Tuesday, 8 July 2025
ชูวิทย์_กมลวิศิษฎ์

‘ชูวิทย์’ ยกเคส ‘แอ๊ด-โน้ส’ สะท้อน ‘ราชการเป็นใหญ่’ เมื่อพูดความจริงจะอึดอัด ต้องคอยเกรงใจเจ้าที่เจ้าทาง

(16 ต.ค. 65) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจกลางคืนชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ดังนี้...

‘แอ๊ด’ ขอโทษผู้ว่าฯแล้ว รับอารมณ์ชั่ววูบ-ขาดสติ พร้อมอ้าแขนรับความผิด

พี่แอ๊ดน่าจะทราบ ประเทศไทยเป็นระบบ “ราชการเป็นใหญ่”

ศิลปินอย่างพี่แอ๊ดหากวิพากษ์วิจารณ์บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ก็ไม่ต้องมานั่งขอโทษขอโพย สำนึกผิด

‘ชูวิทย์’ ขอบคุณทุกกำลังใจ พร้อมเผยสิ่งที่อยากทำก่อนจากไป อโหสิกรรม ‘สันธนะ’ อย่าได้เจอกันอีกไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน

(10 ก.ค. 67) เพจ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว’ โพสต์ข้อความจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ที่ไปรักษาโรคมะเร็งระยะสุดท้ายที่ประเทศอังกฤษ ได้ฝากถึงแฟนคลับ ความว่า…

“ด้วยความคิดถึงขอขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจ ในชีวิตเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน จึงทำให้คิดได้ มีอีกหลายเส้นทาง ที่ชีวิตไม่เคยไปสัมผัส ฝรั่งเรียก ‘Bucket list’ สิ่งที่ทำ ก่อนชีวิตสูญสลาย…

“สิ่งหนึ่งคือ ไม่มัวติดอยู่กับอดีต เพราะนับจากนี้ไป อีกไม่นาน เราก็จะตายไปกันหมด ไม่ช้า ก็เร็ว สิ่งที่เราหามาทั้งชีวิตก็จะไปตกในมือคนอื่น ๆ จะไม่มีใครจำเราได้อีกต่อไป แม้แต่คนในครอบครัว จะมีใคร ไปจำพ่อของทวดได้บ้าง ?...

“เราควรคิดถึงสิ่งที่เรามีความสุขในวันนี้ เลิก คิด แค้น เคือง พยาบาท ใครต่อใคร เพราะทุกสิ่งมันผ่านไปหมดแล้ว ยิ้ม พอใจ กับที่เรามีอยู่วันนี้ที่ทุก ๆ เช้า เราตื่นมาได้ ด้วยร่างกายที่ไม่เจ็บปวด แม้จิตใจจะยังสู้ แต่ร่างกายไม่ไหว ก็ต้องปล่อยไป มีอีกหลายอย่างที่เราต้องทำก่อนตาย หาความสุข ในสิ่งที่ เราอยากทำ” 

ส่วนข้อความถึง ‘สันธนะ’ หลังศาลอาญา มีคำพิพากษาในคดีหมิ่นประมาท โรงแรมของชูวิทย์ ระบุว่า “ข้าพเจ้า ขอขมากรรมต่อท่าน ที่ได้ล่วงเกินประการใดก็ตาม ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทั้งตั้งใจ และไม่ตั้งใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งรู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี นับแต่อดีตชาติเป็นต้นไป มาจวบจนปัจจุบันชาติ…

“ขอให้อโหสิกรรม ต่างคนต่างเดิน ไป ตามทางตัวเองด้วยเทอญ อย่าได้พบเจอกันอีก ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน”

อย่างไรก็ตาม ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ. 2892/2565 ที่บริษัท ต้นตระกูล จำกัด โดยนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นโจทก์ฟ้องนายสันธนะ ประยูรรัตน์ เป็นจำเลยในความผิดฐานแจ้งความเท็จ, หมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท

กรณีเหตุการณ์ ระหว่างวันที่ 5-8 พ.ย.2565 ต่อเนื่องกัน จำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จและสร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ต่อพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ในทำนองว่า ชั้นล็อบบี้ภายในโรงแรม เดอะเดวิส ซอยสุขุมวิท 24 กรุงเทพฯ มีกลุ่มวัยรุ่นชายหญิงประมาณ 100 คน เข้ามามั่วสุมเสพยาเสพติดในห้องน้ำชายและเปิดบริการเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้จำเลยยังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลายแขนงสร้างความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงแก่โจทก์

ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 328 ให้คุก 1 ปี ปรับ 100,000 บาท แต่จำเลยไม่เคยต้องโทษมาก่อน เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดี โทษจำคุกรอลงอาญา 2 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 100,000 บาทและลงโฆษณาคำพิพากษาโดยย่อกับสื่อเป็นเวลารวม 5 วัน ติดต่อกัน

นายสันธนะ ระบุว่า ข้อหาอื่นที่ฟ้องคดีมา ศาลยกฟ้องทั้งหมด แต่ในข้อหาหมิ่นประมาท ศาลเห็นว่ามีความผิดจึงพิพากษาจำคุก 1 ปี รอลงอาญา 2 ปี ปรับอีก 100,000 บาท ซึ่งได้จ่ายค่าปรับไปแล้ว ส่วนกรณีที่โจทก์เรียกค่าเสียหายมา 100 ล้านบาทนั้น ศาลระบุว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบว่าเสียหายอย่างไร จึงให้จ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์ 100,000 บาท แต่ตนเองยังไม่จ่ายเพราะเตรียมที่จะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป

‘นิพิฏฐ์’ เผย!! ‘ชูวิทย์’ ตอบไลน์ กำลังจะกลับไทยแล้ว หลังบินไปรักษา ‘โรคมะเร็งตับ’ ระยะที่ 5 กับลูกสาว

(3 พ.ย. 67) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า …

เช้านี้ ผมไลน์หาคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กัลยาณมิตรของผม คุณชูวิทย์ตอบว่า กำลังจะกลับเมืองไทยแล้ว กลับเมื่อไหร่จะแวะไปกราบคุณนิพิฏฐ์ ผมดีใจรอคุณชูวิทย์กลับมา

สำหรับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและจอมแฉชื่อดัง ออกมาเปิดเผยว่าเป็นโรคมะเร็งตับ ระยะที่ 5 อยู่ได้อีก 8 เดือน และประกาศยุติการแฉ ก่อนเดินทางไปรักษาตัวที่ต่างประเทศพร้อมกับลูกสาว เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2566 ที่ผ่านมา

‘ชูวิทย์’ กลับมาในฐานะพลพรรครักประเทศไทย ลั่นถึงเวลาทำลายวงจร “ธุรกิจการเมือง”

(26 มิ.ย. 68) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า.. ชูวิทย์กลับมาอีกครั้ง

หลังจากผมไปรักษาตัวมา 2 ปี วันนี้กลับมาในสถานะ “พลพรรครักประเทศไทย”

ชีวิตที่เฉียดความตาย ประคับประครองร่างกายที่ถูกโรคร้ายกัดกิน จนน้ำหนักเหลือเพียง 58 กิโลกรัม จากเดิม 80 กิโลกรัม

ไม่ต้องบอกว่าทรมานแค่ไหน แต่อยากบอกกับทุกคนว่า “ต้องสู้แค่ไหน” มากกว่า

สารภาพกันตรงๆ

“สู้กับคน ไม่ยอมคนมามากมาย ยังไม่เหนื่อยเท่าการต่อสู้กับตัวเอง”

แต่นี่คือวิถีชีวิตปกติของมนุษย์คนหนึ่ง

“พลพรรครักประเทศไทย” ไม่ได้เป็นพรรคการเมือง ที่ต้องนำเงินมาทุ่มกับการแข่งขัน และแสดงเทคนิคหาเสียงเพื่อได้ ส.ส. มาแปลงเปลี่ยนเป็นอำนาจ เอื้อประโยชน์ สนองตัณหาตนเอง แล้วนำเงินที่ได้จากการเมืองกลับมาใช้เป็นทุนหาเสียงแสวงรักษาอำนาจในครั้งต่อไป

ทำแม้กระทั่งแจก ”กล้วย“ ดึง ส.ส. มาสังกัดพรรคเหมือนเปลี่ยนรองเท้า เพื่อจะเอาไปต่อรองร่วมรัฐบาล

ประชาชนเขามองเป็นเรื่องขบขัน เสมือนหนึ่งนั่งดูหนังละครที่จบไปเป็นซีรี่ย์

แต่นี่กลับเป็นเรื่องจริงที่น่าสมเพช

การทำลายวงจร “ธุรกิจการเมือง” จึงจำเป็น อย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน

หากระบบการเมืองไทยยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป อนาคตของเราคงคาดเดาได้ไม่ยาก เพียงแต่บางท่านยังมองไม่ถึงจุดนั้น

ถึงเวลาต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ทำอะไรให้ประเทศนี้บ้าง“ ก่อนจะถามว่า ”ประเทศทำอะไรให้เราบ้าง”

ผมเคยถามมหาเศรษฐีที่มากด้วยเงินทอง อำนาจ วาสนา แล้วกลับล้มละลายลงว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

พวกเขาตอบเหมือนๆ กันว่า

มันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนไม่ทันตั้งตัว แรกๆ ก็คิดว่าจะผ่านไปได้ แต่เมื่อถึงวันที่หมดสิ้นก็ช้าเกินกว่าจะแก้ไขเสียแล้ว

นั่นเป็นเรื่องของธุรกิจ

แต่เราไม่สามารถเอาประเทศไปเดิมพันให้ล้มละลายแบบนั้นได้ ประเทศไทยยังอยู่ที่เดิมบนแผนที่โลก

ชีวิตของประชาชนอย่างพวกเราต่างหาก ที่จะเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม

การ “สร้างภูมิปัญญา“ เพื่อรู้เท่าทันผู้ปกครองที่อ่อนแอ ฉ้อฉล เสพติดในอำนาจ จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ พึงกระทำ

นโยบายสาธารณะที่ใช้กับพวกเราจะต้องเป็นเรื่องที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านได้ เพื่อให้บรรดาผู้ปกครองบ้านเมืองตระหนักว่า ประชาชนไม่เห็นด้วย

อย่างเรื่องกัญชาที่เป็นยาเสพติด แค่ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา พวกเราประชาชนยังสับสนไม่เข้าใจ

เพราะบางทีก็ว่า “กัญชาเสรี” บางทีก็ว่า “กัญชาทางการแพทย์”

จากเป็นยาเสพติดอยู่แท้ๆ ดันเอาออกมาขายกันได้เสรีทั่วไป คนซื้อมาสูบข้างถนนจนกลิ่นคลุ้งไปทั่ว ผู้ปกครองต้องระวังลูกหลานของตัวเองไม่ให้ไปเผลอลองสูบกัญชา

จนวันนี้กลับมาควบคุมใหม่ จะเอากลับไปเป็นยาเสพติดอีก

นโยบายสำคัญเกี่ยวกับยาเสพติดอันมีผลร้ายแรงต่อเยาวชนคนทั่วไป กลับทำเหมือนเด็กเล่นขายของ แล้วโยนให้ประชาชนไปสุ่มเสี่ยงกันเอาเอง โดยไม่มีใครยอมรับว่าเป็นต้นเหตุ

ทุกคนอ้างว่า “ทำเพื่อประชาชน“ กันหมด

แต่ประชาชนกลับรู้สึกเหมือนนั่งดูเด็กทะเลาะกัน “ฉันให้เธอได้ เพราะเป็นพวกฉัน ตอนนี้อยู่คนละพวกแล้ว ฉันไม่ให้” ทั้งที่แต่ก่อนก็เล่นกระโดดยางด้วยกันอยู่แท้ๆ

ขนาดเป็น ”ยาเสพติด“ ยังทำกันป่นปี้แบบนี้ กลับไปกลับมาในระยะเวลาสั้นๆ แค่ 2 ปี ทุกอย่างกลับตาลปัตร 2 ตลบ ตีลังกาจนประชาชนตั้งตัวไม่ทัน แล้วที่ผ่านไปใครรับผิดชอบ?

นี่ไม่ใช่เพราะนักการเมืองหรือ?

อย่างนี้พวกท่านคิดยังไง?

ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วย เพราะผมรณรงค์ให้เป็น “กัญชาทางการแพทย์” มาโดยตลอด แต่สมเพชกับการเห็นเรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องเล่นๆ

มีประเทศไหนเขาทำกันแบบนี้?

ผมกลับมาครั้งนี้คงเป็นวาระสุดท้าย เสมือนเส้นด้ายที่กำลังถูกดึงออกจากแกน และใกล้จะหมดไป

เมื่อถึงวันที่เส้นด้ายหมด ก็เอากันได้แค่นั้น ชีวิตมันสั้นครับ

แต่ก่อนจะถึงวันนั้น บางทีเสียงกระซิบของผม ท่ามกลางความเงียบงัน อาจเป็นเสียงที่กังวาลให้ท่านได้ระลึกถึงบ้างก็ได้ไม่มากก็น้อย

ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ยังระลึกถึงผมอยู่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top