Monday, 9 June 2025
ดิไอคอน

‘หนุ่ม กรรชัย’ เทียบนาฬิกาหรู ‘บอสพอล’ ไม่ตรงรูปบนโซเชียล เหล่านักเล่นนาฬิกา ยัน!! เป็นเสียงเดียวกัน มันคือของปลอม

(23 ต.ค. 67) จากกรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำหมายค้นเข้าตรวจค้นและยึดอายัดทรัพย์สินของ นายวรัตน์พล วรัทน์วรกุล หรือ บอสพอล ที่ถูกนำมาซุกซ่อนในห้องเช่า ภายในซอยรามอินทรา 9 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม.

โดยเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดทรัพย์สินเป็นนาฬิกาหรู 19 เรือน หนึ่งในนั้นคือนาฬิกาหรู Richard Mille RM 53-01 และ Richard Mille RM 35-02 ซึ่งทั้ง 2 เรือนนี้ มีมูลค่ารวมกันกว่า 33 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีพระเครื่อง และสร้อยคอทองคำ รองเท้า รวมทั้งกระเป๋าแบรนด์เนมอีกหลายรายการ รวมมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด ‘หนุ่ม กรรชัย’ กล่าวในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ เกี่ยวกับกรณี ดีเอสไอ เข้าทำการตรวจค้นแล้วเจอนาฬิกาหรูของบอสพอล โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า ริชาร์ด มิลล์, โรเล็กซ์ , ปาเต๊ะ, โอเดอะมาร์ส ปิเกต์ หรือ AP, โอเมก้า และอีกมากมาย

คือนาฬิกาพวกนี้ ‘ดีเอสไอ’ ไปจับและโชว์ภาพออกมา เหล่านักเล่นนาฬิกาพูดเป็นเสียงเดียวเลยว่า ‘เก๊ยันกล่อง’ เขาบอกเลยว่าเก๊ยันกล่อง เขาพูดอันนี้เลย ก็คือน่าจะทุกเรือน กล่องพวกนี้ปาเต๊ะเขาไม่น่าจะมีนะ

หนุ่ม กรรชัย กล่าวต่อว่า อย่างเรือนที่ 2 ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า เป็น RM3502 เรือนที่เม็ดมะยมสีแดง ๆ จริงเรือนนี้คือ 01 แล้วก็น่าจะไม่แท้ด้วย ส่วนขวามือสุดคือ 5301 อันนี้ก็ไม่น่าจะแท้ด้วย คือคนที่เล่นนาฬิกาเขาจะรู้เลย รวมถึงเรือนอื่น ๆ ด้วย

แต่ทีนี้มันแปลกตรงไหนรู้ไหม อย่างเรือนข้างล่างก็คือ นาฬิกาเพอร์นอต อันนี้ก็น่าจะเก๊ จริง ๆ แล้วดีเอสไอต้องเอาเจ้าหน้าที่ของทางปาเต๊ะเอง ของทาง AP หรือจะเป็นโอเมก้า หรือริชาร์ด มิลล์ เอาเข้ามาตรวจสอบด้วย

ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะเป็นประเด็นเหมือนที่ผ่าน ๆ มา เมื่อก่อนก็มีข่าวศุลกากรไปจับมาเหมือนกัน เสร็จแล้วปล่อยออกจำหน่ายเป็นนาฬิกาเก๊ อันนี้มีประเด็น

นอกจากนี้ หนุ่ม กรรชัย ยังยกตัวอย่างโดยมีการยกภาพของบอสพอลที่ใส่นาฬิกาก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่จับกุมและเข้าไปอยู่ในเรือนจำอีกด้วย ซึ่งไม่พบอยู่ในกล่องที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจยึดไว้ได้

ทนายความบอสพอล เผย เตรียมแจ้งความฉ้อโกง แม่ข่าย 2,000 คน สัปดาห์หน้าประกันตัวระดับบอส

(25 ต.ค. 67) นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ผู้ต้องหาในคดีดิไอคอน ภายหลังเข้าเยี่ยม ‘บอสพอล’ ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่า ได้รับออเดอร์เพิ่มเติมจากบอสพอล อีก 1 ออเดอร์ คือให้แจ้งความกับกลุ่มแม่ข่าย 2,000 คน ซึ่งทำตีเนียนเป็นผู้เสียหายในข้อหาฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากมีขบวนการแจ้งความเท็จ

สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นการแจ้งความแบบแพตเทิร์น มีการพยายามบอกว่าดิไอคอน ไปหลอกลวงให้ทางตัวแทนสั่งซื้อสินค้ากับทางดีลเลอร์ จนขายไม่ได้ แล้วแม่ข่ายสัญญาว่าจะช่วยขาย ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะบริษัทเป็นบริษัทขายส่งสินค้า เราขายให้ตัวแทน แล้วตัวแทนต้องขายต่อ หากขายไม่ได้ ก็รับความเสี่ยงกันไป แต่ปรากฏว่ามีการเข้าไปแจ้งความเพื่อบิดประเด็นให้เข้าข่ายฉ้อโกง ด้วยการเกณฑ์ผู้เสียหายจำนวนมาก เข้าไปแจ้งความดำเนินคดี

ทั้งนี้ ยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่การโยนความผิดให้กับแม่ข่าย แต่เป็นข้อเท็จจริง ดังนั้นภายในสัปดาห์หน้า ตนจะทำหนังสือถึงตำรวจสอบสวนกลาง ให้ดำเนินคดีกับคนที่มาแจ้งความ และอ้างว่าเป็นผู้เสียหาย แต่เป็นผู้เสียผลประโยชน์ คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 2,000 คน จากที่แจ้งความทั้งหมด 8,000 กว่าคน แต่ความจริงแล้วเท่าที่เข้าข่ายคาดว่าประมาณ 6,000 คน

“เท่าที่ตรวจสอบและจะแจ้งความแบบชัวร์ๆ เลย คือ 2,000 คน ส่วนตัวมองว่าเป็นยอดที่เยอะเช่นเดียวกัน แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพวกที่ขายของไม่ได้ แล้วมาตีเนียนเป็นผู้เสียหายด้วย ซึ่งตนจะให้ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน เหมือนที่กลุ่มบอสพอลเจอ”  ทนายความ ยังบอกว่า บอสพอล ได้ฝากตนมาบอกกับนักข่าวว่า “พอลจะไม่ปล่อยมือใคร”

เมื่อถามว่า หมายความว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังใช่หรือไม่ ทนายตอบเสียงดังฟังชัดว่า “ใช่ครับ เพราะเราไม่ได้กระทำความผิด แต่โดนดำเนินคดี ส่วนคนที่เป็นคนทำตัวจริง ไปหลอกลวงให้เขาซื้อสินค้ามา เดี๋ยวช่วยขาย , ไม่ต้องขายนะ ให้ไปหาคนเพิ่ม กลุ่มคนเหล่านี้มีเยอะ เพราะฉะนั้นเราจะไม่ปล่อยมือใคร เราโดนดำเนินคดี พวกคุณก็ต้องเป็นผู้ต้องหาเหมือนกันกับเรา ตอนนี้มันต้องแฟร์กันแล้ว”

ขณะเดียวกัน ทนายความ ยังกล่าวว่า หลังจากเข้าเยี่ยมบอสพอล และได้คุยกันกับกลุ่มทนายความของ 15 บอส ยกเว้นกลุ่มบอสดาราที่ยังไม่ได้คุย ทุกคนบอกว่าจะยื่นประกันภายในสัปดาห์หน้า หากพ้นการฝากขังในผัดแรก เพราะบอสพอล อยากออกมาชี้แจงกับประชาชน และกับทุกๆ รายการ ถึงโครงสร้างของบริษัท ว่ามีรูปแบบเป็นเช่นใด ส่วนที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ยื่นประกัน เนื่องจากเกรงว่า จะถูกคัดค้านหวั่นไปยุ่งเหยิงกับพยาน หลักฐาน ส่วนจะได้ประกันหรือไม่นั้นให้เป็นดุลยพินิจของศาล

กระจายทั่วโลก ผู้เสียหายมากกว่า 20 ราย จาก 17 ประเทศฟ้องเอาผิด The iCon

(28 ต.ค. 67) นายอิทธิเดช ธเนศวัฒนะ ตัวแทนผู้รวบรวมผู้เสียหายของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด ในต่างประเทศ นำ น.ส.นิน (สงวนนามสกุล) ผู้เสียหายชาวไทยจากฮ่องกง เดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับ “ดิไอคอน” กับพนักงานสอบสวน บก.ปคบ.

น.ส.นิน เปิดเผยว่า ตนเห็นโฆษณาผ่านโซเชียล จึงได้ทักและได้รับการชักชวนผ่านแม่ข่ายที่ชื่ออักษรย่อ จ. ให้ร่วมลงทุน นอกจากนี้ยังเห็นป้ายโฆษณาในประเทศไทยหลายป้ายตามทางด่วน เป็นโฆษณาของดิไอคอน ตนเห็นว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ มีแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และตนมีอาชีพเปิดร้านขายของชำ รับสินค้าจากประเทศไทยไปขายที่เกาลูน ฮ่องกง อยู่แล้ว จึงตัดสินใจเปิดบิลสินค้าคอลลาเจนเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว จำนวน 2 บิล มูลค่ารวมกว่า 500,000 บาท อีกทั้งยังชักชวนเพื่อนชาวไทยอีก 3 คนในฮ่องกงมาร่วมลงบิลด้วย รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท

น.ส.นิน กล่าวว่า ตนต้องเป็นคนลงทุนเบิกสินค้าข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศไทยไปฮ่องกง แต่ไม่สามารถขายสินค้าดังกล่าวได้เลย เนื่องจากมีราคาที่สูงและไม่เป็นที่นิยมของคนฮ่องกง ขายได้แต่เพียงแค่คนไทยด้วยกันเองเท่านั้น และเมื่อบริษัทเกิดปัญหา ทำให้ตนไม่สามารถเบิกสินค้าจากคลังของบริษัทได้ อีกทั้งคดีความที่เกิดขึ้น จึงส่งผลให้สินค้าของบริษัทขาดความน่าเชื่อถือ ยิ่งก่อให้เกิดความเสียหายและไม่สามารถคืนทุนได้ จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์ เพราะถือเป็นการฉ้อโกง ทำให้ตนและเพื่อนคนอื่นที่มาเปิดบิลได้รับความเสียหายรวมกว่า 2 ล้านบาท

ด้านนายอิทธิเดช กล่าวว่า ขณะนี้ตนรวบรวมผู้เสียหายจากต่างประเทศได้มากกว่า 20 ราย ทั้งจากประเทศจีน เมียนมา ลาว กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร อิตาลี เยอรมนี เอสโตเนีย สวีเดน ลักเซมเบิร์ก แคนาดา สหรัฐอเมริกา มาเก๊าและฮ่องกง

นายอิทธิเดช ระบุว่า ผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นชาวไทยที่ไปแต่งงานกับชาวต่างชาติ และพำนักอยู่ที่นั่น รวมทั้งยังได้ชักชวนญาติชาวต่างชาติให้มาร่วมเปิดบิลลงทุนกับดิไอคอน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งในวันนี้ นอกจากตนได้พาผู้เสียหายจากฮ่องกงมาแจ้งความแล้ว ตนยังได้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายชาวอังกฤษและคนไทยที่อยู่ในลักเซมเบิร์ก เอสโตเนีย กับอิตาลี ให้เข้าแจ้งความแทนด้วย

กระบวนท่าใหม่!! ..พรรคบ้านในป่า ออกจากมุม..ประดาบ จันทร์ส่องหล้า

(2 พ.ย. 67) มหากาพย์ดิ ไอคอน  ทำให้พรรคบ้านในป่า..พลังประชารัฐเอียงกะเท่เร่หวิดมอดม้วยมรณา...ถูกกล่าวหาว่าเป็นที่สิงสถิตของเทวดา...

พรรคพปชร.นั้นเหมือนถูกต้อนเข้ามุม ส.สามารถลาออกยังไม่พอ..ยังออกจากมุมไม่ได้ กระทั่งต้องใช้กระบวนท่าของพล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรค ออกมาตอบโต้ปล่อยชื่ออักษรย่อนักการเมือง ม.ม้า สองคนและพูดโยงใยไปถึงกลุ่มสามมิตร อักษรย่อส.และอักษรต่างๆ

แม้จะเป็นลีลาแบบเก่าๆ แต่ต้องยอมรับ..ได้ผล  เพราะตั้งแต่โฆษกพรรค รัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยต้องพล่านเรียงหน้ากันมาตอบโต้ชี้แจง...และบางคนถึงขั้นขู่จะฟ้อง ‘บิ๊กต๊ะ’

งานนี้ ‘บิ๊กต๊ะ’ อดีตผบช.ภ.5 ที่ดูแลภาคเหนือตอนบน..ผลงานเข้าตากรรมการ  ทำให้พรรคพปชร.ออกจากมุมอับของมหากาพย์ดิ ไอคอนได้...ในจังหวะเดียวกันกับที่ฝ่ายวิชาการ-เศรษฐกิจของพรรคเปิดแนวรบแนวรุกในบริบทของตนได้อย่างน่าชื่นชม...

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีพื้นที่ทับซ้อน-ไทยกัมพูชา ที่อ.ธีรชัย  ภูวนารถนรานุบาล -มล.กรกสิวัฒน์  เกษมศรีและสส.ของพรรคบุกสภาแถลงข่าวเรียกร้องให้ยกเลิก MOU2544 ไทย-กัมพูชา ที่มีขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ  ชินวัตร...

ในขณะที่ดร.อุตมะ สาวนายน อดีตขุนคลัง กับคณะออกมากระโดดขวางรัฐบาลเพื่อไทยจะส่งคนการเมืองอย่าง ‘โต้ง’ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ไปเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ..

ทั้งสองกรณีสร้างแรงสั่นสะท้านให้บ้านจันทร์ส่องหล้าทั้งโดยอ้อมและโดยตรง..

บทบาททำนองนี้ของพปชร. บวกกับความคมชัดในการคัดค้านการนิรโทษกรรมความผิดมาตรา 112  ทำให้พรรคพปชร.ในส่วนที่เป็นฝ่ายค้านหรือปีกลุงป้อม..ดูดีมีราคา สวนทางกับเสียงปรามาสที่ว่า..หมดท่าหมดราคา...สมัยหน้าไม่มีคนดีๆหรือมือทำงานอีกแล้ว..

นี่ก็แว่วว่า..ลุงป้อมกำลังมียาบำรุงกำลังสองขวดใหญ่..เมื่อพี่ชายของวราเทพ  รัตนากร คือ ‘สุนทร รัตนากร’ ชิงลาออกจากนายกอบจ.กำแพงเพชร เพื่อลงสมัครใหม่ เช่นเดียวกับ อัครเดช  ทองใจสด   นายกอบจ.6สมัยของเพชรบูรณ์..ที่อยู่ในกลุ่มของสันติ  พร้อมพัฒน์   

เชื่อขนมกินได้ว่า..ทั้งสองบ้านใหญ่จะได้เป็นนายกอบจ.อีกครั้ง.. เป็นหน้าเป็นตาเสริมบารมีให้กับลุงป้อมและพรรคพปชร.เกิด”ใจบันดาลแรง”กันโดยทั่วถ้วน...

มีรายงานข่าวระบุด้วยว่า  นอกเหนือจะสร้างผลงานประเด็นเศรษฐกิจ  สังคมและการเมืองแล้ว  เปิดสภาสมัยหน้าพรรคพปชร.จะร่วมวงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจสร้างชื่อให้กับพรรคครั้งสำคัญ..

รวมความแล้ว...การสรุปว่าพปชร.กำลังป้อแป้เหมือนท่าเดิน”ลุงป้อม”และฟันธงว่าลุงป้อมเป็นยาหมดอายุ เป็นตะเกียงไร้น้ำมันแล้วนั้นจะต้องคิดใหม่...

ประเมินกันว่า อนาคตอาจจะมี ‘บิ๊กเนม’ บางคนบินออกไปซบบ้านใหญ่บุรีรัมย์ และบ้านจันทร์ส่องหล้า..แต่ยังจะมีแก่นแกนของพรรคและลุงป้อมอยู่ที่บ้านในป่า...ตรึงแนวรบพปชร.ในสมรภูมิการเมืองต่อไป!!  

กองปราบ ยื่นขอหมายจับ!! ‘เจ๊พัช กฤษอนงค์’ ข้อหา 'กรรโชกทรัพย์ - ตัวกลางเรียกรับสินบน'

(16 พ.ย. 67) พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป. ได้เข้าสอบปากคำ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ ‘บอสพอล’ กับ น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือ บอสปัน ในเรือนจำ

เพื่อซักถามรายละเอียดทางคดีเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีที่ถูก น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือ เจ๊พัช ประธานอำนวยการศูนย์ประสานงานส่งเสริมเครือข่าย-ออนไลน์ เรียกเงินเพื่อแลกกับการไม่เปิดโปงธุรกิจดิไอคอน ก่อนนำมาประมวลเรื่องราวควบคู่พยานหลักฐาน

ก่อนที่ช่วงเช้าที่ผ่านมา พ.ต.อ.มิ่งมนตรี ศิริพงษ์ ผกก.กลุ่มงานสอบสวน บก.ป. จะนำหลักฐานและคำให้การของพยานในคดีทั้งหมด เข้ายื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อขออนุมัติการออกหมายจับน.ส.กฤษอนงค์ หรือ เจ๊พัช

ในความผิดฐาน ‘กรรโชกทรัพย์’ และ ‘เป็นตัวกลางเรียกรับสินบน’ จากกรณีแอบอ้างเรียกเงินจากกลุ่มผู้ต้องหาเครือข่ายดิไอคอน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา

สอบเครียด ‘เจ๊พัช’ นานกว่า 5 ชม. ให้การปฏิเสธ ตำรวจสอบสวนกลาง เตรียมนำตัวฝากขัง!! พรุ่งนี้

(17 พ.ย. 67) ที่กองปราบปราม พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยว่า เปิดเผยถึงการจับกุมตัว น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ หรือเจ๊พัช ว่า เจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำนานกว่า 5ชั่วโมง ซึ่ง น.ส.กฤษอนงค์ ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและไม่ให้การใด ๆ กับพนักงานสอบสวน โดยอ้างว่าจะขอให้การเป็นเอกสารในภายหลัง

วันนี้ ยังไม่มีการดำเนินการนำตัว น.ส.กฤษอนงค์ มาสอบปากคำเพิ่มเติมแต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีประเด็นสอบอะไรเพิ่มเติม ซึ่งหลังจากนี้เตรียมจะนำตัว น.ส.กฤษอนงค์ ส่งฝากผัดแรกที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางในวันพรุ่งนี้ (18 พฤศจิกายน) โดยพนักงานสอบสวนจะคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและข่มขู่พยาน

พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับข้อหาที่แจ้งดำเนินคดีกับ น.ส.กฤษอนงค์ มี 2 ข้อหา ได้แก่ ข้อหากรรโชกทรัพย์ และข้อหาเป็นตัวกลางเรียกทรัพย์สินบน (เรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาลโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทำการ หรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143) เนื่องจากพฤติการณ์ทางคดีที่เสนอขอหมายจับต่อศาล นอกจากจะพบว่ามีการข่มขู่เพื่อกรรโชกทรัพย์จากกลุ่มบอส The Icon Group จำนวน 750,000 บาทเมื่อกลางปีที่ผ่านมาแล้ว ยังพบถ้อยคำที่กล่าวอ้างว่าจะมีการจ่ายเงินให้กับหน่วยงานรัฐหน่วยงานหนึ่งด้วยในลักษณะของตัวกลาง เมื่อได้แจ้งข้อหาเกี่ยวกับการทุจริตจึงทำให้คดีดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

รอง ผบช.ก.กล่าวต่อว่า ในส่วนคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ น.ส.กฤษอนงค์ รวมไปถึงคดีที่พัวพันกับฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เกี่ยวเนื่องกับการเรียกรับผลประโยชน์ 20 ล้านบาทกับกลุ่ม The icon Group นั้น มีรายงานข่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวน เพื่อหารือเกี่ยวกับคดีดังกล่าว แต่ยังไม่มีกำหนดเวลาที่แน่ชัด

ส่วนมื้อเช้าของวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบได้สั่งอาหารเมนูเด็ดข้าวคลุกกระเพราไก่ แถมแตงกวา ไม่มีไข่ดาว และน้ำเปล่า 1 ขวด มาให้เจ๊พัช หรือ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ ผู้ต้องหาในคดีกรรโชกทรัพย์และเป็นตัวกลางเรียกทรัพย์สินบน กรณีตบทรัพย์บรรดาบอสดิไอคอน ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่ห้องควบคุมตัวชั้น 1 ตึกกองปราบ ให้ได้รับประทาน

ด้านสิบเวรห้องควบคุมตัวชั้น 1 ตึกกองปราบ เผยว่าพนักงานสอบสวนนำเจ๊พัชเข้าสอบปากคำถึง 5 ทุ่มก่อนนำตัวมาควบคุมที่ห้องควบคุมตัวชั้น 1 ตึกกองปราบ และตรวจสอบความเรียบร้อยที่ห้องควบคุม พบว่าเจ๊พัชยังนอนหลับสบายตามปกติ เนื่องจากมีอาการอ่อนเพลีย

‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ โพสต์!! ในวันเกิด ขอบคุณ ‘ทุกคนที่เชื่อมั่น’ ลั่น!! ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว จะผ่านปัญหาไปให้ได้

(17 พ.ย. 67) จากกรณีที่พิธีกรดัง หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ได้เปิดประเด็นคลิปเสียงของ นักร้องหนุ่ม ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ว่ามีการเรียกเงินกว่า 20 ล้าน แลกกับการพาบอสพอล ดิ ไอคอน กรุ๊ป ไปออกรายการโหนกระแส ก่อนฟิล์มจะออกมาชี้แจงเรื่องราวว่าเป็นการรับงานพีอาร์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีประเด็นโยงว่าเป็นดาราชายหลอกลงทุนน้ำมันทิพย์ เสียหายนับร้อยล้านไปแล้วนั้น

ล่าสุด ‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ ได้โพสต์ภาพใส่บาตรที่ระบุว่าเป็นวันเกิดของตัวเอง พร้อมเผยความในใจถึงแฟนๆ ว่า

วันนี้วันเกิด ผมขอบคุณทุกกำลังใจ ที่มอบให้ผม ผมรักทุกคนนะครับ ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุขเหมือนกันนะครับ ขอโทษที่ปีนี้เราไม่ได้มากอดมาจับมือกันนะครับ และขอบคุณที่ทุกคนเชื่อมั่นในตัวผม ขอบคุณที่มองผมจากที่ทุกคนรู้จักผม ไม่ได้ใช้อารมณ์มาตัดสิน อดทนนะครับ น้ำตาของทุกคนมีค่าสำหรับผม อดทน และอย่าร้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมจะผ่านมันไปเหมือนทุกครั้งที่ผมเจอปัญหา เพราะความถูกต้องและความจริง มีหนึ่งเดียว และมันจะกลับมาปกป้องผมทุกครั้ง คิดถึงFFทุกคนนะครับ อยากร้องเพลงกับทุกคนแล้ว

‘บิ๊กเต่า’ เล็งแจ้ง!! อีกหลายข้อหา ‘สามารถ’ หลังพบเส้นทางการเงิน พบเอี่ยว!! ‘รีดไถผู้ประกอบการ - พนันบอล’ ยัน!! มีหลักฐานชัดเจน

(1 ธ.ค. 67) ที่ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รองผบ.ช.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มกับนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ว่า จากการตรวจสอบยอดเงิน 100 กว่าล้านในบัญชี มีการแตกไปในหลายเส้นทางการเงิน และเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา เราพบร่องรอยการโอนเงินเข้าบัญชีของนายสามารถ ประมาณ 500,000 บาท จึงเรียกเป้าหมายคนดังกล่าวมาพูดคุย พร้อมนำหลักฐานมาแสดง ซึ่งเข้าข่ายกรรโชกทรัพย์จึงน่าจะมีการแจ้งข้อหานี้กับนายสามารถอีกหนึ่งคดี

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า เรื่องที่ 2 บุคคลใกล้ชิดนายสามารถ ที่มีการเรียกเข้ามาสอบปากคำ ให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี ได้บอกถึงเส้นเงิน ที่ตัวเขาเป็นคนถือบัญชี ซึ่งนายสามารถอ้างว่า เป็นเงินใช้หนี้ และให้โอนเข้ามาในบัญชีนี้ และพบว่ามีการโอนเงินเข้ามา 2 ส่วน คือ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป แต่ไม่ใช่จากนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล แต่เป็นหนึ่งในบอสของ ดิไอคอน ประมาณ 3 ล้านบาท โดยต้องตรวจสอบว่าเป็นการโอนเข้ามา เพราะบอสพอล เป็นคนสั่งการหรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาแล้วเป็นการเรียกรับ ตำรวจสอบสวนกลางจะเป็นคนสอบเอง แต่หากพบว่าโอนเข้ามาจากบริษัท ดิไอคอน จะเข้าข่ายคดีฟอกเงินเพิ่มอีกหนึ่งคดี ตอนนี้ได้ประสานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อที่จะสอบปากคำพยานคนดังกล่าวในสัปดาห์หน้า ส่วนเงินในบัญชีอีกส่วนเป็นการโอนเข้ามาของผู้ประกอบการที่ถูกรีดไถ จำนวน 500,000 บาท ซึ่งมีการแจงความไว้แล้ว

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า ส่วนอื่นๆที่เราได้มีการตรวจสอบ พบว่าเกิดเหตุในลักษณะนี้ กับอีกหลายคนและอีกหลายส่วน และบางส่วนยังไม่ให้ความร่วมมือ เราจึงพยายามพูดคุย และพบว่าเกี่ยวข้องกับคนในหลายแวดวง ทางข้าราชการ หรือแม้แต่บุคคลที่บริษัท ดิไอคอน จ้างงาน ซึ่งมีเส้นเงินเชื่อมโยง ดังนั้น ต้องมีการตรวจสอบบัญชีอีกหลายส่วน ทั้งนี้ เส้นเงินที่เราแตกออกไปหลายส่วนนั้น อยู่ในจำนวน 100 กว่าล้านบาท ซึ่งเงินบางส่วนเราเห็นแล้วว่าน่าจะเป็นเงินที่มาจากการเล่นพนันบอล ซึ่งพบจากคนใกล้ชิด ประมาณ 30 ล้านบาทและเสียไปประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งยังเหลืออีก 50-60 ล้านบาท ที่ต้องตรวจสอบที่มาที่ไป ดังนั้นตำรวจสอบสวนกลางต้องตรวจสอบให้ละเอียดว่าเส้นเงินไปถึงใครบ้าง เพื่อพยายามที่จะเรียกบุคคลนั้นๆเข้ามาสอบปากคำ และยืนยันว่าจะดำเนินคดีในทุกเรื่อง

เมื่อถามถึงที่นายสามารถ ระบุว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการถูกดำเนินคดี และมีการอดข้าวประท้วง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เราไม่อยากให้มีการอดอาหารประท้วง และยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทำไปตามพยานหลักฐาน ไม่ได้กลั่นแกล้ง การตรวจสอบเส้นเงินเป็นวิทยาศาสตร์ และผู้เสียหายก็มีอยู่จริง

"นายสามารถ ต้องยอมรับสภาพว่าสิ่งที่ทำจะทิ้งหลักฐานไว้ สิ่งเหล่านี้กำลังตามหลอกหลอน ให้ต้องถูกดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีใครที่จะไปกลั่นแกล้ง แต่นายสามารถเป็นบุคคลคนหนึ่งที่เราต้องการ นำเข้าสู่การบังคับใช้กฎหมาย และนำเข้าสู่สำนวนคดี เพราะมีคลิปเสียงชัดเจนในการเรียกรับ และมีคำพูดค่อนข้างดูถูกข้าราชการ ในการแต่งตั้งข้าราชการเข้าไปดูแลบอสพอล หรือช่วยเหลือผู้ประกอบการ ดังนั้น เราต้องมีความพยายาม ต้องดำเนินการแม้บอสพอล จะไม่ได้มีการร้องทุกข์ดำเนินคดี ยืนยัน ไม่มีการกลั่นแกล้งและขอให้ไปสู้กันในชั้นศาล หากมีพยานที่สามารถหักล้างเหตุผลได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอดข้าว ขณะนี้ยังมีเวลาแก้ไข หากกระทำผิดก็ต้องชดใช้ ในสิ่งที่ทำไว้" พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าว

เมื่อถามต่อว่าจะมีการมอบของขวัญช่วงปีใหม่ให้กับอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีดิไอคอนอีกหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เป็นเรื่องของการปัดกวาดทางสังคมให้สะอาด ให้บรรดาอินฟลูเอนเซอร์เพจต่างๆ เข้ามาสู่ระบบเคารพกฎหมาย เพราะที่ผ่านมามีการบูลลี่หน่วยงานรัฐ โดยไม่มีหลักฐาน แต่ยืนยันพวกเราไม่ใช่คนไร้น้ำใจ หรือเป็นคนใจร้าย แต่ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ระบุว่าสิ่งใดที่ทำให้สังคมไขว้เขว ใส่ร้ายสังคม ใส่ร้ายข้าราชการ เราต้องปัดกวาด รวมถึงหากข้าราชการตำรวจมีการกระทำความผิด ก็ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดเอาออกไปเช่นกัน ก็เป็นการกวาดบ้านตัวเอง เป็นการทำทุกหน่วยงานให้เป็นของขวัญให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงปีใหม่

ปฏิบัติการเด็ดปีกเหล่าบอส ธุรกิจหมื่นล้านสู่ข้อหาฉ้อโกง-แชร์ลูกโซ่

ย้อนมหากาพย์คดีดิไอคอน จากเครือข่ายบริษัทขายออนไลน์หมื่นล้าน 'บอสพอล' สู่ข้อกล่าวหาฉ้อโกงประชาชน-แชร์ลูกโซ่ ความเสียหาย 3,000 ล้านบาท

ยังคงเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง สำหรับ 'มหากาพย์คดีดิไอคอน' ซึ่งปัจจุบันพบยอดรวมผู้เสียหายที่เข้าให้ปากคำกับศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิไอคอน กรุ๊ป ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ มากกว่า 9 พันคน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 3,000 ล้านบาท

TST พาไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ของ 'มหากาพย์คดีดิไอคอน' ตั้งแต่เริ่มต้นที่กลายมาเป็นประเด็นร้อน จนถึงความคืบหน้าล่าสุดในปัจจุบัน

บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด (The iCON GROUP) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2561 โดยมีการแจ้งประเภทธุรกิจเป็นการขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต และ 'บอสพอล' วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ได้รับการจดทะเบียนเป็นกรรมการบริษัท โดยในระหว่างปี 2562-2566 รายได้รวมของบริษัทฯ สูงถึง 10,613,171,867 บาท

อย่างไรก็ตาม การดำเนินธุรกิจของบริษัทเริ่มถูกตั้งข้อสงสัยในปี 2567 ว่าอาจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ หลังจากกลุ่มผู้เสียหายที่เปิดบิลแล้วไม่สามารถขายสินค้าได้ เริ่มออกมาร้องเรียนในเพจต่างๆ กระทั่งกลายเป็นประเด็นร้อนแรงเมื่อ 'กบ ไมโคร' หรือ นายไกรภพ จันทร์ดี นักร้องรุ่นใหญ่ โพสต์เฟซบุ๊กแฉว่าเขาลงทุน 2 ล้านบาทกับบริษัทแห่งนี้ แต่สุดท้ายต้องเลิกลงทุน พร้อมกับกล่าวหาว่ามีผู้สูงอายุหลายคนลงทุนจนแทบสูญเสียทุกอย่าง และเรียกร้องให้หยุดธุรกิจที่อันตรายกว่าธุรกิจ 18 มงกุฎ

จากนั้น ผู้เสียหายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหลายเพจเฟซบุ๊กดังเริ่มเปิดเผยข้อมูลไม่พอใจในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ซึ่งวิธีการธุรกิจที่มีการเชิญชวนให้เข้าร่วมอบรม-สัมมนาก่อนชวนเปิดบิลขายสินค้าหรือเป็นดีลเลอร์ นั้นถูกมองว่าเหมือนการทำแชร์ลูกโซ่ แม้ว่าจะมีการขายสินค้า แต่สินค้าหลายรายการกลับไม่ได้รับความนิยมตามที่โฆษณาไว้

เมื่อประเด็นร้อนเริ่มขยายตัว 'บอสพอล' วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ซีอีโอของดิไอคอนกรุ๊ป ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กยืนยันว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ทำธุรกิจ ผ่านระบบตัวแทนของบริษัทฯ เขาเชื่อมั่นว่าได้ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและไม่ผิดกฎหมาย พร้อมยืนยันว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์

ในขณะเดียวกัน ข้อมูลของบรรดา 'บอสดิไอคอน' ที่มีชื่อเสียงเริ่มถูกขุดคุ้ยออกมาเผยแพร่ ซึ่งประกอบด้วย 'บอสกันต์' กันต์ กันตถาวร (CMO), 'บอสแซม' ยุรนันท์ ภมรมนตรี (CRO), และ 'บอสมีน' พีชญา วัฒนามนตรี (CCO) ทำให้บริษัทดิไอคอนกรุ๊ปต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า บุคคลเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท แต่เป็นเพียงผู้ช่วยในการทำการตลาด

หลังจากที่ผู้เสียหายออกมาแจ้งความร้องทุกข์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตำรวจได้ออกหมายจับผู้บริหารและบอสใหญ่ของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป 18 คน ในข้อหาฉ้อโกงประชาชนและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึงข้อหาฉ้อโกงประชาชนเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ ตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกง

รายชื่อผู้ถูกจับรวมถึง 'บอสพอล' และบอสจากวงการบันเทิงอีกหลายคน ทั้ง 'บอสกันต์' กันต์ กันตถาวร, 'บอสแซม' ยุรนันท์ ภมรมนตรี, และ 'บอสมีน' พีชญา วัฒนามนตรี

ในขณะที่กลุ่มบอสดิไอคอนยังคงยืนยันว่า ธุรกิจของบริษัทไม่ได้เป็นแชร์ลูกโซ่หรือการฉ้อโกงประชาชน แต่ทางคดีได้มีการขุดข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบนและความเชื่อมโยงกับผู้ใหญ่ในรัฐบาลที่ถูกเปิดเผยโดย 'เอกภพ เหลืองประเสริฐ' ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด โดยอ้างว่ามีการใช้เงินสดฟอกแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัลและจ่ายสินบนในรูปแบบต่างๆ โดยมีการเซ่นไหว้ 'เทวดา' เพื่อขอความคุ้มครอง

เรื่องราวนี้ยังคงเป็นที่จับตามองในสังคม และยังคงมีการขยายผลสืบสวนอย่างต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top