างการรับรู้และภาพลักษณ์กระทรวงพาณิชย์ 

นอกจากนี้ยังเน้นการทำงานเชิงรุก โดยพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ต้องรู้จักสินค้า เข้าใจความต้องการตลาด เข้าถึงช่องทางการค้ายุคใหม่ บริหารจัดการประโยชน์ของทุกกลุ่มทุกภาคส่วนให้มีความสมดุล ทั้งเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่ และ ผู้บริโภค 

สำหรับนโยบายเพิ่มรายได้ สามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรเพิ่มขึ้นเกือบ 2 แสนล้านบาท จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาพืชผลทางการเกษตร โดยพืชหลัก ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มัน ปาล์ม ยางพารา ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 8 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตเกือบ 90 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายข้าวเปลือกเจ้าได้สูงสุดในรอบ 20 ปี พืชรอง ได้แก่ ผลไม้ พืช 3 หัว และผัก ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 1.5 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตกว่า 8 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายสับปะรด กระเทียม หอมแดง สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ 

ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการชุมชน และ SME โดยผลักดันการค้า E-Commerce ทั้งในและต่างประเทศ เกิดมูลค่าการซื้อขาย 2,347.70 ล้านบาท อาทิ ทำ MOU กับ Rakuten ญี่ปุ่น เพื่อจำหน่ายสินค้าไทย ร่วมมือกับ Amazon ขายออนไลน์ นำสินค้าไทยขายบน Shopee มียอดขาย 71.44 ล้านบาท เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับตลาดต้องชม 251 แห่ง เพิ่มรายได้ 1,987 ล้านบาท พัฒนาหมู่บ้านทำมาค้าขาย เพิ่มรายได้ 185 ล้านบาท ผลักดันเพิ่มมูลค่าสินค้า GI สร้างรายได้ 71,000 ล้านบาทต่อปี ใช้ร้านอาหาร Thai SELECT ในต่างประเทศเป็นโชว์รูม เพื่อเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการและผลักดัน Soft Power ทั้งอาหาร ดนตรี เชื่อมโยงร้านอาหาร Thai SELECT กับการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรายได้ และเพิ่มรายได้ให้ร้านธงฟ้า จัดไปรษณีย์@ธงฟ้า อำนวยความสะดวกผู้ค้าออนไลน์ และประชาชน ให้บริการ Drop Off ให้บริการรับพัสดุแล้วกว่า 1 แสนชิ้น 

จัดกิจกรรมฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผ่านการจัดตลาดพาณิชย์ทั่วประเทศ โดยประสานพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ผู้ประกอบการรายเล็ก ในช่วง 1 ส.ค.-30 ส.ค. จำนวน 318 ครั้ง มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 4,683 ราย สร้างรายได้ 373 ล้านบาท ตั้งเป้าจัดตลาดพาณิชย์ 935 ครั้ง ในช่วง ส.ค.-พ.ย.67 คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เป็นจำนวนมาก และยังเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า อาทิ HoReCa 2024, THAIFEX - Anuga Asia 2024 และ STYLE Bangkok 2024 สร้างมูลค่าซื้อขายกว่า 1 แสนล้านบาท จัด Thailand SME Synergy Expo 2024 สร้างมูลค่าการค้ากว่า 200 ล้านบาท 

ส่วนนโยบายลดรายจ่าย ได้จัดโครงการ ‘พาณิชย์สั่งลุย...ลดราคา’ ลดราคาสินค้าจำเป็น ช่วงเทศกาลสำคัญ ปีใหม่ ตรุษจีน กินเจ ก่อนเปิดภาคเรียน ลดสูงสุด 60-85% รวม 8 กิจกรรม ลดค่าครองชีพได้ 8,060 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 13,400 ล้านบาท จัด ‘โครงการธงฟ้าราคาประหยัด ลดค่าครองชีพประชาชน’ จำหน่ายสินค้าจำเป็นราคาต่ำกว่าท้องตลาด 20-40% รวม 1,134 ครั้ง ลดค่าครองชีพ 130 ล้านบาท 

จัดจำหน่ายสินค้าผ่านรถโมบายในแหล่งชุมชน 450 จุด ลดค่าครองชีพ 122.09 ล้านบาท จัดโครงการร้านอาหารธงฟ้า มีจำนวน 5,607 ร้าน ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนประมาณวันละ 2.63 ล้านบาท หรือ 960 ล้านบาท จัดพาณิชย์สั่งลุยราคาปุ๋ย ลดต้นทุนให้เกษตรกร 102 ล้านบาท ลดต้นทุนให้ร้านค้า ผู้ประกอบการ 14,000 ราย มูลค่า 53 ล้านบาท ด้วยการงดจัดเก็บค่าเช่าพื้นที่ในกระทรวง และขอความร่วมมือตลาดในสังกัด กทม.ไม่เก็บด้วย งดการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ผู้ประกอบการใช้เพลงที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง ฟรี 3 เดือน ตั้งแต่ ธ.ค.66-มี.ค.67 และมอบส่วนลดค่าลิขสิทธิ์เพลง 50–55% ต่อเนื่องอีก 1 ปี ลดต้นทุนผู้ประกอบการ SME ที่ใช้งานเพลง 400,000 ราย มูลค่า 3,300 ล้านบาท และขอฝากกรมการค้ารวบรวมร้านค้า เพื่อเข้าสู่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 

สำหรับการขยายโอกาสทางการค้า ได้เดินหน้าเจาะตลาดหลัก โดยจีน นำเข้าผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน CAEXPO สหรัฐฯ นำเอกชนลงนาม MOU ซื้อขายข้าวและอาหาร ญี่ปุ่น ผลักดันอาหาร ผลไม้ ผ้าไทย ซีรีส์วายในงาน Thai Festival Tokyo ฝรั่งเศส นำเอกชนเข้าร่วมงาน Cannes Film Festival 2024 คาดมูลค่าเจรจาการค้ากว่า 11,000 ล้านบาท ใช้แคมเปญ Think Thailand Next Leve ในการบุกตลาดอินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย และแอฟริกาใต้ รวมทั้งผลักดันการค้าชายแดน และแก้ไขอุปสรรคทางการค้า โดยเฉพาะการเจรจาเปิดด่าน เพื่อรองรับฤดูกาลผลไม้ไทย 

การลงนาม FTA ไทย-ศรีลังกา ผลักดันการเจรจา FTA ไทย-EFTA ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567 เปิดเจรจา FTA ใหม่ อาทิ ไทย-เกาหลีใต้ ไทย-ภูฏาน และไทย-บังกลาเทศ การรุกตลาดเมืองรอง โดยต่อยอด MOU ที่ลงนามไปแล้ว สร้างมูลค่าการค้ากว่า 5,500 ล้านบาท อาทิ ความร่วมมือกับมณฑลกานซู่ ปูซาน โคฟุ โดยนายภูมิธรรม ได้ฝากให้ รมช.พาณิชย์ทั้งสองท่าน และปลัดกระทรวงพาณิชย์ สานงานต่อด้วย 

และยังได้เพิ่มโอกาสทางการค้าผ่านกลยุทธ์ตลาดแนวใหม่ โดยใช้ซีรีส์วาย ซีรีส์ยูริ ดึงมาย-อาโป ฟรีน-เบ็คกี้ ยกระดับสินค้าชุมชน อาทิ สมุนไพร สุราชุมชน ขนมขบเคี้ยว Tie-in เข้าสู่ตลาดโลกผ่านซีรีส์ และนำเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่ฮ่องกง เวียดนาม ฝรั่งเศส เกิดการจับคู่ธุรกิจ 756 คู่ มูลค่า 4,102 ล้านบาท ใช้เครือข่าย KOL จีนไลฟ์สดขายสินค้าและบริการไทย เพื่อสร้างรายได้ให้คนตัวเล็ก กำหนดจัดวันที่ 25-29 ก.ย.67 คาดการณ์มูลค่า 1,500 ล้านบาท 

และได้จัดทำ MOU กับ Sinopec นำสินค้าไทยจำหน่ายใน Easy Joy ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน คาดการณ์มูลค่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี การเจรจาธุรกิจออนไลน์ (OBM) เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ฮาลาล สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น คาดการณ์มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท และยังทำงานเชิงรุกทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัด ขายกล้วยหอมเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น ขายลำไยเข้าสู่ตลาดจีน ขายมังคุดไปจีนและญี่ปุ่น และเปิดตลาดผ้าไทยในญี่ปุ่น เป็นต้น รวมไปถึงการช่วยสร้างโอกาสทางการค้า จากการใช้ประโยชน์จาก Big Data คิดค้า.com เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ มีสินค้าเกษตร 13 ชนิด เศรษฐกิจการค้ารายจังหวัด และเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น มีผู้ใช้งานกว่า 220,000 คน เฉลี่ย 22,000 คนต่อเดือน

“1 ปีที่ผ่านมา ผมได้วางรากฐานการทำงานเป็นทีม การคิดนอกกรอบเพื่อสร้างสรรค์งานในเชิงรุก การบริหารจัดการประโยชน์ที่ให้ความสำคัญกับคนตัวเล็ก และผมขอฝาก อนาคตกระทรวงพาณิชย์ใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ 1. เข้าถึง เครือข่ายเพื่อร่วมผลักดันการค้า 2.ขับเคลื่อน โดยทีมพาณิชย์บูรณาการร่วมกับทีมประเทศไทย และ 3. เคียงข้างไปด้วยกัน คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก เพื่อขับเคลื่อนพลังคนรุ่นใหม่” นายภูมิธรรม กล่าว 

นอกจากนี้ยังได้ย้ำถึง โครงการเงิน ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า รัฐบาลยืนยันเดินหน้าโครงการซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและวางรากฐานนำประเทศเข้าสู่ระบบดิจิทัล แน่นอน โดยจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.นัดแรก ในวันที่ 17 ก.ย.นี้ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หลังจากรับฟังความเห็นแล้ว เพื่อให้ทุกคนสบายใจ ในรอบแรกจะเป็นกลุ่มเปราะบาง ประมาณ 14 ล้านคนก่อน ด้วยงบประมาณปี 2567 โดยแจกเป็นเงินสด 10,000 บาท โอนเข้าบัญชีที่มีอยู่แล้ว และจะสามารถนำไปใช้ที่ไหนก็ได้ และไม่มีการจำกัดร้านค้าและชนิดสินค้า ตามเป้าหมายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อ ครม.อนุมัติแล้ว คาดสามารถแจกเงินได้ทันทีภายในเดือนกันยายนนี้

ส่วนที่เหลือ กลุ่มคนที่ลงทะเบียนในระบบไปแล้ว และไม่ใช่กลุ่มเปราะบาง หลังผ่านเดือนกันยายนไปแล้ว จะแจกเป็นล็อตที่ 2 โดยใช้งบประมาณปี 2568 โดยจะแจก 5,000 บาทก่อน ถ้าระบบดิจิทัลทัน ก็แจกเป็นระบบดิจิทัล และส่วนที่เหลืออีก 5,000 บาท จ่ายภายในปี 67 หากรัฐบาลวางระบบดิจิทัลได้ทันอาจจะแจกเป็นเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่หากไม่ทันอาจจะแจกเป็นเงินสดเช่นกัน ส่วนอีก 5,000 บาท จะพยายามแจกเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ในปี 2568

🔍เช็กผลงาน ‘กระทรวงพาณิชย์’ ในรอบ 1 ปี มุ่ง ‘เพิ่มรายได้ - ลดรายจ่าย - สร้างโอกาส’ แก่ ‘เกษตรกร-ผู้ประกอบการไทย’ แก่ ‘ประชาชน-เกษตรกร-ผู้ประกอบการไทย’

1 ปี บนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของ ‘นายภูมิธรรม เวชยชัย’ ก่อนจะลุกไปครองเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม ได้สร้างภาพจำไว้ให้คนไทยไม่น้อย โดยได้กำหนดนโยบายในการทำงานกับกระทรวงพาณิชย์ไว้ 7 ด้าน ได้แก่ 

1.ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส 
2.บริหารให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกร ผู้ประกอบการ 
3.ทำงานเชิงรุกระหว่างพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ 
4.แก้ไขข้อจำกัดของกฎหมายหรือปรับปรุงกฎหมายที่เก่าล้าสมัย 
5.ร่วมขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต 
6.เร่งผลักดันส่งออกจากติดลบให้เป็นบวก 
7.ผลักดันการใช้ประโยชน์จาก FTA 

ซึ่งปรากฏผลการทำงานประสบความสำเร็จในทุกด้าน สามารถดูแลตั้งแต่เกษตรกร ที่เป็นคนฐานรากของประเทศ ดูแลประชาชนผู้บริโภคให้มีภาระค่าครองชีพลดลง และดูแลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วยเพิ่มรายได้

นอกจากนี้ ยังได้ตั้งคณะอนุกรรมการ ‘ทีมพาณิชย์’ เพื่อบูรณาการการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ 9 คณะ ได้แก่ 

1. ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรเพื่อการพาณิชย์ 
2.ส่งเสริมและยกระดับ SMEs ไทย 
3.ส่งเสริมและขับเคลื่อนการค้าและเศรษฐกิจเชิงรุกไทย-จีน-อาเซียน 
4.ขับเคลื่อนการทำงานเพื่อบูรณาการตามยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์  
5.ขับเคลื่อนนโยบายโลจิสติกส์ทางการค้า 
6.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ Big data และอินฟลูเอนเซอร์เพื่อการค้า 
7.พัฒนากฎหมายกระทรวงพาณิชย์ 
8.พัฒนาการค้าตามระเบียบการค้าโลกใหม่ 
9.สร้างการรับรู้และภาพลักษณ์กระทรวงพาณิชย์ 

นอกจากนี้ยังเน้นการทำงานเชิงรุก โดยพาณิชย์จังหวัดและทูตพาณิชย์ต้องรู้จักสินค้า เข้าใจความต้องการตลาด เข้าถึงช่องทางการค้ายุคใหม่ บริหารจัดการประโยชน์ของทุกกลุ่มทุกภาคส่วนให้มีความสมดุล ทั้งเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่ และ ผู้บริโภค 

สำหรับนโยบายเพิ่มรายได้ สามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรเพิ่มขึ้นเกือบ 2 แสนล้านบาท จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาพืชผลทางการเกษตร โดยพืชหลัก ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มัน ปาล์ม ยางพารา ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 8 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตเกือบ 90 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายข้าวเปลือกเจ้าได้สูงสุดในรอบ 20 ปี พืชรอง ได้แก่ ผลไม้ พืช 3 หัว และผัก ช่วยเหลือเกษตรกรเกือบ 1.5 ล้านครัวเรือน ดูแลปริมาณผลผลิตกว่า 8 ล้านตัน สร้างสถิติราคาซื้อขายสับปะรด กระเทียม หอมแดง สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ 

ขณะเดียวกัน ยังช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการชุมชน และ SME โดยผลักดันการค้า E-Commerce ทั้งในและต่างประเทศ เกิดมูลค่าการซื้อขาย 2,347.70 ล้านบาท อาทิ ทำ MOU กับ Rakuten ญี่ปุ่น เพื่อจำหน่ายสินค้าไทย ร่วมมือกับ Amazon ขายออนไลน์ นำสินค้าไทยขายบน Shopee มียอดขาย 71.44 ล้านบาท เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับตลาดต้องชม 251 แห่ง เพิ่มรายได้ 1,987 ล้านบาท พัฒนาหมู่บ้านทำมาค้าขาย เพิ่มรายได้ 185 ล้านบาท ผลักดันเพิ่มมูลค่าสินค้า GI สร้างรายได้ 71,000 ล้านบาทต่อปี ใช้ร้านอาหาร Thai SELECT ในต่างประเทศเป็นโชว์รูม เพื่อเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการและผลักดัน Soft Power ทั้งอาหาร ดนตรี เชื่อมโยงร้านอาหาร Thai SELECT กับการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มรายได้ และเพิ่มรายได้ให้ร้านธงฟ้า จัดไปรษณีย์@ธงฟ้า อำนวยความสะดวกผู้ค้าออนไลน์ และประชาชน ให้บริการ Drop Off ให้บริการรับพัสดุแล้วกว่า 1 แสนชิ้น 

จัดกิจกรรมฟื้นฟูเศรษฐกิจ ผ่านการจัดตลาดพาณิชย์ทั่วประเทศ โดยประสานพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้ผู้ประกอบการรายเล็ก ในช่วง 1 ส.ค.-30 ส.ค. จำนวน 318 ครั้ง มีผู้ประกอบการเข้าร่วม 4,683 ราย สร้างรายได้ 373 ล้านบาท ตั้งเป้าจัดตลาดพาณิชย์ 935 ครั้ง ในช่วง ส.ค.-พ.ย.67 คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้เป็นจำนวนมาก และยังเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า อาทิ HoReCa 2024, THAIFEX - Anuga Asia 2024 และ STYLE Bangkok 2024 สร้างมูลค่าซื้อขายกว่า 1 แสนล้านบาท จัด Thailand SME Synergy Expo 2024 สร้างมูลค่าการค้ากว่า 200 ล้านบาท 

ส่วนนโยบายลดรายจ่าย ได้จัดโครงการ ‘พาณิชย์สั่งลุย...ลดราคา’ ลดราคาสินค้าจำเป็น ช่วงเทศกาลสำคัญ ปีใหม่ ตรุษจีน กินเจ ก่อนเปิดภาคเรียน ลดสูงสุด 60-85% รวม 8 กิจกรรม ลดค่าครองชีพได้ 8,060 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 13,400 ล้านบาท จัด ‘โครงการธงฟ้าราคาประหยัด ลดค่าครองชีพประชาชน’ จำหน่ายสินค้าจำเป็นราคาต่ำกว่าท้องตลาด 20-40% รวม 1,134 ครั้ง ลดค่าครองชีพ 130 ล้านบาท 

จัดจำหน่ายสินค้าผ่านรถโมบายในแหล่งชุมชน 450 จุด ลดค่าครองชีพ 122.09 ล้านบาท จัดโครงการร้านอาหารธงฟ้า มีจำนวน 5,607 ร้าน ลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนประมาณวันละ 2.63 ล้านบาท หรือ 960 ล้านบาท จัดพาณิชย์สั่งลุยราคาปุ๋ย ลดต้นทุนให้เกษตรกร 102 ล้านบาท ลดต้นทุนให้ร้านค้า ผู้ประกอบการ 14,000 ราย มูลค่า 53 ล้านบาท ด้วยการงดจัดเก็บค่าเช่าพื้นที่ในกระทรวง และขอความร่วมมือตลาดในสังกัด กทม.ไม่เก็บด้วย งดการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ให้ผู้ประกอบการใช้เพลงที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง ฟรี 3 เดือน ตั้งแต่ ธ.ค.66-มี.ค.67 และมอบส่วนลดค่าลิขสิทธิ์เพลง 50–55% ต่อเนื่องอีก 1 ปี ลดต้นทุนผู้ประกอบการ SME ที่ใช้งานเพลง 400,000 ราย มูลค่า 3,300 ล้านบาท และขอฝากกรมการค้ารวบรวมร้านค้า เพื่อเข้าสู่โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 

สำหรับการขยายโอกาสทางการค้า ได้เดินหน้าเจาะตลาดหลัก โดยจีน นำเข้าผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน CAEXPO สหรัฐฯ นำเอกชนลงนาม MOU ซื้อขายข้าวและอาหาร ญี่ปุ่น ผลักดันอาหาร ผลไม้ ผ้าไทย ซีรีส์วายในงาน Thai Festival Tokyo ฝรั่งเศส นำเอกชนเข้าร่วมงาน Cannes Film Festival 2024 คาดมูลค่าเจรจาการค้ากว่า 11,000 ล้านบาท ใช้แคมเปญ Think Thailand Next Leve ในการบุกตลาดอินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย และแอฟริกาใต้ รวมทั้งผลักดันการค้าชายแดน และแก้ไขอุปสรรคทางการค้า โดยเฉพาะการเจรจาเปิดด่าน เพื่อรองรับฤดูกาลผลไม้ไทย 

การลงนาม FTA ไทย-ศรีลังกา ผลักดันการเจรจา FTA ไทย-EFTA ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567 เปิดเจรจา FTA ใหม่ อาทิ ไทย-เกาหลีใต้ ไทย-ภูฏาน และไทย-บังกลาเทศ การรุกตลาดเมืองรอง โดยต่อยอด MOU ที่ลงนามไปแล้ว สร้างมูลค่าการค้ากว่า 5,500 ล้านบาท อาทิ ความร่วมมือกับมณฑลกานซู่ ปูซาน โคฟุ โดยนายภูมิธรรม ได้ฝากให้ รมช.พาณิชย์ทั้งสองท่าน และปลัดกระทรวงพาณิชย์ สานงานต่อด้วย 

และยังได้เพิ่มโอกาสทางการค้าผ่านกลยุทธ์ตลาดแนวใหม่ โดยใช้ซีรีส์วาย ซีรีส์ยูริ ดึงมาย-อาโป ฟรีน-เบ็คกี้ ยกระดับสินค้าชุมชน อาทิ สมุนไพร สุราชุมชน ขนมขบเคี้ยว Tie-in เข้าสู่ตลาดโลกผ่านซีรีส์ และนำเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่ฮ่องกง เวียดนาม ฝรั่งเศส เกิดการจับคู่ธุรกิจ 756 คู่ มูลค่า 4,102 ล้านบาท ใช้เครือข่าย KOL จีนไลฟ์สดขายสินค้าและบริการไทย เพื่อสร้างรายได้ให้คนตัวเล็ก กำหนดจัดวันที่ 25-29 ก.ย.67 คาดการณ์มูลค่า 1,500 ล้านบาท 

และได้จัดทำ MOU กับ Sinopec นำสินค้าไทยจำหน่ายใน Easy Joy ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน คาดการณ์มูลค่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี การเจรจาธุรกิจออนไลน์ (OBM) เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ฮาลาล สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น คาดการณ์มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท และยังทำงานเชิงรุกทูตพาณิชย์และพาณิชย์จังหวัด ขายกล้วยหอมเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น ขายลำไยเข้าสู่ตลาดจีน ขายมังคุดไปจีนและญี่ปุ่น และเปิดตลาดผ้าไทยในญี่ปุ่น เป็นต้น รวมไปถึงการช่วยสร้างโอกาสทางการค้า จากการใช้ประโยชน์จาก Big Data คิดค้า.com เพื่อให้เกษตรกร ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์ มีสินค้าเกษตร 13 ชนิด เศรษฐกิจการค้ารายจังหวัด และเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น มีผู้ใช้งานกว่า 220,000 คน เฉลี่ย 22,000 คนต่อเดือน

'นายกฯ แพทองธาร' ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ย้ำ!! ทุกหน่วยงานดูแลประชาชน พร้อมแจ้งเตือนสถานการณ์ให้ทันท่วงที

(4 ต.ค.67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ เจ้าหน้าที่จากกรมชลประทาน ร่วมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ในโอกาสนี้ นายสุริยพล นุชอนงค์ รองอธิบดีรักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน ได้บรรยายสรุปสถานการณ์ และแนวทางการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ 2 ต.ค.67 สถานการณ์น้ำจากพื้นที่ตอนบนในลุ่มน้ำปิง วัง ยม  และน่าน ยังคงมีปริมาณฝนตกอยู่ในบางพื้นที่ ส่งผลให้มีปริมาณจากทางตอนบนทยอยไหลลงสู่ลุ่มเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่อง 

ทำให้ปัจจุบันที่สถานี C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 2,128 ลบ.ม./วินาที แนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อเนื่องให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยายกตัวสูงขึ้นตามลำดับ กรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ตามศักยภาพของคลอง และสอดคล้องกับปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ พร้อมควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ให้อยู่ในอัตรา 1,899 ลบ.ม./วินาที เพื่อลดผลกระทบพื้นที่ด้านท้ายเขื่อนให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ในส่วนของพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างได้เฝ้าระวังปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดระดับน้ำ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ไม่ให้เกิน 3,000 ลบ.ม./วินาที และยังได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง บริเวณกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ด้วยการพร่องน้ำในคลองสาขาต่างๆ พร้อมเร่งสูบระบายน้ำส่วนเกินออกทางฝั่งตะวันออก ฝั่งตะวันตก และคลองชายทะเล ก่อนระบายลงสู่อ่าวไทย ซึ่งมีศักยภาพการสูบระบายน้ำรวมกันได้ประมาณวันละ 164 ล้าน ลบ.ม. 

ตลอดจนบูรณาการร่วมกับกรุงเทพมหานคร ในการบริหารจัดการน้ำในจุดที่เชื่อมต่อกัน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนและพื้นที่เศรษฐกิจให้ได้มากที่สุด ตามข้อสั่งการของ นางสาวแพรทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์     

ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ในช่วงวันที่ 1 – 3 ต.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทะเลจีนใต้ ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีลักษณะอากาศแปรปรวน 

โดยจะมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ประกอบกับกรมอุทกศาสตร์ทหารเรือได้คาดการณ์ว่า ในช่วงวันที่ 28 กันยายน – 2 ตุลาคม 2567 จะเกิดสถานการณ์น้ำทะเลหนุนอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลให้พื้นที่เสี่ยงบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำท่าจีน ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ แนวเขื่อนชั่วคราว และบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม, สมุทรสาคร, นครปฐม, นนทบุรี, กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น  จึงยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ในระยะนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมบูรณาการในการแจ้งเตือนประชาชนถึงสถานการณ์น้ำให้ทันท่วงที รวมทั้งจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือให้พร้อมเข้าช่วยเหลือประชาชนได้โดยเร็วที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top