‘ก้าวไกล’ ชี้ การล่วงละเมิดทางเพศพุ่ง เพราะทัศนคติเชิงลบต่อเหยื่อ และกลไกที่ไม่เอื้อต่อการเข้าถึงความยุติธรรม
ณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ และอดีตรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่อกรณีข่าวนักการเมืองคนดังล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เสียหายหลายรายว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นได้ในทุกวิชาชีพ โดยเฉพาะการอาศัยเงื่อนไขของผู้กระทำที่มีอำนาจเหนือกว่า และแม้จะมีข่าวการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอยู่ทุกวัน แต่การข่มขืนกระทำเราหรือการล่วงละเมิดทางเพศกลับเกิดมากขึ้น เพราะสังคมขาดความเข้าใจและยังมีทัศนคติเชิงลบต่อผู้เสียหาย อีกทั้งขาดกลไกรับเรื่องร้องทุกข์จนผู้เสียหายไม่กล้าแจ้งความ ต้องพึ่งพาภาคประชาสังคมหรือต้องทำให้เรื่องกลายเป็นข่าว จี้รัฐปรับปรุงระบบรับร้องทุกข์ที่เป็นมิตร พร้อมเปลี่ยนทัศนคติของสังคมช่วยกันปกป้องผู้เสียหาย
โดยก่อนหน้านี้สภาผู้แทนราษฎร ได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ มีตัวแทนทั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ทรงคุณวุฒิ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่าปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศมีสาเหตุหลักด้วยกัน 4 ประการ ได้แก่ การที่คนในสังคมยังขาดความตระหนักและขาดการเคารพสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของผู้อื่น การขาดกลไกในการเฝ้าระวังปัญหาโดยเฉพาะในระดับครอบครัว สถานศึกษา และชุมชน การขาดกลไกรับเรื่อง การรับแจ้งความร้องทุกข์ และกระบวนการยุติธรรมที่เป็นมิตรต่อผู้เสียหาย รวมถึงกลไกการแก้ไขพฤติกรรมของผู้กระทำความผิด และการขาดกลไกการบำบัดฟื้นฟูแก้ไขเยียวยาต่อผู้เสียหายและครอบครัว
พร้อมทั้งเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้งก่อนเกิดเหตุ เมื่อเกิดเหตุแล้ว และหลังเกิดเหตุ ไปยังคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ยกระดับการแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศให้เป็น “วาระแห่งชาติ” แต่จนบัดนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแต่ประการใด
“ที่ดูคืบหน้าอยู่บ้างคือร่าง พ.ร.บ.มาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง จะเป็น กม.ที่นำมาใช้กับผู้กระทำความผิดที่ก่อเหตุหลายครั้ง และอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการทางการแพทย์หรือการคุมขัง เพื่อเข้าระงับเหตุไม่ให้ไปกระทำความผิด โดยเฉพาะการล่วงละเมิดทางเพศซ้ำอีก ที่ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของ สว. แต่นั่นเป็นเพียงปลายเหตุ เพราะปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศมีมากกว่านั้น ทั้งกรณีที่ผู้เสียหายไม่ทราบว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วควรจะดำเนินการอย่างไร เมื่อไปแจ้งความแล้วกลับโดยปฏิเสธไม่รับแจ้งความหรือให้กลับไปหาพยานหลักฐานเอง ไปจนถึงการกลัวคนรอบข้างและสังคมไม่เชื่อ กล่าวโทษกดดัน กลายเป็นผู้เสียหายเป็นผู้ผิด ทั้งการดำเนินคดีที่ยาวนาน มีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
ที่แย่ที่สุดคือผู้กระทำที่เป็นผู้มีอิทธิพลหรืออำนาจที่เหนือกว่าผู้เสียหาย ไม่ว่าจะเป็นระหว่างคนในครอบครัว เป็นผู้ใหญ่กับเด็ก นายจ้างกับลูกจ้าง อาจารย์กับลูกศิษย์ การกระทำต่อแรงงานข้ามชาติ หรือกรณีนักการเมืองที่เป็นข่าวในปัจจุบัน จนผู้เสียหายหวาดกลัว ไม่กล้าแจ้งความ และหลายครั้งยอมถูกกระทำต่อเนื่องกันอีกหลายครั้ง หากรายใดกล้าลุกขึ้นมา ก็ต้องขอความช่วยเหลือกับภาคประชาสังคม องค์กรมูลนิธิต่างๆ หรือต้องทำให้เป็นข่าว ซึ่งเราไม่ควรจะให้กระบวนการที่ต้อง ”ไม่ปกติ” ถึงจะได้รับการช่วยเหลือ กลายเป็นเรื่อง “ปกติ” ไป”
